หลังเมื่อวานนี้ AIS ประกาศไล่พนักงานที่นำข้อมูลลูกค้าไปเปิดเผย พร้อมแจ้งตำรวจไปแล้วนั้น ล่าสุดทาง AIS แถลงยืนยันถึงนโยบายบริษัท ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอีกครั้ง
AIS ยืนยันว่าบริษัทมีนโยบายในการรักษาสิทธิส่วนบุคคลและความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า มีกระบวนการตรวจสอบเมื่อมีการละเมิด บทลงโทษ และการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งมีคณะกรรมการกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยข้อมูลและระบบสารสนเทศซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากแต่ละสายงานที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกันจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น AIS ระบุว่าได้มีการยกระดับการควบคุมการทำงานภายในและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทางด้านสารสนเทศ อาทิ ต้องใช้พนักงานผู้มีสิทธิ 2 คนกรอกรหัสผ่านในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า (Double Password) จากเดิมที่พนักงานผู้มีสิทธิคนเดียวสามารถใช้รหัสของตนเองเข้าถึงข้อมูลได้ และห้ามพนักงานที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์บันทึกข้อมูลเข้าไปบริเวณพื้นที่ทำงาน รวมถึงกำลังพิจารณาเพิ่มมาตรการป้องกันด้านบุคลากรและกระบวนการทำงานทั้งภายในและภายนอกองค์กรต่อไปด้วย
ที่มา - อีเมลประชาสัมพันธ์
เอไอเอส ทำทุกวิถีทาง เพื่อดูแลความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า
นางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า “จากการที่มีลูกค้าเอไอเอสโพสต์ลงเว็ปไซต์พันทิป เรื่องพนักงานเอไอเอสอาศัยอำนาจหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายนำข้อมูลรายละเอียดการโทรเข้า-ออกของลูกค้าไปให้กับบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นการกระทำผิดของพนักงานต่อ “นโยบายการคุ้มครองสิทธิและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ” และ “ประมวลจริยธรรมทางธุรกิจ” ของบริษัท ซึ่งเอไอเอสรู้สึกเสียใจและขออภัยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อทราบเรื่องดังกล่าวบริษัทฯ ก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นทันที
บริษัทฯ ขอยืนยันว่าการปกป้องและรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างสูงสุดมาโดยตลอด โดยปัจจุบันบริษัทฯได้กำหนดให้มี “นโยบายการคุ้มครองสิทธิและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ” “นโยบายความปลอดภัยข้อมูลและระบบสารสนเทศ” และ “ประมวลจริยธรรมทางธุรกิจ” ที่ระบุถึงความสำคัญของการคุ้มครองและรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ความหมายของข้อมูลส่วนบุคคล ช่องทางการรับข้อร้องเรียน กระบวนการตรวจสอบเมื่อมีการละเมิด บทลงโทษ และการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งการมีคณะกรรมการกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยข้อมูลและระบบสารสนเทศซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากแต่ละสายงานที่เกี่ยวข้อง , การอบรมให้ความรู้ด้านความปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกับผู้พัฒนาระบบตามมาตรฐานการพัฒนาซอฟแวร์อย่างปลอดภัย (Secure Software Development Life Cycle :SSDLC)) การรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าโดยพนักงานจะต้องทำแบบทดสอบภายหลังการฝึกอบรม และการสร้างจิตสำนึกเรื่องจริยธรรมทางธุรกิจให้แก่พนักงานตั้งแต่วันปฐมนิเทศ
