Jeff Bezos มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก และซีอีโอของ Amazon ประกาศตั้งกองทุน Bezos Earth Fund เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change)
เขาประกาศว่าจะบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์กับโครงการนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์ นักกิจกรรม หรือ NGO ที่มีโอกาสช่วยแก้ปัญหา climate change ได้จริง โดยจะเริ่มมอบทุนให้โครงการต่างๆ ช่วงกลางปีนี้
ที่มา - Jeff Bezos Instagram
Comments
กลุ่มที่วิจารณ์ในเชิงลบเหตุบริจาคเงินช่วยออสฯน้อยไป จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างนะ
โดยส่วนตัวควรจะบริจาคให้หมดเลย
เพราะโลกเราไม่ควรมีเศรษฐีพันล้าน
มีเงินแค่10ล้านUSDก็พอแล้ว ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดหรอกถ้าไม่สุรุ่ยสุร่าย
เกินกว่านั้นควรเอามาแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้ที่ยังมีจำนวนอีกพันล้านคนในโลกจะดีกว่า
ยูโทเปีย
ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณตื่นแล้วล่ะก็ ขอให้นึกถึงบทพูดของชินจิกับเรย์ก็แล้วกันครับ
ขอต้อนรับสู่ทุนนิยมครับ
เค้าก็เหลือไว้ลงทุนมั่งสิครับ ดอกผลงอกเงยมาก็เอามาบริจาค ทำประโยชน์ได้อีก
แนวคิดแบบนี้คืออะไรเหรอครับ รู้สึกสะพรึง
ทำมาก ได้มาก ทำน้อย ได้น้อย
คนมีมากไม่ได้มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือคนไม่มี
มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
แต่ที่เขาช่วย เพราะความเมตตาของตัวเขาเอง
ซึ่งจะช่วยมากหรือน้อย ก็ควรยกย่องนับถือ
ทรัพยากรมีจำกัด และช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนจะมากขึ้นไม่หยุด คนรวยเลี่ยงภาษีได้และมีอิทธิพลกับรัฐ ดังนั้น ควรเก็บภาษีอัตราทวีคูณภายใต้กติกาที่หลักเลี่ยงไม่ได้ ภาษีระดับ 60-70% สำหรับคนรวยระดับพันล้าน กระจายโอกาสให้คนอื่น ดูแลโลก
การที่เกิดคนที่รวยขึ้นมา แปลว่าคนนั้นเขาทำงานหนัก จนได้ในสิ่งนั้น ๆ มา
ทำไมคนทำงานหนัก ต้องโดนขูดรีดขนาดนั้นด้วยล่ะครับ งง
ถ้าเกิดทำงานหนัก แล้วโดนภาษีขูดรีดขนาดนั้น ใครมันจะอยากทำงานล่ะ
แล้วการที่เขารวย มันก็เกิดการจ้างงานขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
ทุกคนก็ได้ประโยชน์เช่นเดียวกันนิ
คุณๆ ผมว่า ค.ห. บริจาคหมดตัวนั่น เค้าแซะ คห. แรกนะครับ ออกตัวกันล้อฟรีทิ้ง ทั้งกระทู้เลย
คนรวยถึงจุดนึงเพราะการทำงานหนัก จริงครับ แต่ถ้ารวยเลยจุดนั้นไปแล้ว มันคือจุดของการที่เงินงอกเป็นเงินได้เองแล้ว และเป็นเรื่องของการใช้เงินเพื่อสถาปนาเครือข่ายอำนาจ
เงินยิ่งมีน้อย ยิ่งหมดไว แต่ถ้ามีมากถึงจุดหนึ่ง มันจะงอกได้เองอย่างไม่มีวันหมด
ผมไม่เชื่อในคอมมิวนิสต์ แต่ทุนนิยมแบบปัจจุบันทุกวันนี้มันไม่เวิร์คแล้ว ในมูลค่าที่ซื้อขายกัน มันไม่รวมต้นทุนที่แท้จริงอื่นๆ ที่สูญเสียไป น้ำ อากาศ คุณภาพชีวิต การสะสมทุนของคนๆ นึงควรมีขีดจำกัด ร่ำรวยเป็นรางวัลชีวิตได้ แต่อย่ามากจนล้นเกินไป ควรตัดเอาส่วนที่เกินไปนั้น มาสร้างความยั่งยืน
โลกมีเศรษฐี มหาเศรษฐีได้ แต่ไม่ควรมีใครเป็นอภิมหาเศรษฐี
อภิมหาเศรษฐีมักใช้การบริจาคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ลดแรงเสียดทาน แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อภิมหาเศรษฐีแบบเกตส์ ซึ่งจัดว่าดีที่สุดแล้ว ทำสิ่งดีๆ กำจัดโรค ยกระดับถิ่นทุรกันดาร นั่นเป็นส่วนที่น่าชื่นชม แต่ขณะเดียวกันเขาสามารถแทรกแซงการโหวตในระดับมลรัฐ และทำมาแล้วในกรณีที่เขาสนับสนุนการศึกษาแบบนอกหลักสูตร ซึ่งก่อนหน้านี้แพ้โหวตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
ไม่ควรมีใครมีอำนาจมากขนาดนั้น นี่เป็นตัวอย่างของคนที่จัดว่าดีที่สุดในกลุ่มอภิมหาเศรษฐี แล้วคนที่เลวล่ะ
ถ้าคุณตรากตรำกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจนมีรายได้มากขนาดนั้น คุณจะยอมปล่อยเงินให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยช่วยอะไรในชีวิตคุณได้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ? ใจบุญแท้
เรียกเสียงหัวเราะยามเที่ยงได้เป็นอย่างดี
ผมว่าเค้าแซะนะ ทำไมทิศทางคอมเม้นต์ดูจริงจังอะ...
