Aston Martin ประเทศไทย ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อรถราคาเกิน 30 ล้านบาทได้ถึง 4 คัน ภายใน 1 ปี?

Brand Inside - 20 August 2023 - 17:18

Aston Martin ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่เก่าแก่ เพราะหากนับถึงปี 2023 แบรนด์จะมีอายุถึง 110 ปี และแม้ปัจจุบันจะมี Mercedes-Benz และ Geely เข้ามาถึงหุ้น แต่ Aston Martin เป็นแบรนด์รถยนต์ระดับ Ultra Luxury ที่เอกเทศ ไม่ได้อยู่ใต้แบรนด์ใดอย่างเห็นได้ชัด ต่างกับ Rolls-Royce ที่อยู่ในเครือ BMW เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทย Aston Martin แต่งตั้งบริษัทเพื่อทำตลาดอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 10 ปี โดยในช่วง 10 ปีแรก อาจจะยังมือใหม่ เพราะจำหน่ายรถยนต์ราคาสูงสุดแค่ 30 ล้าน แต่ในปี 2023 บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ราคาเกิน 30 ล้านได้ถึง 4 คัน และหนึ่งในนั้นคือรถยนต์ระดับ 50 ล้านบาท

Aston Martin ใช้เวลา 10 ปี และปรับแผนการตลาดอย่างไร ภาพรวมการแข่งขันของกลุ่มรถยนต์ระดับ Ultra Luxury ดุเดือดแค่ไหน รวมถึงกลยุทธ์หลังจากนี้ของ Aston Martin จะเป็นอย่างไร Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ดังนี้

Aston Martin

ใช้ความเก่าแก่ และสมรรถนะเข้าสู้

ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เล่าให้ฟังว่า ปี 2023 ถือเป็นปีที่ 10 ของการทำตลาด Aston Martin อย่างเป็นทางการในประเทศไทย หรือนับตั้งแต่การเปิดโชว์รูมแห่งแรกที่ศูนย์การค้าสยามพารากอนเมื่อปี 2013 จนมีการเปิดศูนย์บริการครบวงจรที่พระราม 3 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทย

“ถึงตอนนี้มีรถยนต์ Aston Martin อยู่ในประเทศไทยราว 200 คัน ซึ่งศูนย์บริการครบวงจรที่ประกอบด้วยโชว์รูม, ศูนย์บริการ และพื้นที่จำหน่ายรถยนต์มือสอง ที่พระราม 3 จะช่วยตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี และกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราก็ต้องใช้การสื่อสาร และมีการสำรวจพบลูกค้าที่น่าจะซื้อรถยนต์กับเรากว่า 1 แสนรายชื่อ”

การทำตลาดในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาของ Aston Martin จะใช้การสื่อสารเรื่องประวัติของแบรนด์ และสมรรถนะตัวรถเป็นหลัก เพราะ Aston Martin เป็นแบรนด์เก่าแก่ เป็นที่รู้จักในแวดวงชั้นสูง ประกอบกับ Aston Martin เกิดขึ้นมาจากการเป็นรถแข่ง จึงเชื่อมั่นเรื่องสมรรถนะในการขับขี่หากชื่นชอบในการขับขี่ ซึ่งไม่ใช่การโดยสารรถยนต์

Aston Martinฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กินแชร์ 20% ของรถ Ultra Luxury ป้ายแดง

จากการพยายามสื่อสารแบรนด์ด้วย 2 เรื่องข้างต้น ทำให้ครึ่งแรกของปี 2023 Aston Martin มียอดจำหน่ายทั้งหมด 15 คัน และคาดว่าสิ้นปี 2023 จะปิดที่ 25-30 คัน คิดเป็นราว 20% ของการจำหน่ายรถยนต์ Ultra Luxury ในประเทศไทยที่มีประมาณ 100 คัน/ปี

“ตั้งแต่เริ่มทำตลาดในไทย Aston Martin จำหน่ายรถยนต์ที่แพงที่สุดที่ 30 ล้านบาท แต่ในปี 2023 เราจำหน่ายรถที่ราคาเกิน 30 ล้านบาท ได้ 4 คัน และสูงที่สุดคือลูกค้าที่ปรับแต่งไปจนถึง 50 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือมีลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อ Aston Martin มาก่อนมาซื้อด้วย และเรามีคลับของผู้ใช้งานที่เหนียวแน่นช่วยสื่อสารอีกทาง”

ล่าสุด Aston Martin ประเทศไทย เปิดตัว DB12 รถยนต์กลุ่ม Super Tourer มากับเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ลิตร 680 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. ราคาเริ่มต้น 21 ล้านบาท และสามารถปรับแต่งได้สูงสุดถึง 37 ล้านบาท

Aston Martin ขายดีจนต้องเจรจาขอโควตาเพิ่มจากต่างประเทศ

“DB12 ถือเป็นรถยนต์ในตำนานของ Aston Martin เพราะเป็นผู้สร้างรถยนต์ประเภท Grand Tourer (GT) เจ้าแรก หรือตั้งแต่ 75 ปีก่อน จึงไม่แปลกที่ DB12 ที่เป็นรุ่นใหม่จะได้ผลตอบรับดี โดยในไทยปี 2023 ถูกจองเต็มโควตา 4 คัน ส่วนปี 2023 เบื้องต้นบริษัทได้โควตามา 6 คัน ซึ่งหากผลตอบรับดีอาจต้องเจรจากับต่างประเทศเพิ่ม”

DB12 ที่ถูกจองซื้อในประเทศไทยถูกปรับแต่งจนมีราคา 31 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งของการจองซื้อเป็นการจองซื้อโดยลูกค้าเก่าที่มีอายุ 40-50 ปี ส่วนที่เหลือมาจากลูกค้าใหม่ และมีอายุที่น้อยลง โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นคือ Aston Martin ออกแบบรถยนต์ให้ใช้งานได้ทุกวัน ไม่ใช่ขับลำบาก และใช้ได้แค่สุดสัปดาห์เหมือนในอดีต

Aston Martin ประเทศไทย จำหน่ายรถยนต์ราคาเริ่มต้น 16 ล้านบาท โดยมีรุ่น DBX707 รถยนต์แบบ SUV เป็นตัวขับเคลื่อนยอดขาย หรือคิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือมาจากลุ่ม Sports เช่น DB12 และ Vantage ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะ การดีไซน์ และตัวตนของแบรนด์

Aston Martin

รถยนต์กลุ่ม Ultra Luxury ยังโตทั้งไทย และโลก

สินค้ากลุ่ม Luxury ยังเติบโตต่อเนื่องแม้จะเจอกับการระบาดของโรคโควิด ซึ่งรถยนต์ Ultra Luxury คือหนึ่งในนั้น ทำให้ Aston Martin ประเทศไทยมียอดขายเติบโต 10-15% ตั้งแต่ช่วงโรคโควิด-19 ระบาด และบริษัทยังมีแผนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ แม้ปัจจุบันยังไม่การทำตลาดรุ่นที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อน

สำหรับในตลาดโลก ครึ่งแรกของปี 2023 Aston Martin มีรายได้รวม 677.4 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจาก 542 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 จำหน่ายรถยนต์ได้ 2,954 คัน เพิ่มขึ้นราว 300 คัน เป็น SUV 1,547 คัน เพิ่มขึ้น 43% และ GT/Sports 1,369 คัน ลดลง 12%

จำนวนรถยนต์ที่ขายได้มาจากพื้นที่อเมริกา 1,062 คัน ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 834 คัน เอเชีย 613 คัน และสหราชอาณาจักร 445 คัน เบื้องต้นในปี 2023 ตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์ได้ 7,000 คัน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า Aston Martin มีการร่วมมือกับ Lucid Motors แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหรูที่ก่อตั้งเมื่อปี 2007

Aston Martin

อ้างอิง // Aston Martin

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Aston Martin ประเทศไทย ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อรถราคาเกิน 30 ล้านบาทได้ถึง 4 คัน ภายใน 1 ปี? first appeared on Brand Inside.

[ลือ] iPhone 15 อาจรองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 35W

MacThai - 20 August 2023 - 10:00

เมื่อแอปเปิลเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตัวเอง โดยเริ่มจาก iPhone 15 ซีรีส์ที่จะเปิดตัวเดือนกันยายนนี้ ก็มีคาดมาว่าไอโฟนบางรุ่นจะมาพร้อมกับการชาร์จเร็วที่ 35W ด้วย เพราะจะใช้ได้กับเครื่องชาร์จ USB-C ที่ผ่านการรับรอง MFi รวมถึงอะแดปเตอร์ไฟ 20W ด้วย

ซึ่งในปัจจุบัน รุ่น iPhone 14 สามารถชาร์จได้สูงสุดประมาณ 27W โดยรุ่น Pro สามารถชาร์จได้เร็วกว่าเล็กน้อย และการเพิ่มความเร็วในการชาร์จเป็น 35W จะทำให้ประหยัดเวลาในการชาร์จเร็วขึ้นไปด้วย แต่น่าเสียดายที่แอปเปิลไม่ขายอะแดปเตอร์ชาร์จคู่กับไอโฟนแล้ว

แต่หาก ‌iPhone 15‌ รองรับการชาร์จสูงสุด 35W แอปเปิลก็มีแนะนำมาว่าให้ชาร์จ MacBook Air 30W หรือที่ชาร์จ Dual USB-C 35W เพื่อความเร็วในการชาร์จสูงสุดได้

แต่ในขณะเดียวกันก็มีข่าวลืออีกขั้ว บอกมาว่าแอปเปิลอาจสงวนความเร็วในการชาร์จที่เร็วที่สุดสำหรับรุ่น iPhone 15 Pro และจะจำกัดความเร็วในการชาร์จสำหรับอะแดปเตอร์ที่ไม่ได้รองรับโดยมาตรฐานของ MFi ซึ่งต้องรอดูกันว่าจะจริงอย่างที่ลือหรือไม่

ที่มา – MacRumors

The post [ลือ] iPhone 15 อาจรองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 35W appeared first on Macthai.com.

นี่คือสิ่งที่ชิป M3 ของ Apple จะอัปเกรด!

MacThai - 19 August 2023 - 10:00

แอปเปิลในตอนนี้กำลังพัฒนาชิปซิลิกอนซีรีส์ M อีกหลายรุ่น แต่ดูเหมือนชิป M3 จะเปิดตัวในปลายปี 2023 หรือไม่ก็ต้นปี 2024 ด้วยชิปใช้เทคโนโลยีของ TSMC ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ทำงานเร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม!

