Tags:
Node Thumbnail

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟแล้ว กาแฟสกัดเย็นคือทางเลือกหนึ่งที่ให้ความแตกต่างจากกาแฟดริปแบบร้อน ทั้งกลิ่น, ระดับคาเฟอีน รวมถึงรสชาติ ทว่าปัญหาหนึ่งของการให้ได้มาซึ่งกาแฟสกัดเย็นสักแก้วนั้นคือกระบวนการทำที่ต้องอาศัยเวลานานซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาข้ามวันเลยกว่าจะได้กาแฟที่พร้อมดื่ม

แต่งานวิจัยใหม่จาก Universitat Duisberg Essen มหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนีอาจเปิดความเป็นไปได้ใหม่ให้กับวงการกาแฟ ด้วยการประยุกต์ใช้เลเซอร์มาทำการสกัดเย็น ช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องใช้ในกระบวนการสกัดเย็นจากนานนับสิบชั่วโมงลงมาเหลือเพียงแค่ไม่กี่นาที

โดยปกติแล้วการทำกาแฟด้วยวิธีสกัดเย็นนั้นจำแนกวิธีการออกได้เป็น 2 วิธี คือแบบแช่ และแบบเย็น การทำกาแฟสกัดเย็นแบบแช่นั้น จะต้องทำการบดเมล็ดกาแฟแล้วแช่ในน้ำ จากนั้นจึงนำไปเข้าตู้เย็นแล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลา 8-12 ชั่วโมง (หรืออาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าต้องการความเข้มข้นของรสและกลิ่นมากน้อยเพียงใด) จากนั้นจึงค่อยกรองเอากากกาแฟออก ในขณะที่การทำกาแฟสกัดเย็นแบบดริปนั้น แม้ว่าจะใช้เวลาน้อยกว่าแบบแช่แต่ก็ยังต้องใช้เวลา 4-5 ชั่วโมงกว่าขั้นตอนการดริปจะแล้วเสร็จ

สำหรับเทคนิคการสกัดเย็นกาแฟด้วยเลเซอร์ของทีมวิจัยนั้น คล้ายคลึงกับการสกัดเย็นแบบแช่ กล่าวคือทีมวิจัยเริ่มขั้นตอนด้วยการบดเมล็ดกาแฟ จากนั้นจึงนำไปแช่น้ำ แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากการสกัดเย็นแบบแช่ด้วยวิธีปกติคือแทนที่จะนำเอากาแฟที่แช่น้ำไว้นั้นไปวางพักทิ้งไว้ในตู้เย็นก็กลับนำมารับการยิงลำแสงเลเซอร์แทนเป็นเวลา 3 นาที จากนั้นจึงค่อยนำเอาส่วนผสมน้ำกาแฟที่ได้ไปกรองเอากากกาแฟออกก็จะได้กาแฟที่พร้อมสำหรับการดื่ม

No Descriptionภาพเปรียบเทียบกาแฟก่อนและหลังการทำการสกัดเย็นด้วยแสงเลเซอร์

ทีมวิจัยใช้ลำแสงเลเซอร์ที่สร้างด้วยผลึก neodymium-doped yttrium aluminum garnet (Nd:YAG) ความยาวคลื่นแสง 532 นาโนเมตร (ให้พลังงาน 125 พิโกจูล) ยิงเป็นพัลส์ด้วยความถี่ 80,000 Hz ใส่แก้วที่บรรจุน้ำซึ่งแช่เมล็ดกาแฟบดเอาไว้นานต่อเนื่องเป็นเวลา 3 นาที โดยเทคนิคการใช้เลเซอร์แบบนี้ถอดแบบมาจากเทคนิคการเตรียมสารแขวนลอยอนุภาคนาโนที่ใช้การยิงเลเซอร์ไปยังเนื้อโลหะที่มีสถานะของแข็งให้แตกตัวออกมีขนาดเล็กลงเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ซึ่งในระหว่างการยิงเลเซอร์ใส่กาแฟนั้น ส่วนผสมเมล็ดกาแฟแช่น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นแค่ไม่กี่องศาเซลเซียส

ทีมวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบกาแฟที่ได้จากสกัดเย็นด้วยเลเซอร์เปรียบเทียบกับกาแฟร้อน และกาแฟที่ผ่านการสกัดเย็นแบบแช่ด้วยวิธีปกตินาน 24 ชั่วโมง ได้ผลดังนี้

  • เมื่อวัดค่าความเป็นกรดซึ่งสัมพันธ์กับรสชาติของกาแฟนั้น พบว่ากาแฟสกัดเย็นด้วยเลเซอร์มีค่าความเป็นกรดใกล้เคียงแทบจะเท่ากับกาแฟสกัดเย็นด้วยวิธีปกติ ในขณะที่กาแฟร้อนมีค่าความเป็นกรดสูงที่สุด
  • ปริมาณสาร trigonelline ซึ่งส่งผลต่อความเข้มข้นของกลิ่นกาแฟนั้น พบมากที่สุดในกาแฟสกัดเย็นแบบปกติ และต่ำที่สุดในกาแฟร้อน ส่วนกาแฟสกัดเย็นด้วยเลเซอร์นั้นมีระดับสาร trigonelline ประมาณกึ่งกลางเมื่อเทียบกับกาแฟอีก 2 ประเภท
  • ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟสกัดเย็นด้วยเลเซอร์นั้นใกล้เคียงกับกาแฟร้อน
  • องค์ประกอบทางเคมีอื่นที่ส่งผลต่อกลิ่นของกาแฟอย่าง pyridine และ diphenolwere นั้นยังคงพบได้ในกาแฟสกัดเย็นด้วยเลเซอร์เช่นเดียวกับกาแฟสกัดเย็นแบบปกติ ในขณะที่กาแฟร้อนนั้นไม่พบสารเหล่านี้เนื่องจากระเหยไปเมื่อโดนความร้อน
  • ไม่พบองค์ประกอบแปลกปลอมอื่นใดในกาแฟที่ผ่านการสกัดเย็นด้วยเลเซอร์ (ทุกอย่างที่มีนั้นก็พบในกาแฟที่ได้จากกระบวนการเตรียมกาแฟด้วยวิธีอื่นเช่นกัน)

No Descriptionทีมวิจัยได้ทำการตรวจสอบคุณภาพของกาแฟที่ได้จากการสกัดเย็นด้วยเลเซอร์ เปรียบเทียบกับกาแฟร้อน และกาแฟสกัดเย็นแบบแต่ด้วยวิธีปกติ

ทีมวิจัยระบุว่าหากใช้เวลาในการยิงเลเซอร์เพื่อสกัดเย็นกาแฟให้นานกว่านี้ ก็จะสามารถทำให้ปริมาณสาร trigonelline และคาเฟอีนของกาแฟที่ได้ มีค่าใกล้เคียงกับกาแฟสกัดเย็นด้วยวิธีปกติยิ่งขึ้น

แม้ว่าการสกัดเย็นกาแฟด้วยเลเซอร์ตามวิธีการของทีมวิจัยนี้ดูจะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคอกาแฟรายไหนที่จะลองทำตาม แต่มันอาจช่วยให้อุตสาหกรรมการผลิตกาแฟมีทางเลือกใหม่สำหรับกระบวนการผลิตก็เป็นได้

สามารถอ่านรายละเอียดจากเอกสารรานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา - New Atlas

Get latest news from Blognone

Comments

By: specimen
Windows PhoneAndroid
on 10 August 2022 - 10:28 #1257794
specimen's picture

ระบบนี้พัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ง่ายมาก ง่ายกว่าการผลิตเครื่องชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ่ด้วยซ้ำไป ถ้าหากว่ามีการพัฒนา แล้วทำ blind test กับเทพกาแฟ แล้วออกมาว่าโอเค น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการการชงกาแฟได้ระดับหนึ่งเลย