กรมสรรพากรแถลงข้อสรุปแนวทางการจัดเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ที่ต้องการจัดเก็บภาษีกับผู้ที่ได้รับดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี ได้ข้อสรุปว่าธนาคารจะทำส่งข้อมูลดอกเบี้ยเป็นค่าเริ่มต้นโดยที่เจ้าของบัญชีไม่ต้องแสดงความยินยอมใดๆ แต่หากไม่ยินยอมต้องไปแจ้งธนาคารทุกแห่งที่ใช้บริการอยู่เอง
อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่าที่ประชุม ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย, และสมาคมธนาคารนานาชาติ ร่วมประชุมกับกรมสรรพากรและเห็นพ้องกันว่าจะให้ธนาคารนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยไปยังกรมสรรพากรเป็นค่าเริ่มต้น
ผู้ที่ไม่ต้องการให้ธนาคารส่งข้อมูล จะต้องเดินทางไปแจ้งธนาคารที่ใช้บริการอยู่เองให้ครบทุกธนาคาร โดยเริ่มรับแจ้งตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมนี้ ไปจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคม จึงจะทันรอบนำส่งข้อมูลครึ่งปีแรก
พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ผ่านสนช. ไปพร้อมกับพ.ร.บ. มั่นคงไซเบอร์ โดยเนื้อหาพ.ร.บ. ห้ามเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลหากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา และตัวกฎหมายเองก็มีระยะเวลาก่อนเริ่มบังคับอยู่ระยะหนึ่ง
ที่มา - กรมสรรพากร
ภาพโดย rawpixel
Comments
คำถาม
- ยื่นเรื่องไม่ส่งแล้วจะเป็นยังไง บัญชีจะโดนหักภาษีทันทีเลยไหม หรือไม่มีการหักถ้ายังไม่เกิน 20,000/บัญชี
- ธนาคารส่งสรรพากรแล้ว แปลว่าสิ้นปีตอนกรอก ภงด 90,91 ต้องมากรอกภาษีส่วนนี้ด้วยไหม ต้องไปขอเอกสารดอกเบี้ยจากทุกธนาคาร?
ถ้ายื่นไม่ส่งข้อมูล ธนาคารจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
หักภาษีแบบนั้นก็เท่ากับสรรพากรรู้ยอดเงินต้นเราอยู่ดี
จบดราม่าดอกเบี้ยเงินฝาก สรรพากรแจงไม่เกิน2หมื่นไม่เสียภาษี
การกรอก ภงด 90,91 สามารถเลือกได้ครับ ว่าจะเอามาคิดภาษีหรือไม่ เหมือนกับพวกดอกเบี้ยหุ้นกู้ครับ
บางคน รายได้อยู่ในเรทที่เสียภาษี 15% หรือมากกว่าก็เลือกไม่กรอกครับ
กรณีจะต่างกันไหมครับ หุ้นกู้จะโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายเลย
แต่กรณีนี้คือ สมมติแต่ละบัญชีไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งธนาคารไม่ได้หัก 15%
แต่พอส่งยอดไปให้กรมสรรพากรแล้วปรากฏว่าเกิน 20,000 บาท ทีนี้จะกลายเป็นว่ายื่นภาษีไม่ถูกต้องไป (ไม่ยอมยื่น ไม่ยอมจ่ายภาษีส่วนนี้) จะโดนอีกกระทงหนะสิครับ
ถ้ามันไม่เกินส่งไปจะเกินได้ยังไงครับไม่เข้าใจ
ผมได้ดอกเบี้ยเงินฝากจาก 2 ธนาคาร ธนาคารละ 19500 บาท รวมกัน 2 บช.ก็เกิน 20000 บาทนะครับ
ใช่ครับ หมายถึงแบบนี้ครับ
อันนี้ถ้าตามกฎหมายก็ต้องเสียภาษีอยู่แล้วหรือเปล่าครับ? เพียงแต่เดิมเรารู้ว่ามันเกินแต่สรรพากรไม่รู้ เรา(ในฐานะผู้เสียภาษี)เลยเลือกที่จะไม่เอาดอกเบี้ยมายื่นภาษี
ตอบ
1) ถ้าคุณยื่นเรื่องไม่ให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร สิ่งที่เกิดขึ้น
1.1) ธนาคารไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย นำส่งให้ กรมสรรพากร (ตามที่ธนาคารมีข้อตกลงที่มีกับสรรพากร)
1.2) ตอนสิ้นปี ธนาคารส่งข้อมูลสรุปรายได้ดอกเบี้ยที่จ่ายให้คุณ แก่สรรพากรอยู่ดี ตามหน้าที่ของผู้จ่ายดอกเบี้ยให้คุณ (ไม่แน่ใจว่าตกอยู่ในมาตราไหน แต่ต้องมีส่งแน่นอนอยู่แล้ว)
2) จะกรอก หรือไม่กรอก ก็ได้ ถ้ากรอก หมายความว่าคุณคำนวณแล้ว จะขอเงินในส่วนหักภาษี ณ ที่จ่ายคืน จาก กรมสรรพากร ถ้าคุณโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย ทางธนาคารควรจะต้องส่งเอกสาร หัก ณ ที่จ่าย ให้คุณ (ถ้าไม่ถึงมือคุณ และคุณทราบ สามารถไปขอที่ ธนาคารได้)
1.ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ถึงโดนหัก กี่ล้าน
2.แล้วถ้าแตก เงิน แยกย้าย บัญชีอื่นๆละ กระจายออกไปไม่ให้เกินละ ทำได้มั้ย บัญชีญาติๆ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
อันนี้ถามแบบคนไม่รู้เลยนะ ข้อมูลที่ธนาคารส่งให้จะเป็นในลักษณะไหน คือเป็นยอดรวมของเงินในบัญชีกับดอกเบี้ย หรือแค่ยอดรวมดอกเบี้ยอย่างเดียว?