ซึ่งในตอนนี้แอปเปิลยังคงอยู่กับโปรดัก และชิป M2 ซีรีส์อย่าง M2, ‌M2‌ Pro, ‌M2‌ Max และ M1 Ultra ส่วนชิป M3 ตัวแรกอาจจะยังเปิดตัวจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2023 เช่นเดียวกับการเปิดตัวชิป M1 และ ‌M2‌ เพราะเราจะเห็นชิป M3 ก่อนที่ M3 Pro, M3 Max และ M3 Ultra จะตามมาทีหลัง โดยมีการอัปเกรดจากชิป M2 คือ

ชิป M2

  • M2: CPU 8 คอร์ และ GPU 10 คอร์
  • M2 Pro: CPU 10 หรือ 12 คอร์ และ GPU 16 หรือ 19 คอร์
  • M2 Max: CPU 12 คอร์ และ GPU 30 หรือ 38 คอร์
  • M2 Ultra: CPU 24 คอร์ และ GPU 60 หรือ 76 คอร์

ชิป M3

  • M3: CPU 8 คอร์ และ GPU 10 คอร์
  • M3 Pro: CPU 12 หรือ 14 คอร์ และ GPU 18 หรือ 20 คอร์
  • M3 Max: CPU 16 คอร์ และ GPU 32 หรือ 40 คอร์
  • M3 Ultra: CPU 32 คอร์ และ GPU 64 หรือ 80 คอร์

จากการเปรียบเทียบประสิทธิภาพโดยรวมของทั้งชิป M2 และ M3 จะเห็นได้ว่าชิปมีประสิทธิภาพที่โดดเด่นมากขึ้น และเริ่มมีความไฮเอนด์ โดย Mark Gurman จาก Bloomberg เคยบอกเอาไว้ว่าชิป M3 Ultra จะเป็นรุ่นที่แรงที่สุดด้วย

ซึ่งชิป M ซีรีส์ปัจจุบันใช้เทคโนโลยี 5 นาโนเมตรของ TSMC แต่ชิป M3 จะใช้เทคโนโลยีชิป 3 นาโนเมตรใหม่ล่าสุดของ TSMC โดยมีขนาดโหนดที่เล็กลงเท่ากับความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ที่มากขึ้น เลยทำให้อายุใช้งานแบตเตอรียาวนานขึ้น โดยจะมีการใช้ชิป M3 กับอุปกรณ์ ดังนี้

ชิป M3

  • MacBook Air‌ 13 นิ้ว
  • MacBook Air‌ 15 นิ้ว
  • MacBook Pro 13 นิ้ว
  • Mac mini
  • iMac 24 นิ้ว

ชิป M3 Pro

  • Mac mini
  • MacBook Pro 14 นิ้ว
  • MacBook Pro 16 นิ้ว

ชิป M3 Max

  • MacBook Pro 16 นิ้ว
  • Mac Studio‌

ชิป M3 Ultra

  • Mac Studio‌
  • Mac Pro‌

ที่มา – MacRumors

The post นี่คือสิ่งที่ชิป M3 ของ Apple จะอัปเกรด! appeared first on Macthai.com.

จับตาวิกฤติ NT มีพนักงานกว่า 14,000 คน อายุเฉลี่ย 50 ปี แต่ปี 2027 อยากลดให้เหลือแค่ 7,000 คน

Brand Inside - 19 August 2023 - 09:38

NT หรือ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ ยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างองค์กรต่อเนื่อง เพราะอยู่ในภาวะขาดทุน รวมถึงธุรกิจที่ให้บริการอยู่ต่างแข่งขันกับบริษัทเอกชนได้ลำบาก ซึ่งหนึ่งแผนดังกล่าวคือการปรับลดพนักงานจาก 14,000 คน ให้เหลือ 7,000 คน ภายในปี 2027

จุดที่น่าสนใจคือ NT มีอายุพนักงานเฉลี่ยเกือบ 50 ปี โดยมีคนที่อายุมากกว่า 50 ปี อยู่กว่า 4,000 คน และไม่มีการประกาศรับพนักงานใหม่มาระยะหนึ่ง ดังนั้นการให้เออรี่รีไทร์เพื่อปรับลดพนักงานจะทำให้องค์กรขาดผู้บริหารระดับกลาง รวมถึงฝ่ายปฏิบัติการที่จะขับเคลื่อนองค์กรหลังจากนี้

NT จะแก้ปัญหาอย่างไร การทำงานยุคใหม่ในองค์กรเก่าแก่จะเกิดขึ้นหรือไม่ และอนาคตหลังจากนี้ของ NT จะเดินหน้าไปทางไหน พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

NTภาพจาก NT เกษียณ ประเมิน และเออรี่รีไทร์ คือสิ่งที่ต้องทำ

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบัน NT มีพนักงานประจำทั้งหมด 14,000 คน ไม่รวมพนักงานสัญญาจ้าง ซึ่งจำนวนนี้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสถานะธุรกิจในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงขาดทุน

NT จึงตั้งแผนลดจำนวนพนักงานลง 40-50% ภายในสิ้นปี 2027 เพื่อควบคุมต้นทุน เพราะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานคิดเป็น 30-40% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประกอบด้วยการเกษียณตามระยะเวลาทำงาน, การประเมินประสิทธิภาพที่ได้จากการทำงาน และการเออรี่รีไทร์

“ปี 2023 เราตั้งเป้ายอดเออรี่รีไทร์ไว้ 1,600 คน แต่สุดท้ายทำได้จริง 800 คน เพราะพนักงานมองว่าเดี๋ยวก็จะมีสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าในปีถัดไป เราจึงต้องปรับแผนกันใหม่ เช่น ถ้าอายุเกิน 57 แล้วไม่ยอมเข้าโครงการ ก็จะไม่ให้เข้า และเดินหน้าสู่การประเมินการทำงานว่าทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่”

อายุเฉลี่ยพนักงานเกือบ 50 ปี ทำองค์กรเดินหน้าลำบาก

ปัจจุบัน NT มีอายุเฉลี่ยพนักงานเกือบ 50 ปี และไม่มีการรับพนักงานใหม่มานานแล้ว ดังนั้นหากปรับลดพนักงานจาก 14,000 คน ให้เหลือ 7,000 คน ภายในปี 2027 จะทำให้องค์กรเดินหน้าลำบาก ผ่านการไม่มีพนักงานปฏิบัติการ และผู้บริหารระดับกลางเพียงพอ

“NT จูงใจคนรุ่นใหม่ได้ลำบาก เพราะฐานเงินเดือนเริ่มต้นเราต่ำ กฎระเบียบเยอะ และมีสายงานบังคับบัญชาชัดเจน แต่เราก็ดูอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขามาร่วมงาน เช่น การศึกษาเรื่อง Work from Anywhere ผ่านการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่หลายแห่งให้ทำงานแบบยุคใหม่ได้”

พันเอก สรรพชัยย์ ยกตัวอย่างการปรับปรุง NT ให้เป็นองค์กรยุคใหม่ เช่น การปรับเป็นโฮลดิ้งขนาดเล็กที่บริหารแค่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพื่อทำตลาดบริการต่าง ๆ คล้ายกับกรณีของธนาคารกรุงไทย ที่มีบริษัทย่อยที่ทำงานได้อย่างอิสระ ไม่ติดเรื่องข้อบังคับ และสายงานบังคับบัญชา

เงินเดือนต้องขึ้น แม้ประสบปัญหาขาดทุน

อีกเหตุผลที่ NT ต้องลดจำนวนพนักงานอย่างเร่งด่วน เพราะแม้จะประสบภาวะขาดทุน แต่องค์กรยังจำเป็นต้องขึ้นเงินเดือนในแต่ละปีให้พนักงานไม่เกิน 5.5% และไม่สามารถต่อรองได้ จึงเป็นอีกเหตุผลที่ค่าใช้จ่ายของพนักงานกินสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

“ปกติแล้วถ้ารัฐวิสาหกิจกำไรก็ต้องขึ้นเงินเดือนไม่เกิน 6.5% และถ้าขาดทุนก็ต้องขึ้นไม่เกิน 5.5% มันก็ลำบากถ้าจะบอกว่าไม่ขึ้นเงินเดือนเลยได้หรือไม่ และอาจต้องให้พวกเขารับรู้ว่าเราขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับกรณีของ บมจ. ทีโอที ที่ขาดทุนต่อเนื่อง จนเจรจาให้พนักงานเข้าใจว่าเราขึ้นเงินเดือนได้แค่ 3% เท่านั้น”

นับตั้งแต่ปี 2021 NT ได้งบประมาณการทำเออรี่รีไทร์ราว 4,000 ล้านบาท/ปี แต่ปี 2021, 2022 และ 2023 ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย จึงต้องปรับปรุงแผน หรือกลยุทธ์จูงใจให้พวกเขาตัดสินใจเออรี่รีไทร์เพื่อช่วยเหลือองค์กรให้เดินหน้าในอนาคตได้

ครึ่งแรกปี 2023 ขาดทุนสุทธิ 638 ล้านบาท

สำหรับ NT ในครึ่งแรกของปี 2023 บริษัทมีรายได้รวม 42,447 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 40,900 ล้านบาท EBITDA 10,197 ล้านบาท เบื้องต้นกำไรสุทธิ 1,547 ล้านบาท แต่หากนับรวมค่าใช้จ่ายจากโครงการเออรี่รีไทร์ 851 คน คิดเป็นเงิน 2,185 ล้านบาท จะทำให้ขาดทุนสุทธิ 638 ล้านบาท

รายได้รวมครึ่งแรกปี 2023 จำนวน 42,447 ล้านบาท แบ่งได้เป็น

  • กลุ่มธุรกิจอินฟรา 4,807 ล้านบาท
  • กลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศ 1,107 ล้านบาท
  • กลุ่มโมบาย 23,497 ล้านบาท แบ่งเป็นจากบริการรของ NT 1,194 ล้านบาท กับพันธมิตร 22,303 ล้านบาท
  • กลุ่มบรอดแบนด์ 9,289 ล้านบาท ผ่านลูกค้า 1.8 ล้านราย แทบไม่เติบโตจากปีก่อน
  • กลุ่มดิจิทัล 2,032 ล้านบาท
  • อื่น ๆ 9 ล้านบาท

หากเจาะไปที่ธุรกิจโมบายจะพบว่า NT มีจำนวนผู้ใช้บริการราว 2 ล้านเลขหมาย แทบไม่เติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 4 ปี 2023 จะเริ่มให้บริการ 5G บนคลื่น 700 MHz เนื่องจากสัญญาใช้คลื่น 850 MHz จะสิ้นสุดปี 2025 จึงจำเป็นต้องย้ายลูกค้าขึ้นมาใช้บริการบนคลื่นใหม่

“ในอดีตธุรกิจโมบายของเราคือ Stars เพราะ 3 เจ้าใหญ่ของตลาดซื้อโฮลเซลลืของเราทั้งหมด ซึ่งเราได้รายได้ส่วนนี้ไปกว่า 10,000 ล้านบาท แต่เมื่อคลื่น 850 MHz มันสิ้นสุดก็ต้องหาว่าธุรกิจอะไรจะสร้างรายได้ให้เรา 10,000 ล้านบาท/ปี ส่วนคลื่น 2600 MHz เราคาดว่าไตรมาส 1 ปี 2024 จะเริ่มให้บริการได้สำหรับลูกค้าองค์กร”

ทั้งนี้ NT วางแผนคาดการณ์ภาพรวมปี 2023 ขาดทุนราว 4,000 ล้านบาท แต่ถึงสิ้นปียังกำไรหากไม่รวมค่าใช้จ่ายเออรี่รีไทร์ ดังนั้นสิ้นปี 2023 มีโอกาสกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง หากไม่มีเหตุการณ์อื่น ๆ เช่น การจัดการเรื่องกฎหมายคดีความ หรือการตัดจ่ายทรัพย์สินต่าง ๆ เพิ่ม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post จับตาวิกฤติ NT มีพนักงานกว่า 14,000 คน อายุเฉลี่ย 50 ปี แต่ปี 2027 อยากลดให้เหลือแค่ 7,000 คน first appeared on Brand Inside.

