เปิดเส้นทาง 30 ปี โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จากคูหา 3 ห้อง สู่ผู้นำตลาดด้วยรายได้หลักพันล้านบาท

Brand Inside - 18 August 2023 - 11:06

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ คือโรงพยาบาลสัตว์อันดับ 1 ในประเทศไทยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหากวัดในแง่รายได้ที่ปี 2022 ปิดไปกว่า 1,100 ล้านบาท และเครือข่ายสาขาอีก 20 แห่ง คงไม่มีกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์รายไหนในประเทศไทยเทียบเท่า

ถึงตอนนี้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 แล้ว และปีที่ 30 นี้เองทางโรงพยาบาลได้วางแผนเดินหน้าสร้างการเติบโตอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นการทยอยเปิดสาขาเพิ่ม, การรุกตลาดสินค้า และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และที่สำคัญคือการขยายตลาดออกไปต่างประเทศ

รายละเอียดของกลยุทธ์ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร และโอกาสในธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ในยุคที่มนุษย์ดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก หรือ Pet Humanization จะมีมากขนาดไหน กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ อธิบายไว้ดังนี้

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อกฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จากห้องแถว 3 ห้อง และความต้องการรักษาสัตว์

กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อเกิดขึ้นในวันที่ 21 ส.ค. 1994 เป็นการต่อยอดจากคลินิกขนาดเล็กสู่โรงพยาบาลสัตว์ที่เปิด 24 ขม. แห่งแรกของประเทศไทย

“ที่บอกว่าเป็นการต่อยอดเพราะก่อนหน้านี้ทำคลินิกรักษาสัตว์เล็ก ๆ ย่านสุขุมวิทมาก่อน และเวลานั้นถึงจะบอกว่าปิด 20.00 น. แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ผ่านการที่มีลูกค้าพาเคสด่วนมาหาตลอด พอทำอย่างนั้นมา 10 ปี จึงตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลสัตว์ 24 ชม. แห่งแรกของไทย”

สำหรับ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ สาขาแรกมีลักษณะเป็นห้องแถว 3 ห้อง ตอบโจทย์เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องกังวลว่าสัตว์เลี้ยงจะไม่สบายเวลากลางคืนหรือไม่ จุดนี้เองทำให้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ถูกพูดถึง และเป็นชื่อแรก ๆ เมื่อต้องการพาสัตว์เลี้ยงมาหาสัตวแพทย์เวลากลางคืน

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

พัฒนาสินค้า และขยายสาขาสร้างการเติบโต

หลังจากนั้นในปี 1999 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ได้เปิดตัว Thonglor Petcare หรือสินค้า และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น บริการอาบน้ำตัดขน เพื่อต่อยอดรายได้ของธุรกิจหลัก ซึ่งการทำแบบนี้ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตจนปี 2004 ได้ขยายสาขาเพิ่มเป็นครั้งแรก

“ปี 2004 เราเปิดที่ลาดพร้าว และขยายไปที่ปิ่นเกล้า, ศรีนครินทร์ และรังสิต ซึ่งเป็นการขยายทุก 2-3 ปี แต่การขยายนั้นมาพร้อมกับการลงทุนระบบเทคโนโลยี และบริหารจัดการ เช่น การประยุกต์ระบบบริการโรงพยาบาลสำหรับคนมาใช้กับสัตว์เลี้ยง”

นอกจากนี้ปี 2012 ยังขยายสาขาออกไปต่างจังหวัดประกอบด้วย พัทยา และเชียงใหม่ รวมถึงเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ดีขึ้นจึงเริ่มควบรวมกิจการ เช่น การร่วมมือกับคลินิกที่ภูเก็ต ผ่านการเข้าไปร่วมถือหุ้น และนำระบบบริหารจัดการโรงพยาบาลสัตว์ รวมถึงความรู้ในการรักษาไปช่วยยกระดับให้ธุรกิจที่นั่น

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

เริ่มไปต่างประเทศครั้งแรกที่เวียดนาม

ในปี 2020 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ มีการเปิดตัว Dr. Choice แบรนด์สินค้าสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม และในปี 2022 ได้ไปเปิดสาขาต่างประเทศครั้งแรกที่เวียดนามผ่านการร่วมทุนกับกลุ่มทุนใหญ่ที่นั่น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมีแนวโน้มเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่มหลังจากนี้

“จากที่เราเข้าไปที่เวียดนามทำให้รู้ว่า โรงพยาบาลสัตว์ที่นั่นยังห่างจากประเทศไทย 15 ปี จึงมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก แต่เราก็ไม่รีบไป จะทยอยศึกษาพื้นที่ และเวลาที่เหมาะสม เราจึงเน้นการขยายสาขาในประเทศไทยปีละ 2-3 แห่ง หลังจากนี้มากกว่า”

ล่าสุดในปี 2023 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ได้เปิดสาขาใหม่ที่พระราม 6 ในช่วงต้นปี และครึ่งปีหลังจะเปิดที่ประชาชื่น และเชียงใหม่แห่งที่ 2 รวมถึงมีแผนปรับปรุง หรือย้ายพื้นที่สาขาเดิมเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณรวมราว 200-300 ล้านบาท

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

เข้าสู่ปีที่ 30 พร้อมรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท

อ้างอิงข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ปี 2022 โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ทำรายได้รวม 1,142 ล้านบาท เติบโต 18% จากปี 2021 กำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เติบโต 32% จากปีก่อน ซึ่งหลังจากนี้ทางโรงพยาบาลตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ทุกปีหลังจากนี้

“การเติบโตของเราจะมาจากการลงทุนขยายสาขา, การเปิดกิจการร่วมค้า (JV) เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์ และการเข้าไปลงทุนในกิจการที่น่าสนใจ เช่น ประชาชื่น MRI เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษา ส่วนเรื่องบุคลากรเราไม่ค่อยห่วง เพราะ เรามีการร่วมกับสถาบันการศึกษาพัฒนาสัตวแพทย์ และพยาบาลสัตว์ อย่างต่อเนื่อง”

สำหรับรายได้ของ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จะแบ่งเป็นรายได้จากการรักษาสัตว์ 80% และที่เหลือเป็นรายได้จากสินค้า และบริการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง โดยสัดส่วนสัตว์ที่มารักษาในอดีตแบ่งเป็นสุนัข 80% แมว 15% และสัตว์แปลก สัตว์หายาก 5% แต่ปัจจุบันแมวก้าวขึ้นมามีสัดส่วน 40% และเป็นการกินส่วนแบ่งจากสุนัข

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

เจาะเทรนด์สัตว์เลี้ยงในประเทศไทย 55,000 ล้านบาท

บริษัทวิจัยยูโรมอนิเตอร์ คาดการณ์ว่าปี 2023 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย ประกอบด้วยมูลค่าสัตว์เลี้ยง, อาหารสัตว์เลี้ยง, ของเล่นสัตว์เลี้ยง และอื่น ๆ มีมูลค่าราว 55,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 10% จากปีก่อน และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่องในช่วงโรคโควิด-19 ระบาด

เหตุผลหลักในการเติบโตมากจากมนุษย์เริ่มเลี้ยงสัตว์เป็นลูก หรือ Pet Humanization มากขึ้น ทำให้ทุกอย่างต้องพิเศษเหมือนการเลี้ยงลูกจริง ๆ เพื่อให้พวกเขาอยู่กับมนุษย์ได้นานขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นกัน โดยในประเทศไทยตลาดแมวจะเติบโตเร็วกว่าสุนัข

หากอ้างอิงจากข้อมูลของ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จะพบว่า แมวพันธุ์ Scottsh Fold จะมีสัดส่วนที่มาใช้บริการถึง 20% ของจำนวนแมวทั้งหมด และเพิ่มขึ้น 50% จากปี 2022 ส่วนสุนัขจะเป็นพันธุ์ Welsh Corgi ที่เติบโตถึง 50% แสดงให้เห็นถึงความนิยมในสุนัขพันธุ์ดังกล่าวที่มีมากขึ้น

โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

ปัจจุบัน โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อมีบุคลากรทั้งหมด 1,000 คน เป็นสัตวแพทย์กว่า 200 คน และมีสถาบันฝึกพยาบาลสัตว์เป็นของตัวเอง และเมื่อ 10 ปีก่อน เคยไปขยายสาขาที่จังหวัดขอนแก่น แต่สุดท้ายต้องปิดกิจการหลังจากเปิดมา 2 ปี เพราะตลาดยังไม่พร้อม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดเส้นทาง 30 ปี โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จากคูหา 3 ห้อง สู่ผู้นำตลาดด้วยรายได้หลักพันล้านบาท first appeared on Brand Inside.

