Tags:
Node Thumbnail

จากที่เราทราบกันดีว่า Mark Zuckerberg กำลังจะได้ลูกสาว วันนี้ลูกสาวคลอดแล้ว ใช้ชื่อว่า Max

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ในฐานะที่มีลูก เขาประกาศยกหุ้น Facebook สัดส่วน 99% ที่ถือครองอยู่ (มูลค่าประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์) ให้กับ Chan Zuckerberg Initiative หน่วยงานการกุศลของเขาและภรรยา โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของมนุษย์ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมโลกที่ลูกสาวของเขาจะเติบโตขึ้นมา

สิ่งที่ Mark และภรรยา Priscilla สนใจเป็นเรื่องการศึกษาโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ตอนนี้เขาและภรรยากำลังทดลองการเรียนการสอนรูปแบบใหม่อยู่ ส่วนรายละเอียดของโครงการจะประกาศเพิ่มเติมในอนาคตเมื่อชีวิตครอบครัวเริ่มลงตัวแล้ว

Mark บอกว่าเขาจะยังเป็นซีอีโอของ Facebook ต่อไปอีกนาน แต่ประเด็นเหล่านี้สำคัญเกินกว่าจะรอให้ลูกโตแล้วค่อยทำได้

ที่มา - Mark Zuckerberg

No Description

Get latest news from Blognone

Comments

By: RyoDaii
Windows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 07:03 #865310

ยินดีด้วยครับ

By: PsFreedom
ContributorAndroidRed HatUbuntu
on 2 December 2015 - 07:15 #865311
PsFreedom's picture

ยินดีด้วย
สุดยอดมากเลยครับ ยกหุ้น 99% เลย

By: jaideejung007
ContributorWindows PhoneWindows
on 2 December 2015 - 07:29 #865314
jaideejung007's picture

สุดยอดคุณพ่อชั้นหนึ่ง

By: xnone
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 07:35 #865316

โอ้ว ได้ลูกสาวทีนี่ จิตใจเปลี่ยนทันที

ชอบพวกคนมีเงินของฝรั่งหลายๆ คนจัง
พอหาเงินได้แล้ว ก็อยากเปลี่ยนโลกนะ

บางคนก็บริจาคเงิน ตั้งมูลนิธี
บางคนก็วิจัย พลังงาน
บางคนก็เอาตัวเองเป็นสื่อช่วบเหลืออย่างพวกดาราดังๆ
บางคนก็ใส่ชุดหนังตอนดึกๆ ออกปราบเหล่าร้าย
บางคนก็ใส่ชุดเกราะบินไปบินมา ...

By: TheOrbital
iPhoneWindows PhoneAndroidSymbian
on 2 December 2015 - 07:46 #865318 Reply to:865316
TheOrbital's picture

เดี๊ยวๆๆๆ สองอันหลังนี่แปลกๆและ

By: Neroroms
Windows
on 2 December 2015 - 07:59 #865321 Reply to:865316

เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ

By: cartier
iPhoneAndroid
on 2 December 2015 - 08:20 #865324 Reply to:865316
cartier's picture

ชอบ​จัง​ คุณเวย์น กับ สตาร์ค เนี่ยะ แต่​ทั้ง​คู่​ไม่ได้​มี​ลูกนิครับ

By: Architec
ContributorWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 09:01 #865341 Reply to:865324

Wayne มีลูกกับ Talia Al Ghul ครับ

By: Priesdelly
ContributorAndroidWindows
on 2 December 2015 - 08:47 #865333 Reply to:865316
Priesdelly's picture

สองข้อสุดท้ายนี้มัน....

By: absolutebit
ContributoriPhoneWindows
on 2 December 2015 - 11:23 #865387 Reply to:865333

มันอะไรครับโหน่ง

By: badpig
Android
on 2 December 2015 - 09:01 #865342 Reply to:865316

เด๋วๆๆนะ

By: holyporing1
ContributorAndroid
on 2 December 2015 - 10:01 #865366 Reply to:865316

คนจนอย่างเราคงจะได้ถ่ายภาพแมงมุม แล้วไปขายที่บ.หนังสือพิมพ์สินะ

By: btoy
ContributorAndroidWindows
on 2 December 2015 - 08:20 #865325
btoy's picture