และสิ่งสำคัญในกระบวนการทำงาน คือ การกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตามอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ และกำหนดให้มีรหัสผ่านในการเข้าถึงข้อมูลทุกครั้ง , การยกระดับความปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามมาตรฐาน ISO270001 ที่ดาต้าเซ็นเตอร์ และการจัดให้มีการตรวจสอบโดยส่วนงานตรวจสอบภายในและโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระจากภายนอกเป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นความผิดจากตัวบุคคลซึ่งใช้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ประจำวันไปในทางมิชอบ บริษัทฯก็มิได้นิ่งนอนใจ ได้มีการทบทวนและยกระดับการควบคุมการทำงานภายในเพื่อป้องกันการกระทำผิดและการทุจริตในองค์กร รวมถึงการเพิ่มมาตรการรักษาระบบรักษาความปลอดภัยทางด้านสารสนเทศของบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต โดยในขั้นแรก บริษัทฯได้กำหนดให้ดำเนินการ อาทิ ในการเข้าถึงข้อมูลบนระบบสารสนเทศซึ่งเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าแต่ละครั้ง ให้พนักงานผู้มีสิทธิจำนวน 2 คนกรอกรหัสผ่านในการเข้าสู่ระบบ (Double Password) จากเดิมที่พนักงานผู้มีสิทธิสามารถใช้รหัสของตนเองเข้าถึงข้อมูลได้ , ปรับปรุงให้ระบบการทำงานของผู้ที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ามีลักษณะการทำงานแบบปิด (Close working environment) กล่าวคือ กำหนดให้พนักงานห้ามนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล เช่น USB Thumb drive เข้าไปในบริเวณสถานที่ปฏิบัติงาน เป็นต้น
สำหรับมาตรการในขั้นถัดไป บริษัทจะพิจารณาเพิ่มเรื่องการป้องกันทั้งในด้านบุคคลากร กระบวนการทำงานทั้งภายในและภายนอกองค์กร และระบบรักษาความปลอดภัย ระบบตรวจสอบความผิดปกติในการทำงานที่อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และขอให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจว่าบริษัทฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อดูแลความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า” นางวิไล กล่าวสรุป
Comments
ที่มีอยู่ก็เจ๋งสุดยอดแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นออกมาประกาศปาวๆ
ถ้าเขาบอกว่าเพิ่มอะไรเข้าไป ก็เข้าใจได้เลยว่า ก่อนหน้านั้นมันไม่มี
เพราะถ้ามันมีอยู่แล้ว เขาจะไม่แถลงเรื่องเพิ่มขั้นตอนอะไรหรอก
เขาจะแถลงว่าขั้นตอนที่มีอยู่ จะสามารถสืบกลับได้ยังไงบ้าง แต่จนป่านนี้ ก็ไม่มีแถลงอะไรแนวนั้นออกมา
เพิ่มยามหน้าตึกเป็น 2 คน...
ค..คงไม่ใช่มั้งนะ
ดับเบิ้ลพาส ก็เปลี่ยนจาก ไล่ออก1คน เป็นไล่ออก2คน
ทั้งภาย?? "ทั้งภายใน" หรือเปล่าครับ?
ข้อมูลพวกนี้ ใช้สนับสนุนการอุ้มฆ่าได้ไหมครับ
คิดว่าได้ครับ... ยิ่งถ้าเหยื่อมี routine ที่แน่นอน ทำซ้ำอยู่บ่อยในแต่ละวันและเดาได้ไม่ยาก บวกกับข้อมูล gps ก็แทบจะเดาได้เลยว่าเหยื่ออาจอยู่ตรงไหน เวลาไหน
ผมสงสัยว่า ทำไม ais ถึงมีข้อมูล พิกัด gps ของผู้ใช้ได้ พิกัดที่มีมาจากการประมาณเอาจากเสาหรือจาก smartphone ของลูกค้าครับ
