Tags:
Node Thumbnail

ต่อจาก Novell และ Xandros (ข่าวเก่า) ดิสโทรรายที่สามที่เซ็นสัญญาความคุ้มครองสิทธิบัตรกับไมโครซอฟท์ก็คือ Linspire

ในสัญญานี้ ลูกค้าของ Linspire จะได้รับความคุ้มครองกรณีไมโครซอฟท์ฟ้องลินุกซ์และซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สอื่นๆ ว่าละเมิดสิทธิบัตรของตัวเอง ส่วนข้อตกลงนอกจากนี้คือ Linspire จะสามารถใช้ฟอนต์ TrueType ของไมโครซอฟท์, codec ของ Windows Media และคุย Voice Chat ข้ามกับ Windows Live Messenger ได้

ในทางกลับกัน Linspire จะต้องใช้ Windows Live Search เป็นเสิร์ชเอนจินหลัก

นอกจากบริษัทดิสโทรแล้ว ไมโครซอฟท์ยังได้เซ็นสัญญากับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่นำโอเพนซอร์สไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง (เช่น เครื่องเล่น MP3) สองบริษัทที่เซ็นไปแล้วคือ LG กับ Samsung

ที่มา - Yahoo News

Get latest news from Blognone

Comments

By: demon69gt on 15 June 2007 - 22:09 #24788

ครั้งหนึ่ง m$ เคยกล่าวว่าสิ่งที่น่ากลัวคือ opensource ในเมื่อเป็นหนามยอกก็เลยกว้านซื้อสิทธิบัตรซะเลย คราวนี้การพัฒนาลีนุกซ์ที่อยู่ในสิทธิบัตรก็หมายถึง m$ จะได้รับรู้แล้วเอาไปพัฒนากับ os ของตัวเองได้ จากนั้นอะไรโดดเด่นใน Linux ก็จะมีใน m$ ด้วย คราวนี้ Linux ก็จะไม่มีอะไรเด่นที่จะไปอ้างว่าดีกว่า m$ ได้ ก่อนหน้านี้ Linspire ร่วมมือกับ Ubuntu ในการพัฒนา os ไม่รู้จะมีผลของการร่วมมือต่อไปหรือเปล่า

อีกมุมหนึ่งของ m$ จะเห็นว่าการพัฒนา os ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเหมือนตอนที่เปลี่ยนจากดอสเป็น 95 และเปลี่ยนจาก me เป็น xp ในเวอร์ชั่นล่าสุดคือ vista ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ มีแต่ลูกเล่นทางด้านกราฟฟิกและเอนเตอร์เทนที่เขมือบทรัพยากรมหาศาล ประหนึ่งว่าทิศทางการพัฒนาของ m$ เริ่มมาถึงทางตัน แถมเสียเวลาในการพัฒนาค่อนข้างเยอะ ลงทุนเยอะ เมื่อ m$ โดดเข้ามาร่วมวง opensource โดยโยนสิทธิบัตรก้อนหนึ่งมาให้ opensource จะเห็นว่าสิทธิบัตรตัวนั้นเป็นเอนเตอร์เทนเม้นท์ที่มีประโยชน์ต่อตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งจะกลายเป็นว่า .wma, .wmw จะกลายเป็นมาตรฐานโลก โดยมีนักพัฒนาทั่วโลกช่วยขยายความสามารถให้เพิ่มมากขึ้นแก่ m$ ฟรีๆ แถม m$ เองสามารถก็ผลักดันเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเองให้ข้ามมาอยู่ฝั่ง opensource มากขึ้น ในส่วนของโอเอสก็เหมือนกับว่า m$ ขอยืมมือนักพัฒนาเหล่านั้นในการพัฒนาโอเอสลีนุกซ์ซึ่งก็หมายความว่าความสามารถนั้นถูกถ่ายโอนมายังวินโดว์โอเอส ทำให้ m$ ไม่ต้องลงทุนลงแรงเหมือนที่ผ่านมา ไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์เป็นจำนวนมาก ไม่แน่ m$ อาจเปลี่ยนมาใช้ core เช่นเดียวกับ mac ก็ได้ อย่าลืมอีกอย่างว่าเมื่อนักพัฒนาทั่วโลกสร้างความแข็งแกร่งให้กับลีนุกซ์ แล้วส่งผลงานคืนสู่ต้นน้ำ (ผู้พัฒนาจะได้รับสิทธิบัตรของตัวเองในส่วนที่แก้ไขนั้น) แต่ว่า m$ คือต้นน้ำ ไม่ได้มอบ source code ให้กับใคร ความสามารถนั้นจะถูกดองไม่เผยแพร่ให้กับใคร ถึงแม้เจ้าของลีนุกซ์เดิมจะยังถือสิทธิบัตรร่วมก็ตาม ก็เหมือนกับว่าการพัฒนาไม่ได้รับการต่อยอด อาจจะมองไม่เห็นภาพ ลองนึกถึงสายน้ำที่แตกแยกเป็นหลายสาย แต่ละสายมีการพัฒนาแตกต่างกันออกไป สิ่งที่รู้ว่ามีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้างก็จะรู้ในสายนั้น ไม่ใช่ว่าสามารถรู้ข้ามสายได้(จนกว่าจะเอาซอร์สโค้ดมาดูซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่ถ้าซอร์สโค้ดอยู่ในสายเดียวกันมันจะง่ายกว่า) คนที่อยู่ในเส้นทางแม่น้ำปิงไม่ได้รับรู้เรื่องราวของแม่น้ำวัง ไม่ได้รู้แม่น้ำยม ไม่ได้รู้แม่น้ำน่าน เมื่อต้นน้ำปิดการรับรู้จากภายนอกว่าแต่ละสายส่งอะไรเข้ามาก็จะทำให้แต่ละสายพัฒนากันเองเหนื่อยแรงมากขึ้น ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่ทำอาจทำจากสายอื่น