ยินดีด้วยครับ ส่วนตัวสนับสนุนให้มาร์คมีลูกซัก 4 คนไปเลย ขอให้มีคนต่อไปตามมาเร็วๆ ^^

เชื่อว่าเด็กเหล่านี้จะเติบโตตามรอยคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน


..: เรื่อยไป

By: xnone
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 08:22 #865327

ไปดูตาม Link
เห็นชื่อคน Comment กับคน กด Like แต่ละคนแล้วขนลุก จะเป็นลม
ตัวจริง ทั้งนั้นไม่ใช่แค่เน็ต Idol

By: pawoot.com
WriterAndroid
on 2 December 2015 - 09:00 #865340
pawoot.com's picture

ขอบคุณ Mark ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่.! ผมเองก็ตั้งใจทำแบบนี้เหมือนกันนะ


Pawoot.com

By: Kyoukai
iPhoneAndroid
on 2 December 2015 - 09:30 #865347

"หน่วยงานการกุศลของเขาและภรรยา"
สุดยอดตั้งหน่วยงานการกุศลเองบริหารกองเงินเอง เมื่อตัวเองตายก็ให้ลูกสาวรับช่วงบริหารกองเงินต่อแบบเนียลๆโดยไม่ต้องเสียภาษีมรดกอันสุดโหด เพราะถ้าเป็นการรับมรดกโดยการรับหุ้นจากหุ้นFB โดยตรงคงโดนภาษีไปเกือบครึ่งของมูลค่าหุ้นทั้งหมด วางแผนภาษีมรดกให้กับลูกร่วงหน้าตั้งแต่เกิดเลยแฮะรอบคอบจริงๆ ได้ทั้งหน้าและภาษีมรดกลูกสาวก็ไม่ต้องเสีย ขอยกให้เป็นคุณพ่อแห่งปี

By: dukez78
iPhoneUbuntuWindows
on 2 December 2015 - 09:50 #865359 Reply to:865347

คุณเข้าใจถูกครับว่า การจัดตั้งหน่วยงานการกุศล สามารถป้องกันการเสียภาษีได้วิธีนึง

แต่ถ้าเจตนาคือจะวางแผนภาษีแล้วนั้น มันมีอีกหลายวิธีครับ โดยวิธีที่นิยมกันสำหรับมหาเศรษฐีคือการจัดตั้ง ทรัสต์ ครับ ไม่ใช่การจัดตั้งหน่วยงานการกุศล

ลองศึกษาดูดีๆนะครับ อย่าให้อคติบางอย่างไปกดคนที่พยายามทำดีเลยครับ

อ่อ การที่คนเรามีความตั้งใจที่จะทำความดี ไม่จำเป็นจะต้องทิ้งทุกอย่างที่เค้ามีให้เหลือ 0 เพื่อพิสูจน์ว่าเค้าอยากจะทำดีนะครับ

ความตั้งใจของผมคืออยากเห็นโลกน่าอยู่ขึ้นครับ ไม่ได้ตั้งใจมาขัดใจใคร ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

By: hive5 on 2 December 2015 - 10:00 #865365 Reply to:865347
hive5's picture

แบบนี้นี่เอง ของ M$ ก็แบบนี้ด้วยหรือเปล่าครับ

By: rattananen
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 10:26 #865377 Reply to:865347

คุณรู้ได้อย่าไรครับว่า mark คิดแบบนั้น
ผมอ่านดูเขาก็บอกเจตนาอยู่แล้วหนิครับ ว่าลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

By: anu
Contributor
on 2 December 2015 - 10:28 #865378 Reply to:865347

ไม่ใช่รอบคอบครับ แต่ใจกว้างและใจบุญอย่างมากเลยต่างหาก คิดคร่าวๆนะครับ 99% = 45B แปลว่าเหลือไว้ใช้ประมาณ 450M หลุดจากสถานะ Billionaire ได้เลย หรือหากจะเสียภาษี คิดจากเงินครึ่งนึงของ 45B ก็ยังเหลือเกือบแปดแสนล้านบาทที่ใช้ได้ในนามส่วนตัว ใช้ "อะไรก็ได้" ไม่ต้องไปพึ่งงานมูลนิธิให้ยุ่งยาก แปดแสนล้านบาทในนามส่วนตัว กับ 1.6ล้านล้านบาทในนามมูลนิธิมันต่างกันเยอะมากนะครับ...