ตัวเลขพิกัดนั่นอาจจะแค่พิกัดเสาก็ได้ครับ แต่เสาสมัยนี้ติดถี่มากจนตีวงได้ง่ายครับ
พิกัดจากเสาส่งแม่นพอๆ กับ gps แหละครับ
(ครอบคลุมพื้นที่ภายในอาคาร ดีกว่า gps ซะอีก)
โอ้จริงดิ น่ากลัวมากครับ
ได้ข่าวว่าพึ่งเริ่มทำ cloud ด้วย
ถ้ามันดีอยู่แล้วจะยกระดับไปทำไม
มันไม่ดีพอไง นโยบายที่เคยมีทั้งหมดยังทำให้พนักงานแอบเอาข้อมูลออกไปให้คนภายนอกได้
ดังนั้นจึงบอกได้เลยว่า นโยบานยเดิม กฏระเบียบเดิมทั้งหมดยังใช้ไม่ได้ผลดี
ถ้าเปลี่ยนเป็น AIS ช่วย จขกท สืบว่า ใครเป็นคนบงการพนักงานคนนั้นให้กระทำผิด จะดีกว่าไหมครับ จะได้ฟ้งถูกคน ว่าใครคุกคาม จขกท. อันนี้เหมือนไม่ได้ช่วย จขกท เลย แถมเป็นการปฏิเสธ หรือคนบงการเป็นคนมีสีอีกแล้ว
อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ หลายคนหลงประเด็นไปมาก
เรื่อง AIS มันส่วนนึง จัดการทีหลังได้
แต่เรื่องหลักที่ควรให้ควรสำคัญคือคนบงการ
เพื่อความปลอดภัยของ จขกท. ควรรีบดำเนินการมากกว่าแท้ๆ
สามีของ จขกท ใน pantip เขาบอกว่ามีวิธีจัดการกับคู่กรณีของเขาเองอยู่แล้วครับ
แต่ตอนนี้เขาอยากให้ทาง AIS ออกมารับผิดชอบเรื่องที่โดนขโมยข้อมูลมากกว่า
ถ้างั้นก็หมดห่วง
ส่วน AIS ก็ยับเยินเลยทีเดียว รอดูการแก้วิกฤติของ AIS
สงสัยอีกเรื่องว่าอันนี้พนักงานผิดเต็มๆ
การเปิดเผยรายชื่อควรจะทำได้หรือไม่
ที่ไม่ทำไม่ยอมบอกชื่อคือปกป้องหรือไม่
วัวหายล้อมคอกก็ควรทำ
การสืบสวน ความโปร่งใส การสืบให้ถึงต้นตอสำคัญมากกว่า
มีเพื่อนสมาชิกในนี้แนะนำไปแล้วในกระทู้เก่าๆ ซึ่งเป็นค่อนข้างดี
ต่อไปเวลาขอเบอร์โทรศัพท์ใหม่ให้ device OTP มาพร้อมกันแบบธนาคารเลย เวลาผู้ให้บริการต้องการเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ต้องมาขอที่ user ทีจะเป็นไปได้มั้ยนะ
คือจะให้จ่ายเป็น 2เท่าใช่มะ แถมไม่เฉลี่ยด้วย จ่ายไม่เท่ากันมีแฉแน่
ตกลงไล่ออกจริงเหรอ
นักข่าวไปตามข่าว ทำไม่เห็นมีคดี
ขนาดคดีเมื่อก่อนที่ จนท ธ. แห่งหนึ่งปลอมตัวเอาเงินลูกค้าออกมาใช้เป็นล้าน ยังได้รู้ชื่อว่าเขาคือใคร
ทำไมกรณีนี้ถึงรู้สึกว่า จนท ที่สร้างความเสียหายให้บริษัทนั้นยังไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่หรือไม่
อาจเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจนไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ หรือไม่ก็กลัวเสียรูปคดี
สงสัยว่ายังหาคนที่จะมารับบทเป็นพนักงานคนนั้นอยู่ครับ
คงกำลังเป่ายิงฉุบ ว่าใครจะเป็นแพะ
AIS นิ่งมาก ทั้งๆที่เป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนี้
ถึงขนาดตอแหล กสทช ว่าไม่เคยเก็บ log การโทรเข้าด้วยฮะ
กสทช ต้องการทราบเบอร์คู่สนทนา ทาง AIS ตอบไปว่าไม่มีบันทึกเบอร์คู่สนทนาเฉยเลย
อันนี้น่าจะเป็นข้อมูล Transaction การโทรนะครับ CDR (เอาไว้คิดตัง user และ operator)
ผมไม่ได้ติดตามตั้งแต่แรก แต่นี่มันไม่ใช่แค่ข้อมูลหลุดธรรมดานี่หว่า มีเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องอีก
แล้วโพสต์ตอนสามทุ่มของจขกท บอกว่าจะลากผู้เกี่ยวข้องออกมาให้หมด โดยเฉพาะพวกผู้บริหาร
บริษัทใหญ่โตขนาดนี้ทำงานไม่เป็นมืออาชีพเลย
อยากให้โดนหนักๆ หน่อยเพื่อเป็นบทเรียน (ยึดใบอนุญาติได้ยิ่งดี)
ยึดใบอนุญาตอย่างเดียวไม่พอหรอกครับ ต้องให้โดนสั่งล้มละลายทั้งกลุ่มบริษัทเลยครับ ถึงจะเข็ด
Get ready to work from now on.