สงสัยด้วย
อันนี้น่าสนใจ คือจะส่งให้ตามหน้าที่ทางกฎหมายก็ไม่ว่ากัน แต่คนทั่วไปอยากเห็นหน้าตาข้อมูลที่ส่งให้ได้ไหม
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าส่งเลขที่บัตรประชาชนไปด้วย มีกี่ธนาคารก็ Sum อยู่ดี
ยอดรวมดอกเบี้ยอย่างเดียว ตามประกาศเกี่ยวกับ ภาษีเงินได้ ฉบับที่ 344 ข้อ 3(3)
ปล. รูปแบบข้อมูล ก็ตามประกาศ
เพื่อความชัวร์ขอเห็นรูปแบบตารางข้อมูลที่ส่งก่อนไปนั่นล่ะ แค่แบบตัวอย่างก็พอไม่ต้องของจริง
รอครบหนึ่งปีก็รู้เรื่องแหล่ะ
ข้อเสนอแนะ
1. ให้ธนาคารแต่ละธนาคารรวมทุกบัญชีของบุคคลธรรมดานั้นๆ แล้วยื่นส่งข้อมูลกรมสรรพากรเพียงข้อมูลว่า 'ดอกเบี้ยเกิน 20000 บาทต่อปีหรือไม่' ถ้าบุคคลนั้นมีแค่ธนาคารเดียวและธนาคารนั้นระบุว่าดอกเบี้ยไม่เกิน สรรพากรก็ไม่ต้องทำอะไรต่อ บุคคลที่เข้าข่ายกรณีนี้จะได้ไม่ต้องให้ข้อมูลสรรพากรเกินความจำเป็น (สรรพากรจะรู้แค่ว่าเรามีดอกเบี้ยเงินฝากไม่ถึง 20,000 แต่ไม่รู้จำนวนที่แท้จริง) แต่ถ้าบุคคลนั้นมีหลายธนาคาร หรือมีธนาคารอย่างน้อยหนึ่งแห่งแจ้งว่ามีดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี กรมสรรพากรถึงค่อยขอข้อมูลจำนวนดอกเี้ยที่แท้จริงจากทุกธนาคารของบุคคลนั้นๆ
2. แต่ถ้าทุกธนาคารร่วมมือกันตั้งหน่วยงานที่ไม่ได้ควบคุมด้วยภาครัฐ ทำหน้าที่รวมดอกเบี้ยเงินฝาก และส่งข้อมูลจำนวนภาษีเงินฝากให้สรรพากรเฉพาะคนที่ถูกรวมดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาท จะดีมาก คนที่ไม่ถึง หน่วยงานนี้ก็จะแจ้งสรรพากรแค่ว่า ไม่ถึง โดยไม่ได้ระบุจำนวนภาษีเงินฝาก ทั้งนี้ทั้งนั้น บุคคลนั้นๆสามารถเลือกได้ว่า จะให้หน่วยงานนี้เป็นคนรวม หรือจะให้สรรพากรรวมให้เอง เพราะบางคนอาจเชื่อภาครัฐมากกว่าธนาคาร บางคนเชื่อธนาคารมากกว่าภาครัฐ
ข้อ2นี่ โยนให้itmxทำได้มะ มี translation แค่ปีละครั้ง สองครั้งเอง แต่ก็ทำระบบออกมาดีดีนะ ไม่ใช่ห่วยแบบpromptpay
มันจะจบลง ด้วยการที่ คนเดินไปถอนเงินสดออก เอาไปใส่ตุ่มหรือซื้อทองฝังไว้หลังบ้าน
มีข้อดีกว่าฝากธนาคารตรงไหนบ้างครับนั่น
นั่นน่ะสิ เค้าไม่ได้หักเงินต้นซะหน่อย
เอาเงินฝาก ได้ดอกเบี้ย 19,999 (น้อยกว่า 20,000) ไม่ต้องเสียภาษี เหลือดอกเบี้ยได้จริง 19,999 บาท
เอาเงินฝาก ได้ดอกเบี้ย 20,000 ต้องเสียภาษี 15% = 3,000 บาท เหลือดอกเบี้ยได้จริง 17,000 บาท
เอาเงินฝังไว้หลังบ้าน ไม่ได้ดอกเบี้ยเลยสักบาท
