มูลค่าบริษัทตามราคาหุ้น (market cap) ของแอปเปิลทำลายสถิติอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้นพุ่งไปที่ 122 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มสูงถึง 710 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (23 ล้านล้านบาท)
สถิตินี้ทำให้แอปเปิลกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่สหรัฐอเมริกาเคยมีมา ส่วนบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับสองในปัจจุบันคือ Exxon Mobil มูลค่าบริษัทวันนี้ 382 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่าแอปเปิลเกือบครึ่ง
เหตุที่ราคาของแอปเปิลพุ่งสูงในวันนี้ เป็นเพราะแอปเปิลประกาศข่าวเป็นพันธมิตรกับบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ First Solar เพื่อลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับสำนักงานของแอปเปิลในแคลิฟอร์เนีย
ที่มา - CNNMoney
Comments
ร่ำรวยขนาดนั้นก็ขายของถูกๆ หน่อยนะ บางคนไม่มีจะกินแต่กระเสือกกระสนดิ้นรนหามาใช้ รู้สึกเวทนา
เขาไม่ได้บังคับให้ซื้อนี่ครับ และในตลาดก็มีมือถือให้เลือกเยอะแยะ
ส่วนตัวอยากให้รุ่นล่างสุดราคาเริ่มต้นที่ 5 หมื่นไปเลย จะได้ไม่โหล อิอิ
ทำธุรกิจครับไม่ใช่การกุศล
ทำการกุศลบ้างก็ดีน้าาาา
เค้าทำอยู่แล้วครับ
ทำธุรกิจก็ขายถูกได้ครับ ไม่เกี่ยวกัน ไม่ได้แจกฟรี
แล้วก็ขายแพงได้ด้วยไง แถมขายดีด้วย
แล้วก็อาจจะไม่ดีไปมากกว่านี้เท่าไหร่แล้วด้วยครับ เพราะออกจอใหญ่มาแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยึดติดกับจอเล็กตามคำสั่งเสียของท่านศาสดาผู้ล่วงลับ ต่อไปก็จะขายได้เพิ่มแค่ตามการขยายตัวของตลาด
หรือจริงๆ ถ้าเอาการแทรกแซงของบรรดา carrier ที่ทำให้ราคาต่ำกว่าที่เป็นจริงมาก อย่างของสหรัฐหรือญี่ปุ่นออก ยอดก็น่าจะตกไปพอสมควรเหมือนกัน เพราะราคาแบบติดสัญญาของประเทศพวกนี้นี่ราคาแทบจะชนแอนดรอยด์ได้ คำถามคือถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วใครจะมาเลือกแอนดรอยด์?
รับทราบไว้เป็นหนึ่งความเห็นครับ!
เป็นความผิดของ Apple ?
ผมว่าบ.ที่ไม่มีต้นทุนด้าน os กับ ecosystem แต่ยังขายมือถือเครื่องละ 2 หมื่นกว่านั้นแหละที่ควรลดราคาลงบ้าง
เด่นมากเกินจะเจอคนอื่นเหม็นหน้าเอานะครับ Apple (ด้วยความหวังดี)
เพื่อให้เห็นภาพ Market Cap ของ SET ทั้งหมดรวมกัน ณ สิ้นเดือน ม.ค. 58 เท่ากับ..... 14.71 ล้านล้านบาทครับ...
http://www.set.or.th/en/market/market_statistics.html
อืมมม.....
ไม่ค่อยเข้าใจภาษาหุ้นครับ อธิบายผมหน่อย
หมายถึง มูลค่าทุกบริษัทในตลาดหุ้นรวมกันทั้งประเทศ มีมูลค่า 14.71 ล้าน
ยังไม่เท่า Apple บริษัทเดียว งี้ป่ะครับ?
ปล. ถ้าไช่แบบที่ผมคิด...มันจะใหญ่ไปไหน!!!