Krungthai Compass ชี้กลุ่มคนรวยสุดมีส่วนแบ่งรายได้ฯ สูงกว่ากลุ่มคนจนสุด 16.4 เท่า พร้อมย้ำ 4 ข้อซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำไทย

Brand Inside - 18 August 2023 - 10:23

Krungthai Compass ภายใต้ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ความเหลื่อมล้ำของไทย แม้จะตัวเลขสัดส่วนคนจนหลากมิติ (MPI) อยู่ที่ 0.6% ของจำนวนประชากร และสัดส่วนคนจนจะลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2564 อยู่ที่ 6.3% จากปี 2531 อยู่ที่ 65.2% (ตัวเลขสัดส่วนคนจนนี้สะท้อนสัดส่วนประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน)

แต่กลับพบว่า ในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ด้านรายได้ยังคงมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก โดยพบว่า ในปี 2564 ประชากรกลุ่มคนจนที่สุด 10% แรกมีส่วนแบ่งรายได้ของทั้งประเทศเพียง 2.0% ซึ่งแทบจะไม่แตกต่างจากในปี 2531 ที่อยู่ระดับ 1.8% ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ของประชากรกลุ่มคนรวยสุด 10% ท้ายในปี 2564 อยู่ที่ 33.4% (จากปี 2531 อยู่ที่ 37.2%) ซึ่งสะท้อนว่าการปัญหาการกระจายรายได้ของประเทศ

โดยกลุ่มคนรวยที่สุดมีส่วนแบ่งรายได้สูงกว่ากลุ่มคนจนที่สุดมากถึง 16.4 เท่า นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำออกในด้านต่างๆ เช่น ความสามารถในการจับจ่าย การครอบครองทรัพย์สิน โอกาสทางการศึกษา การใช้บริการสาธารณูโภค และการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยเทียบสัดส่วนระหว่างกลุ่มคนรวยที่สุดกับกลุ่มคนจนที่สุดนั้นจะเห็นว่า กลุ่มคนรวยที่สุดมีความได้เปรียบกลุ่มคนจนที่สุดในด้านการสะสมความมั่งคั่ง และการใช้จ่ายบริโภคทรัพยากรเป็นอย่างมาก ตามข้อมูลล่าสุดในปี 2564 กลุ่มร่ำรวยที่สุดถือครองทรัพย์สินสูงกว่ากลุ่มยากจนคิดเป็น 48.9 เท่า และตัวเลขการใช้จ่ายยังสูงกว่าถึง 8.6 เท่า

ทั้งนี้ ด้วยฐานะด้านทรัพย์สินของผู้มีรายได้สูง เป็นทั้งเครื่องมือที่สร้างรายได้ซึ่งช่วยเพิ่มอำนาจซื้อและใช้แสวงหาความมั่งคั่งเพิ่มเติม อีกทั้งยังเป็นสินทรัพย์ส่วนที่ออมไว้เพื่อบรรเทาความผันผวนจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน กลุ่มคนยากจนมีโอกาสเจอความขัดสนรุนแรงขึ้นจากสิ่งไม่คาดคิด และจำเป็นต้องก่อหนี้ (เช่น กู้หนี้นอกระบบเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป) 

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย อาจส่งผลให้ภาวะความขัดสนดังกล่าวกลายเป็นกับดักที่ถูกถ่ายทอดกันต่อไประหว่างรุ่นสู่รุ่น เช่น โอกาสการเข้าถึงด้านการศึกษา ด้านการสาธารณูปโภค ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ 

ทั้งนี้ ในระยะถัดไปยังมี 4 ประเด็นที่อาจส่งผลต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ได้แก่ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในระดับสูง สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ข้อจำกัดในการเข้าถึงและการปรับตัวให้เท่าทันพัฒนาการของเทคโนโลยี

สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ในระดับสูง

ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่เติบโตช้า โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

  • ปี 2553-2557 ที่สินเชื่อเติบโตสูงกว่าปกติเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเผชิญสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่และนโยบายรถยนต์คันแรก 
  • ปี 2558-2562 สินเชื่อเติบโตชะลอลง แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังสูงจาก GDP ที่โตช้า ()
  • ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา หนี้ครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 90% ต่อ GDP ทั้งจาก GDP ที่ลดลงในช่วง COVID-19 และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่ำกว่าระดับศักยภาพ

นอกจากยังเป็นปัญหาจากฝั่งรายได้หรือ GDP ที่เติบโตต่ำอีกด้วย ซึ่งถ้าไม่แก้ปัญหา GDP เช่น การเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน แต่เน้นแก้ปัญหาที่ยอดสินเชื่ออย่างเดียวอาจเป็นการคุมสินเชื่อให้โตต่ำกว่าศักยภาพซึ่งจะสร้างผลเสียข้างเคียงต่อเศรษฐกิจและกระทบความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเงินทุนได้

อย่างไรก็ตาม ผู้มีรายได้น้อยกำลังเผชิญความเปราะบางในการชำระคืนหนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนจากข้อมูลหนี้เสีย (NPLs) ในจังหวัดที่ครัวเรือนมีรายได้ต่ำซึ่งพบว่าอยู่ในระดับสูงและมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สังคมสูงวัย (Aging society)

จากการประเมินของ UN พบว่า ในปี 2573 ไทยจะมีผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 15.3 ล้านคน คิดเป็น 21% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ในปี 2573 จากปี 2565 ที่มีอยู่ 10.9 ล้านคน (คิดเป็น 15% ของประชากรทั้งหมด)

ทั้งนี้ สังคมสูงวัยกระทบต่อความเหลื่อมล้ำใน 3 ด้านหลัก

  • จำนวนกลุ่มเปราะบางสูงวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ “แก่ก่อนรวย” หรือผู้ที่มีรายได้เงินออมและสินทรัพย์ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายหลังเกษียณ  ล่าสุด ผลสำรวจผู้สูงอายุโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบว่า กว่า  26% ระบุว่า มีรายได้พอใช้จ่ายบางครั้ง และอีก 16% ระบุว่าไม่เพียงพอ
  • สัดส่วนกำลังแรงงานลดลง ทำให้การพึ่งพิงประชากรวัยแรงงานเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติชี้ว่าแหล่งรายได้หลักของผู้สูงวัยกว่า 32% มาจากบุตรหลาน
  • ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเพื่อดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นแต่มีความท้าทายด้านการจัดเก็บรายได้ภาษี

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change)

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างความเสี่ยงต่อส่งผลต่อผลผลิตภาคการเกษตร  ปัจจุบันไทยมีแรงงานในภาคเกษตร 11.59 ล้านคน หรือเกือบ 30% ของแรงงานทั้งหมดในไทย ที่สำคัญครัวเรือนในภาคเกษตรยังมีสัดส่วนคนจนสูงถึง 12% ของแรงงานในภาคเกษตรทั้งหมด (ซึ่งสูงกว่าภาคส่วนอื่นๆ) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถปรับตัวรับความเสียหายได้น้อยกว่าอีกด้วย

ดังนั้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจเป็นปัจจัยที่จะเข้ามาเพิ่มความเปราะบางให้กับเกษตรกรและซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทยได้

ข้อจำกัดในการเข้าถึงและการปรับตัวให้เท่าทันพัฒนาการของเทคโนโลยี

การปรับตัวให้เท่าทันพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มประชากร ก่อให้เกิดช่องว่างทางดิจิทัล (Digital gap) ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ อาทิ

  • ปัญหาด้านความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล (Availability) เช่น สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ครอบคลุม
  • ปัญหาด้านความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล (Affordability) เช่น บางกลุ่มอาจไม่เข้าถึง Smartphone
  • ปัญหาด้านทักษะและการปรับตัวในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล (Adoption and Adaptation) เช่น ผู้สูงอายุ

ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ การเข้าถึงโอกาสหลายด้าน เช่น การสร้างรายได้ช่องทางออนไลน์ บริการการแพทย์ทางไกลและการเรียนออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ในตลาดแรงงานยังมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัล ซึ่งผูกโยงกับโอกาสในการได้รับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น (Skill premium) 

อย่างไรก็ตามจากปัญหาทั้งหมดนี้ ทาง Krungthai Compass มองว่า ประเทศไทยควรดึงจุดเด่นด้านพัฒนาการ Digital economy มาผสานกับอานุภาพของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อก้าวข้ามความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสในการสร้างงาน กระจายรายได้ การเข้าถึงเงินทุน การออมและการลงทุน อาทิ การต่อยอดจากฐานระบบ NDID ระบบ PromtPay และ PromptBiz

ที่มา – ธนาคารกรุงไทย

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Krungthai Compass ชี้กลุ่มคนรวยสุดมีส่วนแบ่งรายได้ฯ สูงกว่ากลุ่มคนจนสุด 16.4 เท่า พร้อมย้ำ 4 ข้อซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำไทย first appeared on Brand Inside.