สมมติลูกสาวอยากได้โบอิ้ง 777 ซักลำนี่คิดหนักเลย ปกติ $260M หากมีเงินแค่ $450M ก็คงคิดนัก แต่กลับกันหากมี $22,500M ก็ไม่ต้องคิดมาก...

By: sunVSmoon
Windows
on 2 December 2015 - 10:50 #865382 Reply to:865378

+1

อธิบายได้ดีครับ

By: Kyoukai
iPhoneAndroid
on 2 December 2015 - 11:20 #865386 Reply to:865347

ที่เข้ามาตอบผมเนี่ยมีใครจบกฎหมายภาษีกันไหมครับ ผมตอบในฐานะจบกฎหมายภาษีมาโดยตรง ไม่ก็อ่านนี่ก็ได้ครับ

เศรษฐีเมืองนอกใจบุญมากกว่าเศรษฐีไทยหรือไม่?
จากข่าวการประกาศของวอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกวัย 75 ปี ที่มีแผนจะบริจาคเงินร้อยละ 85 จากที่มีอยู่ทั้งหมด 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่องค์กรการกุศล ซึ่งเงินบริจาคส่วนใหญ่จะตกไปเป็นของมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ (Bill amp; Melinda Gates Foundation) มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ที่เป็นเพื่อนสนิทของบัฟเฟตต์ เพื่อใช้ในการสนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์และการให้ทุนการศึกษา

ข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะเราคงจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่ามหาเศรษฐีหลายคนในต่างประเทศที่บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแก่องค์กรการกุศล แต่เมื่อหันมาเปรียบเทียบกับเศรษฐีของเมืองไทย เราอาจจะเกิดคำถามขึ้นว่า ldquo;เศรษฐีเมืองนอกใจบุญกว่าเศรษฐีไทยหรือ?rdquo;

ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความใจบุญของมหาเศรษฐีต่างประเทศ หรือความรวยเหลือเฟือจนสามารถบริจาคได้เป็นจำนวนมากโดยไม่นึกเสียดาย แต่เป็นเพราะมาตรการทางภาษีที่เป็นกลไกในการบังคับและจูงใจให้เศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล

มาตรการทางภาษีที่กล่าวถึงในที่นี้คือ ldquo;ภาษีมรดกrdquo; ซึ่งภาษีมรดกในสหรัฐอเมริกาเป็นภาษีกองมรดก (estate tax) และภาษีการรับมรดก (inheritance tax) ที่มีการจัดเก็บทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละมลรัฐ

ภาษีมรดกในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดก ที่จัดเก็บจากการโอนทรัพย์สินที่เก็บภาษีได้ (taxable estate) จากผู้ตายซึ่งเป็นพลเมืองหรือผู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาไปยังทายาทผู้รับมรดก โดยอัตราการจัดเก็บภาษีนั้นจะคำนวณจากผลประโยชน์ของทรัพย์สิน ณ เวลาที่เจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตลง ทั้งนี้ในปี 2549 กองมรดกที่ต้องเสียภาษีจะต้องมีมูลค่าสูงกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการจัดเก็บภาษีสูงสุดที่ร้อยละ 46 ของมูลค่าผลประโยชน์ของทรัพย์สินทั้งหมด ณ เวลาที่เสียชีวิตลง

ภาษีมรดกในระดับมลรัฐของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดกและ/หรือภาษีการรับมรดก โดยบางรัฐใช้มาตรการภาษีกองมรดกเช่นเดียวกับรัฐบาลกลาง กล่าวคือหากรัฐบาลกลางมีเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีอย่างไร รัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เงื่อนไขดังกล่าวด้วย ขณะที่บางรัฐใช้กฎหมายภาษีกองมรดกที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง ส่วนภาษีการรับมรดกเป็นการอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีกองมรดกโดยจัดเก็บจากผู้รับมรดก

อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินบางประเภทจะได้รับข้อยกเว้นโดยไม่ถูกนำมาคำนวณอัตราภาษี ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ สิทธิเรียกร้องจากทรัพย์สิน สินสมรสที่ถือครองโดยคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ และประการสำคัญคือทรัพย์สินที่บริจาคให้มูลนิธิเพื่อการกุศล

