ธนาคาร Far Eastern International ในไต้หวันถูกแฮกเครือข่ายโดยติดตั้งมัลแวร์บนเครื่องพีซีบางเครื่องในธนาคารจนกระทั่งสามารถสั่งโอนเงินออกจากธนาคารผ่านเครือข่าย SWIFT ได้ถึง 60 ล้านดอลลาร์ ธนาคารปลายทางอยู่ในศรีลังกา, กัมพูชา, และสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามทางธนาคารสามารถติดตามเงินเหล่านั้นและโอนคืนมาได้สำเร็จเกือบทั้งหมด เหลือที่สูญเสียจริง 500,000 ดอลลาร์เท่านั้น และอาจจะตามเงินกลับมาได้เพิ่มเติม
แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวระบุกับ AFP ว่าเงิน 1.3 ล้านดอลลาร์ถูกโอนเข้าบัญชีในศรีลังกา 3 บัญชี และทางศรีลังกาตามจับกุมคนที่เกี่ยวข้องกับการขโมยเงินครั้งนี้ได้ 2 คน
กรณีนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีไต้หวันต้องออกมาสั่งหน่วยงานรัฐบาลให้ตรวจสอบความปลอดภัยไซเบอร์ และปิดช่องโหว่ที่พบ
ที่มา - Bank Info Security, Taipei Times
Comments
ถ้าเป็น blockchain คงไม่มีทางได้คืน
ถ้าเป็น blockchain มันก็ไม่มีระบบธนาคารให้แฮคตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่าครับ?
Ethereum นี่ตัวดีเลยครับ เขียนระบบมีช่องโหว่ขึ้นไปกันแล้วก็พลาด โดนกันไปเยอะแล้ว
อะไรที่เกี่ยวกับ Ethereum มักโดนแฮกเสมอ เห็นล่าสุด SmartBillions ทดสอบระบบความปลอดภัยท้าให้มาแฮก แป๊ปเดียวก็โดนดีเลย
ตัว blockchain เอง ไม่ว่าจะเป็น bitcoin หรือ ethereum เองก็มีช่องโหว่ได้ครับ อาจจะถึงระดับสเปคเลยว่าระบบมันกันการเจาะบางกรณีไม่ได้
พวก distributed นี่จะลำบากกว่าด้วย ถึงเวลามีช่องโหว่ทีแล้วหลายครั้งแก้ไขยาก
lewcpe.com, @wasonliw
= _ = ความเห็นพอๆ กะไม่มีไฟแดงรถก็จะไม่ติด
คือระบบไอทีใดๆ ที่มันมีเงินวิ่งในระบบ มันก็ถูกแฮ็กได้ป่ะครับ? เพียงแต่ระบบธนาคารไม่ถูกแฮ็กเพราะมันไม่ได้เรียกว่าระบบธนาคาร(แบบเดิม) เนี่ยนะ?
ถ้าโดน malware ระบบไหนก็ไม่รอด ยิ่ง blockchain ยิ่งตามคืนยากเพราะมันไม่ระบุตัวตน
เอาเข้าจริงๆ blockchain นี่ช่วยให้ตามกระแสเงินได้ง่ายกว่าแบบเก่าอีก แต่ปัญหา ณ ตอนนี้ของ blockchain อย่าง BTC Etherium ฯลฯ คือมันไม่บังคับว่าต้องเปิดเผยตัวตน เลยทำให้การสืบสวนทำได้ยากครับ