Apple จะย้ายปุ่มวางสายมาไว้ตรงกลางอีกครั้งบน iOS 17

MacThai - 18 August 2023 - 10:00

ใน iOS 16 ปุ่มกดวางสายจะอยู่ตรงกลางด้านล่าง แทนที่จะอยู่ด้านล่างมุมขวากับไอคอน แต่กลับอยู่แยกกับไอคอนการโทรทั้งหมด แต่บน iOS 17 และ iPadOS 17 เวอร์ชัน Public Beta ที่จะปล่อยให้นักพัฒนาได้ทดสอบ ปุ่มกดวางสายจะย้ายตำแหน่งอีก!

ซึ่งแอปเปิลตั้งใจทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยเท่านั้น โดยการให้ปุ่มวางสายอยู่ตรงกลางเหมือนเดิม แต่มีไอคอนการโทรอื่น ๆ ล้อมรอบด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ต่างไปจากเดิมมาก

แต่ก็มีผู้ใช้บางคนที่ไม่ชอบตำแหน่งใหม่ของปุ่มนี้ และปฏิกิริยาในเชิงลบของผู้ใช้ก็อาจทำให้มีแนวโน้มว่า แอปเปิลจะเปลี่ยนปุ่มวางสายกลับมาที่เดิม

แต่ก็มีแนวโน้มในการดีไซน์ส่วนการควบคุมการโทรใหม่เช่นกัน เพราะแอปเปิลอาจทำให้ไอคอนการโทรอยู่ต่ำลงไปอีก เพื่อที่จะได้มีพื้นที่สำหรับฟีเจอร์ Contact Poster แบบใหม่ ที่แสดงรูปใบหน้าของคนที่เรากำลังคุยด้วยเพิ่มเติม

และทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นสำหรับจอไอโฟนที่ใหญ่ขึ้นด้วย แต่จะปรับ หรือดีไซน์ให้ปุ่มการวางสาย และการควบคุมการโทรเป็นอย่างไร คงได้รู้กันเดือนกันยายนนี้

ที่มา – The Verge

The post Apple จะย้ายปุ่มวางสายมาไว้ตรงกลางอีกครั้งบน iOS 17 appeared first on Macthai.com.

ทรู เผยโฉม True I dtac SECURITY ปกป้องความปลอดภัยออนไลน์ครบวงจร ทั้งโครงข่าย และทุกบริการดิจิทัล

Brand Inside - 17 August 2023 - 20:12

ทรู เผยโฉม True I dtac SECURITY ทรู-ดีแทค ซีเคียวริตี้ ชู 3 จุดเด่น

  • End-to-end Protection ปกป้องภัยคุกคามทางโลกออนไลน์ครบวงจรทั้งบนเครือข่าย และแอปพลิเคชันตามมาตรฐานโลก
  • 24/7 Smart Monitoring ระบบป้องกันทันท่วงที ตรวจติดตามเฝ้าระวังการทำงานของระบบต่างๆ แบบอัจฉริยะเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมง
  • Best-in-class Partnership พร้อมผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับเวิลด์คลาสทั้งด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้

พร้อมดูแลเพิ่มความมั่นใจสูงสุดทุกการใช้บริการดิจิทัลกลุ่มทรู ทั้งดิจิทัลมีเดีย- ทรูไอดี ,ดิจิทัลโฮม -TrueX และ ดิจิทัลเฮลท์ -หมอดีด้วยระบบ e-KYC พิสูจน์ตัวตนลูกค้าและการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุดระบบตรวจจับการบุกรุกโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์  24 ชั่วโมง ตลอดจนจัดเต็มแพ็กเกจปกป้องคุ้มครอง ดูแลลูกค้ามอบประกันภัย ประกันชีวิตและอุบัติเหตุสุดคุ้ม รวมถึง ความคุ้มครองดูแลมือถือและแท็บเล็ตสุดพิเศษให้ลูกค้า ทรู-ดีแทค ใช้ชีวิตยุคดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย

true

ฐานพล มานะวุฒิเวช หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า True I dtac SECURITY ปกป้องและดูแลความปลอดภัยทุกระบบแบบครบวงจรบนสินค้าและบริการจากทรู การันตีด้วยคะแนน NIST Score ที่ประเมินความมั่นคงปลอดภัยทางโลกออนไลน์ที่สูงกว่าค่ามาตรฐานโลก ชู 3 จุดเด่นคือ 1.End-to-end Protection ป้องกันการโจมตีทางโลกไซเบอร์ครอบคลุม ครบครันทุกการใช้งานทั้งเน็ตเวิร์ค คลาวด์ และสมาร์ทดีไวซ์ รวมถึงบริการดิจิทัล  2.24/7 Smart Monitoring ระบบป้องกันการโจมตีแบบทันท่วงที ดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงแบบเรียลไทม์ การันตีคุณภาพด้วยใบรับรองมาตรฐานสากล ISO/IEC 3.Best-in-class Partnership ผสานความแข็งแกร่งกับพันธมิตรชั้นนำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก อาทิ บริษัท คลาวด์ สไตร์ท อินคอร์พอเรชั่น จำกัด บริษัท พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ และบริษัท เวคตร้า เอไอ  รวมถึงบริษัทประกันชั้นนำอย่าง FWD และ ทิพยประกันภัย

ประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนา True I dtac SECURITY เป็นความตั้งใจของทีมงานทุกคนที่จะเพิ่มการป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน เครือข่าย คลาวด์ ทุกระบบแบบครบวงจร ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามในปัจจุบันแบบสูงสุด  ผ่านระบบป้องกันภัยไซเบอร์อัจฉริยะ ครอบคลุม 5 ด้านทั้ง   

  1. Infrastructure Security การป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์การใช้งานให้ปลอดภัยจากภัยคุกคาม อาทิ ตรวจจับความผิดปกติหากมีการทำงานที่เข้าข่ายความเสี่ยงจะถูกห้ามใช้งานทันที การตรวจสอบช่องโหว่ของระบบ และแก้ไขก่อนถูกโจมตี การยืนยันเข้าใช้งานระบบปฏิบัติการด้วยผู้ดูแลระบบ เป็นต้น 
  2. Network Security การป้องกันภัยคุกคาม และการโจมตีบนเครือข่ายที่ช่วยจำกัดสิทธิการเข้าถึงระบบ โดยกำหนดให้เฉพาะผู้ใช้งาน หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ป้องกันภัยคุกคามที่เข้ามาทาง เว็บ หรือแอปพลิเคชัน พร้อม Zero trust network ที่บังคับให้ทุกระบบต้องมีการขออนุญาตก่อนการเชื่อมถึงกัน  
  3. Cloud Security การป้องกันระบบโครงสร้างบนคลาวด์ ให้ปลอดภัยด้วยระบบช่วยตรวจสอบการตั้งค่า และช่องโหว่ต่างๆ ให้ถูกต้องและปลอดภัยอยู่เสมอ 
  4. 24/7 Smart Security Management ระบบเฝ้าระวังภัยคุกคาม ตรวจสอบและรับมือตลอด 24 ชั่วโมงด้วย Security Center Operation จากเจ้าหน้าที่ควบคู่ไปกับระบบ AI  รวบรวมข้อมูลการใช้งานจากระบบต่างๆ ในมาวิเคราะห์และหาสาเหตุเมื่อเกิดเหตุขึ้น
  5. Best-in-Class Partnership ผสานความแข็งแกร่งกับพันธมิตรชั้นนำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก ยกระดับมาตรฐาน และเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการด้านบริหารจัดการระบบความปลอดภัยไซเบอร์ อาทิ  บริษัท คลาวด์ สไตร์ท อินคอร์พอเรชั่น จำกัด บริษัทซี-สเกเลอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท อิมเพอว่าร์ ประเทศไทย  บริษัท พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ และบริษัท เวคตร้า เอไอ  

true

เอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในการให้บริการดิจิทัล ได้ให้ความสำคัญสูงสุดในเรื่องการดูแลความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ โดยการปกป้องข้อมูลแบบรอบด้านมาตรฐานระดับเวิลด์คลาส โดดเด่นด้วยการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบบูรณาการ 

  1. มีระบบตรวจจับการบุกรุกโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งต่างจากพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าทั่วไป
  2. มีการใช้งานสถาปัตยกรรม Zero-trust
  3. ใช้งานระบบข่าวกรองไซเบอร์ (Threat Intelligence Platform)
  4. การพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าด้วยระบบ e-KYC ที่มีการตรวจสอบตัวตน 2 ชั้นในการ log in เข้าสู่ระบบในครั้งแรก 
  5. มีการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดในการปกป้องประวัติการรักษาพยาบาลของลูกค้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ทรู เผยโฉม True I dtac SECURITY ปกป้องความปลอดภัยออนไลน์ครบวงจร ทั้งโครงข่าย และทุกบริการดิจิทัล first appeared on Brand Inside.