อันนี้เค้าไม่เรียกว่าทำให้เข็ดครับ เค้าเรียกว่ากำจัด ซึ่งเกินกว่าเหตุไปมากๆ มากจนดูไม่มีเหตุผลเลย ถ้าทำได้จริงจะไม่มีใครกล้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว ต้องเข้าใจว่าการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าไม่ได้เป็นนโยบายบริษัทนะครับ อย่างไรก็ตาม AIS ต้องรับผิดชอบที่มีมาตรการไม่รัดกุมพอ และแก้ไขสถานะการณ์ไม่ดีพอ แต่ต้องเข้าใจอย่างนึงว่าไม่ว่าจะมีมาตรการดีแค่ไหน มันก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้เสมอ เมื่อมีคนจำพวกนี้อยู่ในบริษัท แล้วแต่ว่าจะโดนจับได้หรือปล่าว มาตรการรักษาความลับ ทำได้แค่ให้คนพวกนี้มันทำงานยากขึ้นแค่นั้น ผมคิดว่าคนขายข้อมูลนี่ไม่ควรจะโดนแค่ไล่ออก แต่ควรจะโดนฟ้องทั้งทางแพ่งและอาญาทางแพ่งควรเพิ่มความเสียหายทางธุรกิจและแบรนด์เข้าไปด้วย จำนวนเงินก็น่าจะทำให้หมดตัวได้ง่ายๆไปหลายรอบเลย ส่วนคดีทางอาญานี้น่าจะได้กินข้าวฟรีไปหลายปีอยู่ คนกล้าเสี่ยงทำเพราะการบังคับกฏหมายมันไม่มีประสิทธิภาพพอ
อันนี้คือตอบเอาสะใจหรือคิดมาแล้วครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ความผิดตอนนี้ผมมองว่าเป็น 3 กระทงนะ
1. กระบวนการทำงาน/ตรวจสอบไม่รัดกุมพอจนทำให้มีการลักลอบนำข้อมูลส่วนตัวลูกค้าออกไปภายนอกได้
2. องค์กรไม่จริงใจในการแก้ปัญหา (อันนี้ความรู้สึกส่วนตัว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมมองว่า AIS มุ่งพยายามปัดสวะให้พ้นตัวอย่างเดียว)
3. มาตรฐานในการเก็บข้อมูลลูกค้า พิกัดเสาส่งเป็นข้อมูลที่ระบุถึงตัวตนลูกค้าได้ ผมมองว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ควรเอามาผูกกับ ID ลูกค้าเลย เพราะถ้าจะบอกเพื่อการพัฒนาสัญญาณ ข้อมูลก็ควรจะเป็น anonymous มากกว่า ส่วนเบอร์ไหนที่ใช้บริการ tracking ก็ค่อยยอมให้ระบบผูกกับ ID ไม่ใช่กวาดแบบนี้ และที่สำคัญ ข้อมูลอันนี้ ผมมองว่าแม้แต่ MD เองก็ไม่มีสิทธิในการดูข้อมูลลูกค้าที่ผูกกับข้อมูลที่ระบุตำแหน่งได้ด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีสิทธิ ตรงนี้ผมมองว่า policy ในการทำงานกับข้อมูลของ AIS ห่วยมากๆ
ทั้ง 3 ข้อนี้ ผมมองว่าโทษที่น่าจะสมเหตุผลคือการสั่งปรับสัก xร้อยล้าน ส่วนการยึดใบอนุญาตนั้นคงแรงไป เพราะไม่ใช่ความผิดในเชิงนโยบายที่องค์กรสั่งเปิดขายข้อมูลที่กระทบการปกครองเอง แต่เป็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่อาศัยการทำงานที่ไม่รัดกุมขององค์กรในการหาประโยชน์มากกว่า
หลังจากนี้ โดยส่วนตัว ผมอยากเห็นมาตรการป้องกัน ตลอดจนถึงแนวทางมาตรฐานในการเก็บข้อมูลลูกค้าจากองค์กรที่กำกับอยู่อย่าง กสทช มากกว่า
เท่าที่รู้จากเพื่อนที่ทำงานทั้งสามเจ้า ข้อแรกกับข้อสามนี่เป็นกันหมดครับ
ข้อสองนี่ถ้าเป็น D ไม่แน่ใจจะดีกว่านี้รึเปล่า แต่ถ้าเป็น T ผมว่าหนักกว่านี้ ถึงเอาจริงๆ AIS ควรต้องทำให้ดีกว่านี้มากก็เถอะ
รอบนี้ผมมองว่าที่พลาดสุดไม่ใช่เรื่อง security หรอก แต่เป็นเรื่องการเยียวยาหลังจากนั้นที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าปกป้องตัวเองมากไปไม่ใส่ใจผู้เสียหายมากกว่า
อาจจะเป็นระบบเก่า สมัยยังมีคลื่นระบบสัมปทานอยู่มั้งครับ มันต้องจ่ายค่าโรมมิ่ง
เรื่อง ID นี่การ track หมายเลขต่างๆ ได้ผมว่ามันโอเคแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน เพราะหลายครั้งมันก็จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากตรงนั้นโดยเฉพาะการติดตามคนร้าย สิ่งที่ควรทำคือการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลมากกว่าครับ
อันนี้ก็แรงไป ซึ่งส่วนตัวมองว่าควรจะปรับให้หนักๆ ซักหน่อย เช่น 1,000,000,000 บาท (หนึ่งพันล้านบาท) เพื่อเป็นการลงโทษ บ. ฐานละเลยเรื่องความเป็นส่วนตัว ซึ่งจำนวนเงินที่ว่า ถ้าเอาไปจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่แรกมันจะใช้น้อยกว่าที่โดนปรับครับ
คนที่เป็นลูกค้าก็ตายสิครับ
ISO ที่ได้มานั้นหมายความว่าอย่างไร?
