Tags:
Node Thumbnail

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา Linux Mint 16 "Petra" ได้ประกาศออกตัวเต็มเป็นที่เรียบร้อย คนที่ตามข่าว Linux Mint อยู่คงจะทราบดีว่านี่เป็น Linux Mint ตัวแรกที่มาพร้อมกับ Cinnamon 2.0 ซึ่งทีมนักพัฒนาของ Linux Mint แสนจะภาคภูมิใจ ผมเองก็ได้ทดสอบ Linux Mint 16 มาตั้งแต่วันแรกๆ ของ Linux Mint 16 RC (Release Candidate) และขอสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าผมชอบแนวทางที่ Cinnamon นำเสนอมาก ดังนั้นรีวิวอันนี้จะไม่เป็นกลางและออกไปในทางชม Linux Mint มากสักหน่อย

เครื่องทดสอบที่ผมใช้เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค Toshiba Satellite M70 อายุประมาณ 7 ปี สเปก Pentium M 1.70 GHz, แรม 1 GB ซึ่งเป็นสเปกที่ดูด้อยมากๆ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ ข้อดีอย่างหนึ่งของการรีวิวบนคอมพิวเตอร์ที่สเปกไม่แรงคือเราจะได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการอย่างรู้สึกได้ คอมพิวเตอร์สมัยนี้สเปกแรงเกินไปที่จะแยกระบบปฏิบัติการที่ดีกับระบบปฏิบัติการที่ดีมากออกจากกัน

ส่วน Linux Mint ในการทดสอบครั้งนี้เป็น Linux Mint 16 Cinnamon edition ตัว 32 บิต (ผมไม่ได้ทดสอบ MATE edition เนื่องจากผมมองว่า MATE เป็นแค่ท่ออากาศให้กลุ่มคนที่ยังศรัทธา GNOME 2 เหลืออากาศหายใจจะได้มีเวลาปรับตัวกับ desktop environment ยุคใหม่)

อนึ่ง รูปประกอบบทความนี้เกือบทั้งหมดเป็นการจับภาพหน้าจอขณะรันอยู่ใน Live USB Environment เนื่องจากหลังจากที่ติดตั้งแล้ว ผมได้ปรับแต่งหน้าตาของ Linux Mint ไปพอสมควร มันจึงไม่เหมาะแก่การประกอบรีวิว (เครื่องทดสอบนี้ผมให้คุณพ่อของผมใช้ด้วย ผมเลยต้องทำให้มันเหมาะกับผู้ใช้สูงอายุที่ไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และสายตาไม่ค่อยดี)

การติดตั้ง

การติดตั้ง Linux Mint 16 ทำได้ง่ายเหมือนการติดตั้งระบบปฏิบัติการลินุกซ์สมัยใหม่ทั่วไป (อานิสงส์จากแนวทางที่ Ubuntu เริ่มไว้) หลังจากที่ดาวน์โหลดไฟล์ Linux Mint ISO มาเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเบิร์นลงแผ่น DVD เหมือนการเขียน ISO image file ทั่วไปหรือทำเป็น Live USB ด้วยโปรแกรม UNetbootin จากนั้นก็รีสตาร์ตคอมพิวเตอร์และบูตผ่าน Live DVD หรือ Live USB ที่เตรียมไว้ ส่วนสำหรับขั้นตอนต่อไป ถ้าคุณคลิกเม้าส์เป็นและมีความรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษระดับ ม. ต้น การติดตั้ง Linux Mint ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (แต่โปรดจำไว้ว่าการสำรองข้อมูลก็เป็นสิ่งที่ควรทำเสมอนะ แม้หนทางข้างหน้าจะน่ามั่นใจเพียงไรก็ตาม)

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการติดตั้ง Linux Mint 16 คือ ไฟล์ ISO ของ Linux Mint เวอร์ชันนี้จะใหญ่กว่าเวอร์ชันก่อนหน้าอยู่พอสมควร นั่นเป็นเพราะว่าทีมนักพัฒนาได้ตัดสินใจเลือกระดับการบีบอัดที่น้อยลง ทำให้การบูตเข้า Live DVD/Live USB ทำได้รวดเร็วขึ้นมากและเสถียรมากด้วย (เพื่อการทดสอบความเสถียร ผมได้เสียสละเวลานั่งดูหนัง██อยู่ทั้งคืนใน Live Environment ก็ยังไม่พบอาการค้างอะไร) ผมได้ลองตรวจสอบดูสัดส่วนแรมที่ใช้ตอนบูตเข้า Live Environment พบว่าอยู่แค่ที่ประมาณ 170 MB เท่านั้น