น่าจะเป็นส่วนที่เกิน 20,000 ถึงเอามาคำนวณภาษีนะครับ ถ้าได้ 20,100 บาทก็เสีย 15 บาท ไม่น่าเอาสองหมื่นแรกมาคิด ไม่งั้นมันก็จะแปลก ๆ
ไม่ครับ ตามกฏหมายคือนำมาคิดตั้งแต่บาทแรกครับ
เข้าใจว่าเสียเฉพาะที่เกิน 20,000 ครับ
20,100 คือ เสียแค่ 15 บาท
1) เข้าใจว่าเดิมระบบธนาคารทำ auto ไว้แล้ว
แต่พวกหัวหมอก็แยกบัญชีหลายๆบัญชี
โดยให้แต่ละบัญชีได้ไม่เกิน 20,000 จะได้ไม่โดนภาษี
2) สรรพากรเลยจะดัดหลังโดยจะเก็บ ณ ที่จ่าย 15% เลย
อยากได้ 15% ที่ต่ำกว่า 20,000 คืน(=3,000) ก็ให้ไปกรอกขอคืนจาก ภงด. เอา
หรือไม่ก็เซ็นยินยอมให้ ธ.ส่งรายการดอกเบี้ยที่จ่ายให้สรรพากร แล้วจะไม่โดนหัก ณ ที่จ่าย แต่เท่ากับว่า สรรพากรจะสามารถตามการหนีภาษีโดยวิธีเปิดหลายๆบัญชีได้
3) แต่การเซ็นยอมทุกบัญชีทั่วประเทศมันยุ่งยากกว่า
เค้าเลยเปลี่ยนเป็น ยอมทุกบัญชีไปก่อน
ใครไม่ยอมให้มาเซ็นว่าไม่ยินยอม
แต่จะโดนหัก ณ ที่จ่าย 15% แล้วต้องไปกรอกขอคืนใน ภงด.
ตัวอย่างสมมติ
คุณทำงานทั้งปี ได้ค่าแรง เป็นเงิน 240,000 บาท
คุณฝากเงินทั้งปี ได้ดอกเบี้ย เป็นเงิน 20,000 บาท (โดนหัก ณ ที่จ่าย 15% = 3,000 บาท)
โดยปกติ คุณควรจะต้องเอาเงินทั้ง 2 ก้อน นำไปคำนวณภาษีเงินได้ ของคุณเองครับ
ในกรณีนี้ คุณโดนภาษีหัก ณ ที่จ่ายของดอกเบี้ย 3,000 บาท
เมื่อคุณนำไปคำนวณแล้ว "น่าจะ" ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ คุณก็จะสามารถขอเงินคืน 3,000 บาทจากกรมสรรพากร
ปัญหาอยู่ที่จุดนี้
"ธนาคารนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยไปยังกรมสรรพากรเป็นค่าเริ่มต้น"
ดอก 0.5% 0.25% แลกกับ ใครก็ไม่รู มาดูว่ามีเงินเท่าไหร ดูทุกบัญชีด้วย ?
ซื้อทองผังตุ่มดีก่า
มีอยู่กี่ล้านหละครับพี่จะไปซื้อตุ่มเนี่ย
ถ้ามี 7 หลักแล้วลองไปคุยกับ wealth management ของแต่ละธนาคารดูนะครับ เค้าจะช่วยจัดการเงินให้เรา แบบ "ชาญฉลาด"
ปล.อย่าลืมฉีดกันปลวก ด้วยนะครับ
อ่าน ประกาศ เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ฉบับที่ 344 มาอ่านก่อน ไม่สายไปครับ
ธนาคารนำส่งข้อมูลดอกเบี้ย มันไปเกี่ยวอะไรกับการ "ดูว่ามีเงินเท่าไหร่ และดูทุกบัญชีด้วย"
ในประกาศไม่ได้บอกให้ส่งเงินในบัญชีไปนะครับ
ถอนมาเก็บไว้เอง นอกจากดอกก็ไม่ได้ ยังเสี่ยงโดนปล้นโดนขโมยอีก โดนปลวกกิน ถ้าเก็บไว้ที่แบงค์ยังได้ดอก เงินยังงอกมาบ้าง จะเลือกอันไหน?