ใช่แบบที่คิดนั่นแหละครับ
สัญญาณล่มสล......peep
+1
มุกนี้เล่นได้เรื่อยๆ เจ้าของวลีนี้กระอักเลือดตายไปแล้วมังเนี่ย 55
มันเป็นสัญญาณว่า Apple นั้นแข็งแกร่งสุดๆ ถ้าในอนาคตแม้ธุรกิจเปลี่ยนทิศก็จะยังอยู่ได้ เพราะเงินมหาศาล เคยเห็นรายงานว่า Apple ถือเงินสดไว้เยอะมาก
ทำไมราคาหุ้นถึงสูงขึ้นเหรอคับ ?
อยู่ในข่าวเลยครับ "เหตุที่ราคาของแอปเปิลพุ่งสูงในวันนี้ เป็นเพราะแอปเปิลประกาศข่าวเป็นพันธมิตรกับบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ First Solar เพื่อลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับสำนักงานของแอปเปิลในแคลิฟอร์เนีย"
ไม่ครับ หมายถึงว่าใครเป็นคนทำให้มันสูงขึ้นอ่ะครับ อย่างเช่นจากเดิม 120 แล้วใครเป็นคนทำให้มันเป็น 122 อะคับ
คนอยากซื้อก็แย่งกันประมูลราคาไง
ข่าวมา->เจ้าปั่น->เม่าตาม ประมาณนั้นน่ะครับ
ผมว่าแบบนี้มากกว่านะ
เจ้าเข้ามาเก็บ->ข่าวมา->เม่าตาม->เจ้าปล่อยของ
555+ สุดท้ายทิ้งเม่าใว้บนดอย
ลองจินตนาการว่า คนขายแต่ละคนตั้งราคาไม่เท่ากัน มีคนอยากซื้อเยอะมาก จนกวาดราคาต่ำกว่าหรือเท่ากับ 120 หมดไปแล้ว และไม่มีใครยากขาย 120 แล้ว ที่เหลือมีแต่คนอยากขาย 122 จนต้องมีคนยอมซื้อ 122 คนแรก ก็คนนั้นแหละครับทำให้มันเป็น 122
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ราคาคือราคาที่มีคนซื้อขายจริงครับ มีคนยอมซื้อที่ราคานั้นและขายที่ราคานั้น ส่วนทำไมยอมจ่ายแพงขนาดนั้นก็ขึ้นกับมุมมองของเค้า อาจจะเห็นว่าธุรกิจโตได้อีก มูลค่าน่าจะสูงขึ้นได้อีก เป็นต้น
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ครับ ข่าวปั่นแท้ๆ ถ้าลงทุนพลังงาน Solar กับอาคารสำนักงานก็กระตุกราคาขึ้นได้ (บ้าไปแล้ว)
แล้วที่ Google ไปลงทุนกับพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่หลายโครงการ ไม่เห็นข่าวราคาหุ้นกระชากขึ้นเลย
หรือเป็นเพราะชื่อ Apple สว่างพอที่จะล่อแมลงเม่าจริงๆ
เป็นสัญญานแห่งการล่มสลาย
แหม่ ไม่มีตังนะ ไม่งั้นไปสอยหุ้นไปแว้ว
แนะนำ eToro ครับ
ผมคิดว่า เเอนดรอย เริ่มขาลง เเล้วคนหันไปใช้ iphone เเทนไง ยิ่งมีจอใหญ่ระดับเกิน 4 นิ้วซึ่งอั้นมานาน ก็เลย ดีด๊ากันใหญ่ ผมก็ชอบ iphone นะ เเต่คิดว่า iphone ยังไปได้อีกยิ่งกว่านี้คือลงมาเล่นราคาต่ำกว่า หมื่นบาท เช่นเริ่มตั้งเเต่ 8 พันบาทรับรองได้ หุ้น apple ขึ้นยิ่งกว่านี้อีก เเต่ถ้าเล่น การตลาดเเบบนี้เมื่อไหร่ก็ส่งสัญญานขาลง ปีหน้า apple น่าจะ ใช้ watch เป็นจุดขายสร้างรายได้ เเต่ผมคิดว่าไม่เปี้ยงเท่าไหร่หรอก ข้อเสีย มันเยอะ เเละมันคือตลาดเครื่องประดับเต็มตัว นาฬิกาข้อเมือเนี่ย ถ้าจะเเย่งส่วนเเบ่งก็เเย่งส่วนเเบ่งตลาด ของกลุ่มเดียวกันเท่านั้น