การติดตั้ง Linux Mint (นับจากที่เปิดโปรแกรม Linux Mint Install) กินเวลาประมาณ 13-15 นาที (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องและอินเตอร์เน็ตด้วย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้ทดสอบมีปัญหา Bad Sector บนฮาร์ดดิสก์ และในระหว่างการติดตั้ง ผมดันลืมกด skip ตอนที่มันดาวน์โหลดไฟล์ภาษาเพิ่มเติม ทำให้เสียเวลาไปเกือบ 5 นาที) หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ตัวระบบปฏิบัติการกินพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ราว 3-4 GB

ประสิทธิภาพและความเร็ว

ผมไม่ได้ลองโปรแกรม Benchmark อะไรเนื่องจากสเปกเครื่องที่ใช้ทดสอบมันก็ไม่ได้สูงอะไรนัก ผมไม่อยากจะเห็นคะแนนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าใจหาย ฉะนั้นผมจึงใช้อารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ ในการประเมินประสิทธิภาพและความเร็วของ Linux Mint 16 เราต้องไม่งมงายในคณิตศาสตร์นะครับ :)

ผมขอแยกการประเมินในด้านความเร็วและประสิทธิภาพของ Linux Mint 16 เป็นข้อๆ ดังนี้

  1. ความเร็วในการบูตเข้าระบบ: ทีมนักพัฒนาอ้างว่า Linux Mint 16 จะใช้เวลาในการบูตน้อยลง แต่เท่าที่ผมทดสอบดู ผมก็ไม่พบว่ามันจะบูตเร็วขึ้นกว่า Linux Mint 15 สักเท่าไร อาจจะเร็วกว่าเดิมสักประมาณ 0.5 วินาทีมั้ง สำหรับเครื่องทดสอบของผม การบูตเครื่องแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 42 วินาทีโดยเฉลี่ย (auto log-in mode)
  2. การใช้แรม: หลังจากที่ล็อกอินเข้าระบบโดยที่ไม่ได้ปรับแต่งอะไร ผมลองเปิดโปรแกรม System Monitor ดู พบว่า Linux Mint 16 ใช้แรมเริ่มต้นราว 140-150 MB ซึ่งเยอะกว่า Linux Mint 15 ราว 10 MB (แต่ก็ยังน้อยกว่าการใช้แรมของ Ubuntu ที่รัน Unity Desktop อยู่เกือบ 50 MB) ผมคิดว่า Linux Mint ตัว 64 บิตคงจะใช้แรมเยอะกว่านี้ราวสองเท่า
  3. ประสิทธิภาพการใช้งาน: เรื่องประสิทธิภาพของ Linux Mint 16 เป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ค่อนข้างยาก มันมีทั้งส่วนที่ดีขึ้นและแย่ลง คือ การเปิดโปรแกรมโดยทั่วไปและการเขียน-อ่านข้อมูลทำได้เร็วขึ้น แต่การตอบสนองบางอย่างกลับทำได้ติดขัดอย่างน่ารำคาญใจ เช่น เมื่อล็อกอินและคลิก applet ตรง panel ครั้งแรกจะมีอาการหน่วงเล็กน้อยเหมือนกับว่ามันขี้เกียจแอบอู้หลับ พอตื่นแล้ว คลิกครั้งต่อไปก็จะไม่มีปัญหา (ถ้าถามผมว่ามันหน่วงมากน้อยแค่ไหน ผมก็ต้องบอกว่าหน่วงเหมือน Unity Dash ของ Ubuntu), การลากปรับขนาด (resize window) หรือเลื่อนตำแหน่งหน้าต่าง (move window) ช้าและมีการกระตุกอย่างเห็นได้ชัด จากประสบการณ์ของผมใน Linux Mint 16 RC อาการกระตุกนี้รุนแรงมากจนแทบเลื่อนหน้าต่างไม่ได้เลย แต่หลังจากการอัพเดต อาการกระตุกดังกล่าวก็น้อยลง (อาการกระตุกนี้พบได้เฉพาะในคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ผมได้ลองกับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่แล้วไม่เจอปัญหานี้)

ในแง่ประสิทธิภาพโดยรวม ผมขอสรุปว่า Linux Mint 16 ถือว่าดีขึ้นกว่าเวอร์ชันเดิมอยู่เล็กน้อย ทั้งนี้ผมเดาว่าคงเป็นผลจาก Linux Kernel เวอร์ชันใหม่และโปรแกรมใหม่ๆ รวมถึงการแยก Cinnamon ออกจาก GNOME 3 Backend ผมหวังว่า Cinnamon 2.1 ใน Linux Mint 17 (ซึ่งจะเป็นรุ่น Long-term Support ด้วย) จะมีการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่านี้อีก

ความสวยงาม

"สั้นๆ เลย... Linux Mint 16 สวย"