OR เปิดตัว xplORe แอปพลิเคชั่นรวมทุกบริการ Blue Card, Blue CONNECT ไว้ที่เดียว

Brand Inside - 18 August 2023 - 17:23

ยุติความยุ่งยากของการใช้หลายแอปพลิเคชั่น ทำให้การสะสมแต้ม การใช้จ่าย หรือการแลกรับสิทธิประโยชน์ใดๆ ง่ายกว่าเดิม เมื่อ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จึงเปิดตัว xplORe (เอ็กซ์พลอร์) แอปพลิเคชั่น ที่รวมทุกบริการไว้ในที่เดียว เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้ได้ทั้งเที่ยว กิน ดื่ม และพร้อมขยายไปกิจกรรมอื่นๆ ในอนาคต

ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) บอกว่า xplORe ให้เป็นแอปพลิเคชันที่เป็นส่วนหนึ่งของการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตนอกบ้านของผู้บริโภคให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “Touch for More Life พบสิ่งที่ใช่มากกว่าที่เคย” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ บนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีบริการหลากหลาย ทั้งด้านการเดินทาง อาหารและเครื่องดื่ม กิจกรรมและความบันเทิง โดยได้รวบรวมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ของ OR บัตรสะสมคะแนน Blue Card, Blue CONNECT e-Wallet และ ฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย มารวมไว้ในแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวก ลดความยุ่งยากในการใช้งาน โดยไม่ต้องเข้าใช้บริการผ่านหลายแอปพลิเคชันอีกต่อไป  

xplORe ได้รวบรวมฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจากหลายธุรกิจในเครือ OR รวมถึงร้านค้าพันธมิตรไว้อย่างครบครัน อาทิ ฟีเจอร์ Deal ที่มาตอบโจทย์ให้ผู้บริโภคสายกิน เที่ยว ชอป ได้จ่ายน้อยแต่ได้รับราคาที่คุ้มมาก ๆ กับดีลคูปองส่วนลดราคาพิเศษจากร้านค้าแบรนด์ดังชั้นนำ ฟีเจอร์ Pass เปลี่ยนไลฟ์สไตล์นอกบ้านให้ง่ายขึ้นตั้งแต่ในบ้าน กับการจองตั๋วกิจกรรม และความบันเทิงมากมาย ง่าย ๆ จบในแอปฯ เดียว โดยสามารถสะสมคะแนน Blue Card ทุกการใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าบนแอปพลิเคชัน หรือจากร้านค้าในเครือ OR และนำคะแนนสะสมมาแลกรับสิทธิพิเศษ ของรางวัล และร่วมลุ้นสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ สำหรับสมาชิกโดยเฉพาะได้ที่ฟีเจอร์ Reward มากไปกว่านั้น xplORe ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Wallet ที่จะทำให้ทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้จ่ายเป็นเรื่องง่าย แบบไม่ต้องพกกระเป๋าตังค์ ด้วย e-Wallet ที่สามารถเติมเงินหรือผูกบัตรเครดิตแล้วสแกนจ่ายได้หลายที่มากขึ้น ทั้งร้านค้าในเครือ OR และร้านค้า Thai QR 

ปัจจุบัน xplORe มีร้านค้าพันธมิตรชั้นนำที่เข้าร่วมให้บริการบนแอปพลิเคชันแล้วกว่า 100 แบรนด์ จำนวนกว่า 14,000 ร้านค้า ประกอบด้วย ร้านค้าในเครือ OR ได้แก่ PTT Station, FIT Auto, Café Amazon, Texas Chicken, Jiffy, Pearly Tea, KAMU KAMU, Pacamara, Kouen Premium Buffet, โอ้กะจู๋ และร้านค้าแบรนด์ดังชั้นนำ เช่น Audrey Café, McDonald’s, Black Canyon, Tsuta, Kobe Steakhouse, แม่ศรีเรือน, โชคดีติ่มซำ, มานีมีหม้อ, Café de Tu, Gram, Pablo, BreadTalk, Bun, Squeeze by Tipco และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่พร้อมจะส่งมอบดีลส่วนลดในราคาพิเศษ ให้กับลูกค้า

xplORe เปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน xplORe ได้ฟรี ที่ App Store สำหรับระบบปฏิบัติการ iOS และ Google Play Store สำหรับระบบปฏิบัติการ Android

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post OR เปิดตัว xplORe แอปพลิเคชั่นรวมทุกบริการ Blue Card, Blue CONNECT ไว้ที่เดียว first appeared on Brand Inside.

เปิดรายงานกนง. รอบส.ค. 66 หลังขึ้นดอกเบี้ยฯ ย้ำ 3 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

Brand Inside - 18 August 2023 - 17:20

หลังจากวันที่ 2 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ของไทย มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี ขึ้นสู่ระดับ 2.25% ต่อปีนั้น ล่าสุดทางกนง. ได้ออกรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 4/2566 โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้

การตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ 0.25% ต่อปีนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินจากบริบทเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับศักยภาพ นโยบายการเงินควรดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน และช่วยเสริมเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวโดยการป้องกันการสะสมความไม่สมดุลทางการเงินที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบาย การเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่อยู่ในระดับสูง

โดยความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า คณะกรรมการฯ ได้ระบุถึงปัจจัยดังนี้ 

  • การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนจะกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค ซึ่งจีนและอาเซียนมีสัดส่วนในตลาดส่งออกของไทยรวมกันใกล้เคียง 40% 
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยจะส่งผลในหลายมิติ หากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าอาจกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อาจส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสูงกว่าที่ประเมินไว้ 
  • กรณีปรากฏการณ์เอลนีโญอาจส่งผลรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้ราคาอาหารสดรวมถึงต้นทุนอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่า ผู้ประกอบการอาจกลับมาส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาเพิ่มขึ้นได้ในบริบทที่ต้นทุนสูงขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ขยายตัว 

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ มองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก แม้ภาคการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้แต่คาดว่าจะทยอยปรับดีขึ้นในระยะต่อไป โดยปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ 

1) ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มี

แนวโน้มเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับประมาณการเดิมที่ 29 และ 35.5 ล้านคนในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ โดยแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้แต่ได้รับการชดเชยจากจำนวนนักท่องเที่ยวประเทศอื่นที่ฟื้นตัวสูงกว่าคาด 

2) การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีจากผู้บริโภคในกลุ่มรายได้ปานกลางและสูงเป็นหลัก นอกจากนี้การบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการจ้างงานและรายได้ที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัว โดยเฉพาะลูกจ้างในภาคบริการและอาชีพอิสระ สอดคล้องกับข้อมูลรายได้ที่แท้จริงของลูกจ้างนอกภาคเกษตรในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ที่ขยายตัว 2.4% จากไตรมาสก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดีการส่งออกสินค้าในปี 2566 คาดว่าจะหดตัวเล็กน้อย ส่วนหนึ่งตามเศรษฐกิจจีน วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวช้าและสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยคาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็น

ค่อยไปในครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศที่ได้อานิสงส์จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในสหรัฐฯ และ ยุโรป สินค้าเกษตรแปรรูปตามอุปสงค์ของอาเซียน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่อุปสงค์โลกจะฟื้นตัวในปลายปี โดยตลาดอาเซียนจะฟื้นเร็วกว่าประเทศอื่นจากอุปสงค์ชิปรถยนต์

ด้านการบริโภคและการลงทุนภาครัฐโดยรวมในปี 2566 คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามกระบวนการงบประมาณที่คาดว่าจะล่าช้า 2 ไตรมาสโดยจะกลับมาขยายตัวในปี 2567 

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงในระยะสั้น แต่ในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากผลของฐานที่สูงในปีก่อนและมาตรการลดค่าครองชีพซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวและแนวโน้มค่าไฟฟ้าที่ปรับลดลงตามต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ รวมถึงแนวโน้มราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศที่ปรับลดลง 

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะปรับสูงขึ้นหลังปัจจัยชั่วคราวทยอยหมดลง ขณะเดียวกันราคาในหมวดอาหารสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความรุนแรงของปรากฏการณ์เอลนีโญ (แต่ยังน้อยกว่าภัยแล้งช่วงปี 2557) 

ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงแต่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงจากหมวดอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหาร (food in core) และบริการที่ไม่รวมค่าเช่าบ้าน รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่ลดลง 

อย่างไรก็ดี เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยโดยรวมยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่เงินเฟ้อหมวดอาหารของโลกซึ่งยังอยู่ในระดับสูง มีอิทธิพลต่อความผันผวนของเงินเฟ้อหมวดอาหารของไทยอย่างมีนัย มองไปข้างหน้าอัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูงที่สำคัญจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหากปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงกว่าคาด ซึ่งอาจเร่งการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เข้าใกล้ระดับที่เหมาะสมกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาวเป็นลำดับ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ระดับศักยภาพ อัตราเงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมายแต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูง นโยบายการเงินยังควรดูแลให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืนควบคู่กับให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ การเงินในระยะยาว 

การประชุมกนง. วันที่ 27 ก.ค. และ 2 ส.ค. 2566 มีกรรมการที่เข้าร่วมประชุม ได้แก่

  • นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) 
  • นายเมธี สุภาพงษ์(รองประธาน)
  • นางรุ่ง มัลลิกะมาส
  • นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน 
  • นายรพี สุจริตกุล 
  • นายสมชัย จิตสุชน 
  • นายสุภัค ศิวะรักษ์

ที่มา – ธนาคารแห่งประเทศไทย 

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เปิดรายงานกนง. รอบส.ค. 66 หลังขึ้นดอกเบี้ยฯ ย้ำ 3 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ first appeared on Brand Inside.

Coursera แปลหลักสูตรเป็นภาษาไทยกว่า 2,000 คอร์ส เพิ่มฟีเจอร์ถาม-ตอบด้วย AI 

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:50

Coursera นำ AI มาใช้แปลหลักสูตรบนแพลตฟอร์มจากภาษาอังกฤษเป็น 7 ภาษา ประกาศแปลหลักสูตรเป็นภาษาไทยแล้วกว่า 2,000 คอร์ส พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ถาม-ตอบบทเรียนด้วย AI ร่วมมือธุรกิจและมหาวิทยาลัยในไทย

Jeff Maggioncalda ประธานกรรมการบริหาร เผยว่า Corsera มองว่าเทคโนโลยีกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไป Coursera จึงนำ AI มาช่วยในการพัฒนาบนแพลตฟอร์ม โดยเพิ่มฟีเจอร์ที่สำคัญ ดังนี้

  • แปลคอร์สเรียนเป็นภาษาไทยด้วย AI ปัจจุบันมีหลักสูตรที่แปลแล้วกว่า 2,000 คอร์สครอบคลุมหลักสูตรที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยเพิ่มคำบรรยายวิดีโอ  แบบทดสอบ การประเมินเป็นภาษาไทยเพื่อลดอุปสรรคในการเรียนเรื่องกำแพงภาษาและจะเริ่มแปลหลักสูตรมากขึ้น 
  • Coursera Coach (เบต้า) สำหรับสมาชิก Coursera Plus นำ AI มาใช้ ให้ผู้เรียนสามารถถามคำถามทั้งที่เกี่ยวกับเนื้อหาคอร์สเรียน ไปจนถึงคำถามเรื่องอาชีพ โดย AI จะสามารถโต้ตอบเป็นภาษาไทยได้ 
  • ปลั๊กอิน Coursera ChatGPT ช่วยค้นหาและแนะนำบทเรียนตามหลักสูตรของ Coursera 

นอกจากนี้ ผู้สร้างหลักสูตร (Educator) ที่เป็นกลุ่มธุรกิจและมหาวิทยาลัยจะสามารถนำ AI มาช่วยสร้างหลักสูตรได้ แต่ขณะนี้ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลองใช้กับผู้ที่ได้รับคัดเลือกจาก Coursera 

Coursera ยังได้ร่วมมือกับองค์กรธุรกิจและมหาวิทยาลัยในไทยเพื่อส่งเสริมหลักสูตรที่เป็นภาษาไทย อย่าง Egg Digital, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท Card X จำกัด กลุ่มเทคโนโลยีกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรอยุธยา รวมแล้วทั้งหมด 27 รายในปัจจุบัน  รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษา 15 ราย 

ผลสำรวจพบว่า ภายในปี 2027 คาดว่า 24% ของงานในประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยทักษะทางดิจิทัลและภาษามีความสำคัญมากขึ้น ประกอบกับการทำงานแบบ Remote Work จะทำให้เกิดคนที่มีความสามารถสามารถทำงานได้ในบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ขณะที่บริษัทในไทย 94% ยังประสบปัญหาการจ้างงานผู้ที่มีทักษะดิจิทัล