ข้อยกเว้นดังกล่าวนับเป็นเงื่อนไขที่จูงใจแกมบังคับให้มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิต่าง ๆ เนื่องจากมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะเสียทรัพย์สินจำนวนมาก (เกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมด) ที่ตนหามาได้จากการทำงานมาตลอดชีวิตในรูปของภาษีทั้งหมด

เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเศรษฐีเหล่านี้ได้จ่ายภาษีในอัตราสูงมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว และอาจคิดว่าไม่สามารถควบคุมได้ว่ารัฐบาลจะนำเงินภาษีไปทำอะไรและเป็นการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่หากนำเงินไปบริจาคให้แก่มูลนิธิที่ตนเองเห็นว่าทำประโยชน์จริง ๆ น่าจะเป็นการใช้เงินจ่ายที่ตรงความต้องการมากกว่า

แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่าคือ เงินบริจาคส่วนใหญ่มักจะมอบให้แก่องค์กรการกุศลที่ผู้บริจาคสามารถควบคุมได้ หรือเป็นมูลนิธิที่ทำกิจกรรมการกุศลที่สร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กรธุรกิจที่ผู้บริจาคเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน เงินบริจาคดังกล่าวจึงเป็นเสมือนเงินลงทุนในการประชาสัมพันธ์องค์กรธุรกิจ ซึ่งผู้บริจาคจะได้ประโยชน์มากกว่านำไปเสียภาษีมรดก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่สังคมเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) งบประมาณสำหรับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ภาษีมรดกจึงเป็นมาตรการที่บังคับทางอ้อมให้องค์กรธุรกิจจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วย

แม้ว่าผู้ที่คัดค้านภาษีมรดกมักจะอ้างว่า ภาษีมรดกจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ภาษีมรดกที่จัดเก็บในอัตราที่เหมาะสมและมีเงื่อนไขการจัดเก็บที่เหมาะสม อาจจะช่วยให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (win-win situation) กล่าวคือรัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้นบ้าง สังคมได้รับการช่วยเหลือ และธุรกิจได้ประโยชน์จากการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร

มหาเศรษฐีเมืองนอกจึงไม่ได้ใจบุญมากกว่ามหาเศรษฐีเมืองไทย เพียงแต่โครงสร้างภาษีในต่างประเทศจูงใจให้เศรษฐีฝรั่งต้องบริจาคเงิน ขณะที่โครงสร้างภาษีในประเทศไทยยังขาดความเป็นธรรม ทำให้เศรษฐีเมืองไทยส่วนใหญ่ดูเหมือนตระหนี่ถี่เหนียว

Credit http://www.kriengsak.com/node/659

By: Neroroms
Windows
on 2 December 2015 - 11:37 #865389 Reply to:865386

เท่าที่ดูคือเป็น Win - Win - Win สินะครับ

ผมว่าก็ดีนะ รัฐปรกติก็ได้ภาษีมาบริหารประเทศ เศรษฐีก็ลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้รัฐได้ แถมองค์กรการกุศลก็มีทุนเข้าช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนด้วย

By: nottoscale
Windows Phone
on 2 December 2015 - 17:03 #865456 Reply to:865386

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ หลายทีคนไม่รู้ก็เยอะ

By: HMage
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 17:22 #865463 Reply to:865386

หมายความว่ากฎหมายภาษีมรดกของบ้านเราเมื่อเร็วๆ นี้ก็จะมีผลลักษณะเดียวกันใช่มั้ยครับ

งั้นต่อไปในไทยจะมีมูลนิธิผุดขึ้นเท่ากับจำนวนเศรษฐีเลยสินะ

By: thanyadol
iPhone
on 2 December 2015 - 11:56 #865394 Reply to:865347

เหมือนทำ CSR ไปในตัวนี่เอง แต่ลูกสาวเข้าจะมีสิทธนำเงินมาใช้ตามอำเภอใจเหรอ ?
หรือว่าเงินที่เหลือ 1% กับทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่หุ้น fb มันก็มากพอแล้ว

แล้วสอบถามเรื่องจำนวนหุ้นในบอร์ดบริหารด้วยครับ ถ้ายกหุ้นให้มูลนิธิแบบนี้ จะมีผลยังงัย ?

