Ken Kutaragi บิดาผู้สร้าง PlayStation และอดีตซีอีโอของ Sony Interactive Entertainment (เกษียณตัวเองจากโซนี่ในปี 2007 ปัจจุบันทำธุรกิจสตาร์ตอัพด้าน AI) ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg โดยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับทั้ง VR และ Metaverse
Kutaragi วิจารณ์ Metaverse ว่าเป็นการสร้างความจริงเสมือนในโลกเสมือนอีกที (making quasi-real in the virtual world) ซึ่งเขาไม่เห็นประโยชน์ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ทำไมเราต้องมีอวตารแทนตัวเองจริงๆ ด้วย แล้วแบบนั้นมันต่างอะไรกับเว็บบอร์ดนิรนาม
เขายังไม่เห็นด้วยกับการใส่แว่น VR ที่ตัดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง เขาบอกว่าเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ
บริษัท Ascent Robotics ของเขาในปัจจุบันกำลังพัฒนาหุ่นยนต์ที่ฉลาดกว่าเดิม มีเซ็นเซอร์ที่อ่านข้อมูลสภาพแวดล้อมจริงแปลงเป็นดิจิทัล ช่วยงานมนุษย์ในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจะทยอยเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในปีนี้
Ken Kutaragi ภาพจาก YouTube PlayStation
Comments
ก็อาจเป็นเพราะบางทีคนเราก็อยากเป็นอย่างอื่นที่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่สามารเป็นได้ล่ะมั๊ง
ส่วนตัวผมก็ไม่คิดว่าเกม VR จะเกิดจนกว่าจะสามารถเคลื่อนที่ในโลก VR ได้ด้วยการเคลื่อนที่จริง ไม่งั้นยังไงมันก็ขัดกัน เสมือนจริงแค่ในดวงตาแต่ที่มือใช้ controller กดเดินบังคับ สุดท้ายสมองก็ไม่ได้รู้สึกสมจริงอยู่ดี อีกอย่างตัว headset ก็ต้องมีน้ำหนักเบามาก ๆ จนสามารถใส่นาน ๆ แล้วไม่รู้สึกหนักหัว ส่วนแสดงผลก็ต้องละเอียดมากและใส่ไปนาน ๆ แล้วไม่รู้สึกล้าสายตาเช่นกัน
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
That is the way things are.
vr สามารถเดินในพื้นที่จริงได้อยู่แล้วครับ อยู่ที่ขอบเขตจำกัดเรื่องขนาดพื้นที่
แต่มันก็มีพวกวิจัย เพื่อให้การเดินสามารถเดินวนไปมาอยู่โดยการค่อยๆ ขยับทิศฉาก
คนที่ยอมรับความเป็นจริง (?) บนโลกได้ก็จะเห็นว่าไร้สาระน่ะแหละ ตัว Metaverse มันเหมือนเปลี่ยนโลก เปลี่ยนคนไปเป็นคนละแบบ ผมเองก็เห็นประโยชน์ของ VR ในฐานะเครื่องซิมูเลชันอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใน VR/Metaverse ถาวรนี่ ขอแบบพวกโยกย้ายจิตใจได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็ขอแบบสบายสุด ๆ ไม่มีแว่น ไม่มีอุปกรณ์พ่วงตัวจะดีกว่า สำหรับตอนนี้ ทีวีแนวตั้งของ LG หรือโปรเจกเตอร์ท้องฟ้าจำลองยังน่าสนใจมากกว่า
