สำหรับใครที่หาเว็บ เพื่อจะลงชื่อเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญใ […] More

The post ชี้เป้า! เว็บลงชื่อเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ปี 2560 appeared first on iMoD.

CDN ทำอะไรได้บ้างนอกจากการ cahcing, ทำไมทำเว็บเซิร์ฟเวอร์แล้วปล่อยตรงๆ ไม่ได้, สถาปัตยกรรมของ CDN มีอะไรบ้าง ฯลฯ หาคำตอบได้จากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ได้กับ Cloudnone =========================== 00:00 Highlight 00:18 Introduction 00:48 CDN คืออะไร 02:48 POP 04:20 Architecture ของ CDN 10:30 ฟีเจอร์อื่นๆ ของ CDN 20:51 การเริ่มใช้งาน CDN 25:31 ว่าด้วยเรื่องราคา 29:11 ตลาดคลาวด์ vs ตลาด CDN #cdn #cdnคืออะไร #cloudcomputing

ชัยธวัช ตุลาธน ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อในฐานะสมาชิกรัฐสภา กล่าวถึงเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตาม ม. 272 ดังนี้ 

“ในการโหวตรับรองให้แก่ผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลไม่สามารถเห็นชอบได้ เหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูลอย่างที่สมาชิกบางท่านลุกขึ้นและอภิปรายและซักถาม

ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องข้อมูลได้รับทราบข้อมูลแล้วตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง และผมหวังว่าสมาชิกรัฐสภาของพวกเราทุกคนควรให้ความสำคัญกับข่าวสารบ้านเมืองก่อนการเลือกตั้งและคิดว่าท่านน่าจะได้ใช้สิทธิ ใช้วิจารณญาณนั้นไปแล้วในวันเลือกตั้งพร้อมกับประชาชนทุกคน 

เหตุผลที่ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลไม่สามารถที่จะเห็นชอบได้ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่ออย่างที่มีการกล่าวหากันผ่านสื่อมวลชนหรืออย่างที่มีผู้นำส่งเอกสารให้กับสมาชิกรัฐสภาทุกคนในวันนี้

เหตุผลที่ผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลไม่สามารถโหวตเห็นชอบได้นั้นเป็นเหตุผลง่ายๆ นะครับ เพราะเราเห็นว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดต่อเจตจำนงของพี่น้องประชาชนที่ได้แสดงออกไปแล้วตรงไปตรงมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการยุติรัฐบาลและระบบการเมืองที่สืบทอดอำนาจมาจากรัฐประหารของ คสช.

ท่านประธานครับ พวกเราพรรคก้าวไกลยังเห็นด้วยว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่การพยายามที่จะสลายขั้วความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อ แต่มันคือการต่อลมหายใจให้กับระบบการเมืองที่ระบอบ คสช. วางไว้และต้องการดำเนินสืบไป

ท่านประธานครับ หลายคนบอกว่า การจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ เป็นความจำเป็นทางการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พรรคการเมืองและนักการเมืองจำเป็นต้องกลืนเลือด จำเป็นต้องจ่ายต้นทุนทางการเมืองมหาศาล โดยมีวาระของประชาชนและวาระของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่ผมอยากจะชวนท่านประธานลองคิดใหม่นะครับ ว่าแล้วอะไรคือราคา อะไรคือต้นทุนที่ประชาชนและสังคมไทยต้องจ่ายบ้าง ให้กับการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ประการแรก

ผมเห็นว่าราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่ายคือความหวัง ท่านประธานครับ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เคยเป็นวันแห่งความหวังของประชาชน พวกเขาหวังว่าเสียงของพวกเขาจะทำให้การเมืองไทยออกจากระบบที่เป็นมรดกของคณะรัฐประหารได้ในที่สุด โดยสันติ พวกเขาหวังว่า เสียงของพวกเขาจะทำให้การเมืองของไทยเดินหน้าไปสู่อนาคต ไม่ใช่เดินกลับไปสู่อดีตอย่างที่พวกเขารับรู้กันอยู่ในขณะนี้

ประการที่สอง

ผมเห็นว่า ราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่าย ให้กับการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษในขณะนี้คืออำนาจครับ ท่านประธานครับ พี่น้องประชาชนเคยเชื่อจริงๆ ว่าในระบอบประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดนั้น คืออำนาจของประชาชน แต่เมื่อพวกเขาออกไปใช้อำนาจตัวเองแล้วในวันเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งกลับกลายเป็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษที่อนุญาตให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ ใช้เสียงในการเลือกตั้งได้พอเป็นพิธี แต่จะไม่มีวันยอมให้อำนาจเป็นของประชาชนจริงๆ นั่นคือราคาที่พี่น้องประชาชนต้องจ่าย

ปรากฎว่าประชาชนเพิ่งค้นพบ ว่าตอนนี้ ระบอบประชาธิปไตยของบ้านเรากลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ ไม่ใช่เจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง

