Nio แบรนด์รถไฟฟ้าจากประเทศจีน เปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ET5 ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ถือเป็นรถซีดานจับตลาดกลาง รองจาก Nio ET7 ที่เปิดตัวไปก่อนแล้ว
มีระยะการวิ่งสูงสุด 620 ไมล์ หรือประมาณ 1,000 กิโลเมตร หากสั่งรุ่นแบตเตอรี่เยอะพิเศษ 150 kWh Ultralong Range Battery ถ้าเป็นรุ่นแบตเตอรี่มาตรฐาน 75 kWh วิ่งได้ 550 กม. และรุ่น 100 kWh วิ่งได้ 700 กม.
รถยนต์ Nio ET5 มีระบบคอมพิวเตอร์ภายในรถที่เรียกว่า Nio Adam โดยใช้งานชิป SoC NVIDIA Drive Orin ที่เปิดตัวในปี 2019 จำนวน 4 ตัว นับจำนวนซีพียูรวมกัน 48 คอร์, จีพียู 8,096 CUDA core, สมรรถนะ 1,000 TOPS
เหตุผลที่ Nio Adam ต้องใช้ SoC ถึง 4 ตัว มีเพื่อระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถ โดย SoC สองตัวแรกใช้ประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในรถ, SoC ตัวที่สามเป็นตัวสำรอง และ SoC ตัวที่สี่ใช้เทรนโมเดล เพื่อพัฒนารถยนต์ให้เรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับได้ดีขึ้น (ข้อมูลของ Adam บนเว็บ Nio)
Nio จะเริ่มวางขาย ET5 ในเดือนกันยายน 2022 และขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในปีต่อไป โดยตั้งเป้า 25 ประเทศในปี 2025
ราคาขายในจีน รุ่นแบตเตอรี่มาตรฐาน 75 kWh อยู่ที่ 328,00 หยวน (ราว 1.75 ล้านบาท) โดยยังไม่หักส่วนลดที่ได้จากรัฐบาล
Comments
ทำไมข่าวจบไปด้วน ๆ เลย
หากรับส่วนลดจากรัฐบาลจะเหลือ...
อาจจะคั่นโฆษณษแบบศึก 12 ราศีก่อนครับ รอตอนต่อไป
แหม....พี่ก็แซวซะ
ถามขำๆแบบคนไม่รู้นะครับ มี CPU GPU ทรงพลังขนาดนี้สามารถเอาไปม็อดรันซอฟต์แวร์มือถือที่รันบนARM หรือ Windows on ARM อนาคตได้หรือไม่ครับ หรือไม่เกี่ยวกันเลย
น่าจะได้ แต่ต้องรอคน port มาให้ แต่ที่แน่ๆ จะมีคน port DOOM มาครับ
หรือลง Linux ARM ไป Mod หรือ Hack อีกที ถ้า OS รองรับนะ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
มีแบบ Battery as a service ด้วย
ลองคำนวณดู ส่วนต่าง เท่ากับจ่ายรายเดือนค่า Battery 7 ปี
ไม่แน่ใจราคาแบตเตอรี่ใหม่เท่าไหร่ ถ้าอายุใช้งานรถอยู่ที่ 10 ปี ใช้แบบ BaaS อาจจะคุ้มกว่า
มีติดอยู่อย่างเดียว คือ รถไฟฟ้าเกือบทุกคัน ต้องเอาชุดควบคุมไปไว้ที่หน้าจอหมดเลย แค่ตอนใช้งานปรับแอร์หรือเปลี่ยนวิทยุตอนขับรถ มันค่อนข้างลำบากนะ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