การวิจัยพบว่าแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัลจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ GDP ของไทยประมาณ 75.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแรงงานที่มีทักษะเองก็จะได้รับเงินเดือนสูงกว่าแรงงานที่ไม่มีทักษะด้านดิจิทัล 57% นอกจากนี้ รายงานผลการเรียนรู้ของผู้ใช้งานแพลตฟอร์มในปีนี้พบว่า 86% ของผู้เรียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่าการเรียนบน Coursera ช่วยสร้างประโยชน์ด้านอาชีพ

ข้อมูลการเรียนบน Coursera ของคนไทย

การที่ภาษาไทยเป็นหนึ่งในภาษาที่ถูกนำมาแปลในคอร์สเรียนเพราะ Coursera มองเห็นโอกาสในประเทศไทยเนื่องจากมีผู้เรียนกว่า 800,000 คน รวมทั้งได้ลงทะเบียนหลักสูตรบนแพลตฟอร์มมากกว่า 1.5 ล้านคอร์ส สูงขึ้น 4 เท่านับจากช่วงการระบาดของโควิด-19 ขณะที่มีคนทั่วโลกที่ใช้ Coursera ราว 129 ล้านคนทั่วโลก เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน (ข้อมูลวันที่ 30 มิถุนายน 2023) 

จากสถิติของ Coursera ในประเทศไทย ผู้หญิง (51%) ที่ลงทะเบียนในคอร์สเรียนมีมากกว่าผู้ชาย (49%) โดยอายุเฉลี่ยของผู้เรียนอยู่ที่ 31 ปี 44% ของผู้เรียนไทยใช้โทรศัพท์มือถือในการเรียน ทำให้บริษัทเห็นแนวทางพัฒนาผู้เรียนที่เป็นคนรุ่นใหม่ 

ส่วนคอร์สเรียนที่ได้รับความนิยมจากคนไทย 10 อันดับแรก มีดังนี้ 

  • ภาษาจีนขั้นพื้นฐาน จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
  • Foundations: Data, Data, Everywhere จาก Google
  • ปูพื้นฐานสำหรับการบริหารจัดการโครงการ (Project Management) จาก Google
  • ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต
  • ภาษาเกาหลีพื้นฐาน จากมหาวิทยาลัยยอนเซ
  • ภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
  • ปูพื้นฐานการออกแบบ User Experience (UX) จาก Google
  • การตั้งคำถามให้มีประสิทธิภาพเพื่อการตัดสินใจที่เฉียบแหลมจากข้อมูล (Data-Driven Decisions) จาก Google
  • ภาษาจีนขั้นพื้นฐานเพิ่มเติม จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
  • ปูพื้นฐานการตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ จาก Google 

ที่มา – Coursera

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Coursera แปลหลักสูตรเป็นภาษาไทยกว่า 2,000 คอร์ส เพิ่มฟีเจอร์ถาม-ตอบด้วย AI  first appeared on Brand Inside.

ไทยพาณิชย์ ส่งแคมเปญ “แก้ เกม กล โกง” สร้างความตระหนักให้ประชาชนรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงมิจฉาชีพยุคใหม่

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:19

SCB แก้ เกม กล โกง_01

ธนาคารไทยพาณิชย์ มีความห่วงใยสังคมไทยและตระหนักถึงผลกระทบจากภัยทุจริตทางการเงินของมิจฉาชีพที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอดเวลา โดยจากสถิติยอดแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 พฤษภาคม 2566 พบว่ามีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 38,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 74 ล้านบาท/วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางป้องกันภัยทางการเงิน ควบคู่กับการยกระดับความปลอดภัยของระบบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด พร้อมทั้งมีการสื่อสารไปยังลูกค้าเพื่อเป็นการสร้างความตระหนักรู้ด้านภัยทุจริตทางการเงิน รวมถึงภัยจากไซเบอร์ อย่างต่อเนื่อง จากมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลที่ประชาชนต้องสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการทำธุรกรรมทางการเงินในระยะต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงเล็งเห็นว่าลูกค้ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยของมิจฉาชีพได้อย่างเท่าทันและมีประสิทธิภาพ ธนาคารจึงจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยให้คนไทย ตื่นตัว รับรู้ เข้าใจ และรู้ทันวิธีป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน และภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยตนเอง ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. อัปเดตกลโกง 2. วิธีป้องกันโกง 3. ถ้าโดนโกงแล้วต้องทำอย่างไร พร้อมทั้ง การแจ้งข่าวสาร ประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับภัยมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ The Standard สำนักข่าวออนไลน์ชั้นนำของเมืองไทย พัฒนาโครงการ พร้อมร่วมจัดทำคอนเทนต์เตือนภัยมิจฉาชีพสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เป็นประโยชน์ สร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้างผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย อีกด้วย

โดยการจัดทำโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ครั้งนี้ ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถสร้างความตระหนักแก่ภาคธุรกิจและประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ พร้อมยืนหยัดเดินหน้ายกระดับความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยมาตรการการป้องกัน ติดตามและให้ความช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อลูกค้ามีความเสี่ยงจากภัยทุจริตทางการเงิน ควบคู่กับการสื่อสารและเตือนภัยให้แก่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยทางการเงินที่อาจสร้างความเสียหายในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินและองค์กรต่างๆ โดยรวม

สามารถติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับภัยจากมิจฉาชีพทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภคจากโครงการ “แก้ เกม กล โกง” ได้ที่ Social media ของธนาคารไทยพาณิชย์ และ The Standard ทุกช่องทาง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

SCB แก้ เกม กล โกง_03

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ไทยพาณิชย์ ส่งแคมเปญ “แก้ เกม กล โกง” สร้างความตระหนักให้ประชาชนรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงมิจฉาชีพยุคใหม่ first appeared on Brand Inside.

วันหยุดธนาคาร ปี 2567 หยุดวันไหนบ้าง เช็คเลย !

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:15

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการประกาศ วันหยุดธนาคาร ของปี 2567 ออกมาแล้วซึ่งมีทั้งหมด 18 วัน ตามวันดังต่อไปนี้ (อัพเดตวันที่ 9 สิงหาคม 2566)

มกราคม วันจันทร์ 1 มกราคม
วันขึ้นปีใหม่ วันอังคาร 2 มกราคม
ชดเชยวันสิ้นปี (วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566) กุมภาพันธ์ วันจันทร์ 26 กุมภาพันธ์
ชดเชยวันมาฆบูชา (วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567) เมษายน วันจันทร์ 8 เมษายน
ชดเชยวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ (วันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2567) วันจันทร์ 15 เมษายน
วันสงกรานต์ วันอังคาร 16 เมษายน
ชดเชยวันสงกรานต์ (วันเสาร์ที่ 13 เมษายน 2567 และ วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2567) พฤษภาคม วันพุธ 1 พฤษภาคม
วันแรงงานแห่งชาติ วันจันทร์ 6 พฤษภาคม
ชดเชยวันฉัตรมงคล (วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2567) วันพุธ 22 พฤษภาคม
วันวิสาขบูชา มิถุนายน วันจันทร์ 3 มิถุนายน
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี กรกฎาคม วันจันทร์ 22 กรกฎาคม
ชดเชยวันอาสาฬหบูชา (วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2567) วันจันทร์ 29 กรกฎาคม
ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567) สิงหาคม วันจันทร์ 12 สิงหาคม
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ ตุลาคม วันจันทร์ 14 ตุลาคม
ชดเชยวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2567) วันพุธ 23 ตุลาคม
วันปิยมหาราช ธันวาคม วันพฤหัสบดี 5 ธันวาคม
วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ วันอังคาร 10
วันรัฐธรรมนูญ วันอังคาร 31
วันสิ้นปี

 

สำหรับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้หยุดในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอปอซอ) และ วันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) ตามประกาศสำนักจุฬาราชมนตรี เป็นการเพิ่มเติม หากวันดังกล่าว ไม่ตรงกับวันหยุดตามที่กล่าวข้างต้นหรือวันหยุดประจำสัปดาห์

สำหรับสาขาของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสตูล และจังหวัดสงขลา ให้หยุดในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอปอซอ) และวันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) ตามประกาศสำนักจุฬาราชมนตรี ​และวันตรุษจีน เป็นการเพิ่มเติม หากวันดังกล่าวไม่ตรงกับวันหยุดตามที่กล่าวข้างต้นหรือวันหยุดประจำสัปดาห์

Ref :bot.or.th  PPTVHD36  springnews.co.th

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post วันหยุดธนาคาร ปี 2567 หยุดวันไหนบ้าง เช็คเลย ! first appeared on Brand Inside.

วิธีการสมัคร Netflix และวิธียกเลิก Netflix ทำตามขั้นตอนได้ง่ายๆ

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:13

Netflix บริการสตรีมมิ่งชื่อดังที่มีซีรี่ส์ฮิตและภาพยนตร์ดังมากมายรวมทั้ง Original Content มากมายให้ได้เลือกชม ตอนนี้ Netflix มีหลากหลายแพ็คเกจให้ได้สมัครกัน ใครยังไม่สมัคร Netflix หรือไม่รู้ว่าแพ็คเกจไหนเหมาะกับตัวเอง ลองอ่านบทความนี้ดูกัน

สมัคร Netflix ยังไง มีแพ็คเกจไหนบ้าง

ก่อนอื่น เข้าไปที่ https://www.netflix.com/th-en/ จากนั้นกรอก Email ที่คุณต้องการใช้สมัครแล้วกด Get Started เพื่อเริ่มการสมัครสมาชิก

หลังจากนั้นให้เรากำหนดรหัสผ่านของ Netflix Account ของเรา

จากนั้นให้เราเลือกแพ็คเกจโดยจะมี 4 แพ็คเกจให้เลือกซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามราคา ดังต่อไปนี้

แพ็คเกจ Mobile เดือนละ 99 บาท 
  • ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ Standard 480p
  • รับชมได้ครั้งละ 1 เครื่อง
  • รับชมได้เฉพาะ Tablet และ Mobile เท่านั้น
แพ็คเกจ Basic 169 เดือนละ 169 บาท 
  • ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ Good 720p
  • รับชมได้ครั้งละ 1 เครื่อง
  • รับชมได้ทุก Device รวมทั้ง Computer และ TV
แพ็คเกจ Standard เดือนละ 349 บาท
  • ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ Better 1080p
  • รับชมได้พร้อมกัน 2 เครื่อง
  • รับชมได้ทุก Device รวมทั้ง Computer และ TV
แพ็คเกจ Premium เดือนละ 419
  • ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 4K HDR
  • รับชมได้พร้อมกัน 4 เครื่อง
  • รับชมได้ทุก Device รวมทั้ง Computer และ TV
โดยตาม นโยบายใหม่ของ Netflix นั้นผู้ใช้แพ็คเกจ Standard และ Premium สามารถเพิ่มสมาชิกเสริมโดยชำระเงินเพิ่ม 99 บาท/คน/เดือน

หลังจากเลือกแพ็คเกจได้แล้ว ให้เรามาเลือกวิธีการชำระเงิน โดยจะมีทั้งตัดบัตรเครดิต เดบิต, TrueMoney Wallet รวมทั้งตัดผ่านบิลค่าโทรศัพท์โดย AIS TRUE dtac และการใช้ Netflix Gift code Redeem

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ Account Netflix มาใช้รับชมแล้ว

วิธียกเลิก Netflix 

หากคุณรู้สึกว่าใช้บริการของ Netflix ไม่คุ้มหรือไม่รู้จะดูอะไรแต่ก็ไม่อยากเสียเงินรายเดือนไปเรื่อย สามรรถเข้าไปยกเลิกได้ที่ https://www.netflix.com/CancelPlan

จากนั้นให้กดเสร็จสิ้นการยกเลิก เพียงเท่านี้ Netflix Account ของเราก็จะถูกปิดและไม่ตัดเงินรายเดือน แต่ข้อมูลของเราใน Account จะยังถูกเก็บไว้ 10 เดือน เพื่อรอคอยเรากลับมาใช้บริการอีกครั้ง

ด้วยความที่ Netflix มีความครบครันในเรื่องของแพ็คเกจที่เข้าถึงทุกคน ราคาที่ค่อนข้างดี เนื้อหาก็มีให้เลือกมากมายในการรับชม ทำให้ Netflix กลายเป็น Streaming Platform อันดับ 1 ในใจของใครหลายคนไปแล้ว

Source: https://www.netflix.com/signup 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post วิธีการสมัคร Netflix และวิธียกเลิก Netflix ทำตามขั้นตอนได้ง่ายๆ first appeared on Brand Inside.