By: Jaddngow
AndroidUbuntuWindows
on 2 December 2015 - 13:39 #865423 Reply to:865394
Jaddngow's picture

อยากรู้เหมือนกัน มาติดตาม

By: Kyoukai
iPhoneAndroid
on 2 December 2015 - 15:20 #865442 Reply to:865394

ถ้าคุณเป็นผู้บริการบริษัทหรือผู้บริหารมูลนิธิโดยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคุณเบิกจ่ายเงินได้สบายถ้าการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัทหรือมูลนิธิ หรือเพื่อดำเนินงานบริษัทหรือมูลนิธ เอาเคสเครื่องบินส่วนตัวที่มีคนยกตัวอย่างมาละกัน ปกติสินทรัพย์เสื่อมมูลค่าราคาแพงแบบนี้ไม่มีใครเขาใช้เงินส่วนตัวซื้อกันหรอก ใช้เงินของบริษัทหรือมูลนิธิซื้อในนามของบริษัทหรือมูลนิธิกันทั้งนั้น โดยอ้างไปว่าเพื่อใช้ในการเดินทางของผู้บริหารแถมเอาไปหักภาษีได้อีก ค่ากินค่าเที่ยวของพวกผู้บริหารก็บจ่ายในนามของบริษัทหรือมูลนิธิอ้างว่าค่าเอนเตอร์เทนลูกค้า เอนเตอร์เทนตัวเองหรือลูกค้าก็ไม่รู้ ไม่มีใครสืบได้มีแต่ใบเสร็จมาโชวเพื่อหักภาษี ช่วงปี2008 ที่เกิดวิกฤติ subprime จนต้องมีการรณรงค์เรื่องธรรมภิบาลเพราะพวกผู้บริหารถลุงเงินบริษัทกันเละเทะซึ่งเป็นส่วนนึงที่ทำให้เกิดวิกฤต

ส่วนกรณีมูลนิธิถือหุ้นบริษัทใครเป็นผู้บริหารบริษัทก็ผู้บติหารคนเดิมที่บริหารอยู่นะแหละบริหารต่อไปจนกว่าที่ประชุมใหญ่มีเสียงเกิน51% ของผู้ถือหุ้นถอดถอนผู้บริหารเดิมแล้วตั้งใหม่หากผู้บริหารมูลนิธิเป็นผู้บริหารบริษัทด้วยแล้วถ้ามูลนิธิยังถือหุ้นเกิน51% หรือไม่ถึงแต่เมื่อรวมกับพรรคพวกตัวเองแล้วเกิน51% คุณคิดว่าผู้บริหารบริษัทมันจะเปลี่ยนตัวไหมละหากผู้บริหารกองทุนกับผู้บริหารบริษัทยังเป็นคนเดียวกัน

ที่ผมรู้เพราะผมทำเรื่องภาษีกับเรื่องบริษัทเวลาบริษัทจะให้ผมวางแผนภาษีให้ผมต้องดูงบการเงินคุยกับผู้บริหารผมถึงได้รู้ว่าผู้บริหารนี่มันดีจริงๆเงินบริษัทหรือเงินมูลนิธินี่ใช้ยังกับเงินของตัวเองเพียงแต่อ้างหลักฐานให้มันมีที่มาที่ไปหน่อยว่าทำภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทหรือมูลนิธิจะได้ไม่โดนข้อหาฉ้อโกง

By: thanyadol
iPhone
on 2 December 2015 - 16:04 #865448 Reply to:865442

ชัดเจน ถถถ ที่แท้ก็เลี่ยงภาษีนี่เอง

By: HMage
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 09:32 #865348

คงคล้ายๆ กับเศรษฐีบ้านเราที่เวลาลูกเข้าโรงเรียนก็จะบริจาคให้โรงเรียนหรือสมาคมผู้ปกครอง แต่นี่พี่มาร์คเขาอยู่ระดับโลก

By: ปลงนะเรา
Android
on 2 December 2015 - 09:33 #865350

สุดยอดดด ขออนุโมทนาครับ

By: Guidenogo
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 09:55 #865363

มีใครพอมีข้อมูลมั้ยครับ ว่าเงินบริจาคของมหาเศรษฐี เอามาทำอะไรบ้าง

รวมๆแล้ว ปีนึงมีเงินเข้ามูลนิธิพวกนี้ผมว่าเป็น 10 ล้าน ล้าน บาท แต่ไม่เห็นโลกจะดีขึ้นเลยครับ

