Tags:
Node Thumbnail

เชื่อว่าเกือบทุกคนรู้จักภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ภาคแรกกันดี กับเรื่องราวการคืนชีพให้ไดโนเสาร์โดยอาศัยเทคนิคการตัดต่อพันธุกรรมเข้าช่วย ในตอนนั้นแนวคิดนี้ดูล้ำยุคไปมากจนหลายคนคงยากจะจินตนาการว่าจะมีใครพยายามทำสิ่งที่ใกล้เคียงกันให้เกิดขึ้นได้จริง

แต่ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งประกาศตัวด้วยเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่จะคืนชีพให้สิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วยเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมศาสตร์คล้ายคลึงกับสิ่งที่เห็นจากภาพยนตร์ พวกเขาคือ Colossal บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพจากสหรัฐอเมริกา และโครงการแรกคือการคืนชีพให้เสือแทสมาเนียที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

Colossal เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Ben Lamm ซีอีโอซึ่งเคยผ่านงานบริษัทเทคมาแล้วหลายแห่ง และดอกเตอร์ George Church ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์สอนที่ Harvard และ MIT ซึ่งทีมงานของพวกเขายังประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนมาก

Colossal มีเป้าหมายคืนชีพให้สัตว์สูญพันธุ์โดยเป้าหมายใหญ่สุดคือการคืนชีพให้ช้างแมมมอธ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นพวกเขาตัดสินใจเริ่มจากการสร้างเสือแทสมาเนียซึ่งเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้วกลับคืนมาก่อน

No Descriptionเสือแทสมาเนียในสวนสัตว์ Washington, D.C.

สำหรับเสือแทสมาเนียหรือเรียกอีกอย่างว่าหมาป่าแทสมาเนียนั้น มีชื่ออย่างเป็นทางการที่เรียกว่า "ไทลาซีน" เป็นสัตว์กินเนื้อที่เป็นนักล่าสูงสุดในกลุ่มสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง และด้วยความที่รูปร่างของมันคล้ายหมาป่า ทว่าลายที่หลังของมันนั้นเป็นลายแบบเดียวกับเสือจึงทำให้มันถูกเรียกด้วยชื่อที่กล่าวมาข้างต้น

เสือแทสมาเนียนั้นเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้มาตั้งแต่ประมาณ 2 ล้านปีก่อน แต่จนกระทั่งเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เสือแทสมาเนียก็ลดจำนวนลงและหลงเหลืออยู่เพียงที่เดียวคือบนเกาะแทสมาเนียประเทศออสเตรเลีย ต่อมาจากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ก็ทำให้เสือแทสมาเนียมีจำนวนลดน้อยลงไปอีกจนหมดไปจากธรรมชาติในช่วงปี 1910-1920 โดยเสือแทสมาเนียที่หลงเหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายนั้นได้รับการดูแลในสวนสัตว์ Hobart บนเกาะแทสมาเนียกระทั่งมันตายลงในปี 1936 หลังจากที่มันได้รับสถานะเป็นสัตว์คุ้มครองไม่นาน

แม้หลายปีให้หลังจะมีผู้คนอ้างว่ายังพบเสือแทสมาเนียตามธรรมชาติแต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (International Union for Conservation of Nature) ได้ประกาศสถานะให้มันเป็นสัตว์สูญพันธุ์เมื่อปี 1982

No Description"Benjamin" เสือแทสมาเนียตัวสุดท้ายในสวนสัตว์ Hobart

สิ่งที่หลงเหลืออยู่เกี่ยวกับเสือแทสมาเนียคือภาพถ่าย, คลิปวิดีโอ และซากร่างของมัน ซึ่งกระโหลกของมันนี่เองที่จุดประกายให้ Colossal มีความหวังที่จะพาสัตว์สปีชีส์นี้กลับมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง พวกเขาร่วมมือกับทีมวิจัย Thylacine Integrated Genomic Restoration Research Lab (TIGRR) แห่ง University of Melbourne วางแผนที่จะนำเอาดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียที่ได้จากซากกระโหลกมาเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อการตัดต่อพันธุกรรมสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันให้ได้ออกมาเป็นเสือแทสมาเนียตัวใหม่

แผนการก็คือนำเอาเซลล์ของดันนาร์ต ซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อมีกระเป๋าหน้าท้องรูปร่างตัวเล็กใกล้เคียงกับหนูมาทำการตัดต่อพันธุกรรม สาเหตุที่เลือกใช้เซลล์ของดันนาร์ตนั้นก็เป็นเพราะว่าลักษณะดีเอ็นเอของมันมีความใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียมาก ซึ่งการตัดต่อนี้จะอาศัยข้อมูลดีเอ็นเอของเสือแทสมาเนียที่ได้จากซากกระโหลกมาเป็นตัวอ้างอิง