เพราะโลกจริงเราไม่ได้เป็นคนที่เราอยากเป็น และก็ไม่อยากอยากให้ใครรู้ด้วยว่าอยากเป็นอะไร
มาร์คมันดู The Matrix มากไปมั้งครับเลยคิดจะทำ Meta ที่จริง VR มันก็ชัดอยู่แล้วว่าเก๊ เสมือนจริงยังไงก็เก๊ มีไว้หลบจากความเป็นจริงในโลก (ที่จริง ๆ แล้วก็เก๊เหมือนกัน)
ในทางจิตวิทยา มันมีคนกลุ่มนึงต้องการโลกเก๊นั่นเหมือนกันนะครับ เมื่อมีความต้องการมันก็ยังคงขายได้แหล่ะ เอาใกล้ๆ ตัวก็ social network ที่เราเล่นๆ กัน มันทำให้บางคนสามารถหลุดจากปัญหาในโลกความเป็นจริงได้ ดังนั้น meta ก็คงเกิดนั่นแหล่ะ เพียงแต่อาจต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาทั้งอุปกรณ์ และซอฟต์แวร์เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ในโลกอนาคต คงยังไม่ใช่ระยะเวลาตาม vision ที่มาร์คเสนอมา ส่วนตัวผมว่าน่าะจะมากกว่านั้น x2 เหมือนยุค internet แรกๆ
ทำไม อ่านพาดหัว แล้วนึกถึงตอนที่ Sony ไปเสนอ ให้ Nintendo ใช้ CD เป็นสื่อบันทึก แต่ Nintendo ยืนยัน ว่าใช้ ROM แบบเดิม แล้ว Sony ก็แยกมาทำ Playstation comment ไมไ่ด้เกี่ยวกับข่าวนี้เท่าไหร่ แต่แค่เห็นแล้ว เหตุการณ์นั้นมันลอยมา มันเป็นเรื่องของ Vision ที่ต่างกัน
Nintendo ทำ Virtual Boy ก่อนใครเพื่อนเลยนะครับ ในแง่ vision ชนะเลิศ
ที Vision มันมีตัวสีขาวกับตัว(?)สีแดงก็เพราะแบบนี้นิเอง (อืม_อืม)
//ซะที่ไหนล่ะ!!
มุมมองคงต่างกัน เจ้านุ่นเขาอยากได้ข้อมูลเยอะๆ ต้องให้ลูกค้ามาใช้งานก็ต้องขายของขายโลกของเขา
ประโยชน์มุมกว้าง ผมก็ยังมองไม่เห็นกัน
แต่ที่แน่ๆสำหรับผู้ผลักดัน เขาน่าจะอยากได้ผลประโยชน์จากตรงนี้ เช่นบุคคลที่อยากได้ร่างกายตัวเองใหม่สวยๆ แล้วไปซื้อชุดซื้ออะไรแต่งตัวให้ดูดีในโลกนั้นอีกทีซึ่งที่โลกจริงทำไม่ได้อะไรแบบนั้นนั่นล่ะ กลุ่มคนที่จะมาทำรายได้ให้ผู้ผลักดันตอนนี้มีอยู่แล้ว
พูดถึงโลกเมื่อ 20 ปีก่อนก็อาจจคิดแบบนี้แหละครับ แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงจะหาว่ามันไร้สาระ หรือน่ารำคาญ มันก็ขายได้อยู่ดี แล้วภาคธุรกิจเขาสนใจไหมว่าน่ารำคาญหรือเปล่า ต่อให้น่ารำคาญถ้าขายได้ก็ทำขายกันทั้งนั้นแหละครับ
มันจะเหมือนกับที่เราพูดถึง exotic preference (รสนิยมสุดประหลาด) เช่น Furry, Supernatural ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องการเทคโนโลยีนี้เป็นพิเศษ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าของประหลาดแบบนี้จะขายได้ยังไงกัน แต่สุดท้ายแล้วตลาดก็ขับเคลื่อนโดยไม่สนใจเสียงคนส่วนใหญ่อยู่ดี
แต่ก็น่าสนใจที่ Meta เหมือนจะพยายามจะทำให้มันกลายเป็นของสำหรับ" คนส่วนใหญ่" ให้ได้ ซึ่งก็ต้องรอดู
วิสัยทัศน์ของคุณเคนเขาสุดยอดจริงๆ ผมเห็นด้วยว่า meta เกิดยาก