ประการที่สาม

ราคาที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องจ่าย คือความศรัทธา ท่านประธานครับ การจัดตั้งรัฐบาลแบบพิเศษ กำลังทำให้พวกเราสูญเสียต้นทุนทางสังคมที่สำคัญ นั่นคือความศรัทธาของประชาชนในระบบรัฐสภา ความเชื่อมั่น ศรัทธาของประชาชนเป็นพื้นฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อไรที่ประชาชนหมดศรัทธาต่อระบบการเมืองหรือสถาบันทางการเมืองใดๆ แล้ว นั่นย่อมเป็นอันตราย เป็นสัญญาณอันตรายต่อการเมืองของเราในอนาคต

ท่านประธานครับ ผมอยากจะฝากความหวังดีผ่านไปยังสมาชิกรัฐสภาทุกท่านว่า หัวใจของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา คือการประทะขัดแย้งกันระหว่างอำนาจของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งกับอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน

จนถึงวันนี้ เรายังหาทางออกจากการเมืองนี้ไม่ได้ เราเห็นว่า ทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อนี้ ไม่ใช่การสลายขั้วความขัดแย้งอย่างผิวเผิน ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว แต่ทางออกที่เราแสวงหาคือระบบการเมืองที่จะเป็นฉันทามติใหม่ โดยวางบนหลักการพื้นฐานสำคัญที่ว่า “อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” ครับ

แล้วเมื่อไรที่เรายังสยบยอมหรือต่อลมหายใจให้กับระบบที่เราเรียกกันว่าประชาธิปไตย แต่ตอบไม่ได้ว่าประชาชนอยู่ตรงไหนในระบบนี้ เราจะไม่มีทางหาทางออกหรือสลายความขัดแย้งได้

เมื่อไรเรายังสยบยอมและต่อลมหายใจให้กับระบอบการเมืองที่บอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมเคารพอำนาจประชาชน เมื่อนั้นประชาชนจะสูญสิ้นศรัทธาต่อระบบการเมืองของเราในที่สุด และมันสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง รุนแรงในทางการเมืองได้ในอนาคต

นี่คือความหวังดีที่ ผมในฐานะผู้แทนของพรรคก้าวไกลอยากเรียนฝากไปยังท่านสมาชิกรัฐสภาทุกคน ว่าเราเองก็ไม่อยากเห็นอนาคตแบบนี้

สุดท้ายครับ ผมอยากเรียนประธานสภาผ่านไปยังพี่น้องประชาชนว่า แน่นอนครับ ผมทราบดีว่าพี่น้องประชาชนจำนวนมากนับล้านคนกำลังผิดหวัง กำลังโกรธ หรือกำลังคับข้องใจกับการเมืองที่เกิดขึ้น ผมอยากเรียนพี่น้องประชาชนผ่านประธานรัฐสภาอย่างนี้ว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาได้สะท้อนแล้วว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ยังเปลี่ยนไม่มากพอ

ดังนั้น แม้ว่าท่านจะไม่พอใจ ท่านจะผิดหวัง ท่านจะคับข้องใจ แต่ขออย่าให้หันหลังให้กับการเมือง เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองและเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ ทำให้การเมืองของเรา ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของเรา เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ทำให้อำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของประชาชนจริงๆ”
ขอบคุณครับ

ชัยธวัช ตุลาธน
เลขาธิาการพรรคก้าวไกล
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
22 สิงหาคม 2566

• ก้าวไกลขอโทษพี่น้องประชาชน ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ยืนยันทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรอย่างดีที่สุด

ที่มา – การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ชัยธวัชกล่าว “ประชาธิปไตยบ้านเราวันนี้ กลายเป็นประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ” first appeared on Brand Inside.

ดีอีเอสเตรียมยื่นฟ้องศาลให้ปิด Facebook ในไทย บอกว่า Fa […] More

The post DES เตรียมยื่นฟ้องศาล “ปิด Facebook ในไทย” เหตุรับเงินจากเพจปลอมที่หลอกลวงคนไทย appeared first on iMoD.

จากทวิตเตอร์ของชาวจีน Majin Bu ได้เผยข้อมูลข่าวลือใหม่เกี่ยวกับ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus ว่าอาจออกสีใหม่มาพร้อมกับสาย USB-C แบบถักให้แมทช์กัน?!