Loopsie แอปเปลี่ยนภาพธรรมดา ให้เป็นภาพอนิเมะสุดเจ๋ง!

iPhonemod - 18 August 2023 - 16:08

ตอนนี้แอป Loopsie แอปนี้กำลังเป็นกระแสมาก เพราะมียอดดาว […] More

The post Loopsie แอปเปลี่ยนภาพธรรมดา ให้เป็นภาพอนิเมะสุดเจ๋ง! appeared first on iMoD.

NDID คืออะไร ใช้งานอย่างไร ลงทะเบียนได้ที่ธนาคารไหนบ้าง

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:08

หลายคนคงจะพอเคยได้ยินคำว่า NDID มากันแล้วบ้างเวลาที่เราทำธุรกรรมกับธนาคารหรือใช้บริการจาก Mobile Banking แม้กระทั่งแอปเป๋าตังค์ แล้ว NDID ใช้ประโยชน์ได้ยังไงบ้าง ต้องลงทะเบียนอะไรซับซ้อนหรือไม่ หาคำตอบได้จากบทความนี้เลย

NDID คืออะไร

NDID (National Digital ID) เป็น Platform กลางที่ให้บริการการยืนยันและพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัลซึ่งเป็นสามารถเชื่อมโยงข้อมูลทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีธนาคาร การขอสินเชื่อ โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขาเพื่อทำการยืนยันตัวตน

NDID ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญของประเทศไทยที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนโดยใช้แนวคิด Decentralized ผ่านเทคโนโลยี Blockchian ที่มีความปลอดภัยสูง โดยผู้ดูแลระบบ NDID คือบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัดซึ่งมีผู้ร่วมลงทุนไม่ว่าจะเป็นสถาบันทางการเงิน หน่วยงานของรัฐ บริษัทประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์บริษัทผู้ให้บริการทางด้านการเงิน รวมแล้วกว่า 60 ราย ทำให้มั่นใจได้ว่าการลงทะเบียน NDID นั้นสามารถใช้งานได้หลากหลายบริการ ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มธุรกิจ

NDID มีผู้เกี่ยวข้องอยู่ 3 หน่วยงานได้แก่ 

Reliying Party เรียกย่อๆ ว่า RP เป็นผู้ให้บริการที่ติดต่อกับลูกค้าหรือผู้ใช้งานซึ่งต้องการใช้การยืนยันตัวตน NDID จาก idP หรือ Identity Provider

Identity Provider เรียกย่อๆ ว่า idP เป็นผู้ทำหน้าที่พิสูจน์และยืนยันตัวตนโดยใช้ NDID ให้กับผู้ใช้งานที่ใช้บริการผ่าน RP ซึ่ง idP จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านทาง Mobile Banking

Authoritative Source หรือ AS เป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลของเราอยู่ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หน่วยงานของรัฐ และ อื่นๆ

 

ข้อดีของการมี NDID
  • ลดความยุ่งยากในการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันข้อมูลในระบบ
  • ประหยัดเวลาในการไม่ต้องไปทำธุรกรรมบางประเภทที่สาขา
  • เพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของเรา
  • สามารถใช้งานได้กับหลายบริการที่จำเป็นต้องใช้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนซึ่งโดยปกติมักจะใช้ระบบของตนเองทำให้เสียเวลาในการพัฒนาและไม่มีมาตรฐานเดียวกัน

 

สมัคร NDID ยังไง

จะเห็นได่ว่า NDID มีประโยชน์และช่วยให้เราเข้าถึงบริการมากมายผ่านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนได้เร็วขึ้น หากใครที่ต้องการสมัคร NDID สามารถทำได้กับธนาคารที่เรามีบัญชีธนาคารในครอบครอง ซึ่งมีธนาคารที่ให้บริการเชื่อมต่อกับ NDID ดังนี้

ในอนาคต NDID จะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่คอยส่งเสริมให้ระบบดิจิทัลในประเทศไทยพัฒนาได้ไวยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีทิศทางการพัฒนาในลำดับต่อไปของ NDID จากกลุ่ม “ก้าวGeek” Community tech ของพรรคก้าวไกลที่มี Topic ของการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของ NDID อยู่ในนั้นด้วย นับว่าเป็นก้าวสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทยมากๆ เลยทีเดียว

Source: FINNOMENA Techsauce ndid

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post NDID คืออะไร ใช้งานอย่างไร ลงทะเบียนได้ที่ธนาคารไหนบ้าง first appeared on Brand Inside.

เช็ค ดอกเบี้ยบ้าน 2566 ทุกธนาคาร ก่อนเริ่มวางแผนบ้านในฝัน

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:05

การมีบ้านสักหลังคงเป็นความฝันของใครหลายคนอยู่แล้ว แต่กว่าจะเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านหรือสร้างบ้านในฝันได้ก็คงใช้เวลานานมาก ดังนั้นการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านในฝันจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลายคนเลือกเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่หรือสะสมเงินรอวันที่จะได้ซื้อบ้าน แต่การพิจารณาสินเชื่อบ้านนั้นมักจะตามมาด้วยสิ่งหนึ่งที่ต้องคิดร่วมด้วยนั่นก็คือ “ดอกเบี้ยบ้าน” ที่แต่ละธนาคารนั้นมีเรทไม่เท่ากันเนื่องมาจากวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ไม่เหมือนกันว่าจะเป็นแบบ MLR, MRR,MOR บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเรื่อง “ดอกเบี้ยบ้าน” และโปรแกรมสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจของแต่ละธนาคารกัน

รู้จัก MLR, MRR,MOR ก่อนเริ่มมองหาสินเชื่อกู้บ้านในฝัน MLR 

MLR หรือ Minimum Loan Rate  คือ เรทดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดเพื่อเรียกเก็บลูกค้าที่มีประวัติการเงินดี มักจะใช้เรทนี้กับผู้กู้ที่ต้องการกู้ระยะยาว มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เช่นสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ

MRR

MRR หรือ Minimum Retail Rate คือ เรทดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดเพื่อเรียกเก็บลูกค้าทั่วไป มักใช้กับเงินกู้ที่ไม่มีระยะเวลาตายตัวหรือจนกว่าเงินต้นจะชำระหมด เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อที่อยู่อาศัย (ดอกเบี้ยบ้านของเราคือเรทนี้)

MOR

MOR หรือ Minimum Overdraft Rate คือ เรทดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดเพื่อเรียกเก็บลูกค้ารายใหญ่ ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือเบิกเงินเกิน OD (Over Draft)

 

เช็ค “ดอกเบี้ยบ้าน” ของแต่ละธนาคาร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ MRR 6.9% (09/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ:

“โครงการบ้าน ธอส. แสนสุข ปี 2566” ผ่อนนานสุดไม่เกิน 40 ปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 2.5 ล้านบาท
ดอกเบี้ยปีแรก 1.99%
ดอกเบี้ยปีที่ 2 3.15%
ดอกเบี้ยปีที่ 3  MRR-2.90%
ดอกเบี้ยปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา MRR-1.00% 

“สินเชื่อบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ปี 2566” ผ่อนนานสุดไม่เกิน 40 ปี 
ดอกเบี้ยปีแรก 2.65%
ดอกเบี้ยปีที่ 2  3.5-%
ดอกเบี้ยปีที่ 3  MRR-3.15%
ดอกเบี้ยปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา MRR-1.00% 

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อลูกค้าทั่วไป – ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 

ธนาคารออมสิน MRR: 6.995% (08/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านธนาคารออมสิน” วงเงินสูงสุดไม่เกิน 110% ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี
ดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เริ่มต้น MRR – 1.550%
ดอกเบี้ยปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เริ่มต้น MRR – 0.250%

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้านธนาคารออมสิน

 

ธนาคารกรุงเทพ MRR: 7.05% (02/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ:

“สินเชื่อบ้านบัวหลวง” วงเงินสูงสุด 100% ของมูลค่าหลักประกัน ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี(เฉพาะพนักงานประจำ สูงสุด 35 ปี) ค่าประเมินหลักประกัน ขั้นต่ำ 3,000 บาท
ดอกเบี้ยปีแรก เริ่มต้น 4.10%
ดอกเบี้ยปีที่ 2 – 3 ดอกเบี้ยเริ่มต้น 6.55%
ดอกเบี้ยปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เริ่มต้น 6.30%

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้านบัวหลวง

 

ธนาคารกสิกรไทย MRR: 7.05% (06/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านธนาคารกสิกรไทย” วงเงินสูงสุดไม่เกิน สูงสุด 90% ของมูลค่าหลักประกัน ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี
ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.80% ดอกเบี้ยปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา MRR + 1.75%

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้าน ธนาคารกสิกรไทย

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ MRR: 7.05% (09/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อซื้อบ้านใหม่” วงเงินสูงสุด 100% ผ่อน ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 6.575% ปีถัดไปตามเรท MRR

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้าน กู้บ้านใหม่ อัตราดอกเบี้ยบ้านต่ำ กู้ง่าย อนุมัติไว| SCB

 

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา MRR: 7.15% (09/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย” ผ่อนนานสุด 30 ปี วงเงินกู้สูงสุด 90% ของราคาประเมิน วงเงินอนุมัติ 1-5 ล้านบาท ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.03% – 5.06%

“สินเชื่อคอนโด” วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน วงเงินอนุมัติ 1 ล้านบาทขึ้นไป ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55 – 3.80% ฟรีค่าประเมินหลักประกัน

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้านกรุงศรี 

 

ธนาคารกรุงไทย MRR: 7.32% (09/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านกรุงไทย” ดอกเบี้ยคงที่ 2.50% 6 เดือน วงเงินกู้ 100% ผ่อนนานสุด 40 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.82% – 4.02%

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้าน ธนาคารกรุงไทย

 

ธนาคารทหารไทยธนชาต MRR: 7.58% (07/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านใหม่ – บ้านมือสอง” วงเงินอนุมัติ 100% ผ่อนนานสูงสุด 35 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 3.65% หลังจากนั้น MRR-2.23% ฟรีประกันอัคคีภัย ฟรีค่าประเมินหลักทรัพย์

รายละเอียดเพิ่มเติม: สินเชื่อบ้านใหม่ – บ้านมือสอง | ทีเอ็มบีธนชาต

 

ธนาคารยูโอบี MRR: 8.55% (15/06/2023) โปรแกรมสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำที่น่าสนใจ: 

“สินเชื่อบ้านยูโอบี” วงเงินอนุมัติ 95-100% สูงสุด 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 3.40% หลังจากนั้น MRR-1.40%

รายละเอียดเพิ่มเติม: UOB Home Loan สินเชื่อซื้อบ้านใหม่และกู้เงินสร้างบ้าน

 

จะเห็นได้ว่ามีโปรแกรมสินเชื่อมากมายสำหรับคนที่อยากมีบ้าน ใครที่กำลังสนใจมองหาบ้านสักหลังและสินเชื่อสำหรับบ้านในฝันก็อย่าลืมศึกษารายละเอียดแต่ละธนาคารและเปรียบเทียบอย่างรอบคอบเพื่อไม่ได้ดอกเบี้ยบ้านกลายเป็นดอกเบี้ยบาน

Source: Land and Houses Sansiri (1) Sansiri(2)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เช็ค ดอกเบี้ยบ้าน 2566 ทุกธนาคาร ก่อนเริ่มวางแผนบ้านในฝัน first appeared on Brand Inside.

ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (VAT) คืออะไร มีวิธีคิดอย่างไร

Brand Inside - 18 August 2023 - 16:02

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า VAT ย่อมาจาก Value Added Tax เป็นภาษีที่เรียกได้ว่าเราทุกคนเจอและจ่ายทุกวัน แล้วภาษีนี้ใครจ่ายกันแน่ ร้านทุกร้านต้องจดทะเบียน VAT หรือไม่ แล้ว VAT 7% นี้มันไปอยู่ไหนหลังจากเราจ่ายแล้ว หากคำตอบได้จากบทความนี้เลย

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คืออะไร

เป็นภาษีที่เก็บจากการขายสินค้าและบริการภายในประเทศ โดยจะจัดเก็บอยู่ที่ 7% ซึ่งผู้ประกอบการหรือเจ้าของร้านจะเก็บจากผู้บริโภค ตามที่เรามักจะเห็นในใบเสร็จรับเงินหลังจากที่เราใช้บริการหรือซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว

เมื่อทำการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้ามาแล้ว ผู้ประกอบการมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้สรรพากรในทุกๆ ปีเพื่อนำส่งเป็นรายได้ของประเทศเพื่อจัดสรรเป็นงบประมาณในการบริหารประเทศต่อไป

การคิดภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถทำได้จากสูตรนี้ 

ราคาสินค้าหรือบริการ X 0.07 = ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ใคร “ต้อง” จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง
  • ผู้ประกอบการที่มีรายได้ก่อนหักต้นทุนกำไรมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี หากก่อนหน้านี้รายได้ไม่ถึง ให้ทำการจดทะเบียนภายใน 30 วันหลังรายได้เกิน
  • ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงงาน อาคารสำนักงาน หรือการติดตั้งเครื่องจักร
  • ผู้ประกอบการอยู่นอกราชอาณาจักร และได้ขายสินค้าหรือบริการในราชอาณาจักร โดยมีตัวแทนอยู่ในราชอาณาจักร ให้ตัวแทนรับผิดชอบในการจดทะเบียน
ใครได้รับการ “ยกเว้น” การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง
  • ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าพืชผลทางการเกษตร สัตว์ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ปุ๋ย ปลาป่นอาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
  • ผู้ประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายและมีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
  • การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโดยท่าอากาศยาน
  • การส่งออกของผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
  • การให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในราชอาณาจักร
ใครที่ “ไม่ต้องจดทะเบียน” การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มบ้าง
  • ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
  • ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
  • ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
  • ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว (ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร)
  • ผู้ประกอบการที่ได้รับการประกาศจากกรมสรรพากร
วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถกระทำได้ 2 ช่องทาง ดังนี้

VAT Refund คืออะไร 

เป็นการนำเอาภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้นำส่งสรรพากรคืนกลับให้นักท่องเที่ยวเพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยสินค้าในประเทศมากขึ้น โดยการของ Refund นั้นมีเงื่อนไขดังนี้

  • นักท่องเที่ยวต้องนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรไทย ภายใน 60 วัน โดยนับวันที่ซื้อสินค้าเป็นวันแรก
  • ต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าที่แสดงป้ายสัญลักษณ์ “VAT REFUND FOR TOURISTS”
  • ต้องซื้อสินค้ามูลค่าไม่น้อยกว่า 2,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) จากสถานประกอบการแห่งเดียวกัน ในวันเดียวกัน
  • ณ วันที่ซื้อสินค้า ให้แสดงหนังสือเดินทางแก่พนักงานขายและขอแบบ ภ.พ.10 จากร้านค้าพร้อมทั้งต้นฉบับใบกำกับภาษี โดยแบบ ภ.พ.10 แต่ละฉบับต้องมีมูลค่าสินค้า 2,000 บาทขึ้นไป
  • ในวันที่เดินทางออกก่อน Check-in ให้นำสินค้าและแบบ ภพ.10 ที่มีมูลค่าการซื้อสินค้ารวมกันแล้วถึง 5,000 บาท ไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าและประทับตรา
  • สินค้าราคาแพง ได้แก่ อัญมณีที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนหรือของรูปพรรณ, ทองรูปพรรณ, นาฬิกา, แว่นตา ปากกา โทรศัพท์แบบพกพา หรือสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แบบพกพา กระเป๋าถือ (ไม่รวมถึง กระเป๋าเดินทาง) เข็มขัด ที่มีมูลค่าชิ้นละ 10,000 บาทขึ้นไป หรือสินค้าที่สามารถนำติดตัวไปพร้อมกับการเดินทางที่มีมูลค่าการซื้อต่อชิ้นตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ต้องนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจประทับรับรองในแบบ ภ.พ.10 อีกครั้ง ณ สำนักงานคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ผู้โดยสารขาออก ส่วนในหลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง

แถมท้ายเผื่อเวลาใครไปใช้บริการร้านอาหารหรือบริการกับเพื่อนๆ แล้วทางร้านมีการคิด VAT 7% มาในบิลแล้วอยากหารกับเพื่อนๆ โดยรวมค่า VAT เข้าไปในรายการที่เราสั่งด้วย ให้เอาราคาของที่เราสั่งคูณด้วย 1.07 จะได้ราคาที่เราต้องจ่ายจริงๆ แค่นี้ ง่ายๆ จบๆ

Source: กรมสรรพากร กรมสรรพากร (2) makewebeasy.com  Money Buffalo

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (VAT) คืออะไร มีวิธีคิดอย่างไร first appeared on Brand Inside.

TikTok Shop คืออะไร สมัครยังไง ขายยังไงให้ปัง!!!

Brand Inside - 18 August 2023 - 15:59

ในยุคที่ Social Media Platform หลายเจ้าเริ่มเปิด Feature ที่เกี่ยวกับ E-Commerce หรือ E-Marketplace ไม่ว่าจะเป็น Facebook Marketplace, LINE Shopping หรือแม้แต่ Shopee และ Lazada ก็มีการเพิ่ม Feature จนกลายเป็น Social Commerce ให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ครบ จบ ในแอพเดียว แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มาแรงจนหลาย Platform ต้องจับตามองนั่นก็คือ TikTok Shop 

TikTok Shop คืออะไร

ใครที่เข้า TikTok บ่อยๆ จะสังเกตว่าที่แถบด้านล่างจะมี icon ของ Shop อยู่ หากเรากดเข้าไปก็จะพบกับสินค้ามากมายให้ได้เลือก มีทั้ง Flashsale คูปองลดราคา สินค้าส่งฟรี รวมทั้ง Live จากร้านค้าที่หลายคนชื่นชอบ ที่พร้อมจะทำให้คุณกดจ่ายเงินแบบนึกอีกทีก็สั่งของไปแล้ว

นอกจากนี้การเข้าถึง TikTok Shop ก็ไม่จำกัดแค่เฉพาะการกดที่ icon Shop เท่านั้น แต่ยังสามารถทำ Affiliate กับ Creator บน TikTok แล้ว Pin สินค้าของร้านเราไว้เพื่อให้คนอื่นๆ เห็นสินค้าเราง่ายขึ้นและเข้ามาหาสินค้าในร้านเราได้ง่ายกว่าการจำชื่อร้านแล้วกดค้นหา เรียกได้ว่า TikTok วางแผนมาเป็นอย่างดีสำหรับการพัฒนา Social Commerce ให้เข้าถึงผู้ใช้งาน TikTok ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

สมัคร TikTok Shop ยังไง

  1. เข้าไปที่ https://seller-th.tiktok.com/account/register จากนั้นกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนสมัคร TikTok Shop หรือจะ Sign in ด้วย TikTok Account ที่เรามีอยู่แล้วก็ได้
  2. เข้าสู่หน้าของการยืนยันตัวตน หากเราเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทก็ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียวในการสมัคร
    แต่หากเราเป็นบริษัทหรือนิติบุคคลจะต้องส่งเอกสารจดทะเบียนบริษัทเพื่อยืนยันว่าร้านของเรามีตัวตนและจดทะเบียนอย่างถูกต้องแล้ว
  3. หลังจากกรอกข้อมูลเรียบร้อยให้ตรวจทานข้อมูลให้ถูกต้องก่อนส่งให้ทาง TikTok ตรวจสอบซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง
  4. จากนั้นให้เรามากรอกรายละเอียดต่างๆ ของทั้งสินค้าและตัวร้านค้าของเราเพื่อส่งให้ TikTok ตรวจสอบซึ่งจะใช้เวลาในการตรวจสอบอีกไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังกดส่งข้อมูล
ขายอะไรไม่ได้ใน TikTok Shop
  1. อาวุธปืน เครื่องกระสุน อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ทางการทหาร รวมทั้งปืนจำลองด้วย
  2. วัตถุระเบิด ดอกไม้ไฟ สารเคมีที่อาจเกิดอันตราย
  3. อวัยวะและชิ้นส่วนมนุษย์
  4. สัตว์และชิ้นส่วนของสัตว์รวมทั้งผลิตภัณท์จากสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง ครอบคลุมถึงพืชที่ได้รับการคุ้มครองด้วย
  5. ของเล่นผู้ใหญ่
  6. ยาเสพติด และอุปกรณ์ในการเสพ
  7. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ไฟฟ้า ยาสูบ และของที่เกี่ยวข้อง
  8. เหรียญ เงินสด ธนบัตร Giftcard และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ไม่ว่าสกุลเงินใดๆ
  9. ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการขาย
  10. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
  11. บัตรประชาชน Passsport เอกสารทางราชการ
ซื้อของใน TikTok Shop

หากใครเคยใช้ E-Commerce Platform เจ้าอื่นๆ มาก่อนแล้วน่าจะคุ้นเคยกับการใช้งาน TikTok Shop ได้ง่ายเพราะสามารถค้นหาสินค้าตามหมวดหมู่หรือชื่อสินค้าที่เราสนใจ จากนั้นก็กดสั่งซื้อโดยจะมีทั้งหยิบใส่ตะกร้าไว้ก่อนหรือจะสั่งซื้อเลย โดยจะมีคูปองส่วนลดเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้อย่างเรา หลังจากนั้นก็กรอกที่อยู่สำหรับจัดส่งและจ่ายเงินได้เลย หากต้องการที่จะเช็คสถานะ Order ของเรา ก็สามารถกดได้ที่เมนูขีดสามขีดมุมบนขวาของหน้า Shop นอกจากนี้ยังมีเมนูข้อความและคูปองของเราอยู่ในนี้อีกด้วย เรียกได้ว่า TikTok Shop ใช้งานง่ายไม่แพ้ Platform อื่นๆ เลย

ขายของบน TikTok Shop ยังไงให้ปัง! TikTok Shop Academy

TikTok มีแหล่งรวมเทคนิคและหลักสูตรให้ได้ลองศึกษามากมายสำหรับมือใหม่ที่อยากลองขายของใน TikTok Shop และถ้าใครที่มีประสบการณ์ขายของมาระดับหนึ่งแล้วก็ยังมีเนื้อหาสำหรับต่อยอดร้านค้าของคุณให้ยิ่งปังกว่าเดิมด้วย รายละเอียดเพิ่มเติม: https://seller-th.tiktok.com/university/home 