แนะนำ 2 เว็บไซต์ช่วยฝึกพิมพ์ให้คล่องและไวขึ้น!

iPhonemod - 17 August 2023 - 17:06

ใครที่ชอบใช้แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ดในการพิมพ์งานต่าง ๆ ว […] More

The post แนะนำ 2 เว็บไซต์ช่วยฝึกพิมพ์ให้คล่องและไวขึ้น! appeared first on iMoD.

10 ข้อคิดจากหนังเรื่อง Call Me Chihiro หนังญี่ปุ่นของอดีตหญิงสาวที่เคยทำงานเป็น Sex Worker

Brand Inside - 17 August 2023 - 16:55

Call Me Chihiro หนังญี่ปุ่นของอดีตหญิงสาวที่เคยทำงานเป็น Sex Worker 

รีไทร์ตัวเองจากงานเดิมและหันมาทำงานเป็นพนักงานในร้านอาหารเบนโตะ หนังที่เปิดเรื่องมาก็ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นหนัง Feel Good แต่จริงๆ แล้วหนังหม่นเศร้าเคล้าแสงแห่งความหวังนิดๆ หนังที่ช่วยสะท้อนให้สังคมเข้าใจผู้คนที่มีหัวใจแตกสลายจากหน้าที่การงาน จากเพื่อน จากครอบครัว จากสังคม สารพัดความเจ็บปวดที่จะสรรหาได้ และนี่คือ 10 ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ 

Call me Chihiro

1) ในโลกที่ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง ลองเปิดใจหรือเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รู้จักผู้คนที่ใช้ชีวิตแตกต่างจากเราบ้าง บางครั้งมันช่วยให้คนที่ถูกทอดทิ้งอยู่ลำพังรู้สึกดีกับการใช้ชีวิตขึ้นมาบ้าง

2) ลองทำดี หรือปรารถนาดีกับคนอื่น โดยไม่หวังผลตอบแทนหรือคิดว่าเป็นเรื่องที่ติดค้างกันดูบ้าง หาทางทำดีกับผู้คนโดยเฉพาะคนที่เขาไม่มีทางตอบแทนเราได้ จะได้มุมมองในการใช้ชีวิตอีกแบบ

3) เวลาทำความรู้จักกับคนอื่น ลองห้ามใจตัวเองที่จะไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของเขาดู เบรคตัวเองให้ได้ว่าจะไม่ถามเขา ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การศึกษา สถานะต่างๆ เรื่องเหล่านี้ ยิ่งรู้ช้าเท่าไร ยิ่งยืดเวลาที่จะตัดสินกันและกันออกไปได้นานขึ้น 

ลองยอมรับคนอื่นแบบที่ไม่รู้จักภูมิหลังกันและกัน ลองคุยกันเฉพาะสถานการณ์เบื้องหน้า มากกว่าจะทำตามวิถีเดิมคือพยายามเล่าเรื่องราวของตัวเองมากมายเพื่อยืนยันตัวตนให้อีกฝ่ายยอมรับ สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสนุกในการใช้ชีวิตอีกแบบ มันคือชีวิตที่ไม่ตัดสินกัน ไม่คาดหวังกันและกัน

4) คนที่ดูมีน้ำใจมากๆ บางทีอาจเคยเป็นคนที่แตกสลายมาก่อน จนทำให้เข้าใจความเจ็บปวดของผู้คนได้ดีกว่าใครๆ แน่นอน คนที่นึกถึงแต่ตัวเองมากๆ ก็อาจแตกสลายเช่นกันแต่เลือกที่จะปกป้องตัวเองมากกว่าจะนึกถึงคนอื่น

5) ลองให้โอกาส หรือช่วยเหลือคนอื่น แบบที่ต้องไม่ต้องซักถามรายละเอียดชีวิตเพื่อเช็คประวัติและที่มา แต่ให้ดูด้วยตาว่าสภาพของเขาผู้นั้นที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเป็นอย่างไร เรียนรู้เขา แม้ไม่ได้ยินคำพูดจากเขาสักคำ

6) คนที่แข็งกร้าว อารมณ์รุนแรง จริงๆ แล้วอาจมีความรู้สึกไม่พอใจในชีวิตตัวเองอยู่ รู้สึกมีความกดดันภายในจิตใจ จนสะท้อนออกมาผ่านบุคลิกเช่นนั้น ถ้าไม่ให้เวลาทำความเข้าใจ จะทำให้เข้าใจผิดได้อย่างรวดเร็วมาก 

ขณะเดียวกัน คนที่เห็นด้วยและดูตอบรับคนไปทุกทางก็อาจมีความเจ็บปวดไม่ต่างกับคนที่ดูแข็งกร้าว แค่แสดงออกไม่เหมือนกัน

7) คนที่ขาดแคลนในสิ่งที่คล้ายกัน มักจะเข้าใจกันและกันได้โดยง่าย บรรยากาศขณะอยู่ด้วยกัน แม้เงียบสงัดแต่ก็รู้สึกสงบในจิตใจ แบบไม่ต้องพยายามส่งเสียงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีอยู่ของแต่ละฝ่าย

8) หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องสะท้อนให้เข้าใจมุมมองการไม่ตัดสินคนที่เปลือกนอก ทั้งเรื่อง แทบทุกตัวละคร

9) เพื่อนที่ดีไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องตรงกันทุกเรื่อง ไม่ต้องเข้าข้างกันตลอดเวลา และไม่จำเป็นต้องมีปริมาณเยอะจนนับไม่ไหว แค่มีไม่กี่คนในชีวิต ที่ทำให้คุณรู้สึกสงบสุขทางจิตใจก็พอแล้ว

10) แม้ภายในจะแตกสลาย แต่เราสามารถเปลี่ยนเรื่องเล่าของตัวเองได้ ผ่านการตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเองต่อไป

Netflix https://www.netflix.com/watch/81486812 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post 10 ข้อคิดจากหนังเรื่อง Call Me Chihiro หนังญี่ปุ่นของอดีตหญิงสาวที่เคยทำงานเป็น Sex Worker first appeared on Brand Inside.

การเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่: นอนเต็นท์เพื่อระดมทุน ช่วยเหลือคนไร้บ้านและคนป่วย

Brand Inside - 17 August 2023 - 16:33

BBC รายงานการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบใหม่ของเด็กชายวัย 13 ปีที่เลือกที่จะนอนเต็นท์เป็นเวลายาวนานนับปี ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อระดมทุนช่วยเหลือมูลนิธิที่ให้ความช่วยเหลือคนไร้บ้าน ซึ่งเขาไม่ได้ทำเรื่องนี้เป็นคนแรก มีคนเคยทำแบบเดียวกันก่อนหน้าแล้วนั้นก็คือ Woosey แถมเขายังอยู่เต็นท์ยาวนานทุบสถิติโลกจนได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุ๊กด้วย

Tent

คนรุ่นใหม่สองคนที่เลือกใช้ชีวิตให้ยากลำบากขึ้นเพื่อจะระดมทุน พวกเขาคือ Billy Thompson และ Max Woosey

Billy (บิลลี่) ผู้ต้องการทำลายสถิติของ Max Woosey

เริ่มเรื่องของ Billy ก่อนเลย บิลลี่ในวัย 13 ปี อาศัยอยู่ในย่าน Pudsey เมืองลีดส์ของอังกฤษ เขาเริ่มถูกบ่นจากพ่อแม่ที่ไม่ยอมเอาเต็นท์ที่ได้รับเป็นของขวัญวันเกิดมาใช้ประโยชน์เสียที จากนั้นเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่า การได้ใช้ชีวิตอยู่ในเต็นท์นั้นสงบดี จึงเริ่มคิดหาทางช่วยเหลือคนอื่นด้วย เขาเริ่มระดมทุนให้กับ Emmaus Community ที่เป็นมูลนิธิที่ก่อตั้งเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนไร้บ้าน