โดยข่าวลือนี้ไม่มีมูลชัดเจนนักว่ามาจากแหล่งข่าวไหน แต่ด้าน Prototype Collector อย่าง Kosutami ก็ลงภาพตัวอย่างเกี่ยวกับดีไซน์สาย DVT เช่นกัน แต่เป็นเวอร์ชันสายสีดำล้วน และยังไม่มีสีสัน

iPhone 15 Pro USB-C Cable DVT Sample
Full black including connectors inside, comes with black SR(Strain relief plastic tubes) which different with the existing Woven Cable with USB-C from  (Except the one of Mac Pro)#Apple #appleinternal @HartleyCharlton @URedditor pic.twitter.com/pbjMDfpXu0

— Kosutami (@KosutamiSan) August 21, 2023

This is supposed to be the iPhone 15 USB C cable, I found this photo online but currently I can't trace the resource, so I can't be sure if it's true or not pic.twitter.com/bTILwlxxG5

— Majin Bu (@MajinBuOfficial) August 19, 2023

แต่นอกจากตัวอย่างสายสีดำล้วนแล้ว สีสันอื่น ๆ ดูเหมือนจะทำมาจากพลาสติกมันวาวแบบ Glossy มากกว่า ต่างจาก Magnetic Charging Cable และ MagSafe 3 แบบที่แอปเปิลเคยทำมาใช้กับ Apple Watch ด้วย

และอย่างน้อยสีหลัก ๆ ที่เราน่าจะได้เห็นกันก็อาจจะเป็นสีขาว สีดำ สีเหลือง สีม่วง และสีส้ม หรืออาจมีสีอื่น ๆ อีก แต่เฉดสีส้มจะมีความใกล้เคียงกับสีส้ม เหมือนกับสีโทน Coral ของ iPhone XR

ซึ่งตามข่าวลือช่วงเดือนกุมภาพันธ์แล้ว iPhone 15 อาจจะวางจำหน่ายด้วยสีชมพู และสีน้ำเงิน บางสำนักข่าวลือก็บอกว่าอาจจะมาพร้อมสีแดง แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่สีใหม่อย่างที่ลือกันเลยก็ได้

และากเทียบจนมาจนถึงปัจจุบัน ‌ไอโฟนทุกรุ่นก็มาพร้อมกับสายสีขาวที่มีสีขาว  โดยไม่เคยคำนึงถึงตัวเลือกสีให้คู่กับอุปกรณ์เลย

และแอปเปิลก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไปใช้สายถักในอุปกรณ์ส่วนใหญ่ อย่าง MacBook Air และ MacBook Pro ทุกรุ่นที่มี ‌MagSafe‌ 3 พร้อมกับสายถักที่เข้าชุดกันกับสีเครื่อง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะนำมาใช้กับ USB-C ด้วย

ที่มา – MacRumors

The post [ลือ] iPhone 15 และ iPhone 15 Plus อาจจะมาพร้อมสีที่แมทช์กับสาย USB-C appeared first on Macthai.com.

มีรายงานว่า Apple อาจใช้ชื่อ iPhone 15 Ultra แทนคำว่า i […] More

The post ลือ! iPhone 15 Ultra อาจแทนคำว่า iPhone 15 Pro Max appeared first on iMoD.

หนังเรื่อง Paradise จาก Netflix หนังที่ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เวลาในชีวิตของมนุษย์แต่ละวินาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวัน มีค่าเท่าไร? ถ้ามีคนมาซื้อเวลาชีวิตคุณ คุณจะตีราคาของเวลาชีวิตที่หายไปเท่าไร?  

หนังพยายามสะท้อนให้เห็นความสำคัญกับระดับชั้นของผู้คนในสังคม ยิ่งทำประโยชน์ให้ประเทศ มีคุณูปการมาก ยิ่งต้องขยายเวลาการมีชีวิตอยู่มากๆ แล้วใครกันที่ต้องแลกเวลาชีวิตให้กับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้? นี่คือ 10 ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้

1.) เรื่องนี้สะท้อนมุมมองน่าสนใจ 4 เรื่อง ความเหลื่อมล้ำ ความยุติธรรม คุณค่าของเวลาและหลักการที่ผู้คนยึดถือ

2.) ถ้ายังจำกันได้ เคยมีคนตั้งคำถามว่า ถ้า Bill Gates ทำเงินตก xxx เหรียญสหรัฐ คิดว่าเขาจะเก็บขึ้นมาไหม? คนมักจะคำนวณว่าเขาจะไม่เก็บขึ้นมาเพราะแค่ไม่กี่วินาที เขาจะได้เงินคืนกลับมาในอัตราที่เท่ากับที่เขาทำหล่นไป เรื่อง Paradise นี้พยายามจะสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า เวลาชีวิตของคุณมีค่าเท่าไร ต้องแลกกับอะไรถึงจะเท่าเทียมกัน

3.) บางเรื่อง เมื่อความเดือดร้อนไม่ถึงตัว ผู้คนก็มักจะมองว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าคนที่เดือดร้อนอยู่รู้สึกอย่างไร จนกระทั่งโดนกระทำแบบเดียวกันถึงจะเข้าใจ

4.) การใช้ชีวิตอยู่กับคนป่วยนั้นไม่ง่าย คนดูแลต้องมีร่างกายที่แข็งแรง และสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง คนป่วยไม่ได้มีจิตใจที่ร่าเริง สดชื่นตลอดเวลาอยู่แล้ว จะทำอย่างไรให้อยู่กับคนป่วยอย่างเข้าใจและมีความสุขได้ เรื่องนี้ต้องฝึกฝน