ผมว่า Android ยังไงก็อยู่ได้อีกนานครับ ที่จะล่มสลายคือผู้ผลิต เช่น Sony LG Lenovo ที่กินส่วนแบ่งตลาดไม่ได้มากกว่า
ทำให้ผมผุดความคิดเลยว่า ต่อไป Android จะเหลือกระจุกอยู่แค่ในจีนรึเปล่า (ประมาณอีก 5 ปีข้างหน้า)
ใช่แล้ว นอกจากไอทีแล้วยังมีแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำยังเป็นของจีนด้วย อะไรที่ฝรั่งทำได้จีนลอกเลียนแบบได้หมด
อีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทพวก xiaomi คงขยายไปได้ครึ่งโลกละมั้งครับ
ภายใต้ข้อแม้ที่ว่าจะไม่โดนเรื่องสิทธิบัตรเล่นงานก่อนนะครับ ตรงนี้ผมว่าบริษัทหน้าใหม่เหล่านี้ยังดูหมิ่นเหม่และสุ่มเสี่ยงที่จะโดนฟ้องร้องอยู่นะครับ ถ้าเกิดจะขยายตลาดออกไปจริงๆ
ผมดูว่า บ. เหล่านี้มีความเสียงต่ำเพราะ การฟ้องกันระหว่าง Samsung vs Apple ทำให้สิทธบัตรสำคัญๆหลุดออกมาเกือบหมด
ปัญหาหลักคือกำลังผลิตมากกว่า
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ถ้าโดนฟ้อง หลักๆ น่าจะโดนพวก Content มากกว่าครับ ถ้าไม่โดนเรื่อง UI ของ App ต่างๆ พวก Theme Store นี่ก็มีความสุ่งเสียงต่อการโดนฟ้องสูงมาก
ดูจากยอดจำหน่ายเครื่องกับการเติบโตผมว่าแอนดรอยยังไม่เจ๊งแน่นอนในอนาคตอันใกล้หรือไกลนิดหน่อย จากอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้ แต่ที่บ.ผู้ผลิตมือถือแอนดรอยมีผลประกอบการแย่นั้นมาจากการที่ผู้ผลิตมือถือจีนและอินเดียโตไวมากจนเกิดสงครามราคาที่ดุเดือด ผู้ผลิตส่วนใหญ่ขายมือถือได้แต่แทบไม่ได้กำไรเนื่องจากการแข่งขันทางราคากับผู้ผลิตที่ได้เปรียบมากด้านกำลัง/ต้นทุนผลิต ผลเลยออกมาอย่างที่เห็น
อนาคตของแอนดรอยที่แน่นอนก็คือผู้เล่นในตลาดแอนดรอยจะเหลือน้อยลงมากและเป็นเจ้าที่ขายได้ดีจริงๆเท่านั้น แอปเปิ้ลต่างหากที่ต้องระวังมาจินของตัวเองเอาไว้ ตอนนี้ยอดกำไรอาจสูงเด่นกว่าคู่แข่งอื่นเพราะรายได้ต่อเครื่องของตัวเองเพิ่มขึ้นสวนทางกับคนอื่นที่ลดลงจนแทบไม่ได้กำไร และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของตลาดสมาร์ทโฟนแม้ส่วนแบ่งตลาดลดลงแต่ยอดขายเป็นจำนวนก็เพิ่มอยู่ แต่หากตลาดชะลอหรือหยุดขยายตัวเมื่อไหร่แล้วรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ไม่ได้ อาจได้เจอเม่าตายเป็นเบือก็ได้
เอาเข้าจริงเมื่อวานราคาไม่ได้ถึงขนาดพุ่งสูงมากนะครับ บวกแค่ประมาณ 2% เท่านั้นเอง แต่ก็ทำสถิติ All time high ขึ้นไป ทางด้านราคาหุ้นจริงๆก็ควรจะขึ้นได้มากกว่านี้ ส่วนตัวมองว่าการที่ราคาหุ้น Apple ขึ้นมาสูงช่วงนี้เป็นเพราะผลประกอบการที่พึ่งประกาศ ดีกว่าคาดมาก และทำยอดสินค้าเติบโตได้ดี ในขณะที่ค่ายคู่แข่งอย่าง Samsung กลับมีผลประกอบการที่ผิดความคาดหวัง