สิทธิบัตรต่อไปอาจถึงคิวของ FreeBSD กับ Debian แต่...สิทธิบัตรกับการได้รับซอร์สโค้ดที่มีการพัฒนาแล้วส่งคืนต้นน้ำอันเดียวกันหรือเปล่าหว่า เริ่มงง

ไม่รู้ผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000069142

By: chaow
Android
on 15 June 2007 - 15:43 #24796
chaow's picture

แต่งานนี้ผมอาจจะมองว่า ถ้าเราใช้ linux ก็จะทำให้สามารถใช้งาน ด้านต่างๆได้เทียบเคียงวินโดวส์ ดียิ่งขึ้นไปอีก และส่งเสริมมาตรฐานต่างๆระหว่างกันให้ดียิ่งขึ้นนะครับ มองแง่ดีไปหรือเปล่า เนี่ย Chaow

By: bossalove
iPhone
on 16 June 2007 - 14:56 #24861

ถ้าว่าทางยุทธศาสตร์ ผมว่า microsoft เดินเกมได้ฉลาดมากนะ ผมมองในฐานะที่ไม่ได้อยู่ข้างใดข้างหนึ่งนะ

By: thep
Writer
on 16 June 2007 - 20:25 #24873

นี่คือกลยุทธ์ "แยกเขมือบ" (divide-and-conquer) ครับ

เริ่มจากแยกโอเพนซอร์สส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์กับส่วนนักพัฒนาอิสระออกจากกัน โดยใช้ข้อตกลงทางธุรกิจเป็นเหยื่อล่อ MS ไม่ฟ้องบริษัทเหล่านี้ แต่เมื่อใดที่ต้องการเล่นงานลินุกซ์ขึ้นมา ผู้ใช้และนักพัฒนา distro เสรีทั้งหลายนั่นแหละ ที่จะตกเป็นเป้าหมาย รวมถึงโครงการต้นน้ำด้วย

ลินุกซ์ละเมิด IP ของ MS หรือไม่เพียงใด ยังน่าสงสัยอยู่ แต่เพียงเท่านั้น ก็ทำให้เกิด FUD บีบให้ผู้ใช้ลินุกซ์ภาคธุรกิจบางส่วนย้ายฐานมาเป็นลูกค้าของ distro พันธมิตร MS เพื่อลดความเสี่ยงได้แล้ว