สร้างตัวตนให้แปลกใหม่และดูเป็นเรามากที่สุด

แน่นอนว่า TikTok นั้นเป็น Platform Short-Video ดังนั้นถ้าเราดึงความสนใจจากผู้ชมภายในแว๊บแรกที่เจอไม่ได้ เท่ากับว่าเราเสียโอกาสในการขายไปแล้ว ดังนั้นการสร้างตัวตน การรีวิว มุมกล้อง การใช้เสียงแนะนำสินค้าต้องแปลกใหม่และไม่จำเจ ฟังแล้วไม่น่าเบื่อ และไม่บังคับให้ซื้อจนเกินไป

เล่นกับกระแส

TikTok ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นผู้นำเรื่องกระแสไวรัลอยู่แล้ว หากร้านค้าหยิบเอาไวรัลเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่กำลังฮิต Hashtag ยอดนิยม หรือจะเป็นท่าเต้นที่กำลังฮิตอยู่มาปรับใช้ รับรองว่าร้านค้าเราจะอยู่ในกระแสและไม่ตกขบวนอย่างแน่นอน

แคมเปญ คูปอง โค้ดส่วนลดอย่าให้ขาด 

ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อสินค้าเรานั้นมองหาส่วนลดและราคาที่คุ้มค่ากว่าร้านอื่นๆ กันอยู่ ดังนั้นเวลาที่มีแคมเปญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 8.8 9.9 ร้านของเราควรจะมีคูปองและส่วนลดเพื่อดึงดูดสินค้าของเราให้ไปอยู่ในตะกร้าของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

Ads และ Affiliate 

ลองยิงแอดสักนิดเพื่อเพิ่มการมองเห็นให้กับสินค้าและร้านของเรา รวมถึงการทำ Affiliate ให้คนอื่นๆ ช่วยขายของให้กับเราก็เป็นหนึ่งในช่องทางที่กำลังมาแรงเพราะสินค้าของเราจะได้มีโอกาสไปโชว์ในหน้า Feed ของคนอื่นๆ มากมายหลาย Target และมีโอกาสที่จะ Convert กลับมาเป็นยอดขายได้เพิ่มอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการใช้งานและการทำร้านใน TikTok Shop ไม่ยากอย่างที่คิด ใครที่กำลังมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการขายของหรืออยากเริ่มต้นการขายของในสักช่องทางหนึ่ง เราขอแนะนำ TikTok Shop เลย รับรองว่าปังแน่นอน

Source: TikTok Shop Thailand, nipa.co.th, Page365, zortout.com

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post TikTok Shop คืออะไร สมัครยังไง ขายยังไงให้ปัง!!! first appeared on Brand Inside.

เรื่องต้องรู้ของ ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53 และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

Brand Inside - 18 August 2023 - 15:57

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นหนึ่งในภาษีที่หลายคนในวัยทำงานต้องเจอเป็นประจำซึ่งแต่ละคน แต่ละงานก็จะโดนหักในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามแต่ประเภทซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกจ้างนั้นควรจะรู้และทำความเข้าใจ รวมทั้งนายจ้างเองก็ต้องทำเอกสาร ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53 ให้ถูกต้องกับสรรพากรด้วย

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือที่หลายคนเรียกว่า “หัก ณ ที่จ่าย” “หัก 3%” คือเงินที่นายจ้างหรือบริษัทหักจากเงินที่ลูกจ้างหรือนิติบุคคลต้องได้รับ ตามสัดส่วนของประเภทค่าใช้จ่ายที่กฏหมายกำหนด ซึ่งเงินก้อนนี้หลังจากหักแล้ว นายจ้างจะเก็บไว้เพื่อนำส่งสรรพากรไม่เกินวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกนำมาคิดอีกครั้งตอนที่ลูกจ้างยื่นภาษีและเงินก้อนนี้จะถูกหักลบตามสัดส่วนเพื่อคำนวณภาษีที่ลูกจ้างต้องจ่าย บางรายหักภาษี ณ​ ที่จ่ายไว้เกินทำให้ได้ภาษีคืนหลังจากทำการ ยื่นแบบภาษี ในทุกๆ ปี

หลังจากทำจัดการภาษีหัก ณ ที่จ่ายแล้ว นายจ้างจะต้องมีเอกสารรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือ 50 ทวิ ให้กับลูกจ้างเพื่อนำไปใช้ประกอบการยื่นแบบภาษี และนายจ้างก็ต้องจัดทำ “แบบยื่นเพื่อแจ้งการหักภาษี ณ ที่จ่าย” หรือที่เรียกว่า ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53

ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53 คืออะไร

ภ.ง.ด.3

เป็นแบบยื่นเพื่อแจ้งการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้รับเงินเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา การกรอกข้อมูลให้กรอกตามฟอร์มที่สรรพากรให้มา มีชื่อ เลขบัตรประชาชน ที่อยู่ ประเภทของเงินได้ จำนวนเงินได้ที่ได้รับ สัดส่วนที่หัก ณ ที่จ่าย รวมถึงวันที่ทำการจ่ายเงิน

ภ.ง.ด.53

เป็นแบบยื่นเพื่อแจ้งการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้รับเงินเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีรายได้นิติบุคคล วิธีการกรอกข้อมูลทำแบบเดียวกับ ภ.ง.ด.3 แต่กรอกเฉพาะที่เป็นนิติบุคคล

ทั้ง ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53 จะต้องนำส่งสรรพากรก่อนวันที่ 7 ในเดือนถัดไป หากเดือนไหนไม่มีการหักอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ต้องส่ง

สัดส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย

ค่าขนส่ง 1% : หากมีการใช้บริการขนส่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นบริษัทด้าน Logistics จะต้องหัก ณ ที่จ่าย 1% โดยที่หากส่งผ่านบริษัทไปรษณีย์ไทยจะไม่ต้องหัก ณ ที่จ่ายเพราะมีการยกเว้น

ค่าโฆษณา 2% : การให้บริการด้านการโฆษณาที่เป็นลักษณะของการ ประกาศ ประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสื่อต่างๆ ที่ไม่ใช่ Social Media จะต้องหัก ณ ที่จ่าย 2%

ค่าบริการ/ค่าจ้างทำของ 3% : การบริการที่โดยทั่วไปจะใช้สัดส่วน 3% ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานฟรีแลนซ์ จ้างรีวิว จ้างเขียนบทความ จ้างช่างภาพ รวมถึงบริการทางสารสนเทศก็ใช้สัดส่วน 3% เช่นกัน

ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ 5% : นับจากการถือครองกุญแจ เช่นเราเช่ารถยนต์ เช่าห้อง เช่าอาคาร แบบนี้เราถือว่าเป็นผู้ถือครองกุญแจ แต่หากเป็นการเช่าสถานที่จัดงานจะถือว่าเป็นบริการก็จะต้องเสียในสัดส่วน 3% แทน

Source: iTAX pedia, flowaccount.com(1), FlowAccount(2),rd.go.th

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เรื่องต้องรู้ของ ภ.ง.ด.3 กับ ภ.ง.ด.53 และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย first appeared on Brand Inside.

เพราะใคร ๆ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ Kintsugi ศาสตร์แห่งการโอบรับตัวเองในวันแหลกสลาย

Brand Inside - 18 August 2023 - 14:16

ในช่วงชีวิตวัยทำงาน หลายคนเติบโตมาเป็นพนักงานที่แข็งแกร่ง หลายคนมายืนในจุดที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึง บางคนยังมองหาทางที่ใช่ บางคนยังสนุกกับการลองอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ความหลากหลายของหนทางเป็นประสบการณ์หลายหน้ากระดาษที่ต่างคนต่างมีเป็นของตัวเอง แต่กว่าจะเดินมาถึงจุดที่ยืนในปัจจุบัน มองย้อนกลับไป เราผ่านอะไรกันมาบ้างนะ?

งานพลาดครั้งแรก คำตำหนิติเตียนที่เสียดแทงใจ เก็บงานไปเครียดจนนอนไม่หลับ แอบร้องไห้ในห้องน้ำ บางคนแข็งแกร่งดั่งไฮดร้า ยิ่งฆ่ายิ่งไม่ตาย บางคนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี ต้องประกอบตัวเองขึ้นจากชิ้นส่วนเหล่านั้นเพื่อเดินหน้าต่อในวันต่อไป 

เพราะเราอาจไม่ได้เข้มแข็งได้ในทุกวัน และทุกคนนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด ลองโอบรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง ซ่อมแซมรอยร้าวด้วย Kintsugi ศาสตร์แห่งการโอบรับตัวเองในวันแหลกสลาย 

เดิมที Kintsugi เป็นวิธีการซ่อมแซมแบบเก่าแก่ของญี่ปุ่น ด้วยการเชื่อมถ้วยชามเซรามิกที่แตกออกจากกันด้วยทอง จึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับแนวคิดในการใช้ชีวิต ให้รู้จักยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตของเรา และประกอบมันขึ้นมาใหม่ด้วยสิ่งที่ดีกว่าอย่างทอง สอดคล้องกับแนวคิด wabi-sabi การมองเห็นถึงความสวยงามของความไม่สมบูรณ์แบบ

หากมองรอยร้าวเหมือนดั่งแผลเป็น หลายคนอาจเลือกซ่อนร่องรอยนี้ไว้ให้ลึกที่สุด แต่หากนำเอา Kintsugi มาใช้ แต่งแต้มมันด้วยทอง รอยร้าวจะกลายเป็นลวดลายใหม่ที่เผยถึงความยากที่เราเคยผ่านมาได้ และกลับมาสมานอีกครั้งด้วยความสง่างาม 

ลองนำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับการทำงานได้ไม่ว่าเราจะเป็นพนักงานธรรมดาหรือเป็นหัวหน้าก็ตาม เราสามารถใช้โอกาสจากความผิดพลาดให้กลายเป็น แสดงฝีมือการแก้ปัญหา พลาดแล้วไม่พลาดเลย หรือยอมรับความแตกต่างของความสามารถของแต่ละคน ที่ต่างมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ส่วนจุดด้อยนั้นก็สามารถพัฒนากันต่อไปได้ ไม่ใช่ประตูปิดตายที่หากไม่เก่งเรื่องนี้แล้วจะไม่มีวันเก่งขึ้นได้อีกเลย

หากแนวคิดนี้ถูกนำมาปรับใช้ในองค์กร อาจช่วยช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจที่ได้เป็นตัวของตัวเอง ทำผิดพลาด และเรียนรู้จากพวกเขา ด้วยการหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตและการปรับปรุงตัวเอง พวกเขาจะมีส่วนร่วมมากขึ้นและมีแรงจูงใจที่จะทุ่มเทให้กับงาน

อย่าปล่อยให้นิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ ที่ต่างคนต่างมีนิยามในใจ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน มาตีกรอบให้เรารู้สึกว่าต้องเดินไปตามไม้บรรทัดของผู้อื่น เพราะมนุษย์เราไม่ใช่สินค้าบนสายพานโรงงาน ที่ต้องออกมาดีเหมือนกันทุกชิ้น ทำหน้าที่เหมือนกันทุกชิ้น ใช้ไม้บรรรทัดเดียวเทียบเอาคุณสมบัติทั้งหมดที่มี แต่ละคนต่างมีความถนัด ความชอบ รวมถึงจุดอ่อน เรื่องที่ยังไม่เก่ง ได้เหมือน ๆ กัน ดังนั้น ควรมองมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ มีรอยร้าวที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่สิ่งที่ทำให้ต่างกัน คือ การโอบรับรอยร้าวของตัวเองและซ่อมแซมมันให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง

สุดท้ายแล้ว การหยิบเอา Kintsugi มาใช้ในองค์กร ไม่ได้เป็นเพียงไม้นวมที่บอกว่า ฉันกำลังใจดีกับเธออยู่นะ แต่เป็นการทำความเข้าใจและมองพนักงานด้วยความเป็นมนุษย์ โอบรับความไม่สมบูรณ์แบบ ส่งเสริมการเติบโต ชื่นชมความสามารถของแต่ละคน ตลอดจนหล่อเลี้ยงความยืดหยุ่น จนสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกมีค่า มีส่วนร่วม และได้รับพลังในการส่งมอบงานที่ดีที่สุดของตนได้

 

อ้างอิง

LinkedIn

The Art Of Kintsugi And Lessons In Leadership (forbes.com)

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เพราะใคร ๆ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ Kintsugi ศาสตร์แห่งการโอบรับตัวเองในวันแหลกสลาย first appeared on Brand Inside.