ในตลาดหุ้นบางครั้งเราก็มี indicator สำคัญคือผลประกอบการที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และราคาเป้าหมาย ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์ก็จะคาดการณ์ผลประกอบการในแต่ละไตรมาส เมื่อมีนักวิเคราะห์หลายๆราย เค้าก็เอาทุกรายมาเฉลี่ยกัน บางครั้ง Apple เองทำสถิติสูงสุด สูงกว่า Top-estimate ซะอีก เช่นครั้งนี้เป็นต้น (Top-estimate คือ นักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ไว้สูงสุด แต่ประกาศจริงสูงกว่า)
เมื่อนักวิเคราะห์คำนวณเชิงปริมาณ หรือเชิงมูลค่า เช่นการหาค่าเฉลี่ยประมาณการกำไร เมื่อได้กำไรที่ "น่าจะเป็น" เท่านี้ เท่านั้น เขาก็จะให้ราคาเป้าหมายของหุ้นด้วย เช่นการคำนวณโดยวิธีการที่แพร่หลายต่างๆอย่าง DCF เป็นต้น ดังนั้นหลังจากที่ผลประกอบการออกมา "สูงกว่า" ที่ทุกคนคาดการณ์ ราคาเป้าหมายต่างๆก็ต้องถูกคำนวณขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ซึ่งเมื่อกำไรสูงกว่าคาด นักวิเคราะห์ก็ต้องปรับเป้าหมายราคาใหม่ เมื่อราคาเป้าหมายปรับสูงขึ้น ราคาหุ้นมักสูงขึ้นตาม
เราอย่าลืมอีกอย่างว่า สมมติฐานดังกล่าว ในตลาดหุ้นไทยใช้ไม่ค่อยได้ เพราะประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยมันเล็กมาก Market Cap รวมทุกบริษัทในตลาดหุ้นไทย ยังได้เพียงแค่ "ครึ่งเดียว" ของ Apple เพียงบริษัทเดียว (ทั้งตลาดหุ้นไทยนี่คือทั้งบริษัท ปตท. ปูนซีเมนต์ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงเทพ กรุงไทย ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ รวมกันทั้งหมด) ดังนั้นการที่จะมีใครสักคนเข้าไปมีอิทธิพลเหนือตลาด หรือเหนือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ในสเกลระดับนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือพูดได้ว่า "เจ้ามือหุ้น" อาจมี แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีเงินเพียงพอไปคุม Demand & Supply หุ้น
และการที่ราคาหุ้นบ่อยครั้งก็ไม่ได้แปลว่ามันมาจากผลประกอบการ หลายครั้งมันคือความเชื่อมั่นของนักลงทุน เมื่อนักลงทุนทุกคนเชื่อมั่น พวกเขาก็ซื้อหุ้นเก็บไม่ขายออกมา เมื่อหุ้นไม่ถูกขาย ราคาก็ถูกซื้อขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่มีหุ้นก็อยากขายแพงขึ้นก็เริ่มขายราคาแพง เมื่อนักลงทุนอยากได้พวกเขาก็ต้องไล่ซื้อเข้าไป ซึ่งนั่นก็เป็นหลักของตัว Drive ราคาหุ้น