อนาคตมันควรใช้ voice command ครับ ปุ่มโบราณๆ ควรเอาออกอ่ะถูกแล้ว
ผมกลับมองว่า Voice Command ยังทำงานไม่สมบูรณ์ และยังมีข้อจำกัดอยู่ ซึ่งแม้ว่าจะมีให้ใช้งานในรถได้บ้างเป็นบางรุ่น ขนาดระบบคำสั่งเสียงภาษาไทยในรถก็ยังไม่นิ่งเลยครับ ยังไงก็ยังต้องมีปุ่มกดในรถอยู่ดี
ถ้าให้พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้ระบบ Voice Command ก็ยังไม่สามารถแทนที่ปุ่มกดในรถได้หมดครับ แล้วพอเอาปุ่มไปอยู่บนจอ แม้ว่าจะทำให้รถดูสวยและเรียบร้อยมากขึ้น แต่ก็สร้างปัญหาให้กับผู้ใช้งานได้พอสมควรครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ปุ่มโบราณๆ ที่คุณว่านี่โคตรแม่นเลย แม่นกว่าสั่งงานด้วยเสียงเยอะ ถ้านึกไม่ออกก็พวงมาลัยรถยนต์นี่แหละที่เวลาคุณจะเลี้ยวคุณสามารถบังคับทิศทางการเลี้ยวและองศาด้วยมือของคุณผ่านพวงมาลัย แถมมันตอบสนองทันทีด้วย (ทั้งแบบเก่าและแบบไฟฟ้า) ส่วนการสั่งงานด้วยเสียงคุณต้องพูดสั่งให้มันเลี้ยวไปในทิศทางและองศาที่ต้องการ แล้วต้องมาลุ้นว่ามันจะเข้าใจตามที่คุณต้องการมั้ยอีก ซึ่งมันจะไม่ทันการณ์เอาครับ
เทียบพวงมาลัยแบบทัชสกรีนก็พอครับ ฮ่าๆ พวงมาลัยสั่งด้วยเสียงก็โหดไป แต่แบบยานของ SpaceX ก็ใช้จอทัชบังคับด้วยแต่ผมว่าพวกนี้น่าจะออกแบบระบบให้แม่นยำและอัติโนมัติเทพอยู่ดีกว่าบริษัททำรถเจ้าใหม่ๆ แน่ๆ
ที่ผมเทียบกับสั่งงานด้วยเสียงเพราะต้นทางเค้ามองว่ามันเป็นอนาคต ส่วนพวงมาลัยแบบหน้าจอสัมผัส ถ้าออกแบบดีๆ มันก็พอทดแทนได้อยู่ อย่างเกม Asphalt ผมจำได้ว่ามันมีการจำลองพวงมาลัยในเกม โดยที่จอซีกซ้ายมันจะให้เป็นพื้นที่ของพวงมาลัย การแตะที่ซีกซ้ายจะเป็นเหมือนการจับพวงมาลัย แล้วการลากซ้ายขวาจากจุดที่แตะมันจะเป็นเหมือนการหมุนพวงมาลัย ถ้าลากห่างจากจุดที่แตะน้อยก็จะเหมือนการหมุนพวงมาลัยน้อย ลากไกลก็จะเหมือนหมุนจนสุดครับ
ผมว่าสมัยนี้ลดต้นทุนเลยครับ เขียนโปรแกรมสั่งการผ่าน UI หน้าจอเอาหมด ไม่ต้องมีส่วนติดต่อ I/O แบบ Physical ทางไฟฟ้าประหยัดได้เยอะ
แต่ก็พอเข้าใจพอรถมีแต่จอมันดูสวยสะอาดตาไม่รก แต่ถ้าจริงถ้าทำดีๆ หน่อยปรับแอร์แบบปุ่มงี้ก็วางที่จอผมว่าก็น่าจะกดไม่ยาก อย่าเทียบแบบมือหมุนแบบรถบางรุ่น ลูกบิดมือหมุนๆ มันใช้งานหลับตายังง่าย