แบบนี้แทนที่จะเอาเงินไปบริจาค เอามาให้รัฐบาลบริหารประเทศดีกว่ามั้ย

By: มายองเนสจัง
iPhone
on 2 December 2015 - 10:03 #865368 Reply to:865363
มายองเนสจัง's picture

มันก็เงินเค้านี่คะว่าจะเอามาทำอะไรบ้าง

By: Guidenogo
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 10:11 #865372 Reply to:865368

คิดอย่างนี้ไม่ถูกนะครับ คนบริจาคเค้าก็อยากจะมั่นใจว่า เงินที่เค้าเสียไป เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนผู้คนจำนวนมากที่สุด

เห็นพอมีคนรวยขึ้นมาทีนึง ก็มีมูลนิธิใหม่โผล่มาทีนึง แสดงว่ามูลนิธิเก่าที่มีอยู่ทำได้ไม่ดี ไม่ทั่งถึงหรือ

By: McKay
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 2 December 2015 - 15:18 #865441 Reply to:865372
McKay's picture

อันนี้คุณต้องเข้าใจก่อนนะครับว่ามูลนิธิแบบนี้ ไม่ได้ระดมเงินบริจาคจากหลายๆบุคคล แต่มาจากเงินของคนคนเดียวหรือครอบครัวเดียวและอาจจะมีบุคคลภายนอกไม่กี่คน(ซึ่งจะกลายเป็นบอร์ดบริหารอยู่ดี) ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้คนบริจาคมั่นใจครับเพราะไม่เกี่ยวกัน

ส่วนทำไมต้องตั้งใหม่ก็เพราะวัตถุประสงค์/จุดมุ่งหมายของมูลนิธิต่างกัน และเจ้าของเงินคนละคนกันครับ

อีกเรื่องคือคุณบอกว่าโลกไม่ดีขึ้น อันนี้คือคุณอยู่ที่ไทยอย่างเดียวรู้ได้อย่างไรครับว่าไม่ดีขึ้น และตัวคุณเองมีเงินมาใช้จ่ายเล่นเน็ต ดังนั้นคุณคงไม่ใช่เป้าหมายของมูลนิธิเหล่านี้นะครับ

การนำเงินมาให้รัฐบริหารนั้นเรียกได้ว่าแย่ครับ เพราะการนำเงินไปให้รัฐใช้ไม่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมายของมูลนิธิได้ครับ และรัฐบาลของประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ(กำลังพัฒนา)ส่วนมากไม่มีความโปร่งใสครับ

การสร้างรายได้ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นหลักการที่ค่อนข้างแย่ถ้าจะทำมูลนิธิครับ เพราะเงินจะไปตกอยู่กับชนชั้นสูง/กลาง แทนที่จะเป็นผู้ที่ต้องการจริงๆ


Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)

By: nrml
ContributorIn Love
on 2 December 2015 - 12:53 #865409 Reply to:865368
nrml's picture

อารมณ์แบบนี้เหมือนกับการที่คนที่บอกว่าชอบทำบุญหลายๆ คนชอบเอามาพูดกันครับ คือทำบุญขอแค่ใจเราคิดดีคนที่เอาไปใช้ต่อจะเอาไปใช้ทำอะไรไม่ว่าจะใช้เกิดประโยชน์ไม่เกิดประโยชน์หรือทำดีทำเลว ก็แล้วแต่เค้า หรือการปล่อยสัตว์ปล่อยนกปล่อยปลา เราให้อิสระเค้า ยังไงเราก็ได้บุญอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ อยากให้เปลี่ยนแนวคิดแบบนี้ การจะทำบุญอะไรสักอย่างมันควรที่จะต้องคิดให้รอบคอบมากกว่านี้ อย่างไปกระจุกบริจาคเงินให้วัดดังๆ รวยๆ หรือปล่อยสัตว์เอเลี่ยนเข้าสู่ระบบนิเวศ ซึ่งมันจะกลายเป็นว่าสร้างบาปมากกว่าสร้างบุญครับ

By: HMage
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 10:19 #865373 Reply to:865363

