นิตยสาร Forbes ได้สัมภาษณ์พิเศษ Satya Nadella ซีอีโอไมโครซอฟท์ ซึ่งผลงานโดดเด่นล่าสุด ก็คือการพาไมโครซอฟท์ไปสู่บริษัทที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง แซงหน้าทั้งแอปเปิลและ Amazon ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียง 4 ปี กับอีก 10 เดือน นับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งซีอีโอคนที่ 3 ของไมโครซอฟท์ต่อจาก Steve Ballmer (2000-2014) และ Bill Gates (1975-2000)
Nadella บอกว่า สิ่งที่เขายึดถือมากที่สุดในการบริหารไมโครซอฟท์คือคำแนะนำของ Bill Gates ที่บอกว่า "ให้ทุกดอลลาร์ที่เรา (ไมโครซอฟท์) ทำเงินได้ เป็น 5 หรือ 10 ดอลลาร์ ที่คนภายนอกทำเงินได้" ความหมายก็คือให้ไมโครซอฟท์สร้างผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้อีก ไม่ใช่ไมโครซอฟท์ที่ทำเงินเพียงฝ่ายเดียว
อดีตวิศวกรของไมโครซอฟท์คนหนึ่งให้ข้อมูลว่า สิ่งที่ Nadella ได้ทำในช่วงแรกของการรับตำแหน่งซีอีโอ และทำให้คนไมโครซอฟท์เชื่อมั่นก็คือการให้ความสำคัญเท่าเทียมกันในทุกหน่วยธุรกิจ และกำหนดให้ทุกหน่วยเติบโตพร้อมสร้างได้ในระดับใกล้เคียงกัน
การเปิดกว้างให้กับผลิตภัณฑ์ที่ไมโครซอฟท์เคยมองเป็นคู่แข่งและหลีกเลี่ยงมาตลอด คืออีกสิ่งที่ Nadella ได้ทำให้คนประหลาดใจ ในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังเขารับตำแหน่งซีอีโอ Azure ได้เพิ่มบริการสำหรับนักพัฒนาที่เขียนแอปสำหรับ iOS จากนั้นเขาทำสิ่งที่เกินคาดหมายอย่างการเดโมแอปบน iPhone แถมเวลาต่อมาเขายังยอมตัดขาดทุนดีลโนเกียอีก 7.6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อส่งสัญญาณว่านี่คือความผิดพลาด
ความท้าทายที่เขาเอาชนะได้อีกประการคือการสู้กับวัฒนธรรมองค์กรไมโครซอฟท์ ที่มองผลิตภัณฑ์คู่แข่งแบบไม่มีทางร่วมมือกันเด็ดขาด จนเปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรได้ เรื่องนี้เกิดจากมุมมองดั้งเดิมที่ว่าระบบปฏิบัติการ Windows เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตเงินสดให้ไมโครซอฟท์มายาวนาน จึงไม่ควรไปทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงให้กระทบกับรายได้ Windows แต่เมื่อการเกิดขึ้นของคลาวด์จาก AWS ของ Amazon และโมเดลสมัครใช้ซอฟต์แวร์แบบ Salesforce เข้ามา ไมโครซอฟท์ก็ต้องปรับตัว
ไมโครซอฟท์เปิดกว้างมากขึ้นกว่าเดิมในการใช้งาน Linux บน Azure ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนหัวหน้าทีมเป็น Scott Guthrie ที่ผลักดัน Linux มากขึ้น จนทำให้ส่วนแบ่ง Linux บนเครื่องที่อยู่ใน Azure มีถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ทำให้คลาวด์ของไมโครซอฟท์ได้รับการยอมรับมากขึ้น และโอกาสก็ยังมีอีกมาก (รายได้คลาวด์ Amazon 27,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไมโครซอฟท์อยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ และกูเกิล 3,000 ล้านดอลลาร์)
คลาวด์กลายเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์โฟกัสว่าเป็นโอกาสทำเงินครั้งใหญ่ พาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายได้รับส่วนแบ่งที่มากขึ้นหากเป็นการจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับคลาวด์ เพื่อเปลี่ยนผ่านลูกค้าเดิมให้มาใช้บริการคลาวด์มากขึ้นอย่างเช่น Office 365 อย่างไรก็ตามใช่มีแค่คลาวด์จะเป็นโอกาสทำเงิน เพราะธุรกิจที่ไมโครซอฟท์อยู่ในตลาดมานานอย่าง เกม, เสิร์ช และฮาร์ดแวร์ตระกูล Surface ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตมากเช่นกัน
ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Xamarin ผู้พัฒนาเทคโนโลยี .NET แบบโอเพนซอร์สในปี 2016 ซึ่งถือเป็นดีลหนึ่งในการทำให้ไมโครซอฟท์มีภาพลักษณ์เปิดกว้างกับโลกของนักพัฒนามากขึ้น
ช่วงเวลานั้น Nadella เองก็กำลังเจรจาดีลซื้อกิจการอีกสองบริษัทคือ LinkedIn (ซื้อสำเร็จในปีเดียวกัน) และ GitHub ซึ่งรายหลังนั้นปฏิเสธไมโครซอฟท์ในทันทีที่เสนอกิจการ ทำให้ Nadella พบว่า ไมโครซอฟท์ในตอนนั้นมีภาพลักษณ์ที่นักพัฒนายังไม่เชื่อใจมากพอ
ผ่านไปสองปี ไมโครซอฟท์กลับไปยื่นข้อเสนออีกครั้ง (โดยมีกูเกิลเป็นคู่แข่ง) และในที่สุด GitHub ก็เลือกขายกิจการให้ไมโครซอฟท์ด้วยมูลค่าประวัติศาสตร์กว่า 7.5 พันล้านดอลลาร์
การซื้อกิจการได้คือก้าวแรกว่าไมโครซอฟท์ทำให้บริษัทเหล่านี้เชื่อใจ แต่สิ่งที่ยังต้องพิสูจน์ต่อไปในระยะยาวของ Nadella ก็คือ ไมโครซอฟท์จะนำสิ่งต่าง ๆ ที่ซื้อกิจการมาสร้างประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหนต่อจากนี้
ที่มา: Forbes
Comments
พึ่งอ่านเมื่อคืน วันนี้มีแปลไทยแล้วเร็วดีจริงๆ
"ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการ Xamarin ผู้พัฒนาเทคโนโลยี .NET แบบโอเพนซอร์สในปี 2016"
ผมเข้าใจว่า Xamarin เดิมเป็น Closed Source แต่ MS ซื้อมาแล้วเปิด Open Source ปล่อยฟรีเลย
ตรงนี้ผมไม่ได้เทียบกับบทความต้นฉบับนะครับ
ถ้าสัตยาไม่เข้ามาดูแล จะเป็นยังไงนะ
+1 รู้สึก Ballmer คือความผิดพลาดของ MS เลยจริงๆ
+1
+๑
Ballmer กับ Bill Gate คือคนที่เหมาะกับ MS ในยุค 80s-90s ครับ
ก็ยังดีที่รู้ตัว ยอมรับความจริง แล้วเปลี่ยนเอา สัตยะ มาเป็น CEO แทนไม่งั้นอาจจะสภาพแย่กว่านี้ แต่ไม่เจ๊งเพราะยังตองใช้ MS Office กันอยู่
ผมว่าปัญหาจริงๆของ Ballmer คือ อืม "ปากเสีย" ครับ ถ้าจำไม่ผิดเคยดูถูก Android ไว้ซะแรงเชียว
ยอมรับว่าแกหาเงินเก่งจริงๆครับ เก่งมาก แต่มันไม่เหมาะกับยุคปัจจุบันด้วยแหละเพราะ MS เป็นบริษัท tech ถ้าไม่ปรับก็โดนคลื่นลูกใหม่ซัดล้มแน่ๆ อย่างตอนที่ iPhone ออก หลังจากนั้นตามมาที่ Android อีก
Bill Gate ผมไม่ค่อยทันข่าวแกนะ แต่ดูๆแล้วการที่แกมีมูลนิธิอยู่แกคงไม่ได้มีปัญหามากเท่า Ballmer มั้ง
ครั้งก่อนๆ ก็เหนคนกังวลกันจังตอน microsoft เข้าซื้อนั้นนี่ ละกลัวจะเอามาทำพัง
แต่ตอนนี้ผมคิดว่า เขาคงพัฒนาให้มันดีขึ้นได้แน่นอนแหละ
ถ้ายึดถือการทำให้คนอื่นดีขึ้นจริงๆ จากข้อความที่บอกว่า "ให้ทุกดอลลาร์ที่เรา (ไมโครซอฟท์) ทำเงินได้ เป็น 5 หรือ 10 ดอลลาร์ ที่คนภายนอกทำเงินได้"
"เข้าใจโลกนักพัฒนา" ผมรัก visual code มากๆครับ
ปล.จะตามไปโพสทุกที่ 555
ทุกองค์กรนี้ ถ้าได้ผุ้นำ ที่ดี มีวิสัย ทัศน์ ย่อมพาไปในเส้นที่ดีได้
มาถูกที่ถูกเวลา ถ้าบัลเมอร์อยู่ผลอาจต่างกว่านี้แน่
ค่ายผลไม้เมื่อไรจะเปิดบ้าง มีคนเปิดแล้ว เปิดตามเลย
รูป thumbnail ข่าวสีเทา นึกว่า RIP
555
Twitter ของแกก็รูปนี้ครับ
"(รายได้คลาวด์ Amazon 27,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไมโครซอฟท์อยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ และกูเกิล 3,000 ล้านดอลลาร์)"
มองบน...แล้วเหลือบลงมามองที่ Google พี่ทำ Cloud ก่อนเค้าตั้งนาน ทำไมรายได้พี่มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนั้น นี่ก็เป็นอีกอย่างนึงที่แสดงให้เห็นว่าการทำงานของ Google นั้นมีปัญหา (ในสายตาผมนะ) ทำแล้วไปไม่สุดซักอย่าง ทำๆ ไป เดี๋ยวก็ช้าลง หยุด นิ่ง ปิด!