ความสวยงามของ Linux Mint ยังคงเป็นหน้าตาแบบคลาสสิก มีแถบด้านล่างไว้เรียกโปรแกรม, สลับหน้าต่าง, ดูสถานะเครื่อง แต่ Linux Mint มีองค์ประกอบที่ดูลงตัวมากกว่า ไม่เละเทะอีเหละเขะขะเหมือนสมัย Windows XP หรือ GNOME 2 กรอบหน้าต่างมีเงาเพิ่มความรู้สึกมีมิติลอยนูนตามแนวสมัยนิยม ชุดไอคอนก็เป็นรูปสี่เหลี่ยมมนๆ ที่สวยแบบเรียบๆ เหมือนขุดไอคอนของ iOS ยุคก่อน iOS 7 (ชุดไอคอน Mint-X นี้ก็ดัดแปลงมาจาก Faenza icon theme ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก iOS นั่นแหละ)

No Description

ธีมที่ติดตั้งมาด้วยมีอยู่ 3 ชุด ได้แก่ Cinnamon (ธีมสีเทา), Linux Mint (ธีมสีเทาเข้ม), และ Mint-X (ธีมสีขาว) นอกจากนี้ก็ยังสามารถเลือกติดตั้งเพิ่มเติมจากแท็บ "Get more online" ได้ด้วย

วอลล์เปเปอร์ที่ติดตั้งมาให้ก็สวยงามดี (ยกเว้นรูปที่มี "ดอกไม้" เพราะผมแพ้วอลล์เปเปอร์ที่เป็นรูปดอกไม้โดยเฉพาะภาพถ่ายดอกไม้แบบมาโคร มองแล้วจะเกิดอาการมึนหัวคลื่นไส้)

ส่วนประกอบอีกอย่างของ Linux Mint 16 ที่สวยงามน่าประทับใจมาก คือ หน้าต่าง Log in เสียดายที่ผมไม่ได้ลองใน Virtual machine เลยไม่สามารถจับภาพหน้าจอมาใส่ประกอบได้ ผมขออธิบายคร่าวๆ ว่ามันเป็นภาพพื้นหลังสีเขียวสบายตาและมีระลอกคลื่นเล็กๆ ไหลลงมาเอื่อยๆ

Cinnamon 2.0

No Description

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า Linux Mint 16 เป็น Linux Mint ตัวแรกที่มาพร้อมกับ Cinnamon 2.0 ซึ่งนับได้ว่าเป็น Cinnamon รุ่นเต็มอย่างเป็นทางการ มันไม่ใช่แค่โปรแกรมที่สร้างเพื่อมาครอบ GNOME 3.x อีกต่อไป แต่มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงตัวตนของ Linux Mint ด้วย ผมอยากบอกว่าสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน Cinnamon 2.0 นี้มีอื้อ ถ้ายกมาทั้งหมดคงไม่ไหว ผมจึงขอเน้นเฉพาะอันที่เป็นผมเห็นว่าเป็นทีเด็ดแล้วกัน

อันแรกที่ผมอยากกล่าวถึง คือ ระบบ Window tiling ที่ปรับปรุงแบบเรียกได้ว่า "ยกเครื่อง" เลยทีเดียว ได้แก่ มีการเพิ่มความสามารถจัดหน้าต่างแบบชิดมุม, เมื่อลากหน้าต่างเข้าใกล้ขอบหรือมุม ก็จะมีแถบใสชี้แนะระบบ tiling, และของใหม่ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คงเป็น "Snap mode"

No Description

Snap mode อาจจะทำความเข้าใจได้ยากสักหน่อยในตอนแรก หน้าต่างที่อยู่ใน snap mode จะได้จับจองพื้นที่ส่วนหนึ่งของหน้าจอไปเลย หน้าต่างอื่นๆ ที่อยู่ในสถานะ maximized window จะถูกหดให้มีขนาดเท่ากับหน้าจอที่เหลืออยู่เท่านั้น เราเลือกให้หน้าต่างใดๆ อยู่ใน snap mode ด้วยการกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้ขณะที่ลากหน้าต่างไปชิดขอบหรือมุม

ตัวอย่างหน้าต่างจัดชิดมุมแบบธรรมดา ในภาพนี้หน้าต่าง file browser อยู่ในสถานะธรรมดา, หน้าต่าง Firefox อยู่ในสถานะ maximized, และหน้าต่าง Banshee Media Player อยู่ในสถานะจัดชิดมุม (สังเกตแถบตรง panel ของโปรแกรม Banshee จะมีสัญลักษณ์ "|" อยู่หน้าชื่อโปรแกรม)
No Description

ตัวอย่างหน้าต่างที่จัดชิดมุมแบบ snap mode สถานะของหน้าต่างในภาพนี้เหมือนกับภาพข้างบน ยกเว้นหน้าต่าง Banshee ที่อยู่ในสถานะ snap mode (สังเกตแถบตรง panel ของโปรแกรม Banshee จะมีสัญลักษณ์ "||" อยู่หน้าชื่อโปรแกรม)
No Description