เห็นตามข่าวส่วนใหญ่ไปลงที่ประเทศกำลังต้องพัฒนาครับ เช่น อดอยากขาดปัจจัย 4
ส่วนบ้านเราเป็นประเทศกำลังอยากพัฒนา เขาเลยไม่จำเป็นต้องมา เราก็เลยไม่เห็น
ไม่แน่ว่าถ้าไม่มีมูลนิธิพวกนี้ อาจมีเด็กตายไปมากกว่านี้หลายเท่าแล้ว

แล้วที่เราก็ยังเห็นมีคนอดอยากจำนวนมากเหมือนเดิม ผมคิดว่างบส่วนใหญ่หมดไปกับปัจจัย 4 ที่ใช้แล้วหมดไปครับ
นึกภาพว่า คนมีรายได้น้อยแค่จะกินยังไม่ค่อยพอ ก็คงไม่เหลือไปพัฒนาศักยภาพตัวเอง ก็เลยไม่หลุดจากชีวิตแบบนี้ได้สักที

By: Guidenogo
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 12:35 #865405 Reply to:865373

ถ้าอย่างนั้น เอาเงินไปให้รัฐบาล ประเทศนั้นๆพัฒนาดีกว่ามั้ยครับ

เช่น ประเทศ A B อดอยาก แต่ประเทศ A รัฐบาลโปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็บริจาคไปให้เลย 1000 ล้านดอลล์

สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ

ในขณะที่ประเทศ B รัฐบาลไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ให้ เป็นการให้ประชาชนในประเทศกดดันรัฐบาลตัวเองอีกต่อหนึ่ง อะไรแบบนี้

By: Architec
ContributorWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 12:42 #865407 Reply to:865405

ที่ว่ามานี่เงินของคุณรึเปล่า?

By: Guidenogo
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 13:03 #865412 Reply to:865407

ความเห็นแบบนี้ยังมีอยู่ใน blognone อีกเหรอครับ

By: Architec
ContributorWindows PhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 13:30 #865420 Reply to:865412

อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ รบ.ไทยได้เงินให้เปล่า ที่ก้อนใหญ่เบิ้มสุดก็สมัยสงครามเวียตนาม ขนมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเอาไปบริหารอะไรบ้าง (แต่สมัยนั้นมีถนน รพช. นะเออ เกรดดีกว่าถนนทุกวันนี้อีก)

คุณเข้าใจระบบมูลนิธิไหมครับ "แจกตรงๆ" ไม่ใช่ผ่าน รบ.>กระทรวง>หน่วยงาน1234>คน ไม่รู้ให้สิบหยิบครึ่งแล้วจะถึงมือคนจริงๆเท่าไหร่

[Ad Hominem]ให้ผมเดานะ ผมว่าคุณติดนิสัยชอบของฟรีจนเคยตัวสิท่า

By: HMage
AndroidWindows
on 2 December 2015 - 17:40 #865468 Reply to:865405

ถ้าตั้งใจจะให้เงินไปพัฒนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ สู้ตั้งมูลนิธิมาจัดการเองน่าจะควบคุมได้มากกว่านะครับ

สมมติผมมองรัฐบาลเป็นมูลนิธิหนึ่ง ก็เป็นมูลนิธิที่ไม่น่าช่วยเพราะใหญ่เกินไป ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเอาเงินบริจาคไปใช้ได้ตรงจุดหรือไม่ ไม่ว่าจะประเทศไหนหรือโปร่งใสหรือไม่

อีกอย่าง จะมีประชาชนสักกี่ประเทศสามารถกดดันรัฐบาลจนมีผลได้ครับ ยิ่งประเทศที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเงินบริจาคนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องเดาเลย พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนรอช่วยเหลืออยู่

By: darkfaty
AndroidWindows
on 3 December 2015 - 00:49 #865587 Reply to:865405
darkfaty's picture

รัฐโปร่งใสตรวจสอบได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอดอยากนะครับ ไอ้ที่มีปัญหาไม่มีจะกิน หุ้นตกกระจาย โดนแบนหลายรูปแบบนี้มันมาจากรัฐประเภทตรวจสอบความผิดตัวเองทั้งนั้นครับ และที่สำคัญทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศเจริญแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าเวลารัฐไม่ว่าจะดีเลิศแค่ไหนก็ไม่สามารถบริหารจัดการเงินได้มีประสิทธิภาพเท่าเอกชน การมีมูลนิธิที่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะนำเงินไปจัดการด้านไหนย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าให้รัฐบริหารครับ