เขานอนอยู่ในเต็นท์ภายในสวนของบ้านเขาเองมายาวนาน 1 ปีกว่าแล้ว แถมระดมทุนได้เกือบ 1,500 ปอนด์หรือประมาณ 67,000 กว่าบาท เขายังวางแผนที่จะนอนในเต็นท์ต่อไปไม่ว่าจะต้องเผชิญอากาศเลวร้ายมากแค่ไหนก็ตาม บิลลี่บอกว่า ถ้ามันช่วยใครได้บ้าง ก็ควรจะช่วยให้สำเร็จ ซึ่งเต็นท์ที่เขาเอามาใช้เพื่อนอนในการระดมทุนนั้น แม่ซื้อให้เขาตั้งแต่อายุ 10 ขวบแล้ว เขาเอามาใช้นอน โดยเริ่มจาก 1 คืนก่อน และค่อยๆ เพิ่มจำนวนวันมากขึ้น จนกระทั่งตอนนี้นอนต่อเนื่องมาปีกว่าแล้ว

บิลลี่บอกว่า พ่อแม่แนะนำว่า เขาควรจะระดมทุนจากสิ่งที่ทำอยู่ เขาก็คิดว่ามันเป็นแนวคิดที่ดี จึงเลือกที่จะระดมทุนให้มูลนิธิคนไร้บ้าน Emmaus เพราะมันสามารถสนับสนุนได้อย่างต่อเนื่อง บิลลี่บอกว่าเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจมากที่มีคนมาระดมทุนให้ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พวกเขาก็ต้องการช่วยเหลือบิลลี่ โดยตัวเขาเองก็ต้องการทำลายสถิติคนที่นอนเต็นท์เพื่อระดมทุนก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ Max Woosey

บิลลี่ตั้งเป้าไว้ว่า จะนอนเต็นท์ให้ได้ 4 ปีเพื่อทำลายสถิติของ Woosey

บิลลี่บอกว่า การนอนเต็นท์ในสวนทำให้เขาคิดถึงความสงบจากห้องนอนของตัวเอง การนอนเต็นท์ทำให้เขาได้ยินเสียงกรอบแกรบจากคนเหยียบใบไม้ และเสียงนกร้องที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญมาก เขาบอกว่า การนอนนอกบ้านเป็นเวลานานๆ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเรียนหรือการทำงานของเขาได้ เขายังรู้สึกปกติเหมือนยังนอนเตียงอยู่ ขณะที่พ่อของบิลลี่ Simon Thompson ก็รู้สึกภูมิใจในตัวบิลลี่ กับภารกิจที่เขาทำอยู่ แม้เขาจะนอนในเต็นท์ แต่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตในนั้น ยังออกมาทานอาหารเช้าที่บ้านเหมือนเดิม

Max Woosey เด็กชายวัย 13 ปี นอนเต็นท์เพื่อระดมทุนช่วยเหลือคนเป็นมะเร็ง

แมกซ์ วูเซย์ มีฉายาว่า “เด็กในเต็นท์” (Boy in the Tent) เขาเริ่มหันมาระดมทุนจากการนอนเต็นท์ หลังได้รับแรงบันดาลใจจากการเสียชีวิตของเพื่อนบ้านเพราะโรคมะเร็ง เขาระดมทุนให้ North Devon Hospice ได้มากกว่า 750,000 ปอนด์หรือประมาณ 33.9 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นยอดระดาทุนที่มากทุบสถิติการระดมทุนเพื่อผลักดันแคมเปญต่างๆ ด้วย

แมกซ์นอนในเต็นท์ทุกๆ คืน ยาวนานกว่า 3 ปีที่บ้านของเขาเองในหมู่บ้าน Braunton ของอังกฤษ เขาเริ่มนอนในเต็นท์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากเพื่อนของเขา Rick Abbot เสียชีวิตราวเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 การนอนเต็นท์เพื่อระดมทุนของแมกซ์ยังทำให้เขาได้รับเหรียญ British Empire Medal จากราชวงศ์อังกฤษด้วย

การนอนเต็นท์เป็นเวลา 3 ปีของวูเซย์นั้น เขาเปลี่ยนเต็นท์ไปแล้วราว 15 หลัง เขาต้องเผชิญทั้งพายุ หิมะ ลูกเห็บ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วง ไปจนถึงแสงแดดที่ร้อนจนแผดเผา เขาบอกว่า เคยมีคืนที่เลวร้ายที่สุดจากฝนตกหนักจนทำให้เต็นท์พัง แต่ก็ยังอดทนอยู่อย่างนั้นเพราะไม่สามารถหาเต็นท์เปลี่ยนได้ทัน ซึ่งเขาก็บอกเลยว่าช่วงเวลาที่เขานอนเต็นท์ยาวนาน 3 ปีนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต หลังจากที่เริ่มต้นตั้งเป้าระดมทุนแค่ 100 ปอนด์หรือประมาณ 4,500 บาทเท่านั้น

ครอบครัวของวูเซย์พยายามให้ความช่วยเหลือ Rick Abbot ที่เป็นเพื่อนบ้านซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย Rick ยังให้เต็นท์วูเซย์ก่อนที่จะเสียชีวิตและยังบอกให้เขาสนุกกับการผจญภัยในการใช้ชีวิตในเต็นท์ด้วย

เอาจริงๆ เรื่องนี้จะมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ก็ได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นว่าการทำงานของภาครัฐมีปัญหาและไม่อาจทำหน้าที่รัฐได้โดยสมบูรณ์ จนทำให้ประชาชนต้องออกมาเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องเงินทุนจากประชาชนด้วยกันเองในการแก้ปัญหาสังคม

ที่มา – BBC (1), (2), Guinness World Records

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post การเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่: นอนเต็นท์เพื่อระดมทุน ช่วยเหลือคนไร้บ้านและคนป่วย first appeared on Brand Inside.

ตัน ภาสกรนที ขอโทษลูกค้าและคู่ค้า หลังผลิตสินค้าไม่ทัน แม้จะผลิตถึง 100 ล้านขวดต่อเดือน

Brand Inside - 17 August 2023 - 16:10

ตัน ภาสกรนที ขอโทษลูกค้าและลูกค้าหลังผลิตสินค้าไม่ทัน

ตัน ภาสกรนที โพสต์ Facebook ขอโทษลูกค้าและคู่ค้าทุกท่านที่อิชิตันผลิตสินค้าส่งไม่ทัน หมดสต็อกชั่วคราว แม้ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 100 ล้านขวดต่อเดือน แต่ของก็ยังไม่ทันส่ง และกำลังเร่งมือทั้งวันทั้งคืน เพื่อส่งมอบสินค้าให้เร็วที่สุด

ตัน ภาสกรนที

อย่างไรก็ดี บมจ. อิชิตัน หรือ ICHI ตั้งเป้าทำรายได้ปี 2566 ระดับ 7,300 ล้านบาท โต 15% ให้อัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% และเพิ่มอัตรากำลังการผลิตให้สูงขึ้นกว่า 70%

โดยหน้าร้อนที่ผ่านมาก็มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ พร้อมพรีเซ็นเตอร์ดังระดับโลก อย่างมาร์ค ต้วน GOT7 ที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ตันซันซู ขณะที่ชาพรีเมียม แบรนด์ชิซึโอกะ ก็ให้โคตะ มิอุระ นักสู้ MMA เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรก

ขณะที่แบรนด์พีเอชพลัส ก็มี “น้ำด่างอิชิตัน พลัส CBD” ที่มีน้ำด่างกับ CBD สารสกัดจากกัญชงไว้ในขวดเดียว ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ

ส่วนตลาดต่างประเทศก็ยังสานต่อความสำเร็จในอินโดนีเซียต่อไป และคาดว่าส่งออกจะเติบโตมากกว่า 5% จากการทำตลาดต่อเนื่องในกลุ่มประเทศ CLMV และขยายตลาดไปยังตะวันออกกลางต่อ

ด้านธุรกิจ ICHITAN OEM SERVICE ปิดดีลจากลูกค้าใหม่รายใหญ่ 2 รายคือ เครื่องดื่ม IF และ Coco Season เริ่มผลิตไตรมาส 1/2566 และยังอยู่ในขั้นเจรจากับบริษัทอีกหลายแห่ง

ส่วนผลการดำเนินงานปี 2565 อิชิตันมีรายได้รวม 6,340.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% และมีกำไรสุทธิ 641.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.3%

ที่มา – Tan Ichitan, Ichitan Group

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ตัน ภาสกรนที ขอโทษลูกค้าและคู่ค้า หลังผลิตสินค้าไม่ทัน แม้จะผลิตถึง 100 ล้านขวดต่อเดือน first appeared on Brand Inside.