สิ่งที่สองที่ได้รับการปรับปรุงยกเครื่องใน Cinnamon 2.0 ก็คือตัวเลือกปรับแต่ง Sound effects ผู้ใช้สามารถเลือกกำหนดให้เล่นเสียงตามแต่ละเหตุการณ์ เช่น เปิด-ปิดหน้าต่าง, เสียบอุปกรณ์เข้า-ออก, เพิ่ม-ลดความดังเสียง เป็นต้น (ผมลองตั้งให้เสียงตอนล็อกอินเป็นเพลง "แน่นอก.mp3" แต่มันไม่เล่น อันนี้ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันไม่รองรับไฟล์ MP3 หรือเพราะไฟล์มีขนาดใหญ่เกินไป)

No Description

นอกจากสองอย่างข้างต้น สิ่งอื่นๆ ที่เพิ่ม/ปรับปรุงใน Cinnamon 2.0 ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความลื่นไหลในการทำงาน เช่น

  • เมื่อปิดหน้าต่างแถบสถานะโอนถ่ายข้อมูล มันจะถูกย่อไปปรากฏเป็นไอคอนเล็กๆ ตรง panel แทน ผู้ใช้สามารถกดที่ไอคอนนี้เพื่อเรียกเปิดหน้าต่างแถบสถานะได้ (เป็นฟีเจอร์เล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนที่มีภารกิจต้องโอนถ่ายไฟล์[ปกปิด]ขนาดใหญ่บ่อยๆ หน้าจอจะได้ไม่รกเกะกะและไม่มีหน้าต่างแสดงชื่อไฟล์ให้ประเจิดประเจ้อ)
    No Description
  • เพิ่ม User Applet เข้ามาตรง panel ซึ่งมีตัวเลือกให้เปิด-ปิด notification และมีทางลัดเข้าสู่ System Settings ได้ (ผมขอแทรกเกี่ยวกับทางลัดเข้า System Settings ไว้ตรงนี้หน่อยนะ คือนอกจากการเข้าตรงๆ ผ่านทาง Mint Menu อันเป็นทางปกติที่ใช้เรียกเปิดโปรแกรมแล้ว Linux Mint มีทางลัดเข้า System Settings เยอะมา เช่น 1. User Applet 2. คลิกขวาตรง panel ว่างๆ 3. คลิกขวาตรงหน้าเดสก์ทอปว่างๆ หรือ desklet หรือ applet อะไรก็ได้ หน้าต่างปรับแต่งจะมีปุ่มกดเข้า All settings เสมอ... All roads lead to Settings.)
    No Description
  • ในหน้าต่างปรับแต่ง applet หรือ desklet ทุกตัวตัว ด้านมุมบนขวาจะมีปุ่ม Highlight ซึ่งเมื่อกดแล้ว จะมีการกะพริบที่ applet หรือ desklet ตัวนั้น, ปุ่ม Remove ที่ไว้กดลบ applet หรือ desklet, ส่วนปุ่มสุดท้ายจะเป็นรายการฟังก์ชันอื่นๆ เช่น การคืนค่าเดิม เป็นต้น
    No Description

โปรแกรมและการใช้งาน

โปรแกรม application ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Linux Mint 16 ถือได้ว่าครอบคลุมการใช้งานคอมพิวเตอร์สำหรับมนุษย์เดินดินทั่วไป ติดตั้งเสร็จก็ดูหนัง, ฟังเพลง, ท่องเว็บ, พิมพ์เอกสารได้ทันทีแบบ out-of-the-box (ความจริงไม่ต้องติดตั้งด้วยซ้ำไปเพราะเล่นใน Live Environment ก็ยังได้) ความเสถียรอยู่ในระดับที่สุดยอด เท่าที่ใช้มาผมยังไม่เคยเจออาการค้างเลย (ยกเว้นแค่บูตเครื่องไม่ติดหนึ่งครั้งซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของ Linux Mint แต่เป็นเพราะ Bad Sector ในฮาร์ดดิสก์ของผมเอง)

No Description

ในเรื่องการใช้งานภาษาไทยนั้น Linux Mint 16 ไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย สามารถตั้งค่าแป้นคีย์บอร์ดได้ปกติเหมือนเดิมทุกประการ

No Description

โปรแกรมของ Linux Mint ที่ผมเห็นว่าพัฒนาขึ้นมากในแง่ของความเร็วและความเสถียรก็น่าจะเป็น Nemo file browser, และ Mint Software โปรแกรมติดตั้งซอฟท์แวร์ (อย่างไรก็ตาม ผมก็ใช้ Synaptic ในการติดตั้งซอฟท์แวร์อยู่ดี)