ผมสงสัยว่าการหักของสรรพากรจะทำยังไง กรณีนี้คือหัก ดบ.ทุกบาทแล้วให้ผู้มีเงินฝากที่อาจได้ ดบ.ไม่ถึง 20000 บาทไปยื่นขอคืนเงินภาษีเองสิ้นปี หรือไม่หักเลย แต่เอาข้อมูลไปแล้วใครมีซัมมารี่ตามข้อมูลที่ได้จาก ธพ.ได้ ดบ.เกิน 20000 สรรพากรจะไปตามเก็บเองถ้าเป็นแบบหลังก็แล้วไปแต่ถ้าแบบแรกนี่ไม่ไหวนะไปเอาตังไม่ควรได้มาด้วย
แล้วข้อมูลเงินฝากประชาชนนี่ผมว่ามีความสำคัญมากนะ มากกว่าเงิน ดบ. อีกบางทีเราควรตระหนักนะครับว่า ข้อมูลการเคลื่อนไหวเงินของประชาชนนี่มันใช้อะไรได้มากมายกว่าที่คิดและอาจส่งผลเสียให้ก็ได้ในอนาคต แต่คนทั่วไปคงไม่สนใจหรอกเพราะนึกว่าฟรี
ผมไปหาข้อมูลมาละ
แบ่งเป็น 2 กรณี
1. กรณีไม่แจ้งธนาคาร ธนาคารจะส่งยอดดอกเบี้ยรวมให้กรมสรรพากรเอง
1.1 ถ้ายอดรวมทุกธนาคารไม่เกิน 20,000 ไม่เสียอะไร
1.2 ถ้ายอดรวมทุกธนาคารเกิน 20,000 กรมสรรพจะส่งกลับไปให้ธนาคารทำการหัก 15% (ตั้งแต่บาทแรก) ยื่นภาษีให้เลย (ทุกบัญชี ทุกธนาคาร)
2. กรณีไปแจ้งธนาคาร ไม่ให้เปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าจะเกิน หรือไม่เกิน 20,000 ธนาคารจะหักเงิน 15% เลย
ดังนั้น แปลว่าผู้ฝากเงินไม่ต้องทำอะไร ถ้าหากเงินรวมเกิน 20,000 (ทุกธนาคาร ทุกบัญชี) ก็จะโดนหัก 15% ไปเอง
สรุปคือ สรรพากรจะสรุปข้อมูลส่งเรื่องให้ ธพ.หักภาษีเองภายหลังสินะครับ อย่างนี้แสดงว่าคนที่ได้ ดบ.เกิน20000มานิดหน่อยก็จะได้เงิน ดบ. น้อยกว่าคนที่มีดบ.รวม เกือบถึง20000สิครับ เช่นได้ ดบ. 21000บาท จะเหลือ 17850 แต่ถ้าได้ ดบ. 19000 ก็ไม่โดนหักได้ 19000 เท่าเดิม ก็คือคนฝากเงิน 4ลบ. จะได้ดบ.เท่ากับคนที่ฝากเงิน 4.7ลบ.
