Fomalhaut Techno Solutions ห้องแล็บด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นได้จับ Mate 30 Pro มาวิเคราะห์ชิ้นส่วนภายในก่อนจะพบว่า ชิ้นส่วนทั้งหมดบนเรือธงล่าสุดของ Huawei ไม่มีเทคโนโลยีของสหรัฐเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
แม้ในแง่การตลาดและประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้อาจมีปัญหา จากการไม่มีบริการของ Google และไม่สามารถใช้ Google Mobile Services ได้ แต่ในแง่ฮาร์ดแวร์แล้วยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า Huawei สามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นง้อเทคโนโลยีจากสหรัฐเลย
ที่มา - Market Watch
Comments
ไม่มีส่วนต่อขยายตรงนี้ครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
กับกับ
แต่ os ยังต้องพึ่งอยู่
ถือว่า เป็นข้อดี ที่ จีน ทำเอง และ ใช้ ใน จีน ได้ ก็อยุ่ รอด แต่ถ้า ค่ายๆ อื่น จะทำแบบนี้ ก็คง ยากหน่อยๆ
ก็ดีครับ เกิดอะไรขึ้นก็มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคทั้งนั้น
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการพึ่งตลาดส่งออกไปสหรัฐ
หน้าจอก็ไม่ได้ใช้ gorilla glass ซินะ แล้วใช้อะไรหล่ะ
Panda glass
เห็นว่าใช้ Dragontrail Glass ของญี่ปุ่นครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ในอนาคตถ้า Huawei เปิดให้ยี่ห้ออื่นทั้งในและนอกจีนเข้าถึงบริการจาก HMS ได้ ฝั่ง GMS ก็คงได้หัวร้อนกันล่ะ และไม่แน่ว่าต่อไปทาง Huawei อาจเปลี่ยนชื่อเป็น GMS (Global Mobile Services) ไปเลยก็ได้
คงต้องจ้างแพงมากๆ แบบทดแทนกับยอดขายไปเลย ถึงเครื่องขายนอกจีนจะยอมใช้ แม้แต่หัวเหว่ยเองยังไม่อยากใช้
สินค้าน่ะทำได้อยู่แล้ว
OS เองผมก็เชื่อว่า Huawei สามารถทำเองขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมดไม่ต้องเป็น Android เลยก็ยังได้ (แต่คงยังมีความเป็น Linux) แถมยังสามารถปรับให้เข้ากับ Hardware ของตัวเองได้เต็มที่ (นึกภาพ iOS หรือ FW ของพวกเกมคอนโซลต่างๆ) รีดประสิทธิภาพได้สูงสุด
ปัญหาอยู่ที่ Ecosystem จะเกิดได้มั้ย
เพราะขั้วที่ 3 (รวมถึง 4 5 6 7) มันก็มีมาบ่อยแล้ว Windows Phone, Firefox OS, Bada, Tizen แต่ก็ไปไม่รอด แอพหลักๆ สามารถมาได้ แต่แอพรองๆ แอพอินดี้ ไม่มาตามด้วย นักพัฒนาแค่ซัพพอร์ต OS หลักๆ ก็ไม่ทันแล้ว... ตอนเปิดตัวกระแสตอบรับก็ดี แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ตายไป
ส่วนตัวชอบแนวคิด Windows Phone มาก
แต่ติดว่าเกมที่เล่น มีเพียงเกมเดียวเท่านั้นที่ไปลงให้ Windows Store รอแล้วรออีก สุดท้ายก็ไม่มีลง...