No Description

No Description

No Description

ส่วนในทางตำหนินั้น ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโปรแกรมใน Linux Mint อยู่ 2 ตัว คือ โปรแกรม Firefox และ Banshee Media Player

  1. Firefox ที่ติดตั้งมาด้วยยังคงเป็นเวอร์ชัน 24.0 ทั้งที่ Firefox ใน repository ของ Ubuntu ตอนนี้เป็นเวอร์ชัน 25.0.1 มานานแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไม Linux Mint เลือกปล่อย Firefox เวอร์ชันเก่ามากับ Linux Mint 16 ตัวเต็ม (ถ้าเป็น Linux Mint 16 RC ผมยังพอเข้าใจได้อยู่บ้างว่าเป็นเรื่องของการทดสอบความเสถียร)
    No Description
  2. ทำไมถึงเลือกใช้ Banshee เป็น default music player ใน Linux Mint 16 ทั้งที่ Linux Mint 15 ยังเลือกใช้ Rhythmbox อยู่เลย? ผมไม่ได้รังเกียจ Banshee ด้วยเหตุผลทางการเมืองของ Mono นะ เพียงแต่ผมเห็นว่า Rhythmbox ไม่ได้หน้าตาแย่และกินทรัพยากรเครื่องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งการเลือกใช้ Banshee ก็ต้องพ่วง Mono library มาทั้งยวง เปลืองพื้นที่ไปตั้ง 20-30 MB
    No Description

สรุปปิดท้าย

ผมสรุปให้ Linux Mint 16 ผ่านฉลุยหมดเลยทั้งในด้านประสิทธิภาพ, ประสบการณ์การใช้งาน, ความสวยงาม, และความเสถียร ว่ากันตรงๆ ผมก็ต้องให้ระดับคะแนนความพึงพอใจแซงหน้ารุ่นพี่อย่าง Ubuntu ด้วยเนื่องจากเหตุผลที่ Linux Mint ไม่ยัดเยียด adware ให้ผู้ใช้และไม่ได้อุดมไปด้วยบั๊กเหมือน Ubuntu

ในอนาคตอันใกล้ Linux Mint น่าจะยังคงแนวทางของ Cinnamon เอาไว้เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ที่อยากได้ workflow การทำงานของเดสก์ทอปแบบเดิมๆ ท่ามกลางโลกซึ่งกำลังหมุนตามกระแส convergent ที่กระหายรวมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ภายใต้ environment เพียงหนึ่งเดียว (ตัวอย่างเช่น Unity ของ Ubuntu, Metro ของ Windows, GNOME Shell ของ GNOME เป็นต้น)

Get latest news from Blognone

Comments

By: panurat2000
ContributorSymbianUbuntuIn Love
on 4 December 2013 - 21:17 #662461
panurat2000's picture

เครื่องทดสอบที่ผมใช้เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค

โน้ตบุ๊ค => โน้ตบุ๊ก

ส่วน Linux Mint ในการทดสอบครั้งเป็น Linux Mint 16 Cinnamon edition ตัว 32 บิต

ในการทดสอบครั้งเป็น => ในการทดสอบครั้งนี้เป็น

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องและอินเตอร์เน็ตด้วย

อินเตอร์เน็ต => อินเทอร์เน็ต

กรอบหน้าต่างมีเงาเพิ่มความรู้สึกมิติตามแนวสมัยนิยม

เพิ่มความรู้สึกมิติ ?

ด้านมุมบนขวาจะมีปุ่ม Highlight ซึ่งเมื่อกดแล้ว จะมีการกระพริบที่ applet

กระพริบ => กะพริบ

Nemo file browser, และ Mint Software โปรแกรมติดตั้งซอฟท์แวร์

อย่างไรก็ตาม ผมก็ใช้ Synaptic ในการติดตั้งซอฟท์แวร์อยู่ดี

ซอฟท์แวร์ => ซอฟต์แวร์

By: hisoft
ContributorWindows PhoneWindows
on 4 December 2013 - 23:48 #662521 Reply to:662461
hisoft's picture

สีเทาเข็ม => สีเทาเข้ม

By: Virusfowl
ContributorAndroidSymbianWindows
on 10 December 2013 - 13:31 #663785 Reply to:662461

Cinnamon 2.0 นี้มีอื้อ ถ้ายกมาทั้งหมดคงไม่ไหว ผมจึงขอเน้นเฉพาะอันที่เป็นผมเห็นว่าเป็นทีเด็ดแล้วกัน

เป็นผมเห็นว่าเป็นทีเด็ดแล้วกัน

Linux Mint มีทางลัดเข้า System Settings เยอะมา

เยอะมา > เยอะมาก


@ Virusfowl

I'm not a dev. not yet a user.