ธพ. ย่อมาจากอะไรครับ คืออ่านแล้วไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร
ตามความเข้าใจผมนะ
1. ธนาคารรวมดอกเบี้ยทุกบัญชี ถ้าธนาคารจ่ายดอกเบี้ยน่าจะเกิน 20,000 บาท ธนาคารจะต้องทำภาษีหัก ณ ที่จ่าย
2. ในประกาศ กรมสรรพากร ไม่มีส่งเรื่องให้ธนาคารทำอะไร มันเป็นหน้าที่ธนาคารที่จะต้องนำส่งให้กรมสรรพากรอยู่แล้ว
หมายความว่า ถ้าคุณได้ดอกเบี้ยธนาคาร A 10,000 บาท และดอกเบี้ยธนาคาร B 15,000 บาท ทั้งธนาคาร A และ B จะไม่ทำภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่คุณต้องไปลง ภงด 90, 91 เป็นรายได้ส่วนของคุณเองเพิ่มอีก 25,000 บาท เพราะคุณไม่ได้รับการยกเว้นตามเงื่อนไขใน ประกาศ ภาษีเงินได้ ฉบับนี้
ธพ. ย่อมาจาก ธนาคารพาณิชย์ ครับเป็นตัวย่อที่ในเอกสารแบงก์ชาติใช้บ่อย
ผมแค่ตีความตามที่คุณ arth บอกครับคือกรณีที่มียอดรวม ดบ.ทุก บช.หลายธนาคารเกิน20000 สรรพากรจะแจ้งกลับไปยัง ธพ.ให้หักภาษีออกทุก บช.เพราะไม่มีทางที่ ธพ.จะทราบได้หากใน บช.ลูกค้าของตัวเองไม่เกินแต่ลูกค้ามียอดรวมจากแบงก์อื่นที่ทำให้ยอด ดบ.เกิน20000อยู่ ดังนั้น ธพ.จะไม่ได้หักภาษีแน่นอน ต้องให้สรรพากรจัดการเพราะเป็นผู้ที่ทราบข้อมูลรายได้รวมจริง แต่จะจัดการยังไง ส่งเรื่องให้ ธพ.หักเองหรือไปไล่เบี้ยเอากับผู้ฝากภายหลังก็อีกเรื่อง
ส่วนกรณีเรื่อง ดบ.แบงก์เดียวเกิน20000โดนหักนำส่งเองปกติเขาก็หักอยู่เองแล้วครับไม่ต้องดู กม.ใหม่ก็ได้
ส่วนตัวผมว่าสรรพากรอาจไม่ได้สนใจเรื่องภาษีดอกเบี้ยเท่าไหร่หรอก จากพฤติกรรมของสรรพากร คือ ดูต้องการข้อมูลเป็นอย่างมาก เลยพาลคิดไปว่าถ้ามันเข้าระบบ Data Mining หรือที่โปรโมทกันว่า AI นั่นแหล่ะ คิดเล่นๆ นะถ้ามีฐานข้อมูลดอกเบี้ยบัญชีออมทรัพย์ (เพื่อจับตาพ่อค้าแม่ค้า หรือบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจโดยไม่จดทะเบียน พวกร้านทอง หรือร้านใหญ่ ที่มียอดขายเยอะ แล้วเอาเงินฝากแบงค์) บวกเข้ากับข้อมูล Transaction ที่ธนาคารแจ้งจากกฎหมาย E-Payment (เผื่อจับตาพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ที่ยอดขาย และ Transaction เยอะ) เอาเลขที่บัตรประชาชนไปจับกับฐานข้อมูลผู้เสียภาษี เขียน Scenario เพื่อตรวจจับบุคคลธรรมดา ที่เลี่ยงภาษีได้สบาย เดี๋ยวก็มีนิรโทษกรรม ให้ไปจดนิติบุคคล ใครไม่ไปแจ้งโดน Trigger จับเจอหนังสือถึงบ้านแน่นอน แถมน่าจะโดนหนักด้วยรอบนี้ เพราะหลักฐานกระแสเงินชัดเจนดิ้นไม่หลุด
ใครขายของออนไลน์ หรือค้าขายยอดเยอะเลี่ยงภาษีกันอยู่ ก็ไปจดทะเบียนนิติบุคคลซะเหอะ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เสียภาษีให้ถูกต้องจะได้สบายใจ ทั้งหมดทั้งมวลมโนล้วนนะ อาจไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้
+1
เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ครับ เขาไม่ได้สนใจเรื่องดอกเบี้ยหรอก
ต้องการข้อมูล transaction มากกว่า แล้วเอาเรื่องดอกเบี้ยมาสับขาหรอก
เหมือนตอนจะขึ้นภาษีเหล้าเบียก็อ้างว่าเป็นภาษีบาปนั่นแหละ
ถ้าจำไม่ผิด ใน blognone เคยเห็นข่าวประกาศเรื่องนี้อยู่แล้ว คิดว่าเกี่ยวกับจำนวน transaction น่าจะเป็นคนละประกาศ และ ไม่น่าจะเกี่ยวกันครับ