จากนั้นพวกเขาจะนำเอาเซลล์ที่ตัดต่อพันธุกรรมแล้วเสร็จไปใส่ในมดลูกของดันนาร์ต ทั้งนี้ธรรมชาติของสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเมื่อตอนแรกเกิดนั้นจะมีขนาดเล็กมากไม่ว่าขนาดตัวตอนโตเต็มวัยจะแตกต่างกันเท่าใด (ขนาดตัวแรกเกิดอาจจะเล็กเท่าเมล็ดข้าว) ทำให้พวกเขามั่นใจว่ามดลูกของดันนาร์ตจะสามารถใช้เพื่อการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนเสือแทสมาเนียได้

No Descriptionตัวดันนาร์ต

ขั้นตอนตามแผนหลังจากนั้นก็คือเมื่อตัวอ่อนเสือแทสมาเนียครบกำหนดครรภ์มันก็จะถูกคลอดออกมาแล้วถูกเลี้ยงดูต่อไปในกระเป๋าหน้าท้องของตัวดันนาร์ต ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นกระบวนการปกติของสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอยู่แล้วที่จะเอาลูกซึ่งเพิ่งเกิดใหม่มาเลี้ยงต่อในกระเป๋าทันทีและเลี้ยงอยู่เช่นนั้นนานต่อไปอีกหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดีเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งเสือแทสมาเนียเกิดใหม่ก็จะมีขนาดตัวใหญ่ขึ้นเกินกว่าจะอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของดันนาร์ตที่ทำหน้าที่แทนแม่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทีมวิจัยจะใช้กระเป๋าหน้าท้องเทียมที่สร้างขึ้นมาใช้ในการดูแลลูกเสือแทสมาเนียจนกว่ามันจะถึงวัยที่สามารถออกมาใช้ชีวิตอยู่ภายนอก

Colossal วางแผนว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะสามารถสร้างช้างแมมมอธด้วยวิธีการคล้ายคลึงกัน โดยอาศัยดีเอ็นเอที่หาได้จากซากของมันแล้วทำการตัดต่อพันธุกรรมช้างเอเชีย และใช้มดลูกของช้างเอเชียเป็นที่เพาะเลี้ยงตัวอ่อนของช้างแมมมอธ อย่างไรก็ตามโครงการคืนชีพช้างแมมมอธนั้นยากกว่าเสือแทสมาเนียมาก เนื่องจากมันสูญพันธุ์ไปก่อนหน้านานมาก การจะหาตัวอย่างดีเอ็นเอที่สมบูรณ์พอสำหรับใช้อ้างอิงในการตัดต่อพันธุกรรมเซลล์จึงยากกว่า อีกทั้งการจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าก็มีโจทย์ที่ต้องจัดการมากกว่าเช่นกัน

No Descriptionหุ่นจำลองช้างแมมมอธที่พิพิธภัณฑ์ Royal British Columbia

แม้ว่าแนวคิดที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจะฟังดูมีความเป็นไปได้จริงไม่น้อย แต่นักวิทยาศาสตร์หลายรายก็ยังคงเห็นต่างและไม่คิดว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จได้ตามแผน

Tom Gilbert ศาสตราจารย์จากสถาบัน GLOBE ของ University of Copenhagen ผู้ทำการศึกษาเรื่องการคืนชีพหนู Christmas Island ซึ่งเป็นสัตว์สูญพันธุ์อีกชนิดหนึ่งอยู่เช่นกัน ให้ความเห็นว่าการจะถอดรหัสพันธุกรรมจากดีเอ็นเอบนซากกระโหลกของเสือแทสมาเนียนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากข้อมูลที่ได้จะไม่สมบูรณ์และทีมวิจัยก็ไม่อาจคาดเดาเองได้โดยง่ายว่ารหัสพันธุกรรมส่วนที่ขาดหายไปนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งหากรหัสพันธุกรรมไม่มีความสมบูรณ์แล้วย่อมไม่มีทางที่ตัวอ่อนที่ผ่านกระบวนการตัดต่อพันธุกรรมจะรอดชีวิตมาเติบโตเป็นเสือแทสมาเนียได้

ในขณะที่ Jeremy Austin ศาสตราจารย์จาก Australian Centre for Ancient DNA นั้นมองว่าการคืนชีพสัตว์สูญพันธุ์นั้นเป็นเหมือนเทพนิยายแห่งวงการวิทยาศาสตร์ โดยเขากล่าวว่า