SCG เปิดตัว “Mind” Smart Home Solutions ของไทยที่เชื่อมอุปกรณ์ได้ทุกค่าย เตรียมโกอินเตอร์ใน 4 ปี

Brand Inside - 17 August 2023 - 16:06

เอสซีจี เปิดตัว “mind” Smart Home Solutions โซลูชันแบรนด์ไทยที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ทุกค่าย จับมือผู้พัฒนาบ้าน-คอนโด บริษัทรับสร้างบ้าน ส่งมอบแพ็คเกจ Smart Home ตอบโจทย์เจ้าของบ้าน ตั้งเป้าติดตั้งโซลูชัน 100,000 หลังในปี 2025 พร้อมขยายสู่ตลาดโลกภายใน 4 ปี

mind scg

อภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer, SCG Digital Office กล่าวว่า ตลาด Smart Home ในช่วงที่ผ่านมา คือเน้นขายอุปกรณ์ ทำให้ภาพจำในหัวผู้บริโภคบางกลุ่มคือใช้งานยาก อุปกรณ์เสียไม่มีคนดูแล แต่ mind จะสร้างมาตรฐานใหม่ของ IoT Smart Home Solutions ด้วยการนำบริการมืออาชีพครบวงจรมาผสานรวมกับ Smart Home Device ที่เป็น Lazy-Friendly Technology ทั้งยังเป็นโซลูชันแบรนด์แรกในไทยที่เชื่อมต่อ Device ได้ไม่จำกัดแบรนด์ ช่วยให้ผู้บริโภคใช้งานได้ง่าย สะดวกสบาย เข้าถึงผู้บริโภคทุกเจเนอเรชัน

นอกจากนี้ mind ยังเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม Born in Thailand (BiT) ของเอสซีจี ที่มุ่งสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ โดยคนไทย เพื่อคนไทย ซึ่งเราตั้งเป้าหมายว่าจะเดินหน้าติดตั้งโซลูชัน mind ในที่อยู่อาศัยกว่า 100,000 ยูนิต และพาแบรนด์ mind ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้าน IoT Smart Home Solutions ในภูมิภาคอาเซียนในปี 2025 แล้วจะขยายสู่ตลาดระดับโลกภายใน 4 ปี

mind scg

นันทพัชร์ ศรีสุวรรณ Head of Sales and Marketing, SCG Digital Office กล่าวเสริมว่า จากการศึกษา Customer Insight พบว่า คนไทยบางส่วนยังคงมองว่า ระบบสมาร์ทโฮมมีความยุ่งยากซับซ้อน เอสซีจีจึงมุ่งมั่นออกแบบ Smart Home Solutions ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ใช้งานง่าย เหมาะกับคนทุกเจเนอเรชัน โดยมีทีมงานมืออาชีพที่เปรียบเสมือน Sommelier of Smart Home Solutions” ผู้ช่วยที่รู้ใจลูกค้า ไม่ใช่แค่ขายอุปกรณ์ตามคำสั่งของลูกค้า แต่ต้องส่งมอบคุณค่าการดูแลที่เหนือกว่าให้กับ ผู้อยู่อาศัย ดูแลตั้งแต่ให้คำปรึกษา ลงพื้นที่จริงถึงบ้านของลูกค้า ประเมินแล้วออกแบบติดตั้งโซลูชันที่จำเป็นและเหมาะกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย โดยที่ลูกค้าไม่ต้องประเมินหรือตั้งค่าอุปกรณ์เองให้ยุ่งยาก 

mind scg

ทั้งนี้ Smart Home Solutions ภายใต้แบรนด์ mind ประกอบด้วย mind Solutions โซลูชันอัจฉริยะรูปแบบ Mobile App และ Home App เชื่อมต่อสั่งการทุกอุปกรณ์ Smart Home พร้อมประสานกับทีมงานมืออาชีพ ดูแลทั้งก่อนและหลังการขายตลอด 24 ชั่วโมง และ mind Device อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) โดยออกแบบแพ็กเกจให้บริการด้าน Smart Home Solutions  ตอบโจทย์การใช้ชีวิต 4 รูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ได้แก่

1.     เซฟดี (Saving) เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานภายในที่อยู่อาศัย ด้วยโซลูชันตรวจจับการทำงาน และควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัตโนมัติด้วย Smart Switch เหมาะสำหรับสายรักษ์โลก

2.     อยู่ดี (Well-being) เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย ด้วยคุณภาพอากาศที่ดี ลดมลพิษ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ลดความชื้นในห้องน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดเชื้อรา เจาะกลุ่มผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ หรือครอบครัวที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

3.    ไยดี (Caring) ส่งผ่านความห่วงใยไปยังคนในครอบครัว ด้วยโซลูชันดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุ สามารถตรวจจับ และแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินได้ทันที หรืออุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงโซลูชันดูแลความปลอดภัยรอบบ้าน

4.     ฟีลดี (Feeling) สร้างสุนทรียะการอยู่อาศัย ด้วยการปรับแสง เสียง กลิ่น ให้เข้ากับทุกอารมณ์ เลือกโหมดสร้างบรรยากาศได้หลากหลาย ทั้งโหมดโรแมนติก โหมดผ่อนคลายยามรับประทานอาหารกับครอบครัว หรือโหมดปลุกพลังงานให้พร้อมกับการทำงาน

mind scg

จุดเด่นของ mind เป็น Smart Home Solutions ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกช่วงวัยต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น และสอดรับกับกระแสการเติบโตของตลาดบ้านอัจฉริยะที่กลายเป็นจุดขายสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกในปัจจุบัน โดย mind มีจุดเด่นถึง 3 ด้าน ดังนี้ 

  • Completely Integrated โซลูชันที่สามารถเชื่อมต่อการทำงานระหว่างแอปพลิเคชัน mindร่วมกับอุปกรณ์  และเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ไม่จำกัดแบรนด์ผ่านสัญญาณ WiFi ให้สามารถเปิด-ปิดการทำงานได้อัตโนมัติ โดยวิเคราะห์  และประมวลผลจากข้อมูลการใช้งานของผู้อยู่อาศัย
  • Completely Secured มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลผู้อยู่อาศัยกับ Trinity Edge Gateway ระบบ IoT Ecosystem Platform ที่เชื่อมต่อการทำงานของนวัตกรรมต่างๆ ภายในบ้านได้แบบไร้รอยต่อ พร้อมจัดเก็บข้อมูลบน Cloud ประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาและดูแลการทำงานโดยคนไทย ปลอดภัยตั้งแต่ที่ตั้ง Server จนถึงการเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ทั้งยังใช้ระบบ SCG ID ระบบการยืนยันตัวตนผู้ใช้งานที่มีความปลอดภัยสูง ใช้งานง่าย สะดวก ปลอดภัย ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์จากเครือ SCG และพันธมิตรชั้นนำ อาทิ ส่วนลดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนลดสินค้าในเครือ SCG Home ส่วนลดโรงแรม
  • Completely Managed บริการการดูแลเต็มรูปแบบจากทีมงานมืออาชีพของเอสซีจี ตั้งแต่การให้คำปรึกษาการออกแบบ   ให้เหมาะสมกับความต้องการผู้ใช้ พร้อมหลากหลายบริการครบวงจรตั้งแต่ก่อนติดตั้ง ระหว่างติดตั้ง จนถึงหลังติดตั้ง     พร้อมทีมห้องปฏิบัติการ คอยแจ้งเตือนหากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือมีสัญญาณแจ้งเตือนความผิดปกติ และทีมคอลเซ็นเตอร์   ให้ความช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยทันทีตลอด 24 ชั่วโมง 

mind scg

ทั้งนี้ เอสซีจี มุ่งหน้านำแบรนด์ mind เจาะกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (B2B) ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจออกแบบ และบริษัทรับสร้างบ้าน โดยอยู่ระหว่างการพูดคุยกับหลากหลายบริษัท เพื่อร่วมกันส่งมอบแพ็คเกจที่ตอบโจทย์บ้านอัจฉริยะของผู้บริโภค และตั้งเป้าขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะที่ลูกค้ารายบุคคล (B2C) จะให้บริการให้คำปรึกษาและติดตั้ง Smart Home Solutions ผ่าน Online Store รูปแบบใหม่ ซึ่งเอสซีจีได้พัฒนาร่วมกับพันธมิตรผู้พัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะ คาดว่าพร้อมจะให้บริการในปลายปีนี้

ขณะเดียวกัน เอสซีจี ยังเดินหน้าขยาย IoT Smart Home Ecosystem ในประเทศไทย ด้วยการจับมือพันธมิตรชั้นนำ ทั้งภาครัฐ   และภาคเอกชน ตั้งแต่หน่วยงานที่ส่งเสริมด้านเทคโนโลยี ผู้พัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะ ผู้ให้บริการเทคโนโลยี ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการ SME ด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post SCG เปิดตัว “Mind” Smart Home Solutions ของไทยที่เชื่อมอุปกรณ์ได้ทุกค่าย เตรียมโกอินเตอร์ใน 4 ปี first appeared on Brand Inside.

