เนื่องด้วยนโยบายการทำงานแบบไฮบริดหรือการทำงานที่ไหนก็ได้ของกูเกิล รวมถึงหลายๆ บริษัทที่กำลังนำนโยบายนี้ไปใช้ ล่าสุด กูเกิลออกเครื่องมือใหม่ Work Location Tool ให้พนักงานกดเลือกได้ว่าอยากปักหลักทำงานที่เมืองไหน ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ด้วยถ้าพนักงานเลือกย้ายออกจากเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก ก็จะพบว่าเงินเดือนลดลง
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Sundar Pichai ซีอีโอได้ประกาศแผนการให้ 20% ของพนักงานทำงานจากระยะไกลได้ตลอด อีก 20% สามารถมาทำงานที่สำนักงานได้หากต้องการ และอีก 60% เข้าสำนักงานบ้าง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยตัวเครื่องมือ Work Location Tool จะแสดงการประมาณการให้ว่าเงินเดือนของพนักงานอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรขึ้นอยู่กับเมืองที่พนักงานเลือก
บริษัทเทคโนโลยีใหญ่จำเป็นต้องรับเอาวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่อย่าง WFH และไฮบริดเข้ามาปรับใช้เนื่องจากโรคระบาด บางบริษัทเริ่มปรับตัวด้วยการลดขนาดสำนักงาน ใช้แนวทางกระจายสำนักงานย่อยๆ ไปตามเมืองต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาวะในปัจจุบัน
ที่มา - CNET
Comments
กลายเป็นว่าอยู่ในเมืองใหญ่แล้วได้เงินทุรกันดารซะงั้น
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
เมืองยิ่งใหญ่รายจ่ายยิ่งสูงแหละครับปกติอย่างญี่ปุ่นตอนผมไปเรียนอยู่โตเกียวเดือนๆนึงต้องมี 1-1.5 แสนเยนถึงจะพอไหว แต่เพื่อนผมไปอยู่ที่โยโกฮามาเดือนๆนึงมันบอกไม่เกิน 1 แสน เยน เหลือๆ
ไม่ใช่เงินธุรกันดารครับ เงินค่าในเมืองนี่แหละเพราะแถวๆ san francisco มันแพงมาก
มันแพงเพราะบ.ใหญ่ๆ ไปอยู่แถวนั้น พนักงานก็ต้องไปอยู่แถวนั้น กลายเป็นว่าที่แพง ค่าที่แพง ค่าเช่าแพง บ้านก็แพง ข้าวของก็แพง แพงทุกอย่าง ถ้าจำไม่ผิดบล็อกนันเคยเขียนข่าวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้พอควรนะครับ
ไม่ใช่เงินค่ากันดารครับ แต่บ.ด้าน tech ในเมกาจะกำหนดเงินเดือนให้สอดคล้องตามค่าครองชีพและภาษี (เมือง และรัฐ) รวมถึงเทียบกับคู่แข่งด้วย ฉะนั้น ตำแหน่งเดียวกัน มีเดียวกัน แต่อยู่ต่างเมืองต่างรัฐ รายได้ต่อปีก็จะต่างกันครับ และแน่นอนว่าในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพสูงและรัฐที่ต้องเสียภาษีมากกว่า ก็มักจะได้เงินเดือนมากกว่า
คำถามคือ ทำไมการย้ายเมืองย้ายรัฐ ถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเงินเดือน ... ผมเดาว่า*เหตุผลหลักคือ เรื่องของ tax ของรัฐ (หรือของเมือง) ครับ
ในเมกา แต่ละรัฐจะมีนโยบาย tax แตกต่างกัน (เช่น corp tax, income tax, properties tax, sales tax และอื่นๆ) บางรัฐบางตัวหนึ่งสูงกว่า อีกตัวต่ำกว่า หรือบางตัวเป็น 0 เลยก็มี (เช่น TX หรือ WA ไม่มี income tax) แต่ท้ายสุดแล้ว มันต้อง balance กัน เพื่อให้มีรัฐมีรายได้จาก tax
ตัวอย่างเช่น รัฐหนึ่งพยายามดึงดูดให้บ.เข้าไปตั้งสำนักงาน โดยที่อาจจะเก็บ corp tax จากบ.น้อยหน่อย (หรือไม่เก็บเลย หรือให้ tax credit เยอะหน่อย) แต่อาศัยไปเก็บ income tax จากพนง. เยอะแทน ทั้งนี้ในการยื่นเสีย income tax ของแต่ละคน เขาจะยึดว่าตามรัฐคุณอาศัยอยู่ (> 180 วันต่อปี) ก็ให้ไปจ่าย income tax ที่รัฐนั้น (แต่ยังไงก็ต้อง file ทั้ง 2 รัฐ)
ฉะนั้นถ้าคุณดันอาศัยอยู่รัฐหนึ่ง แล้วไปทำงานอีกรัฐหนึ่ง มันก็จะส่งผลต่อ tax ที่รัฐนั้นเก็บได้ เช่น สมมติว่า บ.คุณอยู่ใน CA แต่คุณดันอาศัยอยู่ใน WA (income tax =0) แล้ว remote work เอา พอสิ้นปีคุณก็สามารถ file ขอ state income tax (ที่ถูกหักไปแต่ละเดือน) คืนจาก CA ได้ เพราะว่าคุณไม่อยู่อาศัยอยู่ใน CA (ยิ่งกว่านั้นคุณก็ไม่ต้องจ่าย income tax ให้ WA ด้วย เพราะ WA ไม่เก็บ) ... ปัญหาที่ตามมาคือรายได้ของตัวรัฐ CA ก็จะลดลง ฉะน้ันผมเดาว่า CA ก็อาจจะเรียกเก็บ tax เพิ่ม (หรือลดประโยชน์ tax credit) จากบ.แทน แล้วมันก็ domino มาที่เงินเดือนคุณ
อันนี้คือ ผมคาดการณ์จากข้อมูลที่ผมได้มานะ ถ้าใครมีข้อมูลเป๊ะๆ ก็ช่วยแก้/บอกด้วยแล้วกันครับ
จริงๆโอเคเลยนะครับ ถ้าเลือกทำงานในเมืองรองๆหรือชนบทได้ แล้วเงินเดือนลดลงประมาณนึงในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในเมืองใหญ่จริงๆลง แต่ยังได้รับเงินเหมาะสมตามระดับความรู้ความสามารถของตัวเองอยู่
คือคนที่มีบ้านอยู่ในเมืองจริงๆ ก็โชคดีไป แต่สำหรับคนที่ต้องย้ายฐิ่นฐานเข้าเมือง ผมว่าถ้าเลือกได้ น่าจะครึ่งๆนะที่อยากปักหลักทำงานในบ้านเกิดหรือที่ใกล้ที่สุด
..: เรื่อยไป
ถ้าไม่ลดเงินเดือนด้วยก็จะดีมาก
ผมกำลังคิดอยู่ว่ากรณีของกูเกิลนี่มันจะลดเงินเดือนได้ยังไง ถ้าแยกส่วนเงินเดือนกับส่วนค่ากินอยู่ในเมือง แล้วจะตัดค่ากินอยู่ในเมืองก็เข้าใจได้
แต่ถ้าให้เป็นเงินเดือนแบบไม่แยกสวัสดิการต่างๆ แล้วจะตัดได้ยังไง เพราะบางคนที่รับเงินเดือนเต็มแล้วไปอยู่นอกตัวเมืองซานฟรานเพื่อลดค่าใช้จ่ายก็มีไม่น้อย มันต่างกันยังไง