มันเป็นเหมือนการเรียกความสนใจจากสื่อ มากกว่าที่จะเป็นงานทางวิทยาศาสตร์จริงจัง

ตอนนี้เราคงได้แต่รอติดตามข่าวว่าโครงการคืนชีพให้เสือแทสมาเนียนั้นจะประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ หากมันเกิดขึ้นจริง วันหนึ่งเราอาจจะมีโอกาสได้เห็นช้างแมมมอธตัวเป็นๆ ด้วยตาของเราเองเช่นกัน

ที่มา - Ars Technica, BBC, CNN

Get latest news from Blognone

Comments

By: Azymik on 18 August 2022 - 07:35 #1258562

สัตว์กินเนื้อมีที่เป็นนักล่าสูงสุด >> สัตว์กินเนื้อที่เป็นนักล่าสูงสุด

By: ตะโร่งโต้ง
WriterAndroidWindows
on 18 August 2022 - 09:11 #1258568 Reply to:1258562
ตะโร่งโต้ง's picture

แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ


ช่างไฟสมัครเล่น (- -")

By: btoy
ContributorAndroidWindows
on 18 August 2022 - 08:46 #1258566
btoy's picture

ถ้าสำเร็จจริง สัตว์หลายชนิดที่สูญพันธ์เพราะการรุกรานจากมนุษย์ เป็นอะไรที่ควรจะพยายามนำเค้ากลับมา แต่กับแมมมอธที่สูญพันธ์ไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อันนี้ผมเฉยๆนะ


..: เรื่อยไป

By: Neroroms
Windows
on 18 August 2022 - 10:22 #1258578 Reply to:1258566

จริงครับ สัตว์​บางชนิดที่หายไปโดยธรรมชาติ​ไม่ควรชุบชีวิต​ขึ้นมาใหม่ ไม่งั้นระบบนิเวศน์​อาจจะ​พังได้ ไม่ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้

By: osmiumwo1f
ContributorWindows PhoneWindows
on 18 August 2022 - 13:31 #1258606 Reply to:1258578
osmiumwo1f's picture

ส่วนตัวผมว่าเสือแทสมาเนียก็ไม่ควรชุบชีวิต เพราะสภาพแวดล้อมที่มันเคยอยู่ก็เปลี่ยนไปเยอะ จนทำให้มันอาจจะเป็นได้แค่สัตว์ในกรงหรือสวนสัตว์เฉยๆ เว้นแต่ว่าจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมเดิมที่มันเคยอยู่ได้ และมันสามารถขยายพันธุ์ได้ครับ

By: zyzzyva
Blackberry
on 18 August 2022 - 12:18 #1258594

เห็นว่าแมมมอธอาจจะทำง่ายกว่านกดิลโด้อีกนะ เพราะแมมมอธเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

By: blackdemon
Windows PhoneAndroid
on 18 August 2022 - 12:25 #1258595 Reply to:1258594
blackdemon's picture

นกโดโด้?

By: tumsd923
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 18 August 2022 - 13:08 #1258601 Reply to:1258594
tumsd923's picture

นกโดโด้หรือป่าวครับ ดิลโด้นี่ไม่ใช่นกแล้วมั้ง

By: มายองเนสจัง
iPhone
on 18 August 2022 - 13:51 #1258609 Reply to:1258594
มายองเนสจัง's picture

เอ๊ะ!

By: Neroroms
Windows
on 18 August 2022 - 19:53 #1258633 Reply to:1258594

(¬‿¬)

By: IDCET
Contributor
on 18 August 2022 - 12:36 #1258598

ขนาดแค่โคลนนิ่งแกะยังยากและมีชิวิตอยู่ได้ไม่นาน ผมว่าการฟื้นคืนชีพสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้ว อาจจะยากยิ่งกว่าโคลนนิ่งเลยนะ ต่อให้มี DNA และเชื้อที่จำเป็นต่อการสร้างสิ่งมีชิวิตกลับมาก็ตามที


ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว

By: Ultimize
Android
on 18 August 2022 - 17:18 #1258626

สัตว์บางชนิด ธรรมชาติทำให้มันสูญพันธุ์ไปก็ควรปล่อยไปตามนั้น บางชนิดถ้ามันสำคัญกับนิเวศน์ก็ควรช่วยกลับมา แต่ถ้าบางชนิดฟื้นกลับมาแล้วไม่ส่งประโยชน์อะไรก็ควร let it be
เช่นกัน คนบางประเภทก็ควรปล่อยให้สูญพันธุ์ไป