By: wichate
Android
on 4 December 2013 - 23:22 #662511

ผมรู้สึกว่า start menu ของ Cinnamon มันอืดมากเลยฮะ อืดจนหงุดหงิด (ผมพยายามจะตั้งค่าให้ต้องคลิกที่ group ก่อน แล้วค่อยแสดง app แต่ไม่มีที่ให้ตั้งฮะ)

By: bouroo
AndroidRed HatUbuntuIn Love
on 4 December 2013 - 23:28 #662513
bouroo's picture

นอกเรื่องนิดนึงครับมี mirror ในไทยด้วยครับ http://mirror1.ku.ac.th/ และที่สำคัญมี linuxmint-packages ด้วย สำหรับคนที่เน็ตออกต่างประเทศไม่แรงครับ ^_^

By: AronSun
Windows PhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 01:04 #662523

สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับธีมของ Mint คือ มันได้รับอิทธิพลจาก OS X มากไปหน่อย กับ ไม่ชอบ title bar สีเดียวของมัน ที่ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง active หรือ inactive ก็ยังเป็นสีเดิมอยู่

อีกเรื่องที่ผมเหนื่อยใจกับ Linux (ไม่ว่าจะค่ายไหน) คือ เรื่องฟอนต์ภาษาไทย ที่มันไม่สวยงามเลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับ OS อื่น ทั้งๆ ที่เราก็มีฟอนต์ภาษาไทยสวยๆ หลายตัวที่น่าจะเอามาเป็น default แทนได้ แต่ไม่รู้ทำไมยังใช้ฟอนต์เดิมๆ กันอยู่ ทำให้ผมต้องเสียเวลาแก้เรื่องฟอนต์ภาษาไทยทุกทีไป

ส่วนฟีเจอร์ต่างๆ ของ Cinnamon ว่ากันตามตรงแล้วก็ยังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย แต่เมื่อกี้ลองโหลด มาเล่นแบบบ Live USB ดู ประทับใจในความเร็วและความเสถียรครับ

By: pexza
AndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 02:28 #662544 Reply to:662523
pexza's picture

Font ภาษาไทย ของระบบผมใช้ Droid Sans ของ Web Browser ใช้ Garuda ครับ งามหยดย้อย Tahoma ของ Windows ขี้เหร่ไปเลย

By: AronSun
Windows PhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 04:41 #662565 Reply to:662544

ชอบฟอนต์ Droid Sans เหมือนกันครับ

By: mr_tawan
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 03:05 #662552 Reply to:662523
mr_tawan's picture

ลองให้คอมเม้นท์ทีมงานไปเปลี่ยนฟอนท์ดูสิครับ ผมว่าถ้าเห็นสวยกว่าจริงเขาน่าจะรับนะ

แต่ฟอนท์ระบบมันเปลี่ยนได้อิสระเลยนี่นา ?

ปล. อาจจะติดปัญหาเรื่องสิทธิการใช้งานครับ ถ้า License ไม่เข้ากันก็เอามารวมใน Distro ไม่ได้
ปลล. ระบบการวาดตัวอักษรของ Windows กับของ Linux (และ OSX ด้วย) ทำงานค่อนข้างต่างกัน Windows จะเน้นตัวหนังสือคม ๆ แต่ว่า Linux จะดูเนียน ๆ (ถึงขั้นเบลอ ๆ) เข้าใจว่าการทำ Hinting ต่างกันน่ะครับ


  • 9tawan.net บล็อกส่วนตัวฮับ
By: AronSun
Windows PhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 04:43 #662566 Reply to:662552

ชอบตัวหนังสือคมๆ แบบ Windows นี่แหละครับ ของ Linux มันเบลอไปหน่อย พอปิด hinting ตัวก็หยักซะ

By: popconpor
Windows PhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 00:02 #662524

ไม่ต่างจาก ver.15 เท่าไหร่เลย

By: Architec
ContributorWindows PhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 00:28 #662530

Wallpaper : Yui Hatano?

By: isk on 5 December 2013 - 03:09 #662554 Reply to:662530

แหม่ ผมก็ว่าคล้ายๆอยู่นะครับ :)
ไม่แน่ใจว่าใช่รึป่าว

By: first100
Windows PhoneWindows
on 5 December 2013 - 13:02 #662629 Reply to:662530
first100's picture

ฮ่าๆ :)

By: pexza
AndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 02:29 #662546
pexza's picture

สำหรับ Mint เวอร์ชั่นนี้ พูดง่าย ๆ เลยคือ "ชอบ" ครับ จากเวอร์ชั่นก่อน ๆ ที่ทนใช้ได้ไม่เกินสองวันก็ต้องกลับไปหา Ubuntu แล้ว แต่ ณ วันนี้ รู้สึกมันน่าใช้ และ Ubuntu ทำตัวงี่เง่าด้วย (ผลพวงจาก GNOME3)