Huawei จะดึงดูดได้แค่ไหน
ก่อนหน้านี้ Microsoft, Samsung แต่ก่อนก็ถือว่าเป็นขาใหญ่นะ (ตอนนี้ด้วย) แถมปัจจุบัน Android / iOS ก็ยิ่งแข็งเกร่งขึ้นไปอีก เพราะฟาร์มมานานไม่มีใครคิล ผู้คนตั้งถิ่นฐานกันอยู่บน 2 OS หลักๆ ทั้งข้อมูลต่างๆ ซื้อแอพจ่ายเงิน รวมถึงความเคยชิน (มันเริ่มจะเหมือน x86 + Windows)
มันยากนะ ที่จะดึงคนออกจาก Comfort Zone
โดยเฉพาะ User ทั่วไป ที่ไม่อยากปวดหัวเริ่มต้นกับ SmartPhone ใหม่ๆ
ผมว่าไม่แน่นะครับ... มันใจเกินไปเดี่ยวพลาดเอามีตัวอย่างบริษัทดังในอดีตให้เห็นกันมาเยอะเเยะ ส่วนตัวคิดว่าอนาคตมันไม่แน่นอนอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปเร็ว วิธีการทำอะไรใหม่ๆที่จะทำได้มันก็เกิดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเดิมๆ เหมือน Microsoft, Samsung ที่ทำไปแล้วไม่สำเร็จ เอาวิธีการของ Microsoft, Samsung มาเป็นบทเรียน จะได้รู้ทำไมทำไม่สำเร็จ จะได้ไม่ทำตามลดค่าใช้จ่ายวิธีที่ไม่สำเร็จไปอีกทางด้วย ออกจะดีด้วยซ้ำไปมีตัวอย่างให้ดูให้ศึกษา
ส่วนวิธีการใหม่ๆ เช่น เอา ai มาวิเคราะห์ ทำไม วิธีการของ Microsoft, Samsung ไม่เวิกไม่สำเร็จ เอา ai มาวิเคราะห์ว่า ทำอย่างไรให้คน ออกจาก Comfort Zone อย่างเนียนๆแบบไม่รู้ตัวเลย แต่ของพวกนี้มันก็ต้องใช้เวลาบ้าง จะมาสรุปตอนนี้คงยากที่ได้คำตอบที่แท้จริง อนาคตยุค ai ใครนำด้านนี้ก่อนฉวยโอกาสได้ก่อน
ก็เป็นไปได้ครับ
แต่ HUAWEI ต้องทำให้ได้ระดับที่ APPLE เปิดตัว iPhone อะครับ ระดับที่ Disrupt สั่นสะเทือนไปถึง NOKIA แบบต้องพลิกโฉมการใช้มือถือไปเป็นรูปแบบใหม่เลย (และพิสูจน์ได้ว่าดีกว่า เจ๋งกว่า ผู้คนชอบ) หรืออาจจะเป็น Product ใหม่ ที่ไม่ใช้มือถือรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนเดิม
ถ้ายังอยู่ในระดับที่ว่า ไม่ต้องพึ่งพา Hardware และมี Software ของตัวเอง (HMS, Harmony OS) แต่รูปแบบการใช้งานยังอยู่ในรูปแบบเดิม เพียงแค่ไส้ในเป็น HW SW ของ Huawei ผมว่ายังไม่เพียงพอ เพราะคนก็จะมองว่ามันก็เหมือนๆ Android ไม่รู้ว่าจะไปลอง (ไปเสี่ยง) ทำไม อาจจะมองว่าเป็นแอนดรอยด์ดาวน์เกรด
แต่วิธีการดึงดูดมันก็มี
เช่น กล้องดีมากๆ ราคาถูกมากๆ เล่นเกมดีมากๆ สเปคดีสุดๆ แบบนี้ก็เป็นอีกทางหนึ่งเช่นเดียวกัน ที่สำคัญถ้ามันรัน APK ได้เหมือนแอนดรอยด์ คนก็อาจจะมองว่ามันคือแอนดรอยด์อัพเกรด ในราคาที่ถูกกว่า (ทำไมจะไม่ไปลองดูล่ะ?) คนที่ไม่ได้เล่นเกม หรือ มีความต้องการเฉพาะเจาะจงก็มีโอกาสย้ายไป (เป็นกลุ่มแรก)
ราคาถูกนี้อาจจะหมายถึงต้องถูกกว่าค่ายอย่าง XiaoMi เลยนะ