ประกาศอันนี้ น่าจะมาเก็บรายได้ที่เกิดจากดอกเบี้ยเงินฝาก(ของคนที่มีฐานะ) มากกว่าครับ
ประกาศคนละประกาศแต่ข้อมูลลงที่เดียวกัน หรือถูกเครื่องมือ Tranform มาให้อยู่ที่เดียวกันได้ก็จบ เพราะประกาศไม่ได้ระบุวัตถุประสงค์การนำข้อมูลไปใช้งาน หรือห้ามปรับแปลงข้อมูลหรือส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานอื่นภายในกระทรวง มันเลยเกิดช่องวางสีเทาๆ แบบจงใจ
นโยบายของสรรพากร คือ AI ซึ่งก็ตั้งเท่ห์แค่นั้นแหล่ะ มันก็ data mining ที่ใช้กันมานาน ขอแค่ข้อมูลให้มีเลขบัตรประชาชนที่เหลือเป็นอะไรมัน predict ได้ตามสูตรทางสถิติอยู่แล้ว ดอกเบี้ยมันคำนวณย้อนกลับไปหาเงินต้นได้อยู่แล้ว เพราะข้อมูลดอกเบี้ยแต่ละช่วงเวลาของแต่ละธนาคารเป็นข้อมูลเปิด และวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่คือตั้งข้อสงสัยแล้วเรียกมาชี้แจง เพราะแจ้งข้อกล่าวหาเลยทำไม่ได้อยู่แล้วกับข้อมูลเพียงแค่นี้ ข้อมูลตรงนี้ไม่ได้เอาไว้ชี้ว่าใครผิดหรือถูก แต่เอาไว้ตั้งข้อสงสัยซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของกรมอยู่แล้ว ที่จะเรียกคนที่ระบบ Trigger เจอว่าข้อมูลมีพฤติกรรมทางการเงินน่าสงสัย ใครชี้แจงได้ก็รอด ใครชี้แจงไม่ได้ก็เตรียมโดนเข้าสู่กระบวนการสอบสวนเพื่อได้มาซึ่งข้อมูล ซึ่งคุณก็จะถูกบังคับให้ยินยอมให้เข้าถึงทุกรายการต้นขั้วในรายการต้องสงสัยอีกที ทีนี้ภาษีย้อนหลังก็จะมาในบัดดล
แต่โดยธรรมชาติคนทั่วไปชี้แจงได้อยู่แล้วเพราะแหล่งที่มาของเงินมักมีไม่กี่แหล่ง ถ้า Senario ที่เขียนทำไว้ดี ข้อมูลตามประกาศบวกกับข้อมูลที่สรรพากรมีก็เสกคาถาไล่สอดส่องคนเลี่ยงภาษีกันได้สบาย
มาตรการต่างๆ ของสรรพากร จะไม่มีใครเกลียดเลย ถ้าภาษีที่จ่ายไป มันคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมาจากภาครัฐ
แต่ในเมื่อถ้าเสียภาษีแล้วไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่จ่ายไปหรือภาพรวมยังห่วยเหมือนเดิม แย่และล้าหลังกว่าเดิม ใครเขาอยากจะเสียภาษีเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหละ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ย้อนแย้งดีนะครับ ไม่ชอบที่รัฐใช้ภาษีไม่คุ้มค่า
แต่ประชาชนก็ไม่อยากเสียภาษีซะเอง
มันผิดทั้งคู่แหละ
เพราะรัฐ ใช้เงินภาษี ไม่สมเหตุผล คนเลยไม่อยากเสียภาษี มันย้อนแย้งยังไงเหรอครับ
ย้อยแย้งยังไง ภาษีมันมีมานานมากแล้ว และคนส่วนใหญ่รู้ดี รัฐบาลก็ต้องการเพื่อสร้าง แก้ไข และดูแลประชาชน
แต่ในเมื่อรัฐบาลเอาภาษีไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบมาพากล เอาไปล้างผลาญแต่ได้ผลลัพธ์ที่แย่และเลวร้ายมาก ประชาชนก็เริ่มคิดว่าอย่าเอาเงินไปเสียให้รัฐเลย ถ้าจะเอามาผลาญและสร้างปัญหา เก็บไว้ใช้กับชีวิตตัวเองยังจะดีซะกว่า
ไม่นานครับ คนก็เริ่มหนีภาษี หาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเอง แทนการเสียภาษีไงครับ ดังนั้น ปัญหามาจากรัฐก่อเรื่องเอง ทำให้คนไม่ศรัทธาหรือเชื่อถืออีกต่อไป สุดท้ายก็โดนเมิน ไม่จ่ายภาษีไง ชัดเจนนะครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