By: ToOdDang
AndroidUbuntu
on 5 December 2013 - 10:15 #662597 Reply to:662546

เหมือนผมเลย ย้ายได้ไม่กี่วันก็งอแงกลับมาหา Ubuntu อีกแล้ว

By: Jaddngow
AndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 15:42 #662660 Reply to:662546
Jaddngow's picture

หนีกลับไป ubuntu นานแล้วเดี๋ยวจะลองกลับมาที่mint

By: isk on 5 December 2013 - 03:08 #662553

ดูแล้วเหมือน Mac osx + windows นะครับ
เดี๋ยวถ้ามีโอการจะลองลงใช้สักครั้ง

By: inkirby
ContributoriPhoneAndroidIn Love
on 5 December 2013 - 10:59 #662604
inkirby's picture

รีวิวฮามากครับ XD

♥ สักดอก...นะ ♥

Σ(O_o;)


Dream high, work hard.

By: i_heatie
AndroidWindowsIn Love
on 5 December 2013 - 13:34 #662638
i_heatie's picture

น่าสนใจครับ ตอนนี้ใส่ Elementary OS ไว้ที่เครื่องสำรอง งานหลักคือภรรยาใช้ดูซีรีส์ สักวันจะลองเจ๊มินท์บ้าง

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 20:33 #662696 Reply to:662638
EThaiZone's picture

ผมก็ติดตัวนี้ตอนแรกครับ แต่ตอนนี้ต้องกลับมา Mint ก่อนด้วยเหตุผลแค่ว่า "ทดสอบรัน Line บน Wine" เพราะแค่อยากรู้ความต่างก็เท่านั้นเองครับ ส่วนตัวจากที่ใช้ทั้งสอง OS นี้เทียบกัน บอกได้เลยว่า Elementary OS แม้ทาง Interface จะดูไปทาง OSX มาก แต่ผมชอบมันมากกว่า Mint นะ (แต่ต้องปล้ำมันให้อ่านไทยได้ดีๆ ก่อน)


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: Sephanov
iPhoneUbuntu
on 5 December 2013 - 14:16 #662648
Sephanov's picture

ดีใจจังที่คนอื่นมีหน้าตาสวยๆงาม
/me จมปลักอยู่กับ debian ดำๆต่อไป -*-!

By: MiiXel2
iPhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 16:35 #662665
MiiXel2's picture

ขอสอบถามนิดนึงครับ กำลังคิดว่าจะเอามาแทน Windows XP ที่บ้านอยู่

มันพอจะทำงานร่วมกับ Microsoft Office 2003/2007 ได้ไหมครับ แบบ เปิด .doc/docx เพื่อปริ๊นท์ อะไรแบบนี้ครับผม

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 20:29 #662693 Reply to:662665
EThaiZone's picture

ทำงานร่วมกันได้ครับ ทดสอบกับ Libraoffice แล้วบน Mint (เพิ่งลงพอดี) แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเพื่อใจไว้หนักๆ คือเรื่องฟอนต์ครับ


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: k_sukhum
iPhone
on 5 December 2013 - 21:55 #662711 Reply to:662693

อีกเรื่องที่ต้องทำใจล่วงหน้าคือ การจัดหน้า ครับ

By: MiiXel2
iPhoneAndroidWindows
on 5 December 2013 - 23:12 #662731 Reply to:662665
MiiXel2's picture

ขอบคุณทั้งสองท่านมากครับ ถ้าแก้ไขโดยการทำเป็น PDF ก่อนจะพอได้ไหมครับ

By: k_sukhum
iPhone
on 6 December 2013 - 13:26 #662846 Reply to:662731

ถ้าจะแชร์ไฟล์เอกสารระหว่าง Linux กับ Windows , PDF ควรทำอย่างยิ่งครับ

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 5 December 2013 - 20:35 #662698
EThaiZone's picture

ใครอยากได้ OS คล้าย Mac จริงๆ แนะนำ Pear OS ครับ เหมือนจนต่างกันแค่ว่า ไม่ใช่แอปเปิ้ล แต่เป็นลูกแพร (ฮา)


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: cmmadnat
iPhoneUbuntuWindows
on 6 December 2013 - 09:55 #662784 Reply to:662698

Elementary is ครับ ก็อปแบบไม่อายฟ้าดิน

By: cmmadnat
iPhoneUbuntuWindows
on 6 December 2013 - 09:56 #662786

เครื่องของลุงนี่ไม่น่าเชื่อว่าลง cinnamon ไหวนะเนี่ย แจ๋วจริงๆ

By: terminus
ContributorJusci's WriterMEconomicsUbuntu
on 6 December 2013 - 22:46 #662970

ผมพอจะเดาเหตุผลได้แล้วแหละว่าทำไม Linux Mint 16 ถึงเลือก Banshee เข้ามาเป็น default music player แทน Rhythmbox