5.) การเลือกเจรจาต่อรองกับคนไม่มีอะไรจะเสีย ผู้ถือไพ่เหนือกว่าย่อมได้เปรียบเสมอ

6.) เมื่อเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด หรือไม่ได้รับความยุติธรรมมาตลอด เป็นไปได้ยากมากที่จะปล่อยวางและไม่แค้นเคืองจนห้ามใจไม่เอาคืนได้ เว้นแต่ผลประโยชน์ของฝ่ายกระทำ กับผู้ถูกกระทำสอดคล้องกัน จึงทำให้สมยอมต่อการถูกกระทำที่ไม่เป็นธรรมมาตลอดได้

7.) คนที่คุมเกมจะหาทางเอาชนะได้เสมอ และหนทางแห่งการเอาชนะ เขาจะทำมันให้ดูเป็นเรื่องบังเอิญง่ายๆ เหมาะเจาะ ทั้งที่จริงๆ แล้ว วางแผนดักทุกทางมาตั้งแต่เริ่มต้น

8.) เมื่อร่วมอยู่ในกลเกมที่ชั่วร้าย เลี่ยงได้ยากมากที่จะไม่ชั่วร้ายแบบเดียวกับวัฏจักรนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนเรื่องความเหลื่อมล้ำอย่างเดียวแต่สะท้อนเรื่องความยุติธรรมและหลักการที่ผู้คนยึดถือ 

เมื่อได้จังหวะเอาคืน ก็เลี่ยงได้ยากที่เราจะไม่ทำแบบเดียวกับคนที่เราเกลียด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเลี่ยงไม่ได้ อยู่ที่การตัดสินใจล้วนๆ แน่นอน หลักการจะกลายเป็นเพียงข้ออ้างที่ถ้าเป็นพวกเดียวกันก็ทำได้ ไม่ใช่ปัญหา เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ แต่สถานการณ์และตัวละครในเรื่องต่างหากที่พิสูจน์หลักการที่ผู้คนยึดถือ

9.) คนที่เคยรักใคร่กันดี ต่อสู้มาด้วยกันตลอด สามารถแยกทางกันได้ตลอดเวลา เมื่อหลักการที่ยึดถือ ไม่ตรงกัน

10.) ถ้าเรายึดติดกับเวลาและยึดติดกับตัวบุคคล นวัตกรรม สิ่งใหม่ๆ จะไม่เกิดขึ้น ชีวิตจะวนลูปอยู่กับแนวคิดเดิมๆ ผู้คนแบบเดิมๆ เหมือนคนที่อยากหยุดเวลาไว้ไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า เพราะคิดว่าสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นอยู่ ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนาหรือมีวิวัฒนาการต่อไปหรอก

• โควิดทำคนรวย รวยเพิ่มขึ้นทุกวินาที คนจนเสียชีวิตทุก 4 วินาที เพราะเข้าถึงการแพทย์ไม่ได้

Netflix: Paradise

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post 10 ข้อคิดจากหนังเรื่อง Paradise ทำให้คนตั้งคำถามคุณค่าเวลาของชีวิต ความยุติธรรม และหลักการ first appeared on Brand Inside.

ก่อนหน้านี้ Majin Bu โพสต์ภาพสายชาร์จ USB-C แบบถักคาดว่ […] More

The post ลือ! iPhone 15 มาพร้อมสายชาร์จ USB-C แบบถัก สีเดียวกับตัวเครื่อง appeared first on iMoD.

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ผลการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เดือนก.ค. 2566 พบว่า มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการรวม 1,867 ราย เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และหากเทียบกับเดือนก่อนหน้ายังเพิ่มขึ้น 12.54% ขณะที่เดือน ก.ค. ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 7,527 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ 

• ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป มี 175 ราย คิดเป็น 9% 
• ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มี 103 ราย คิดเป็น 6% 
• ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร มี 43 ราย คิดเป็น 2% 

ทั้งนี้ ธุรกิจเลิกประกอบกิจการหากแบ่งตามช่วงทุนมีรายละเอียดดังนี้

• ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มี 1,342 ราย คิดเป็น 71.88% 
• ช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท มี 455 ราย คิดเป็น 24.37% 
• ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มี 63 ราย คิดเป็น 3.37%
• ช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มี 7 ราย คิดเป็น 0.37% 

อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ค. ด้านธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 6,848 ราย เพิ่มขึ้น 16.9%YoY (ลดลง 10.2% จากเดือนก่อนหน้า) โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 16,648 ล้านบาท ซึ่งมีประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

• ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 545 ราย คิดเป็น 8% 
• ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 480 ราย คิดเป็น 7% 
• ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 342 ราย คิดเป็น 5% 

ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน ได้แก่ 

• ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มี 4,456 ราย คิดเป็น 65.07% 
• ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท มี 2,300 ราย คิดเป็น 33.59% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มี 78 ราย คิดเป็น 1.14% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มี 14 ราย คิดเป็น 0.20%   