เข้ารหัสข้อมูลให้สุงกว่านี้ก็ดีนะ แม้จะใช้ USB Thumb drive ขโมยไปก็เปิดอ่านจากเครื่องส่วนตัวไม่ได้ โปรแกรมพวกนี้มีเยอะแยะไปครับ ที่ไม่ใช่ BitLocker นะ
ซึ่งถ้าพนักงานเสี่ยงส่งข้อมูลผ่านเมลล์บริษัทไปข้างนอก (ถ้าทำได้นะ) ก็ไม่น่าจะหาตัวยากอะไร(ในกรณีที่หลุด)เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการจับตัวคนร้าย
ความจริงถ้าเคยทำงาน IT กันมาบ้าง ก็จะรู้ว่ามันมีช่องโหว่จากเรื่องโน้นเรืิ่องนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะการไม่จัดหาเทคโนโลยีใหม่เพราะงบประมาณไม่อนุมัติ AIS พยายามแก้ไขผมว่าก็ดีแล้ว มันไม่สามารถทำปุปบปับได้หรอกเพราะองค์กรใหญ่มีเครื่องตั้งหลายพันเครื่องไม่ก็ถึงหมื่น
ผมเคยทำงานที่่เกี่ยวข้องกับ 4 พันเครื่องแล้วเพิ่มมาเป็น 6 พันเครื่องในเดือนเดียว เหนื่อยสายตัวแทบขาดกับการตามหาคนกระทำผิดจากสิ่งที่อยู่ในมือ (ซึ่งห่วยมาก)
ส่วนการแสดงออกของ AIS ไม่มีความเห็นครับเพราะไม่เคยต้องทำมาก่อน แต่ถ้าเป็นผมก็อาจทำแบบเขาก็ได้ใครจะไปรู้ มันจะมีทางเลือกซักเท่าไหร่กันเชียว กับการออกมาพูดแก้ตัวให้บริษัทไม่เสียหายนักและไม่โดนเจ้านายด่าเอา รวมทั้งยังต้องให้สังคมพอมีคำตอบที่เข้าท่าได้ ก็คงได้ประมาณนี้เหมือนกันแหละ
พูดตรงๆนะครับ บ้านเรา จะระบบไหน ก็มีช่องโหว่ จาก"คน"เสมอครับ มีมาตรฐาน มีข้อกำหนดอะไรมาคุม ก็ทำตอนตรวจสอบ แต่สุดท้ายแล้วก็มีช่องให้หลุดได้อยู่ดี ไม่อยากจะเหมารวมว่าเพราะระบบอุปถัมภ์เลย แต่มันมีจริงๆ แม้แต่หน่วยงานราชการ คนที่เข้าถึงระบบของกรมการปกครอง หรือระบบของจนท.ตำรวจ นักสืบเอกชนเอามาให้คุณได้หมดครับ เขาไปดึงข้อมูลพวกนี้มาได้ยังไง?
อีกอย่าง ยังนึกไม่ออกว่าAISจะแจ้งความคดีอาญาฯกับอดีตพนักงานข้อหาอะไรดี? เพราะยังไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองเรื่องนี้โดยตรงสักเท่าไร(พรบ.คอมฯ ก็อ้อมๆ) นอกจากคดีแพ่งฯข้อหาละเมิดเท่านั้น?
เรื่องพิกัด สมัยก่อนจะใช้คำนวณอ้อมๆผ่าน timing advance แต่ระบบยุคใหม่ น่าจะเก็บnetwork locationกันหมดแล้ว? ยังไม่นับ feature ลับของเครื่องบางเจ้า ที่ผู้ให้บริการสามารถบังคับดึง GPS locationได้ด้วยซ้ำ
จริงๆ ถ้า AIS จริงใจกับการแก้ไขตั้งแต่แรกจะไม่บานปลายแบบนี้ครับ
แต่ที่น่าสงสัยจริงๆ คือพนักงานคนนั้นเป็นใครทำไม AIS ไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งๆที่ตัวเองเจ็บหนักขนาดนี้
Destination host unreachable!!!
แถมครับ
บางคนก็ลืมประเด็นหลายๆอย่างไป ขอสรุปมาอีกทีตามคนนี้
+1
นี่แหละประเด็นหลักที่แสดงถึงธรรมาภิบาลของบริษัท