ต่างกรรม ต่างวาระครับ 555
จะแสดงความเห็นว่า เข้าใจละ ว่าทำไมบริจาครอบนั้นน้อย เพราะมีแพลนสเกลใหญ่กว่านี่เอง
แต่เจ้าของเม้นน่าจะทราบใช่มั้ยครับ ว่าตั้งมูลนิธิด้วยเงินหมื่นล้านมันไม่ได้ช่วยอะไรเกี่ยวกับไฟป่าที่ออสเตรเลีย
เข้าใจครับ ประเด็นที่ผมแซะคือ คนที่ตำหนิว่าบริจาคน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ตัวเองมี ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไฟป่าออสเตรเลียเลยครับ ไม่ว่าจะบริจาคให้หมาแมวที่ไหน ถ้าบริจาคน้อย คนกลุ่มนั้นก็แซะอยู่ดี
เงินเขาก็คือเงินเขา
ถ้าคิดเงินว่าเงินเขาคือเงินเขา คงไม่เอาเงินเขามาแซะคนอื่นหรอกครับ ก็อ้างประโยชน์จากเงินคนอื่นมาแซะคนที่คิดเห็นไม่เหมือนกันอยู่ดี ต่างกันตรงไหนอ่ะ
ไฟป่าออสเตรเลียผมเข้าใจว่าส่วนนึงมาจากการลดงบและไม่สนใจของรัฐบาลออสเตรเลียเอง?
ใช่ครับ นายกของเค้าไปเที่ยวอ่ะ ตามข่าวเรื่อยๆ มีแต่คนเกลียด ขนาดว่าลงพื้นที่ไปสร้างภาพ แต่ประชาชนไม่ยอมจับมือด้วยจนต้องบังคับ จับมือประชาชนมาจับมือตัวเอง พอประชาชนขอร้องต่อหน้านายก ว่านายกควรช่วยเหลือมากกว่านี้ ก็ถูกผู้ช่วยเอาตัวมาขวาง
คนทั่วโลกรู้สึกหมดหวัง ก็เลยไปตั้งความหวังกับคนที่รวยติดอันดับท็อปๆ แทนครับ
เถื่อนTravel [EP.33] Delhi เมืองหลวงแห่งมลพิษ แนะนำว่าควรดูคลิปตอนท้องว่างครับ ประหยัดค่าอาหารไปได้มื้อนึง
ส่วนตัวมองว่าการตั้งกองทุนของมหาเศรษฐี มีผู้บริหาร มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ดีกว่าการบริจาคเป็นครั้งๆ ไปตามเหตุที่เกิดนะ แสดงว่าเขามีความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาระยะยาว มากกว่าการทำบุญเอาหน้า
ตอนเห็นข่าวครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจมากครับ
Bezos ไม่เคยมีประวัติอะไรแบบนี้มาก่อน ออกจะทุนนิยมเต็มตัวเลยด้วยซ้ำ
แถมครั้งนี้ก็บริจาคเงินสูงมากด้วย
Jeff Bezos อาจจะเห็นอะไรแล้วมั้งถ้ามัวแต่เก็บเงินปริมาณมากๆไว้ เช่นถ้าเงินกระจุกอยู่ที่ใดมากๆแล้วไม่ไหลออกมาเลย สภาพคล่องการเงินโลกจะหาย แล้วความวุ่นวายมันจะวนกลับมาที่ระบบทุนนิยมจนมีปัญหา การบริจาคมันช่วยประคองสภาพคล่องของการเงินโลกไว้อยู่ ให้มีการหมุนเวียนเงินอยู่ได้ การลงทุนอย่างเดียวมันประคองเอาไว้ไม่อยู่หรอกเพราะกลุ่มคนมีเงินจะดูดซัพปริมาณเงินได้ไวกว่าการใช้จ่ายออกไปอยู่ดี จนกระทั้งกระแสเงินสดหายจากระบบ เหลือแต่เครดิต(ไม่เหลือเงินเย็น มีแต่เงินหมุน)ที่คนมีก็จะเริ่มลดจำนวนลง จนกลายเป็นไม่มีเงินเมื่อไหร่ เศรษฐกิจก็จะชะงักกันหมด คนขายของไม่ได้เงินเลยแต่ได้เครดิตที่ไม่รู้ว่าเขาจะจ่ายหรือเขาจะเบี้ยว พอชะงักกันหมดความซวยมันจะวนกับไปที่มหาเศรษฐีนั่นแหล่ะ คนบริจาคยังได้ประโยชน์เพราะถ้าระบบทุนนิยมยังคงสภาพไว้ได้ เขาก็ยังอยู่รอดปลอดภัย คิดว่างั้นนะ
คนสิบคนมีเงินใช้จ่ายสิบจุดดีกว่าคนหนึ่งคนมีเงินใช้จ่ายแค่จุดเดียว จะให้ที่เหลือใช้แต่เครดิตอย่างเดียวก็ไม่ไหว มันใช้ได้แค่ถึงจุดจุดหนึ่งเท่านั้น
ส่วนเรื่องบริจาคเยอะน้อยผมว่าไปว่าเขาไม่ได้หรอก ก็เงินที่เขาหามาได้นินาก็ไม่รู้จะไปว่าเขากันทำไม
ถือเป็นการลงทุน ได้ technology กำจัดมลพิษมาขายได้ รวยหนักกว่าเดิมอีก
เยี่ยมครับ อนุโมทนาด้วยครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
จะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องทำ แต่ไม่นึกว่าจะตู้มขนาดนี้