ทั้งนี้ มีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ 31 ก.ค. 2566 อยู่ที่ 886,796 ราย มูลค่าทุน 21.47 ล้านล้านบาท จำแนกเป็น

• ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,802 ราย คิดเป็น 22.98% 
• บริษัทจำกัด จำนวน 681,581 ราย คิดเป็น 76.86% 
• บริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,413 ราย คิดเป็น 0.16% 

ในขณะที่ ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ได้แก่ 

• ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 518,722 ราย คิดเป็น 58.49% รวมมูลค่าทุน 0.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.12% 
• ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 272,103 ราย คิดเป็น 30.68% รวมมูลค่าทุน 0.93 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.34% 
• ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 78,218 ราย คิดเป็น 8.82% รวมมูลค่าทุน 2.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.98% 
• ช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,753 ราย คิดเป็น 2.00% รวมมูลค่าทุน 17.94 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.56% 

ที่มา – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post กระทรวงพาณิชย์เผย กรกฎาคมนี้ ธุรกิจเลิกกิจการพุ่ง 1,867 ราย เพิ่มขึ้น 21%  first appeared on Brand Inside.

ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2566 ลงมาสู่ระดับ 2.5 – 3.0% (ค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ 2.8%) จากเดิมที่เคยประมาณการไว้ในเดือน พ.ค. ที่ระดับ 2.7 – 3.7% (ค่ากลางประมาณการอยู่ที่ 3.2%)

อย่างไรก็ตามปี 2566 นี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 1.7 – 2.2% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.2% ของ GDP เทียบกับการขาดดุล 3.0% ของ GDP ในปี 2565

ทั้งนี้ มองว่าสาเหตุหลักที่ต้องปรับลด GDP ไทยปี 2566 มาจาก 3 ด้าน ดังนี้

เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน

เศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยมีการปรับลดประมาณการการส่งออกสินค้าให้สอดคล้องกับข้อมูลปริมาณการส่งออกสินค้าในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่ปรับตัวลดลง 6.1% รวมทั้งแนวโน้มการชะลอตัวของปริมาณการค้าโลกท่ามกลางความยืดเยื้อของความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มที่จะยกระดับความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้
ในการประมาณการครั้งนี้คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะติดลบ 1.8% เทียบกับการประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะติดลบ 1.1%

การเบิกจ่ายภาครัฐ

การเบิกจ่ายภาครัฐจะได้รับผลกระทบในไตรมาส 4 ปีนี้ ประเมินว่าแนวโน้มการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายที่จะต่ำกว่าที่คาดภายใต้ความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลและกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจ่าปี 2567 โดยคาดว่าการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2566 จะอยู่ที่ 18.7% ของงบประมาณทั้งหมด ต่ำกว่าระดับ 20% ที่คาดไว้เดิม

ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 17.2% จำแนกเป็น การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ (20%) และรายจ่ายลงทุน (6%)

นอกจากนี้ ยังคาดว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจจะอยู่ที่ 65% ของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุน ต่ำกว่า 70% ที่คาดไว้เดิมส่งผลให้ในการประมาณการครั้งนี้คาดว่าการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐจะลดลง 3.1% เทียบกับ 2.6% ในการประมาณครั้งก่อน ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 2.0% ลดลงจาก 2.7%ในการประมาณการครั้งก่อน

การปรับลดสมมติฐานประมาณการรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

การปรับลดสมมติฐานประมาณการรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 1.03 ล้านล้านบาท จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 1.27 ล้านล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ลดลง โดยแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาเป็นกลุ่มที่เดินทางระยะใกล้และพำนักระยะสั้นจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม ลาว และสิงคโปร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อหัวไม่สูงเท่ากลุ่มที่พำนักระยะยาวและเดินทางระยะไกลโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตะวันตก

นอกจากนี้ ไตรมาส 2 ปี 2566 นี้ GDP ไทยขยายตัวที่ 1.8% ถือว่าต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ และเมื่อรวมกับการขยายตัวในไตรมาส 1 ปีนี้ (ที่ระดับ 2.6%) ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัว 2.2% ซึ่งทำให้การขยายตัวทั้งปีมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าขอบล่างของการประมาณการครั้งที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สาเหตุที่ GDP ไทยเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ยังคงมาจาก 1) การส่งออกไทยในไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด ตามการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศคู่ค้าส่าคัญๆ และ 2) การเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐในไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่คาดไว้

ที่มา – NESDC

อ่านเพิ่มเติม

• กระทรวงการคลังปรับลด GDP ไทยปี 2023 เหลือ 3.5% จากเดิม 3.6%

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post สภาพัฒน์ หั่นเป้า GDP ไทยปี 66 เหลือ 2.5-3.0% จาก 3 ปัจจัยหลัก first appeared on Brand Inside.