ส่วนของ Apple ข้อดีคือเมื่อ Ecosystem ทุกอย่างเข้ามารวมกันเป็นศูนย์กลาง ทำให้ Apple ได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นมาก จริงอยู่ว่า Samsung หรือบริษัทอื่นๆพยายามทำตลาดแข่ง Apple แต่พวกเขาก็ทำได้ไม่ดีนัก เนื่องจากสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้ควบคุมปัจจัยการใช้งานหลักที่เป็นตัว Operating System และหลายครั้งที่บางบริษัทที่มี Ecosystem และมีปัจจัยเรื่อง Device แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ได้ (เพราะช้าเกินไป + ตามไม่ทัน)
นอกจากนี้คุณค่าเรื่อง Brand Value ก็เป็นเรื่องสำคัญ เหมือนกับบริษัทอย่าง LVMH และ Hermes ที่ยังมียอดขายเติบโต มีกำไรต่อหน่วยสูง นั่นก็เป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นมีคุณลักษณะที่ดีของ Brand Value และ คุณค่าของแบรนด์ที่เป็น Identity เฉพาะตัว ดังนั้นเมื่อเทียบ "กำไรต่อหน่วย" ของ Apple แล้ว ถือว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในแง่ของการขายสินค้า (ที่ดูเหมือนสินค้าหรู) แต่เจาะขายได้ตั้งแต่ตลาดคนชนชั้นกลางยันชนชั้นสูง แตกต่างจากบริษัทแฟชั่นข้างต้นที่คนมีปัญญาซื้อ อยู่เฉพาะตลาดระดับบนเท่านั้น
ที่เขียนก็ ความเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะครับ จากผู้ถือหุ้น Apple คนหนึ่งครับ ^^
reply นี้ดูมีสาระที่สุดเท่าที่อ่านข่าวเกี่ยวกับ apple มา
ขอบคุณสำหรับสาระครับ :)
คอมเมนท์คุณภาพครับ
เจ๋งเลย ที่สำคัญมีหุ้น Apple เนี่ยสิ..ยินดีด้วยคร้าบบบบ
..: เรื่อยไป
ล่มสลายของแท้กำลังมาเยือน
Solar Farm ...
Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ
จอบส์คงดีใจ
รวยขนาดนี้แล้ว สินค้าคุณ กรุณาออกสเปกจัดเต็มให้สมราคาหน่อยนะครับ
หวังสูงไป iPhone ยังมีแก๊ปให้เล่นเยอะ
สเป็คสูงเท่ากับสมราคาหรอครับ แล้วบริการล่ะ ไอโอเอสล่ะ
ถ้าจ็อบส์ยังอยู่ .....
จ็อบส์ก็จะยิ่งรวย ... ;)
my blog
ผมคิดวา่ จ๊อบส์ไปก่อนทีทำวิจัยความต้องการลูกค้า เช่น จอใหญ่ ios สวยอะไรเเบบนี้ ผมคิดว่าตอนนี้ iphone มันเป็นที่นิยมขนาดนี้เพราะการตลาดล้วนๆ เช่น ออกเเบบ การวิจัย exclusive อะไรเเบบนี้เป็นต้น เเต่ จ๊อบส์อยู่ผมคิดว่า จ๊อบส์ จะไม่มีทางทำ apple watch 1000 ล้าน %
นี่ไม่เข้าใจว่า เป็นสัญญาณ ของการล่มสลายยังไง วอนท่านผู้รู้ช่วยขยายความหน่อยครับ
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
เค้าแซว user รายหนึ่งในนี้ครับ มีมา comment หลายข่าวที่เกี่ยวกับ Android, iOS, Apple หรือส่วนแบ่งตลาด ว่า เป็นสัญญาณของการล่มสลายของแอปเปิล อย่างมั่นใจ จำไม่ได้แล้วว่า user ไหน พอมีข่าวด้านดีเลยว่าแซวประมาณว่านี่สินะ สัญญาณของการล่มสลาย...
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ตอนนี้คงสลายไปพร้อมกับการมโนแล้วมั้ง