เปิดรายได้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติในไทย ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ ครึ่งปีแรก 2,234 ล้านบาท

Brand Inside - 17 August 2023 - 15:26

แม้วงการภาพยนตร์ของประเทศไทยยังมีข้อจำกัดอยู่มากทั้งงบประมาณ การสนับสนุนของรัฐบาล ไปจนถึงเนื้อหาที่นำเสนอ แต่ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่เป็นจุดหมายยอดฮิตของกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติ

กองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยรายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 นี้ (มกราคม-มิถุนายน)  ไทยดึงเม็ดเงินเข้าประเทศอยู่ที่ 2,234.39 ล้านบาท มีการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งหมดรวม 246 เรื่อง รวมถึงซีรีส์เกาหลีเรื่อง King the Land ที่เข้าฉายใน Netflix ที่เข้ามาถ่ายทำในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และรายการโทรทัศน์จีนอย่าง Keep Running ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 

นอกจากนี้ ถ้าหากนับรายได้ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมปีนี้จนถึงวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ปัจจุบัน ไทยมีรายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติแล้วที่ 4,407.73 ล้านบาท รวมแล้ว 286 เรื่อง

เมื่อเทียบรายได้จากปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดสูงสุด กองถ่ายภาพยนตร์ทำรายได้อยู่ที่ 1,747.68 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 64.07% ขณะที่ตั้งแต่ปี 2021 สถานการณ์เริ่มกลับมาในระดับปกติ ในปี 2021 ที่ไทยทำรายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์อยู่ที่ 4,863.74 ล้านบาท ส่วนในปี 2022 ที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่  6,364.07 ล้านบาท 

รายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ 10 ปี ย้อนหลั

ปี 2023 (ครึ่งปีแรก) ถ่ายทำทั้งหมด 246 เรื่อง ทำรายได้ 2,234.39 ล้านบาท
ปี 2022 ถ่ายทำทั้งหมด 346 เรื่อง ทำรายได้ 6,364.07 ล้านบาท
ปี 2021 ถ่ายทำทั้งหมด 121 เรื่อง ทำรายได้ 4,657 ล้านบาท
ปี 2020 ถ่ายทำทั้งหมด 176 เรื่อง ทำรายได้ 1,747.68 ล้านบาท
ปี 2019 ถ่ายทำทั้งหมด 740 เรื่อง ทำรายได้ 4,863.74 ล้านบาท
ปี 2018 ถ่ายทำทั้งหมด 714 เรื่อง ทำรายได้ 3,139.2 ล้านบาท
ปี 2017 ถ่ายทำทั้งหมด 810 เรื่อง ทำรายได้ 3,074.11 ล้านบาท
ปี 2016 ถ่ายทำทั้งหมด 779 เรื่อง ทำรายได้ 2,371.1 ล้านบาท
ปี 2015 ถ่ายทำทั้งหมด 724 เรื่อง ทำรายได้ 3,164.30 ล้านบาท
ปี 2014 ถ่ายทำทั้งหมด 627 เรื่อง ทำรายได้ 1,934.18 ล้านบาท

รายได้จากกองถ่ายภาพยนต์ในไทยมีหลากหลายประเภททั้งภาพยนตร์โฆษณา ภาพยนตร์สารคดี ภาพยนตร์ยนตร์สั้น ภาพยนตร์ยาว ไปจนถึงละครโทรทัศน์และรายการเรียลลิตี้ สำหรับประเทศที่นำเม็ดเงินเข้าไทยผ่านการถ่ายทำภาพยนตร์ในครึ่งปีแรกนี้ 5 อันดับแรก จาก 32 ประเทศทั่วโลก มีดังนี้ 

  • สหรัฐอเมริกา 14 เรื่อง รายได้ 519.31 ล้านบาท
  • สาธารณรัฐประชาชนจีน  17 เรื่อง รายได้ 349.60 ล้านบาท
  • ฮ่องกง 11 เรื่อง รายได้ 323.85 ล้านบาท
  • สหราชอาณาจักร 19 เรื่อง รายได้ 261.28 ล้านบาท
  • เยอรมนี 11 เรื่อง รายได้ 201.99 ล้านบาท

ส่วนสถานที่ยอดนิยมสำหรับกองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติเมื่อปีที่แล้ว มักจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ย่านเมืองเก่า หรือใจกลางเมืองอย่างกรุงเทพ โดย 5 อันดับแรกที่มีกองถ่ายต่างชาติเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์มากที่สุด มีดังนี้

  • กรุงเทพมหานคร อันดับแรกหนีไม่พ้นเมืองหลวงของไทย สถานที่ที่นิยมมาถ่ายภาพยนตร์ก็มักจะเป็นสตูดิโอ ตลาดหรือ Street Food มหานครสกายวอล์ค เป็นส่วนใหญ่
  • ภูเก็ต นิยมย่านตัวเมืองเก่า หาดพาราไดซ์ และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ อ.ถลาง
  • สมุทรปราการ สนามบินสุวรรณภูมิ The Studio Park บางบ่อ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตบางนา รวมทั้งเมืองโบราณสมุทรปราการและพิพิธภัณฑ์จำลอง
  • เชียงใหม่ มักจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ถนนช้างม่อยเก่า ปางช้างแม่สา 
  • พังงา เกาะปันหยี อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาน หาดเขาปิหลาย

ที่มา: TFO,  TFO 2, TFO 3

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดรายได้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติในไทย ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ ครึ่งปีแรก 2,234 ล้านบาท first appeared on Brand Inside.

ตลาดทองยังมีดีมานด์ คน Gen X และ Gen Y นิยมผ่อนทองรูปพรรณ เพื่อสะสมทรัพย์ สำรองเงินและซื้อเป็นของขวัญ

Brand Inside - 17 August 2023 - 14:49

ตลาดทองยังมีดีมานด์ คน Gen X และ Gen Y นิยมผ่อนทองรูปพรรณ เพื่อสะสมทรัพย์ สำรองเงินและซื้อเป็นของขวัญ SG Capital ขยายตลาดสินเชื่อผ่อนทอง CLICK2GOLD แพลตฟอร์มออนไลน์ผ่าน LINE ตลอด 24 ชม. ผ่อนครบรับทองทันทีที่ห้างทองเยาวราชกรุงเทพทุกสาขา ตั้งเป้าเข้าถึงผู้ใช้บริการ 54 ล้านคนทั่วประเทศ สร้างมูลค่า 100 ล้านบาทในปี 2566

อโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสินเชื่อที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า การเปิดตัว CLICK2GOLD บริการผ่อนทองรูปพรรณออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. บนแพลตฟอร์ม LINE OA @sgcapital ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าเพิ่มเพื่อน รับข้อมูลข่าวสารบนแพลตฟอร์มกว่า 400,000 คน เป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงการผ่อนทองเพื่อสะสมทรัพย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้ทำงานประจำ เช่น กลุ่มอาชีพรับจ้าง พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระฟรีแลนซ์ แม่บ้าน และนักเรียน นักศึกษาที่รู้จักการวางแผนเก็บออมสะสมทรัพย์

เนื่องจากคนไทยนิยมซื้อทองเพื่อสวมใส่เป็นเครื่องประดับ และซื้อเป็นของขวัญเนื่องจากมีมูลค่า อีกทั้งยังนิยมใช้เป็นการสะสมทรัพย์ เป็นทรัพย์สินหมุนเวียนยามฉุกเฉิน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในปัจจุบัน ทองคำถือเป็นทรัพย์สินปลอดภัยที่คนเลือกลงทุนมากที่สุด จากการเก็บข้อมูลพบสถิติคน Gen X กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 38-53 ปี  นิยมผ่อนทองมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่ม Gen Y อายุระหว่าง 21-37 ปี