Goodnotes 6 แอปจดโน้ตยอดนิยมอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้ […] More

The post 15 ฟีเจอร์ใหม่ Goodnotes 6 ขับเคลื่อนด้วย AI ใช้จดโน้ตแล้วเป็นไงบ้าง? appeared first on iMoD.

ใครที่อยากออกแบบเส้นทางชีวิตออกแบบเส้นทางชีวิต แถมยังสำ […] More

The post a-chieve เว็บออกแบบเส้นทางชีวิต แถมยังสำรวจอารมณ์ได้! appeared first on iMoD.

Tops ธุรกิจกลุ่มฟู้ดในเครือ บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือ CRC เดินหน้ากลยุทธ์ House of Brands เพื่อยกระดับสินค้าตราห้าง หรือ House Brand ให้เป็นทางเลือกของผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมตั้งเป้ายอดขายจากสินค้ากลุ่มนี้เติบโต 20% จากปี 2022

ตลาด House Brand โตต่อเนื่อง

บุญชัย ปลื้มสืบกุล Head of New Format & House Brands ของ Tops ภายใต้ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เล่าให้ฟังว่า ในอดีตผู้บริโภคมักมองข้ามสินค้าตราห้าง หรือ House Brand เพราะมีภาพเรื่องราคาถูก และคุณภาพสู้สินค้าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงไม่ได้ แต่ปัจจุบันภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว

“เมื่อเศรษฐกิจไม่แน่นอน ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับราคา และความคุ้มค่า ตรงกับผลสำรวจของ McKinsey ที่พบว่าปี 2023 36% ของผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยุโรปต้องการซื้อสินค้า House Brand มากขึ้น เพราะเริ่มเข้าใจถึงคุณภาพของสินค้ากลุ่มนี้ ทำให้สัดส่วนของสินค้า House Brand ที่นั่นเพิ่มขึ้น 1.9% และยังโตต่อเนื่อง”

ขณะเดียวกัน NielsenIQ ยังพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยเลือกซื้อสินค้า House Brand เพิ่มเป็น 6% ในปี 2022 จากเดิมอยู่ที่ 4% ในปี 2021 ทั้งยังเน้นเลือกซื้อสินค้า House Brand ระดับพรีเมียมมากขึ้นเท่าตัว แสดงให้เห็นถึงความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ ควบคู่กับราคาที่เอื้อมถึงง่าย

Tops เร่งเครื่องตลาด House Brand

ปัจจุบัน Tops มีการทำตลาดสินค้า House Brand อย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าแบรนด์ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่ Tops เท่านั้น แต่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสินค้ากลุ่มนี้ Tops จึงเดินหน้ากลยุทธ์ House of Brands เพิ่มเติม

กลยุทธ์ดังกล่าวจะเดินหน้าผ่านตัวเลือกของสินค้า House Brand ประเภทต่าง ๆ ที่มีกว่า 10,000 SKU โดยสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมาจาก 13 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้ยอดขายสินค้ากลุ่ม House Brand ของบริษัทเติบโต 20% ตามเป้าหมายในปี 2023

“กลุ่ม House of Brands ของ Tops ที่ขายดี 5 อันดับ คือ กลุ่มสินค้าอาหารสด กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด กลุ่มสินค้าวัตถุดิบอาหารและเครื่องปรุง  กลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยว และกลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม ซึ่งกลยุทธ์นี้คือส่วนสำคัญในการเป็นฟู้ดรีเทลเลอร์อันดับ 1 ของประเทศไทยหลังจากนี้”

เจาะลึก House Brand ของ Tops

ปัจจุบันสินค้าภายใต้กลยุทธ์ House of Brands แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วยกว่า 250 แบรนด์ซึ่งมีการนำเสนอสินค้าที่ดีที่สุดให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มในรูปแบบที่แตกต่างกันแบ่งเป็น

• กลุ่มสินค้า Private Brand คือกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ที่มีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ชั้นนำในท้องตลาด แต่จำหน่ายในราคาที่ย่อมเยากว่า ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดหมู่ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค มีจำหน่ายเฉพาะที่ท็อปส์เท่านั้น
• กลุ่มสินค้า Own Brand  กลุ่มสินค้าที่คัดสรรคุณภาพมาเป็นอย่างดี พิถีพิถันในการผลิตทุกขั้นตอน ทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและกลุ่มสินค้านำเข้าเกรดพรีเมียมจากทั่วทุกมุมโลก ภายใต้แบรนด์ My Choice, Tops และ Smarter ให้ลูกค้ามั่นใจได้ในคุณภาพที่ดีเกินคาด
• กลุ่มสินค้า Exclusive Brand คือกลุ่มสินค้าแบรนด์ชั้นนำที่ผ่านการเฟ้นหาและคัดเลือกแบบเอ็กซ์คลูซีฟจากทั่วโลก เพื่อรวบรวมมาวางจำหน่ายให้กับลูกค้าชาวไทยได้เลือกซื้อสินค้าคุณภาพพรีเมียมส่งตรงจากทั่วทุกมุมโลก เช่น Waitrose, Coles และอื่น ๆ

นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2017 Tops มีการส่งออกสินค้า House Brand จากไทยกว่า 500 รายการ ไปยัง 4 ประเทศเอเชียคือ จีน ไต้หวัน เวียดนาม และกัมพูชา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีรวมกว่า 127% แสดงให้เห็นถึงสินค้าจากประเทศไทยที่ได้รับความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Tops เดินหน้ากลยุทธ์ House of Brands ยกระดับสินค้าตราห้าง หวังยอดขายเติบโต 20% first appeared on Brand Inside.