เมื่อวานผมทนรำคาญตากับแถบ Sidebar อันมโหฬารของ Evince ไม่ไหว รูปข้างล่างนี่คือผมลากให้ sidebar มันเหลือเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะ ผมจึงลองค้นดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
No Description

ปรากฏว่า Mint 16 มันเลือกใช้ Evince เวอร์ชัน 2.6.1 ซึ่งเป็นเวอร์ชันเดียวกับใน Ubuntu 13.04 แถมน่าจะยังไม่ได้ patch ตาม Ubuntu ด้วย ผมเลยลองดูใน repo ของ Ubuntu 13.10... Evince ของ Ubuntu ล่าสุดเป็น 3.10 แล้ว

ผมก็จัดการ force version ให้มันเลือก Evince 3.10 เลย ก็ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาอะไร แถบ sidebar ขนาดไม่ใหญ่โตน่าเกลียดแล้ว

Evince 3.10 มันเปลี่ยนหน้าตาไปจาก Evince รุ่นเก่าๆ เยอะมาก น่าจะเป็นการเปลี่ยนเพื่อรองรับ interface แบบ header bar ที่นำเสนอมาใน GNOME 3.10

ตรงนี้แหละที่น่าจะทำให้ Mint เลือกค้างอยู่กับ Evince เวอร์ชั่นเดิมและเปลี่ยนจาก Rhythmbox เป็น Banshee เพราะ Rhythmbox เวอร์ชั่นใน Ubuntu repo (2.99.1 มั้ง ผมจำตัวเลขไม่ได้) ก็มีหน้าตาที่เริ่มจะออกไปในทาง header bar แล้ว เมนูต่างๆ ถูกยุบรวมไปอยู่ในปุ่มด้านขวา

นอกจากเรื่อง Consistency ของ Look & Feel (คือตอนนี้เครื่องผมก็มี Evince กับ Rhythmbox สองตัวที่หน้าตาโดดไม่เข้าพวก ฮ่าๆๆ) ผมว่ามันน่าจะมีเหตุผลที่ลึกกว่านั้น

ถ้าเรามองว่า header bar กับการยุบรวมเมนูเป็นคำตอบของโจทย์เรื่อง "พื้นที่หน้าจอในแนวตั้ง" ของ GNOME 3 เหมือนกับที่ Ubuntu โยก menu bar ทั้งหมดมาเป็น global menu บนแถบด้านบน

Mint ก็คงจะพยายามหาคำตอบในแนวทางของตัวเอง ซึ่งคงไม่เอาตาม global menu ของ Ubuntu แน่ๆ และถ้าดูจากในตอนนี้ Mint ก็ไม่เอาแนวทางของ GNOME 3 เหมือนกัน

สรุป Mint จะเอาอะไร?
อันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมลองเลือกกดปิด menu bar ใน Nemo มันจะมีหน้าต่างเตือนแจ้งให้ทราบว่า หากเราปิด menu bar แล้ว เราสามารถกดปุ่ม Alt เรียกให้ menu bar มันโผล่ขึ้นมาชั่วคราวได้ ในขณะนี้ฟีเจอรนี้มีแค่เฉพาะ Nemo เท่านั้น สงสัยว่าถ้า Mint จะเอาแบบนี้ ก็คงต้องรื้อทำทุกอย่าง from scratch หมดเลย

By: kswisit
ContributoriPhoneAndroidIn Love
on 7 December 2013 - 10:37 #663056

ผมไม่ชอบอย่างเดียวเรื่องหน้าตาของลีนุกซ์ ไม่ว่าดิสโตรไหนๆ ก็คือ มันใช้ space มากเกินไป

มันไม่ compact พอดีๆ แบบ windows


^
^
that's just my two cents.

By: mode on 9 December 2013 - 10:21 #663488 Reply to:663056

มี DE ที่กินสเปคไม่มากเหมือนกันครับ
แต่ถึงอย่างไรเวลาใช้พวกโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ ๆ ก็กินสเปคมากอยู่ดี

By: kswisit
ContributoriPhoneAndroidIn Love
on 9 December 2013 - 11:23 #663506 Reply to:663488

space = พื้นที่น่ะครับ ไม่ใช่ spec

การจัดวางไอคอน ปุ่ม ฯลฯ มันกินพื้นที่เกินไป


^
^
that's just my two cents.

By: atmeid001
Windows
on 17 December 2013 - 16:31 #665545

ความสวยงามถ้าดูเผินๆ อาจจะสวยแต่รายละเอียดเล็กๆอย่างฟอนท์ที่ไม่สวยกับธีมที่มีสีเทามากเกินไป... ความคิดผมนะ ถ้าเอาจุดนี้ออกได้มันก็จะสวยขึ้นอย่างมาก