ล่าสุด บริษัทฯ ได้พาร์ทเนอร์ธุรกิจร้านทองรายใหญ่ “ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ” ร้านทองคุณภาพชั้นนำที่มีมากกว่า 300 สาขา มาร่วมให้บริการผ่อนทอง CLICK2GOLD และขยายฐานลูกค้าระหว่างกัน ให้ผู้ใช้บริการสามารถผ่อนทองรูปพรรณออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. โดยการผ่อนแบบไม่มีบัตรเครดิต ไม่ต้องใช้เงินก้อน ไม่จำกัดอาชีพก็สามารถสมัครสินเชื่อผ่อนทอง โดยเพียงผู้สมัครมีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป ใช้บัตรประชาชนใบเดียว มีระยะเวลาในการเลือกผ่อนชำระตั้งแต่ 6 – 12 เดือน ดาวน์เริ่มต้น 700 บาท ผ่อนทองน้ำหนักตั้งแต่ 1 สลึง – 1 บาท และเมื่อผ่อนครบสามารถรับทองได้ที่ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ ตั้งเป้าสร้างมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทในปี 2566

สันต์ สินธุฉัตร ประธานกรรมการบริหาร ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ เปิดเผยว่า ห้างทองเยาวราชกรุงเทพ มีฐานลูกค้ากว่า 10 ล้านราย และมีจำนวนสาขากว่า 300 สาขาทั่วประเทศ การเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์บน CLICK2GOLD  บริการผ่อนทองผ่านไลน์ ได้ตลอด 24 ชม. เป็นช่องทางการผ่อนทองที่สะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้นผ่าน LINE ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมของคนไทย โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ LINE ในประเทศไทยจำนวน 54 ล้านคน นับเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกให้กับลูกค้าเข้าถึงบริการผ่อนทองของร้านได้มากและง่ายขึ้น ทั้งยังอาจสามารถช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยังกลุ่มผู้ใช้บริการ CLICK2GOLD ได้อีกด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ตลาดทองยังมีดีมานด์ คน Gen X และ Gen Y นิยมผ่อนทองรูปพรรณ เพื่อสะสมทรัพย์ สำรองเงินและซื้อเป็นของขวัญ first appeared on Brand Inside.

เซ็นทรัล รีเทล ปิดครึ่งปีแรก 66 กำไรสุทธิแตะ 4,002 ล้านบาท โต 37% เดินหน้าธุรกิจในไทย-เวียดนาม-อิตาลี

Brand Inside - 17 August 2023 - 14:44

ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2566 นี้บริษัทฯ​ มีรายได้รวม 60,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 1,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%YoY ซึ่งผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 แต่หากเทียบกับไตรมาส 1 ปีนี้ ยังชะลอตัวเพราะปัจจัยฤดูกาลและภาวะเศรษฐกิจเวียดนามที่ชะลอตัว

ทั้งนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจในไตรมาส 2/2566 ได้แก่ 

  • รายได้จากการขายอยู่ที่ 53,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%YoY (ลดลง 5.6% จากไตรมาก่อนหน้า) โดยกลุ่มกลุ่มแฟชั่น เติบโต 14.1%YoY, กลุ่มฮาร์ดไลน์ เติบโต 2.6%YoY, งาน Food เติบโต 0.1%YoY 
  • รายได้จากการให้บริการเช่า อยู่ที่ 1,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.8%YoY จากจำนวนผู้ให้บริการที่มากขึ้น และการขยายพื้นที่ให้เช่าในไทยและเวียดนาม
  • ค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 12,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9%YoY จากยอดขาย และการขยายสาขาใหม่ รวมถึงสาขารูปแบบใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น (ค่าใช้จ่ายฯ นี้คิดเป็น 20.4% ของรายได้รวม)
  • ค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่ 5,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4%YoY จากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เพิ่มขึ้น และการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายสินค่าล้าสมัยและเสียหายเพิ่มขึ้น (ค่าใช้จ่ายฯ นี้คิดเป็น 8.4% ของรายได้รวม)

ขณะที่ช่วงครึ่งปีแรกของ 2566 นี้มีรายได้ 123,208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%YoY และกำไรสุทธิ 4,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.6%YoY มาจากการบริหารงานและพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น และคล่องตัว รวมทั้งการขยายพอร์ตให้เติบโตครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี รวมถึงการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำหรับครึ่งปีหลังนี้ เซ็นทรัล รีเทล เตรียมเปิดห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าในภูเก็ต 2 แห่ง (เป็นจังหวัดที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวสุงสุดในไทย) ได้แก่

  • ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ สาขาฉลอง ซึ่งจะเป็นแห่งที่ 2 ของจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 20 ก.ย. นี้ (จะทำให้มีศูนย์การค้ารวม 33 สาขาทั่วไทย) 
  • ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาฉลอง จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย 

ในส่วนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ของโลก เซ็นทรัล รีเทล เตรียมขยายธุรกิจในโซนกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ในเดือนพ.ย.นี้จะเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาเวสต์วิลล์ ซึ่งถือเป็นห้างสรรพสินค้าสาขาที่ 76 ของเซ็นทรัล รีเทล ขณะที่ปี 2566  เซ็นทรัล รีเทล จะเปิดไทวัสดุครบ 80 สาขาทั่วไทย และเปิดศูนย์การค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ในเวียดนามครบ 39 สาขาทั่วประเทศ

ที่มา – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เซ็นทรัล รีเทล ปิดครึ่งปีแรก 66 กำไรสุทธิแตะ 4,002 ล้านบาท โต 37% เดินหน้าธุรกิจในไทย-เวียดนาม-อิตาลี first appeared on Brand Inside.

วิธีตั้งรหัสผ่าน iPhone แบบ 4 หลัก 

iPhonemod - 17 August 2023 - 14:26

สอนวิธีตั้งรหัสผ่านเครื่อง iPhone เปลี่ยนจาก 6 หลักมาเป […] More

The post วิธีตั้งรหัสผ่าน iPhone แบบ 4 หลัก  appeared first on iMoD.

รวม 30+ ทริคแอป GoodNotes บน iPad รู้ไว้ใช้โปรขึ้น!

iPhonemod - 17 August 2023 - 12:03

รวมทริคใช้งานแอป GoodNotes สำหรับจดโน้ต จดเลคเชอร์ ให้ใ […] More

The post รวม 30+ ทริคแอป GoodNotes บน iPad รู้ไว้ใช้โปรขึ้น! appeared first on iMoD.

Robinhood Food ยกเลิกให้บริการพื้นที่ ภูเก็ต หัวหิน ชลบุรี

Brand Inside - 17 August 2023 - 10:34

Robinhood Food ถอยทัพ ยกเลิกให้บริการพื้นที่ ภูเก็ต หัวหิน ชลบุรี มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค.66 เป็นต้นไป 

หลังจากเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่าน Robinhood Food Delivery ประกาศขยายพื้นที่ให้บริการไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี หัวหิน ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้วนั้น 

แต่มาวันนี้มีรายงานข่าวออกมาว่า Robinhood Food ประกาศยกเลิกให้บริการในพื้นที่ภูเก็ต หัวหิน และชลบุรี มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2566 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ในพื้นที่ ภูเก็ต และ หัวหิน ยกเลิกให้บริการทุกพื้นที่ ส่วนพื้นที่ จ.ชลบุรี ยกเลิกให้บริการบางพื้นที่โดยใน อ. บางละมุง ยกเลิกเฉพาะ ต.โป่ง ต.ห้วยใหญ่ ต. ตะเคียนเตี้ย ต. หนอง ปลาไหล ต. เขาไม้แก้ว และต. บางละมุง และ อ.สัตหีบ ยกเลิกเฉพาะ ต. นาจอมเทียน และต. บางเสร่ 

โดยอีก 8 จังหวัด Robinhood Food ยังคงให้บริการตามปกติ ดังนี้ 

  • กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี ทุกพื้นที่ 

ให้บริการเฉพาะบางพื้นที่

  • สมุทรสาคร (อ. เมือง และกระทุ่มแบน) 
  • นครปฐม (อ. นครชัยศรี พุทธมณฑล และบางเลน) 
  • เชียงใหม่ (อ. เมือง ยกเว้น หมู่ที่ 1 ต. สันผีเสื้อ) 
  • ชลบุรี (อ. บางละมุง เฉพาะ ต. นาเกลือ และต. หนองปรือ)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Robinhood Food ยกเลิกให้บริการพื้นที่ ภูเก็ต หัวหิน ชลบุรี first appeared on Brand Inside.

Pages