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (innovestX) คาดการณ์ว่า การเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index วันนี้ (21 ส.ค.) มีแนวรับ – แนวต้านอยู่ที่ 1,510/1,500 – 1,530/1,540 จุด ทั้งนี้มองว่า SET Index อยู่ในช่วงท้ายของการพักฐาน โดยหากการโหวตนายกวันที่ 22 ส.ค. ได้ข้อสรุปมีโอกาสที่ดัชนีปรับขึ้นทดสอบกรอบบนที่ 1,550-1,560 จุดและคาดจะเห็น Fund Flow เริ่มไหลกลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้น คาดยังถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน รวมทั้งจับตาถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่การประชุมแจ็กสันโฮล (24-26 ส.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ทำให้คาด SET ยังมี Upside จากัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy”

ทั้งนี้ในภาพรวมมองว่า SET Index Upside จำกัด แม้ปัจจัยการเมืองใน ประเทศมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ยังถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของ เศรษฐกิจโลก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังน้ี

1. 8 หุ้นเด่นใน 4 อุตสาหกรรมสำหรับโอกาสเก็งกำไรในครึ่งปีหลังปี 2566 ซึ่งคาดว่ากำไรจะเติบโตทั้งเทียบกับช่วงครึ่งปี และช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ PTT, BCP, KCE, HANA, BDMS, BCH, AOT, ERW
2. หุ้นที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรในครึ่งปีแรกปี 66 ซึ่งคิดเป็นอัตราเงินปันผลราว 2% ได้แก่ SPALI (XD 22 ส.ค.), LH (XD 24 ส.ค.), HTC (XD 24 ส.ค.), AH (XD 29 ส.ค.)
3. นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์ Fund Flow ไหลกลับ เลือก KBANK, GULF, CRC, HMPRO

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสาหรับหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจาก ปรากฎการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่

• กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL)
• กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD)
• กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY)
• กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง)
• กลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองว่า จากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index เคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ โดยปรับตัวลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ท่ามกลางแรงกดดันจากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และการยื่นล้มละลายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน

เมื่อวันศุกร์ (18 ส.ค.) SET Index ปิดที่ระดับ 1,519.12 จุด ลดลง 1.04% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 54,486.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.90% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.24% มาปิดที่ระดับ 458.69 จุด

สำหรับสัปดาห์นี้ (21-25 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,505 และ 1,485 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,540 และ 1,560 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
ได้แก่

• ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/66
• ตัวเลขส่งออกเดือนก.ค. ของไทย
• สถานการณ์การเมืองในประเทศ
• ทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เดือนก.ค. ดัชนี PMI เดือนส.ค. (เบื้องต้น) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนส.ค. ของจีน รวมถึงดัชนี PMI เดือนส.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่นและยูโรโซน

ที่มา – บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์, บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

อ่านเพิ่มเติม

• เอเซีย พลัส คาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในกรอบแคบ 1,520-1,535 จุด จับตาความผันผวนโลก-การเมืองไทย
• เกียรตินาคินภัทร แนะปรับพอร์ตลงทุน เน้นเงินสด-ตราสารหนี้-อสังหาฯ ต่างประเทศลดเสี่ยง Recession

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post นักวิเคราะห์คาดหลังโหวตนายกฯ 22 ส.ค. เห็น Fund Flow ไหลกลับ ชี้ 5 กลุ่มธุรกิจเลี่ยงลงทุนระยะสั้น first appeared on Brand Inside.

เปิดตัว HONOR 90 Series พร้อมราคาสุดคุ้มค่า และยังมี สเ […] More

The post เปิดตัว HONOR 90 Series พร้อมราคาสุดคุ้มค่า ชูกล้อง 200 ล้านพิกเซล! appeared first on iMoD.

ลาก่อนฟีเจอร์บล็อกผู้ใช้..X หรือ Twitter เตรียมถอดฟีเจอ […] More

The post X (Twitter) เตรียมถอดฟีเจอร์ “บล็อกผู้ใช้คนอื่น” แต่บล็อกใน DM ได้อยู่ appeared first on iMoD.

Majin Bu โพสต์ภาพใน X อ้างว่าเป้นสานชาร์จ USB-C ที่เป็น […] More

The post เผยภาพ! คาดว่าเป็นสายชาร์จ USB-C แบบถักสำหรับ iPhone 15 appeared first on iMoD.