ก็ต้องดูกันต่อไปครับ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ Huawei อาจะ Disrupt ได้มากกว่า apple ที่เปิดตัว iPhone หรืออาจจะน้อยกว่า ก็ได้ใครจะไปรู้ เวลาและประวัติศาสตร์ จะบอกเราเอง ถ้าเรามองแค่อดีตและปัจจุบันแล้วเอามาตัดสินใจก็แค่ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าคือ อนาคต ใครมีความสามารถของอานาคตก่อน ใครรู้ก่อน ไปดักทางก่อนแล้วทำมัน และเมื่อมันเกิดขึ้น นั้นแระครับถึงจะรู้ว่าใครจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ หรือใช้ศึกษาเป็นบทเรียน
ความคิดเห็นส่วนไม่มีอะไรอ้างอิง ความคิดจากจากที่ติดตามข่าาวด้านเทคโนโลยี อัตราความก้าวหน้าทางเทคโลยีที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีเกาหลีใต้ใช้เวลาน้อยกว่าของญี่ปุ่นประมาณ 10 ปี(ไม่แน่ใจแต่น้อยกว่าแน่นอน) การพัฒนาเทคโนโลยีของจีนใช้เวลาน้อยกว่าเกาหลีใต้ (น้อยกว่าของเกาหลีที่เทียบกับเทียบญี่ปุนอีกด้วย)มันหมายความว่าอัตราเร่งในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนเร็วมาก ลองนึกย้อนกัลไป6-7 ปีที่ผ่านมาใครจะคิดว่าโทรศัพท์มือถือของจีนตัวแรกๆลำโพงรอบตัว มีไฟกระพริบรอบตัว ณ ปัจจุบัน เเบรนด์จีนติดอันดับ 2 ที่เหลือก็ติดทอป 5 ทอป 10 กันหมด ส่วนยี่ห้อดังๆในอดีต 6-7 ปีที่ผ่านมาก็หายไปเกือบหมดแล้วที่ยังอยู่ดีก็มีแค่ sumsang กับ apple แต่ก็เริ่มมีสะดุดบ้างละ
Run Android App ได้ก็ Blackberry QNX ไง ตอนแรกผมครดหวังมากเลยนะเห็นนักวิเคราะห์ทั้งหลายบอกเป็น Unix แบบ iOS เสถียร ทรงพลัง เป็นระบบคอมฯ ที่รถหรูใช้กัน แถมเปิดกว้างกว่า iOS แบบ Android สุดท้ายหายไปไหน ทั้งที่ออกเวอร์ชั่นใหญ่ได้เวอร์ชั่นเดียว
ส่วนอีกอันก็ Jolla (โยล่า) Sailfish OS นี่ก็เห็นว่าลง Android ได้ (แอบน้อยใจแทนไม่มีใครกล่าวถึงเลย) แต่ตอนนี้เลิกทำมือถือเองแล้ว ขาย OS เอา เคยคิดจะลองไปหา Sony Xperia มาลองเล่นอยู่
จริงๆ ผมก็อยากพูดถึงครับ
คือมันก็มีหลายค่ายที่พยายามรัน APK ได้
แต่มันเยอะมากจนผมจำได้ไม่หมด
พยายามนึกอยู่แต่มันติดอยู่ที่คอนี่แหละ 555
Android open source project ก็ยังเอามาจากเมกาอยู่ดี
ปัจจุบันและอนาคต ถ้าจะให้พูดถึงสินค้าหรือสิ่งของที่ค้าขายกัน มันไม่ได้ หมายถึงแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มันหมายถึงขายทั้งโลก เช่น โทรศัพท์ ขายกันทั้งโลก การผลิตก็เหมือนกัน ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ด้วย ก็อาจจะมาจากหลากหลายประเทศที่เป็นชัพพรายเช่นมาประกอบกัน ผลสุดท้ายมันดูที่สินค้าFinish good และผลประกอบการ
(***ถึงแม้ปัจจุบัน os เอามาจาก อเมริกาจริง แต่ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่จะใช้ในแต่ช่วงเวลา เขาคงไม่ย้ำอยู่กับที่หรอกครับ บริษัทระดับนั้น ตัวเราเวลาผ่านไปเรายังโตขึ้นเลย อายุเพิ่มขึ้นด้วย 555(แก่))
แต่หัวข้อข่า่วและเนื้อข่าวนี้ก็พูดอีกอย่างนะครับ