เอเซีย พลัส คาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในกรอบแคบ 1,520-1,535 จุด จับตาความผันผวนโลก-การเมืองไทย 

Brand Inside - 18 August 2023 - 12:29

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า วันนี้ (18 ส.ค.) คาด SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,520–1,535 จุด โดยฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่ามีโอกาสผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี ไม่ได้เร่งขึ้นแรงและยังต่ำกว่าสหรัฐมาก อยู่ที่ 2.7% อีกทั้งยังคาดหวังตลาดหุ้นมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น จากความคาดหวังว่าจะสามารถมีรัฐบาลใหม่ในการโหวตในวันที่ 22 ส.ค. นี้

กรณีที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งออกนโยบายหาเสียงที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะดัน GDP Growth ของไทยโต 5%YoY ในปี 2570 ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ กระเป๋าตังค์ Digital 10,000 บาท, ค่าแรงงานขั้นต่ำ 600 บาท/วัน, ปริญญาตรีจบใหม่ ข้าราชการไทยทุกคน 25,000 บาท/เดือน, ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ทันที, รถไฟฟ้า กรุงเทพฯ 20 บาทตลอดสาย ฯลฯ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้ภาคการบริโภคกลับมาคึกคัก และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต พบว่า GDP Growth ของไทยในช่วงที่โต เกิน 5% จะทำให้ผลตอบแทนของ SETIndex เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึง37%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยสำนักเศรษฐกิจต่างๆ ประเมิน GDP Growth ของไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.5%YoY ทำให้ในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ของปีนี้ (3Q ที่เหลือของปีนี้) GDP จะต้องขยายตัวเฉลี่ย 3.8%YoY และ 2.3%QoQ

ขณะที่สัปดาห์หน้า ( 21 ส.ค.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ จะมีการรายงานตัวเลข GDP ของไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 66 โดย Bloomberg คาด GDP Growth ของไทยในไตรมาสที่ผ่านมาจะโต 3.0%YoY และ 1.3%QoQ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนี GDP ของไทยดีดตัวขึ้นมามากกว่า 100 จุด สะท้อน ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือช่วงก่อนโควิด ทั้งนี้ GDP ในระดับ ดังกล่าว ยังน้อยกว่าการขยายตัวเฉลี่ยที่ฝ่ายวิจัยฯ ได้ประเมินไว้

อย่างไรก็ตาม ด้านตลาดหุ้นโลกยังเผชิญกับความผันผวนโดยแรงกดดันหลักๆ เกิดจาก Bond Yield 10 ปี ของ สหรัฐ ขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี ที่ 4.3% และยังปรับตัวขึ้นมา เร็วหรือเกินกว่า 50 bps. ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้บริษัท จดทะเบียนต้องแบกรับต้นทุนจากเงินกู้ที่สูงขึ้น และตามกลไก MEYG ยังจะกดดัน ให้ตลาดหุ้นสหรัฐถูกซื้อขายบน P/E ที่ถูกลง หรือมีโอกาสย่อตัวลง 8% ถึง 11% ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อภาพรวมตลาดหุ้นโลก 

ที่มา – บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส 

อ่านเพิ่มเติม

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เอเซีย พลัส คาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในกรอบแคบ 1,520-1,535 จุด จับตาความผันผวนโลก-การเมืองไทย  first appeared on Brand Inside.

ttb analytics มองส่งออกไทยปี 66 ติดลบ 1.1% ผลครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวจากฐานต่ำ

Brand Inside - 18 August 2023 - 12:16

ttb analytics มองส่งออกไทยครึ่งปีหลังฟื้นตัวจากผลของฐานต่ำเป็นหลัก ชี้โมเมนตัมการค้าโลกยังไม่แน่นอนสูง ทั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ-ยุโรปชะลอ และแรงหนุนจากจีนแผ่วกว่าที่คาด โดยประเมินว่าทั้งปี 2566 นี้ การส่งออกไทยติดลบ 1.1%YoY

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยประมาณการการส่งออกไทยตลอดปี 2566 จะอยู่ที่ 283,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 1.1% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)  โดยการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากปัจจัยฐานต่ำเป็นหลักโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจโลกผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 แต่มีแนวโน้มอาจจะลอตัวลง เห็นได้จากล่าสุดที่ธนาคารโลกได้ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 ให้เติบโตช้าลงจากปีก่อน ขณะที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ชี้ว่า ตัวเลขการค้าโลกในไตรมาส 2 ปี 2566 หดตัวราว 0.4%YoY และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัว 1.9%YoY

สอดคล้องกับรายงานล่าสุดขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ประเมินว่าปริมาณการค้าโลก (World Merchandise Trade Volume) ตลอดทั้งปี 2566 จะขยายตัวได้เพียง 1.7%YoY ซึ่งชะลอตัวลงจากตัวเลขในปี 2565 ที่ขยายตัว 2.7%YoY ดังนั้น จะเห็นความเสี่ยงที่เศรษฐกิจคู่ค้าหลักจะชะลอลงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้ง

สหรัฐ เห็นจากกิจกรรมภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือน ก.ค. 2566 หดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค (ไม่นับยานยนต์) ก็ชะลอตัวลง

ยุโรป หลายประเทศกำลังเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี จากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลงมากสวนทางกับเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง

จีน ที่เติบโตชะลอตัวกว่าที่ตลาดคาด โดยดัชนียอดค้าปลีกโตชะลอลงต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบปี (เมื่อ ก.ค.), ดัชนีภาคการผลิตก็ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และยอดคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่หดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ล่าสุดธนาคารกลางของจีน (PBOC) ปรับลดดอกเบี้ย Reverse Repo ลงอีก 0.1% มาสู่ระดับ 1.8% และหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนสู่ระดับ 2.50% พร้อมส่งสัญญาณเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ เพื่อเร่งสนับสนุนการจับจ่ายภายในประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายในจีนหลังเผชิญผลพวงจากวิกฤตหนี้เสียเอเวอร์แกรนด์ในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้จากทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวยังส่งผลให้ ครึ่งปีแรก 2566 การส่งออกของไทย ติดลบ 5.4% ขณะที่หลายประเทศยังหดตัวเช่นกัน อาทิ เกาหลีใต้ (-12.4%) เวียดนาม (-12.0%) อินเดีย (-8.7%) อินโดนีเซีย (-8.0%) และไทย (-5.4%) ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามโดยสรุปแล้วในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 นี้ยังมีปัจจัยที่กดดันการส่งออกของไทยหลายด้าน ได้แก่

  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจลุกลามไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
  • ความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นขึ้น (Trade Barrier)
  • แรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคโดยเฉพาะตลาดยุโรป
  • สภาพอากาศที่แปรปรวนอาจส่งผลต่อปริมาณสินค้าเกษตรที่ผลิตได้ในช่วงปลายปี

อย่างไรก็ตามหากดูตามแนวโน้มการฟื้นตัวการส่งออกครึ่งปีหลัง ยังเห็นโอกาสจาก อุปสงค์สินค้าอุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวได้บ้างตามวัฎจักรเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงความต้องการสินค้ากลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องหลังสถานการณ์อุปทานชะงักงันคลี่คลาย

นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอาหารจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากประเด็นความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกพลิกขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี

ที่มา – ttb

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ttb analytics มองส่งออกไทยปี 66 ติดลบ 1.1% ผลครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวจากฐานต่ำ first appeared on Brand Inside.

เกียรตินาคินภัทร แนะปรับพอร์ตลงทุน เน้นเงินสด-ตราสารหนี้-อสังหาฯ ต่างประเทศลดเสี่ยง Recession

Brand Inside - 18 August 2023 - 11:56

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายฯ เข้าใกล้จุดสูงสุด แนะนำว่าควรเตรียมพอร์ตโดย เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพ และมี Valuation ถูก รวมถึงการเพิ่มการถือกองทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อเพิ่มผลตอบแทน

โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ทั้งเงินสด, ตราสารหนี้คุณภาพดี, ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจาก Recession, อสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ และกองทุนทองคำที่ได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

ทั้งนี้แนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง เช่น กองทุนหุ้น และตราสารหนี้ประเภท High yield อย่างไรก็ตามควรกระจายการลงทุนโดยเน้นหุ้นคุณภาพและหาผลตอบแทนเพิ่มเติมจาก Tactical ideas (กองทุนหุ้นยุโรป และกองทุนหุ้นจีน)

นอกจากนี้ยังแนะนำการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในกองทุน FIF ที่ไม่ป้องกันความเสี่ยงทางค่าเงิน แทนการลงทุนในกอง FIF ที่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินซึ่งมีต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงในปัจจุบันที่ค่อนข้างแพงราว 3.4% ต่อปี และคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่กว้าง

ทั้งนี้ ทางบริษัทมองว่ามีโอกาสราว 65% ที่ตลาดการลงทุนจะเข้าสู่กรณี Soft Landing (KKPS’ Base Case) ซึ่งคาดว่าดัชนี S&P500 จะอยู่ที่ 4,200 จุด ปรับลดลง 6% เมื่อเทียบกับ ณ 30 มิ.ย. 2023 ที่อยู่ระดับ 4,450 จุด

ในกรณีนี้คาดกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตในระดับต่ำเป็นเวลานาน เงินเฟ้อจะปรับตัวลงอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันมองว่าอัตราดอกเบี้ยฯ จะค้างอยู่ในระดับสูง และอาจทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยฯ ได้ในปี 2024

อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ จึงมีสัดส่วนการลงทุนสำหรับพอร์ตระดับความเสี่ยง Medium ถึง Moderate high risk ได้แก่

  • หุ้นโลก 40%
  • ตราสารหนี้ 30%
  • การลงทุนทางเลือก 18%
  • เงินสด 7%
  • หุ้นไทย 5%

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอน และความผันผวนในตลาด กลยุทธ์การลงทุนจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างระมัดระวัง โดยมองการลงทุนในหุ้นโลกบางภูมิภาค เช่น จีน ยุโรป, ตราสารหนี้โลกในระดับ Investment Grade (IG), Global REIT โดยแนะนำการลงทุนในแต่ละกลุ่ม ดังนี้

หุ้นโลก Defensive

  • FIF: ES-GDIV, KFGBRAND-A

หุ้นในภูมิภาคที่น่ำสนใจ

  • หุ้นจีน (Trading idea): MCHI ETF, KKP CHINA-H*2 , SCBCHEQA
  • หุ้นยุโรป: VGK ETF, SCBEUEQ, TMBEG

ตราสารหนี้โลกในระดับ Investment Grade (IG)

  • FIF: UGIS-N

Global REIT

  • FIF: KT-PROPERTY-A, KKP PREIT-UI

ที่มา – ธนาคารเกียรตินาคินภัทร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เกียรตินาคินภัทร แนะปรับพอร์ตลงทุน เน้นเงินสด-ตราสารหนี้-อสังหาฯ ต่างประเทศลดเสี่ยง Recession first appeared on Brand Inside.

Pages