พามาศึกษาเรื่องราที่น่าสนใจของบริษัทเทคโนโลยีชื่อก้องโล […] More

The post 10 เรื่องที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับบริษัท Apple appeared first on iMoD.

AIS อุ่นใจ CYBER เชื่อพลังความคิดสร้างสรรค์ 1+1 ได้มากก […] More

The post AIS อุ่นใจ CYBER จับมือขายหัวเราะสตูดิโอ โปรเจค ขอสาระภาพ ตอนพิเศษ “How To รับมือกลโกงมิจฉาชีพ” appeared first on iMoD.

อย่างที่รู้กันว่า Apple Watch เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2015 และตอนนี้ก็กำลังจะครบรอบ 10 ปี และด้วยวันสำคัญนี้ ก็อาจจะได้เห็น Apple Watch X รุ่นใหม่จากแอปเปิล ที่จะมาพร้อมกับการอัปเดตใหม่ เตรียมเปิดตัวในปี 2024 หรือ 2025 ด้วย!

หลังแอปเปิลเคยเปิดตัว iPhone X เพื่อฉลองไอโฟนครบรอบ 10 ปีไปแล้ว และอาจจะมีแพลนคล้ายกันกับ Apple Watch ด้วยเช่ยกัน โดยมีฟีเจอร์ที่ลือมา ตามนี้

Design

Mark Gurman จาก Bloomberg บอกว่า แอปเปิลวางแผนจะออกแบบ Apple Watch X ใหม่ โดยตั้งเป้าที่จะทำให้เครื่องมีดีไซน์ที่บางลงกว่าเรือนนาฬิกาในปัจจุบัน

Bands

Gurman บอกว่าแอปเปิลในตอนนี้กำลังหาวิธีใหม่ ๆ ที่จะต่อสายเข้ากับตัวหน้าจอเรือนนาฬิกา เช่น การเพิ่มพื้นที่สำหรับช่องเจาะ เพื่อเป็นจุดยึดสายรัดเรือนนาฬิกา Apple Watch แบบแม่เหล็กแทน เพราะการถอดช่องเจาะสายออกจะทำให้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับส่วนประกอบภายในอื่น ๆ เลยทำให้ตัวเรือนบางลง

Display

แอปเปิลกำลังพัฒนาเทคโนโลยีจอแสดงผล microLED ของตัวเองอยู่ และอาจนำมาใช้กับ Apple Watch X ในปี 2025 ด้วย เพื่อให้เป็นนาฬิการุ่นแรกที่จะใช้หน้าจอใหม่ เนื่องจากจอ MicroLED เป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ที่ใช้ LED ขนาดเล็กสำหรับแต่ละพิกเซล แต่ประหยัดพลังงานมากกว่า OLED ทำให้ใช้งานได้ยาวนานกว่า และเสี่ยงหน้าจอเบิร์นอินน้อยลง

แต่แอปเปิลก็อาจนำเทคโนโลยี microLED ไปใช้แค่กับรุ่น Apple Watch Ultra แต่อาจมีหลายขนาด หรือ Apple Watch X อาจเป็นนาฬิกาขนาดใหญ่ที่มี การออกแบบเคสใหม่และขอบที่บางลงก็เป็นได้ อย่างที่แอปเปิลกำลังพัฒนาขนาดหน้าจอ 1.89 และ 2.04 นิ้วสำหรับ Apple Watch รุ่นปี 2024

Health Features

การตรวจวัดความดันโลหิตเป็นฟังก์ชันหนึ่งที่แอปเปิลกำลังพัฒนาอยู่ และอาจจะพร้อมเปิดตัวในปี 2025 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะซัมซุงก็มีอุปกรณ์ตรวจวัดความดันโลหิตโดยใช้แสงอินฟาเรดแบบสวมข้อมืออยู่แล้ว

แต่แอปเปิลก็พยายามสร้าง Apple Watch ที่สามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยใช้อินฟราเรดและเซ็นเซอร์อื่น ๆ แต่เทคโนโลยีดังกล่าวอาจจะยังห่างไกล และยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัว Apple Watch ฉลองครบรอบ 10 ปี เพราะต้องมีความแม่นยำสูงสุด เนื่องจากเป็นการตรวจที่ชี้ชะตาชีวิต และต้องทำให้ตรวจได้โดยไม่ทำลายผิวหนังด้วย

แต่ฟีเจอร์ดังกล่าวจะมีกี่สิ่งที่เราอาจจะได้เห็นบน Apple Watch X ก็คงต้องรอติดตามความคืบหน้าต่อไป เพราะอาจจะมีหรือไม่มีตามข่าวลือไว้เลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามแอปเปิลก็คงต้องหาทางทำให้การฉลองครบรอบ 10 ปี ของ Apple Watch พิเศษไม่แพ้ iPhone X แน่นอนครับ

ที่มา – MacRumors

The post [ลือ] รวมฟีเจอร์อัปเกรดใหม่ที่จะมีบน Apple Watch X! appeared first on Macthai.com.