รัฐใช้ภาษีไม่คุ้มค้า เป็นเหตุให้ คนไม่อยากเสียภาษี "แต่" คนไม่อยากเสียภาษี ไม่เป็นเหตุให้ รัฐจะใช้ภาษีไม่คุ้มค้า
แบบนี้ไม่เรียกย้อนแย้งครับ เรียกตรระกะใหม่นะครับ
ผมเข้าใจว่าไม่ย้อนแย้งนะครับ เพราะ
ไม่อยากจ่ายภาษี ไม่ได้หมายความว่าไม่จ่ายภาษี
เอาจริงๆ หากจ่ายภาษีถูกต้องแล้วจะบ่นหรือด่ารัฐยังมันก็ควรจะทำได้ และรัฐควรรับฟัง
ในทางกลับกัน หากหนีภาษี มันก็ผิดตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องสนว่าจะบ่นหรือไม่บ่นนะ
สุดท้ายมันไม่ผิดที่ไม่อยากจ่ายภาษีนะครับ มันน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำนะ
บางประเทศ
เขาคิดว่าทำอะไรเพื่อประเทศชาติได้
ไม่มาคิดว่าประเทศทำอะไรให้เรา
ถ้าให้คิดอีกมุมมอง หาเงินมายากเย็น เหนื่อยล้า แต่ต้องเสียส่วนหนึ่งให้รัฐ โดยที่รัฐไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้เงินมาใช้ แทนที่จะเอาเงินมาเลี้ยงชีวิต หาครอบครัว ส่งลูกเรียน เผื่อเข้าโรงพยาบาล เอาไปลงทุน ฯลฯ
ความคิดนี้ก็ดี แต่ถ้าผลที่ได้หรือความมุ่งมั่นที่สั่งสมมานาน กลับพังเพราะรัฐที่เรานับถือและใช้ชีวิตอยู่กับเราทำพังเสียเอง ก็จะเกิดวงจรเลี่ยง หรือหนีภาษีขึ้นมาไงครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
แล้วนิยามคำว่าประเทศชาติของคุณคืออะไรล่ะ
กลวงครับ อันนี้ไม่ได้แซะแต่ด่าครับ กลวงตั้งแต่วิธีคิด การใช้คำ และการพูดเชิงกดคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง
มีรถเก่าวิ่งช้ากินน้ำมัน
ขับไปบ่นไป จะซ่อมจะซื้อใหม่แต่เงินไม่มี
วันหนึ่งคิดขึ้นได้ ทั้งช้ากินน้ำมัน แล้วจ่ายซื้อน้ำมันมาเติมรถทำไม
สุดท้ายก็ต้องเดินขึ้นรถเมล์
ทำไมมีแต่อะไรกลวงๆ ครับ
ซึ่งรถเมล์ช้ากว่ารถ (ถนนมันเส้นเดียวกันแถมแวะทุกป้ายตรรกะแบบไหนรถเมล์จะเร็วกว่า) แถมเก่ากว่าด้วย แถมรถที่มีอยู่แล้วก็ทิ้งไปให้เสียทิ้งเปล่าๆ ฉลาดเหลือเกินครับ 5 5 5 ป่วยจริงๆตรรกกะ
อเมริกาตอนที่ประธานาธิปดีมีนโยบายอะไรที่ไม่ชอบใจคนก็หลบภาษีกันเยอะขึ้นหรือเปล่า
เรื่องอย่างนี้บางทีก็เหมือนงูกินหาง คนหลบภาษีเพราะไม่ชอบการใช้เงินของรัฐ แต่บางทีรัฐมีโครงการใหญ่ๆ เงินไม่พอก็หาทางรีดภาษีด้วยวิถีทางอื่น ทั้งๆ ที่บางทีถ้าประชาชนไม่หลบภาษีกันมากรัฐอาจจะมีเงินทำโปรเจคใหญ่ๆ โดนไม่ต้องหาทางเก็บภาษีโดยวิถีทางใหม่ๆ ก็เป็นได้
แต่ถ้ารัฐใช้เงินได้มีประสิทธิภาพกว่านี้แต่ละโครงการก็อาจจะใช้เงินได้น้อยกว่านี้ด้วยเช่นกัน และจะได้ความน่าเชื่อถือจากประชาชนด้วย
สงสัยอยู่ว่าถ้าเป็นบัญชีร่วมหลายคนจะเก็บภาษียังไง
คนที่หนาวๆ ร้อนๆ คนแรก เจ้ามือหวยใต้ดิน
ผมคิดว่าเรื่องภาษีดอกเบี้ยมันคือส่วนเล็กน้อยมากที่สรรพกรต้องการนะ ไอ้ที่ต้องการคือเข้าถึงข้อมูลเงินฝากต่างหาก ปรกติฝั่งสรรพกรเข้าถึงข้อมูลส่วนนี้ไม่ได้ คราวนี้พอดูข้อมูลได้คราวนี้ง่ายเลยแค่ไล่กระแสเงินใหญ่ๆ ได้ไม่กี่ตัวก็ไล่ดึงภาษีได้บาน
ถ้ามองเป็นกลาง เค้าก็ทำหน้าของเค้าดี
ควรจะด่าคนใช้เงิน มากกว่าคนหาเงินไหมอะ
