หลังจากที่ผมได้เขียนบทบรรณาธิการถึงธนาคารแห่งประเทศไทยถึงเรื่องการกำกับดูแลธนาคารที่มีปัญหา ก็ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับคุณสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ที่รับผิดชอบการกำกับดูแลบริการเหล่านี้โดยตรง โดยตอบรับว่าการกำกับดูแลการแจ้งเตือนประชาชน ต้องเพิ่มความเข้มงวดต่อไป
สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเสถียรภาพของระบบไอทีธนาคาร ทางธปท. จะเห็นด้วยว่ามีความสำคัญและกำลังออกแบบการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะมากขึ้น แต่ก็อาจต้องพิจารณารูปแบบการนำเสนอที่เหมาะสมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งลูกค้าและผู้ใช้ข้อมูล ซึ่งอาจมีการออกแบบการเปิดเผยข้อมูลที่ตรงกับกลุ่มผู้ใช้ต่อไป
ในแง่ของการรายงานปัญหาต่อผู้ใช้เมื่อระบบมีปัญหา ถ้าเป็นปัญหารายธนาคารเอง ธนาคารจะมีกระบวนการในการแก้ไขปัญหากับลูกค้า ซึ่งธนาคารต้องสื่อสารตรงออกมาอย่างรวดเร็ว และหากมีปัญหาเป็นวงกว้างกว่าธนาคารใดธนาคารหนึ่งหรือกระทบระบบ สมาคมธนาคารและธปท. จะสื่อสารในวงที่กว้างขึ้น เพื่อให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อครั้งพร้อมเพย์ล่มปลายปี 2560 แล้วใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงจะประกาศต่อประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนได้เรียนรู้และปรับกระบวนการทำงาน เพื่อแก้ไขแล้ว แต่ยังคงต้องมีการปรับปรุง ทั้งเรื่องยกระดับมาตรฐานและการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งในปีนี้ ธปท. มีแผนผลักดันเรื่องนี้
ข้อมูลหนึ่งที่คุณสิริธิดาระบุเพิ่มเติม คือ ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบการชำระเงินที่บางครั้งระบบเกิดหน่วง ทำให้มีการตัดเงินจากบัญชีต้นทาง แต่ปลายทางยังไม่ได้รับ จึงได้มีการพัฒนา QR Code ที่ช่วยตรวจสอบ โดยเมื่อลูกค้าชำระเงินที่ร้านค้าด้วย QRCode แล้ว ในสลิปการชำระเงินของลูกค้าใน mobile application จะมี QR Code ที่ร้านค้าสามารถใช้แสกนดูได้ว่า มีการตัดเงินในบัญชีลูกค้าส่งไปที่ร้านค้าผู้รับจริง ซึ่งจะเป็นหลักฐานการทำรายการให้ผู้รับมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงิน
คุณสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน
Comments
เห็นด้วยครับ
พอมีปัญหาที คนก็ไปถล่ม comment ใน facebook ของธนาคาร
คำถามที่ผมเห็นบ่อยๆ แต่ธนาคารไม่ค่อยตอบ หรือ ตอบช้าไม่ทันใจคนใช้บริษัทบริการ เช่น
- ผมโอนเงินเพื่อจ่ายค่าผ่อนคอนโด ระบบขัดข้อง แต่เงินตัดไปแล้ว ทางธนาคารจะคิดดอกเบี้ยล่าช้าไม๊
- ผมกดเงินที่ตู้ ATM เงินหักไปแล้ว แต่เงินไม่ออกออกมา ผมจะได้เงินคืนเมื่อไหร่ ผมต้องใช้ด่วน
ฯลฯ
ธนาคารน่าจะทำ FAQ ไปเลยนะ
ถึงว่า ทำไมแอพ SCB มี QR Code โผล่เข้ามาเพิ่มให้ยาวเกิน 1 หน้าจอ เป็นงี้นี่เอง ผมว่าอีกปัญหาของ ธปท. คือไม่สื่อสารให้ ปชช. รู้ว่าดำเนินการอะไรอยู่บ้าง ถ้าทำอะไรอยู่แล้วบอก อย่างน้อยก็ลดแรงกดดันลงได้บ้าง นี่แทบไม่บอกไรเลย
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมมองว่า ธนาคารมองลูกค้าเป็นเงิน แหล่งรายได้ และข้อมูลมากกว่าตัวลูกค้า ทำให้พอเกิดปัญหาก็แก้ไขช้า ไม่ตอบสนองในทันที เหมือนว่าต่อให้เรียกร้องไปก็ยังใช้บริการของธนาคารนั้นอยู่ดี หนีไม่พ้น ไม่ว่ายังไงก็ยังได้ตังค์ เป็นต่อ และได้ข้อมูลไปทำเงินได้อยู่ดี
ถ้าเลวร้ายที่สุด คือมองลูกค้าเป็นทาส ไม่มีความรับผิดชอบ และแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่เคยแก้ระยะยาว อย่างธนาคารล่มก็เห็นธาตุแท้ของธนาคารแล้ว เน้นทำกำไรยาว ไม่สนคุณภาพการให้บริการ ดูได้จาก Call Center ของแต่ละธนาคาร ที่รอนานและช้ามาก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
เปลี่ยนที ไอ้พวกบัญชีเงินเดือน ตัดผ่านบัญชีก็ต้องไปไล่เปลี่ยนอีก
คนกำหนดหลักเกณฑ์ว่าอะไรคือ "ความเหมาะสม" ก็ต้องชัดเจนมะ ตัวล่งตัวเลข SLA ต่างๆ
ง่ายๆนะ เวลาล่มก็แจ้งทาง SMS หรือ ในแอป หรือ Line ที่ผูกไว้
เมื่อระบบกลับมาก็แจ้ง ลูกค้าจะได้ไม่โทรไปถล่ม Call Center
ไม่ใช่ให้ลูกค้ารู้เองว่าโอนแล้วเงินไม่ไป โดนตัดเงินไปแล้ว
ล่มนะล่มได้ แต่แนวทางรับมือตอนที่ล่มต้องมี ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลูกค้าต้องก้มหน้ายอมรับ
ทำไมดูเหมือนมันยากๆ ทำแผนกันเป็นปีแค่ บอกว่าระบบ/ฟังชั่น ใช้ไม่ได้ App ก็มีให่บอก ATM ก็แจ้งได้(รึเปล่า)
สุดท้ายแบงก์ชาติก็ไม่ได้ช่วยอะไรประชาชนเลย พูดแบบนี้ใครๆก็พูดได้ สิ่งที่อยากเห็นคือบทลงโทษมากกว่า
ลูกค้าเค้าไม่เข้าใจหรอกว่างาน IT มันมี process โดยเฉพาะงานของธนาคาร
การแก่ไขให้ไวและถูกต้องมันยากมาก
แก้ไขไม่ทันก็ต้อง "แจ้งลูกค้า" ให้จัดการชีวิตตัวเองได้ครับ
อย่างปลายปี 2017 ที่ระบบล่มครึ่งวันแล้วไม่แจ้ง ไม่ปิดระบบ ปล่อยให้อมเงินไปเรือ่ยๆ นี่เป้นความ "อัปยศ" ของการให้บริการและการกำกับดูแลแล้ว
จะแก้ทั้งวัน หรือหลายวันนั่นเรื่องนึง แต่ลากคนเดือนร้อนไปด้วย จัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ นี่อีกเรื่อง
lewcpe.com, @wasonliw