Google คงไม่อยากให้ลูกค้าตื่นตูม Google โตมากับความฟรีที่ไม่ฟรี
แต่ขนาดนี้ก็เป็นที่ 3 ของตลาดโลกเลยนะครับ ไม่ถึงกับล้มเหลวหรอก
ไม่งั้น IBM ที่ไปเทค Softlayer มายิ่งหนักเลย ไม่รู้ไปอยู่แถวไหนละ
ตัวพีคสุดของ Google ที่เรียกว่าทำเอาผมไปทางอื่นไม่ได้ก็ Firebase นี่แหละครับ ถึงจะมีส่วนขัดใจอยู่เยอะมากๆ แต่ก็หาตัวเลือกอื่นดีกว่านี้ไม่ได้
ชอบคำนี้มากๆ
"ให้ทุกดอลลาร์ที่เรา (ไมโครซอฟท์) ทำเงินได้ เป็น 5 หรือ 10 ดอลลาร์ ที่คนภายนอกทำเงินได้"
ความหมายก็คือให้ไมโครซอฟท์สร้างผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ธุรกิจองค์กรสามารถต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้อีก ไม่ใช่ไมโครซอฟท์ที่ทำเงินเพียงฝ่ายเดียว
ตรงนี้ผมว่ามันดีมากนะ และจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเป็นอยู่แล้วเพราะผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ MS นี่เกิดมาเพื่อไว้ใช้ทำงานโดยตรง ถ้าจะเอาตรงนี้มาเพื่อบลัฟบริษัทอื่นผมว่ามันก็คงใช้ไม่ได้ อย่างถ้าจะหาลูกค้าที่สามารถทำเงินจากการเล่นเกมส์บน XBOX ได้เป็นห้าเท่าสิบเท่าของราคาเครื่องก็คงจะหายาก
มันเป็นหลักคิดของผู้บริหารที่น่าสนใจมาก
เช่น การให้ความสำคัญกับทุกแผนกอย่างเท่าเทียม การตัดขาดทุนผลิตภัณฑ์ที่ไม่รุ่ง หรือการปรับตัวตาม Technology
ผมว่าผู้บริหารหลายๆคนที่มีกิจการบริษัทที่ดีก็คิดแบบนี้ พอหัวไปแบบนี้ ตัว กับหางก็ไปตาม
ภาพรวมของทีม จะพัฒนาอะไรๆก็ไปตามได้ง่าย รวดเร็ว และนำหน้าคู่แข่งไปเลย
หัวมีวิสัยทัศน์ ฟันธงฉับๆ ตัวกับหางก็ไม่กลัว บุกตะลุยเต็มที่
วัฒนธรรมองค์กรต้องชัดเจน แนวคิดของเกตส์ก็สุดยอด มันมีแรงส่งต่อกันมาจริงๆ
บางคนเป็นเจ้าของพวกกิจการเล็กๆ อันนี้ไม่ได้อยากจะว่าเค้า แต่ก็จะคิดเรื่อง กำไรๆๆๆอย่างเดียว (จำได้เลย เจ๊เจ้าของบริษัทเก่าผม โคตรงก) คือขายของ ขายบริการ แล้วจบเลยฉันทำแบบนี้มาสิบๆปีมันก็อยู่ได้ เออก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน โชคดีที่ออกมาแล้ว