หลังจากแบ่งแยกแล้ว การดำเนินการฟ้องร้องของ MS (ถ้าทำ) จะมีเป้าหมายที่มีนัยสำคัญกับโอเพนซอร์ส

เริ่มจาก ผู้ใช้ลินุกซ์ที่ไม่ได้ใช้ distro เชิงพาณิชย์ที่เซ็นสัญญากับ MS ทั้งหมด จะตกเป็นจำเลยของการฟ้องร้องนี้ ไม่ต่างกับการตรวจจับซอฟต์แวร์เถื่อนที่ทำอยู่ ผู้ใช้ลินุกซ์ทั้งหลาย จะไม่ได้รับสิทธิ์โดยเท่าเทียมกันอีกต่อไป จะมีลินุกซ์ที่ถูกกฎหมายและลินุกซ์เถื่อนแยกกัน

นอกจากนี้ อย่าลืมว่า distro ทั้งหลายที่เซ็นสัญญาไปนั้น ยังไม่ใช่โครงการต้นน้ำ เท่ากับว่า นักพัฒนาที่เข้าร่วมในโครงการต้นน้ำ ก็จะถูกแบ่งแยกไปด้วย โครงการส่วนกลางที่เป็นต้นน้ำ (เช่น GNOME, KDE, Xorg, Freedesktop.org และโครงการ FOSS อิสระทั้งหลาย) ที่ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญากับ MS ก็จะถูกคุกคามด้วยข้อกฎหมาย ถึงตอนนั้น MS ก็สามารถเลือกเอาสิทธิบัตรทั้งหลายในคลังแสง ออกมาเล่นงานโครงการเหล่านี้ ให้หมดสิทธิ์แจกจ่ายไปด้วย (ถ้ามีการละเมิดจริง) หรืออย่างน้อย ก็ตอกลิ่มให้เกิดความแตกต่างมากขึ้น ระหว่าง upstream version กับ distro version

ถ้าบางโครงการโดนล้มไปจริง ๆ (ดูเหมือน samba น่าเป็นห่วงที่สุดสำหรับเรื่องนี้) จะคงเหลือก็เพียง distro เชิงพาณิชย์พันธมิตร MS เท่านั้นที่ยังแจกจ่ายได้อยู่ ซึ่ง distro กลุ่มนี้ ไม่ว่าจะแตกสายพัฒนาของตัวเอง หรือจับมือกับ distro พันธมิตรด้วยกันทำงาน แต่ทั้งหมดจะถูกกำหนดด้วยเหตุผลทางธุรกิจ ไม่ได้เสรีเปิดกว้างอย่างเท่าเทียมเหมือนในปัจจุบัน

กล่าวคือ เป็นความพยายามเปลี่ยนโอเพนซอร์สให้เป็นเหมือนยูนิกซ์ในสมัยก่อน ที่มีการแตกเป็นหลายค่ายแข่งกันทางธุรกิจ (แทนที่จะร่วมมือกัน) จนในที่สุดก็ค่อย ๆ ซึมบ่อทรายหายไปนั่นเอง

นั่นคือผลแบบ extreme case ที่ไม่รู้จะเกิดถึงขั้นนั้นหรือเปล่า แต่คงจะบอกได้เลา ๆ ว่า MS คิดยังไงกับเกมนี้ และทำไม นักพัฒนาโอเพนซอร์สทั้งหลายถึงประณาม Novell ที่เริ่มยอมเซ็นสัญญากับ MS และทำไม GPLv3 ถึงพยายามป้องกันไม่ให้เกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นอีก

By: anonymous2@temp... on 25 June 2007 - 21:23 #25575 Reply to:24873

GPLv2 ก็ ห้ามมีการติด patent fee นิ.

หยั่งงี้ upstream ก็ ไปไล่ฟ้องพวก distro ที่เผยแพร่ software gpl ที่ติดสิทธิบัตรดิ. (แต่เลือกปฏิบัติด้วยการฟ้องเฉพาะ distro พันธมิตรของ ms อิอิ) ทั้งนี้ คงจะไม่ใช่สิทธิบัตร ตัวที่ upstream เป็นคนละเมิดเองอะนะ.

-- อานนท์