By: TeamKiller
ContributoriPhone
on 2 December 2015 - 10:14 #865374 Reply to:865363
TeamKiller's picture

รัฐได้ภาษีอยู่แล้วครับ ไม่ต้องบริจาคก็ได้ครับ ยิ่งมีเงินเยอะเราก็จ่ายเข้ารัฐเยอะขึ้น

จริงพวกหน่วยงานเขาก็มีช่วยเหลือเรื่อยๆ นะครับ แต่ถ้าจะช่วยระยะยาวจริงๆ ไม่ใช่เอาเงินแจกๆ แล้วก็หาย มันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะครับ

By: mk
FounderAndroid
on 2 December 2015 - 10:17 #865375 Reply to:865363
mk's picture

กรณีของบิล เกตส์ ในเว็บเขาก็มีเนื้อหาเยอะอยู่นะครับ ถ้าอ่านให้หมดก็คงใช้เวลาหลายวัน

By: sunVSmoon
Windows
on 2 December 2015 - 10:47 #865380 Reply to:865363

เค้าช่วยแบบระยะยาวครับ ไม่ได้เน้นการแจกจ่ายระยะสั้น

ไม่เหมือนเศรษฐีบ้านเราแจกไอโฟน...แจกปุ๊บชีวิตดี๊ดี...แต่มันแค่คนกระจุกเดียวและระยะสั้นมากกกกกก

By: wiennat
Writer
on 2 December 2015 - 11:51 #865393 Reply to:865363

ที่มีอยู่อาจจะดี แต่ไม่ตรงกับความต้องการเค้าก็ได้ครับ สมมติเช่นอยากทุ่มเงินเพื่อวิจัยโรคมะเร็ง ถ้าบริจาคผ่านรัฐ (หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาล) เงินตรงนี้จะไปถึงการวิจัยของโรคนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าบริจาคมูลนิธิที่เกี่ยวของกับผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยตรง ก็อาจจะเกี่ยวข้องกว่าแต่อาจจะไปช่วยในด้านความเป็นอยู่ของผู้ป่วยมากกว่าไปทุ่มลงด้านงานวิจัยตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก เป็นต้นครับ


onedd.net

By: mr_tawan
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 2 December 2015 - 23:52 #865579 Reply to:865363
mr_tawan's picture

รัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศ แต่เขาต้องการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งผมว่าเป็นจุดประสงค์ที่ไม่ได้ตรงกันซะทีเดียวนะครับผมว่า ดังนั้นการจ่ายเงินบริจาคเข้าองค์กรณ์การกุศลนี่ก็ดีแล้วแหละ

แล้วก็เหมือนหลาย ๆ องค์กรณ์จะไปเน้นในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ (อัฟริกา ?) เราก็เลยไม่รู้ว่าพวกนี้ทำอะไรล่ะมั้งครับ ? ผมติดตาม Bill Gates อยู่ก็เห็นสิ่งที่เขาทำอยู่เรื่อย ๆ นะครับ


  • 9tawan.net บล็อกส่วนตัวฮับ
By: sabayjoo_ on 2 December 2015 - 14:44 #865434

สุดยอดมากๆครับ

By: fox2000
iPhoneAndroid
on 2 December 2015 - 22:52 #865560
fox2000's picture

เจ้าสัวไทยไม่ทำตามบ้างเลย

By: hoho
Contributor
on 3 December 2015 - 03:18 #865598

Update: ไม่ใช่บริจาคเพื่อองค์กรการกุศลนะครับ องค์กรที่จัดตั้งเป็น LLC เพื่อลงทุนแต่ไม่ได้เน้นผลกำไรมาก่อน

As BuzzFeed's Alex Kantrowitz reported, the Chan Zuckerberg Initiative, the organization that the couple's fortune will go to, is structured as an LLC, a limited liability company, not as a nonprofit organization. (A Facebook spokesperson confirmed to Tech Insider that the organization is an LLC.)

http://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-not-donating-fortune-to-charity-2015-12

Although the group is a corporation, not a non-profit, the donation is intended to improve the world as Zuckerberg and Chan see it, rather than making profit for profit's sake.

http://www.businessinsider.com/biggest-charity-donors-in-the-us-in-2014-2015-12