สรุปส่งอะไรไปบ้างเนี่ยถ้าส่งแค่ข้อมูลดอกเบี้ย ณ วันคิดคำนวนก็ปล่อยไป แต่ถ้ามีส่งข้อมูล ความเคลื่อนไหวเงินต้นย้อนหลังด้วยนี่ ผมไม่ถูกใจนะ
แต่อย่างว่าไปยื่นไม่ให้ตรวจไว้ก่อน อนาคตค่อยมาปลดทีหลังก็ได้ แต่ถ้าปล่อยให้ได้ข้อมูลไปก่อนนี่ จะมายื่นไม่ยินยอมทีหลังคงไม่ได้แล้ว รู้สึกแปลกๆว่าเอาไปทำอะไรบ้าง
จริงๆแล้วเรื่องภาษีไม่กังวลนะครับ
แต่ธนาคารจะต้องส่งอะไรให้สรรพากรบ้างครับ
และสิ่งที่สรรพากรต้องการจริงๆแล้ว คือ จำนวนเงินคงเหลือของ "ทุก" บัญชีของประชากรทุกคนหรือเปล่า
เพราะปกติธนาคารจะหักภาษี ณ ที่จ่ายจากบัญชีที่มีดอกเบี้ยตามเกณฑ์สรรพากรเท่านั้น
แต่ถ้าประกาศใหม่ สรรพากรจะมีข้อมูลยอดเงินในคงเหลือในบัญชีโดยเฉลี่ยทั้งปีของคนไทยทุกคนเลย
เรื่องนี้เริ่มต้นที่คนเลี่ยงภาษีดอกเบี้ยเงินฝากครับ โดยการกระจายเงินฝากไปหลายบัญชีหลายธนาคาร ยอดจะได้ไม่ถึงที่ต้องเสียภาษี
สรรพากรเลยใช้วิธีหัก ณ ที่จ่าย เพราะไม่มีข้อมูลรวบรวมทุกบัญชี
คนก็โวยกันว่าจะดอกเบี้ยมากน้อยเท่าไหร่ก็จะเก็บเหรอ แต่จริง ๆ คือสามารถไปขอคืนภาษีได้ แบบปันผลหุ้น หรือจะทำเรื่องอนุญาตให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีเราไปได้ เพราะมันมีกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอยู่
แต่อันนี้จะให้เป็นแบบถ้าไม่ยินยอมให้ส่งข้อมูลก็แจ้งธนาคารเอง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระเบียบวิธียังไง แต่ก็เพื่อแก้ปัญหาหัก ณ ที่จ่ายที่โวยกันข้างต้นนี่แหละ
แล้วก็โดนด่าอีกจากเม้นต์ blognone ก็เอาที่สบายใจครับ ทำอะไรก็ผิดอยู่แล้ว
ผมขอถามนอกเรื่องเป็นความรู้หน่อยครับ ทำไมดอกเบี้ยเงินฝากต้องมีภาษีเหรอครับ
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายครับ ผู้จ่ายเงินได้เป็นผู้หัก ถ้าทำว่าทำไมต้องหักก็เหตุผลเดียวกับทำไมรายได้อย่างอื่นต้องมีภาษีครับ
ทุกรายได้ ต้องเสียภาษีหมดครับ
แค่ไปซื้อข้าวกินก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่มครับ
แต่ทุกอันมีข้อยกเว้น อย่างเงินฝากออมทรัพย์ถ้ารวมไม่ถึง 20,000 ก็ไม่เสีย หรือ vat ถ้าร้านค้ารายได้ทั้งปีไม่เกิน 1.8 บ้านก็ไม่ต้องเสียครับ
ไม่เข้าใจว่าทำไมคนออกกฎหมายต้องทำให้ function ไม่เป็น linear
ดอกเบี้ย 19999.99 บาท ได้จริง 19999.99 บาท
แต่ดอกเบี้ย 20000.00 บาท ได้จริง 17000.00 บาท
แทนที่จะยกเว้นไปเลยเหมือนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 150000 บาทแรก
กลัวคนเขียนโปรแกรมไม่มีงานทำครับ
จริงๆคือ เสียภาษีตั้งแต่บาทแรกครับ
ส่วน 20,000 บาท คือข้อยกเว้นที่เพิ่มขึ้นมา
เพราะดอกเบี้ยเป็นรายได้ครับ รัฐเลยเก็บภาษี
ขอบคุณทั้งสามท่านครับ
ใครด่าหรือครับ?
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เอ๋เรื่องดอเบี้ยผมไม่สนใจอะ แต่ที่น่าจสนใจกว่า สรุปแล้วไอที่พวกเราไปเซนต์ว่ายินยอมหรือไม่ยินยอมว่าจะเปิดข้อมูลหรือไม่ มันไม่มีประโยชน์เลยนะครับ นึกอยากจะเอาข้อมูลให้ใครก็เป็นมติธนาคารแห่งประเทศไทยเอาไปได้เลย ทั้งที่ปกติแล้วกฏหมายควรจะยินยอมให้ใครเข้าถึงข้อมูลได้เมื่อมีเหตุอันสมควรสิ ไม่ใช่เอาปก่อนจะใช้ไม่ใช้ก็แล้วแต่...