เรื่องแอร์ ตั้งแต่ใช้รถที่ปรับเป็นอุณหภูมินี่ผมแทบไม่ได้ไปแตะตอนขับเลย
ส่วนเพลงควบคุมจากปุ่มบนพวงมาลัย
ทั้งสองอย่าง Honda City เป็นปุ่ม touch sensitive ก็ใกล้เคียงกับจอซึ่งผมว่าเคยชินไม่ยาก
ถ้าแอร์ออโต้ในรถทุกรุ่นที่ขายในไทย เป็นออโต้แท้ๆที่พ่วงฮีตเตอร์มาด้วย จะไม่ต้องปรับแอร์บ่อยๆเลยครับ
แต่ปัจจุบันเล่นหั่นเอาฮีตเตอร์ออกไปเฉยๆ พออากาศหนาวมากๆ หรือตอนขับรถลุยฝนนานๆ รถที่มีฮีตเตอร์จะพ่นลมอุ่นออกมา แต่รถแอร์ออโต้เมืองไทย พ่นลมเย็นออกมา หนาวกว่าเดิม
ผมขับswiftแอร์ออโต้มีฮีตเตอร์ ปรับอุณหภูครั้งเดียวจบ แต่รถแฟนออกalmeraแอร์ออโต้เทียม ยิ่งขับยิ่งหนาว เพราะยิ่งอากาศเย็น มันยิ่งเร่งพัดลม เพราะแอร์มันนึกว่ามันกำลังเป่าลมอุ่น ซึ่งจริงๆมันโดนตัดออกไป
ความรู้ใหม่เลยครับ แบบนี้เรียกซูซูกิว่าเจ้าพ่อลดต้นทุนไม่ได้แล้วสิ ใช้คำว่าประหยัดต้นทุนเหมาะสมกว่า.
ผมว่าเค้าน่าจะหมายถึงทิศทางลมนะครับ เพราะรถผมแอร์ออโต้ก็ปรับทิศทางลมบ่อยอยู่ครับ คืออย่าง Tesla เค้าเอาออกจะปรับต้องแตะจอ แล้วยี่ห้ออื่นที่อยากลุคคูลเหมือน Tesla ก็คือเอาออกเหมือนกันเลย
การปรับทิศทางลมแตะจอกับเลื่อนเองความแม่นมันห่างชั้นกันเยอะเหมือนกันครับ แต่เอาเข้าจริง ๆ ใช้ไปสักพักเดี๋ยวก็น่าจะชินแหละผมว่า
เอาแบบยี่ห้อที่ขายบ้านเราตอนนี้ แค่จะปรับสปีดของที่ปัดน้ำฝน Auto
ยังต้องจิ้มจอเลย แถมเมนูลึกอีก
แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ เผื่อขับอยู่ แต่ต้องปรับทันทีให้เข้ากับสถาณการณ์ในตอนนั้น
เอาที่ผมใช้งานอย่าง apple car play จะกดอะไรต้องเอื่อมไปจอสัมผัส ระหว่างขับรถนี่โคตรอันตรายเลย เพราะมันต้องละสายตาจากการขับรถด้านหน้ามาดูจอภาพ ยังไม่รวมว่าทัชติดไหม หรือว่าไม่ติดอีก ยิ่งสั่งงานด้วยเสียงยิ่งแล้วใหญ่ ต้องเดาใจมันอีกว่าเราพูดกับมันถูกใช่ไหม แล้วถ้ามันเข้าใจที่เราพูดผิดนี่ยาวเลยคราวนี้
ซึ่งการสั่งแบบปุ่มกด หรือหมุนๆ ปรับ มันพอจะคลำหาจากจุดที่เราคุ้นเคยได้ครับ
ยิ่งขับรถตอนกลางคืนจะเห็นผลชัดเจนมากว่าพวกปุ่มกดนี่สำคัญมาก
มองผ่านๆ คิดว่า tesla แต่วิ่งได้ระดับใกล้ 1,000 กิโลเมตรถือว่าน่าสนใจเลย
ได้ทดสอบขึ้นดอยสูงหรือยัง เดี๋ยวเป็นแบบแมวอ้วนที่ขายในเมืองไทย ขึ้นดอยมอเตอร์ heat ไฟหน้าจอขึ้นเลย 555 แซวเล่น แต่ยังไงช่วงแรกผมก็ยังไว้ใจรถไฟฟ้าจากยุโรป กับญี่ปุ่นอยู่ดี น่าจะมีโอกาสกินข้าวลิงน้อยกว่า