Brian Acton ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ลาออกเมื่อเดือนกันยายน 2017 โดยลาออกก่อนจะเกิดเหตุอื้อฉาวข้อมูลหลุด ของเฟซบุ๊กผู้เป็นบริษัทแม่ได้ไม่นาน และเมื่อข่าวแพร่ออกไป เขายังเป็นคนจุดเทรนด์ #deletefacebook ชวนผู้ใช้ลบบัญชีเฟซบุ๊กบนทวิตเตอร์ด้วย
ผลของการลาออกคือ Acton ต้องทิ้งหุ้นเฟซบุ๊ก มูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ หลังจากนั้นเขาก็ปิดปากเงียบมาตลอด จนกระทั่งนิตยสาร Forbes ได้สัมภาษณ์เปิดใจครั้งแรกถึงสาเหตุที่ลาออก รวมทั้งมุมมองของเขาที่มีต่อเฟซบุ๊ก
ภาพจาก Shutterstock
เฟซบุ๊ก เข้าซื้อ WhatsApp ด้วยดีล 22 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2014 ถือเป็นการควบรวมบริษัทเทคโนโลยีที่สำคัญมากครั้งหนึ่ง WhatsApp มีจุดขายคือให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ มีการเข้ารหัสข้อความจากปลายทางถึงปลายทาง ส่วนเฟซบุ๊ก มีโมเดลธุรกิจที่ต่างออกไป คือเน้นทำเงินจากการโฆษณา การเข้าซื้อ WhatsApp เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ อาจทำให้คนตั้งคำถามว่าเฟซบุ๊กจะทำเงินจาก WhatsApp ได้อย่างไร
Acton เสนอโมเดลการทำธุรกิจของ WhatsApp หลังเข้าไปอยู่กกับ เฟซบุ๊ก เป็นโมเดลเรียกเก็บตามการใช้งาน โดยผู้ใช้จะสามารถส่งข้อความได้ฟรีจำนวนค่อนข้างมาก แต่หากใช้เกินนั้นก็จะเริ่มเก็บเงิน (WhatsApp เคยเรียกเก็บเงินปีละ 1 ดอลลาร์จากผู้ใช้ แต่หลังจากนั้นก็ยกเลิกไป) โดยเขาเชื่อว่าโมเดลนี้ตรงไปตรงมา ขายได้เหมือนกันทุกประเทศ และไม่ต้องใช้ตัวแทนจำหน่ายจำนวนมาก [เหมือนโฆษณา] แต่ Sheryl Sandberg ซีโอโอของ เฟซบุ๊กไม่รับแนวคิดนี้โดยระบุว่าการขยายธุรกิจทำได้ยาก (It won’t scale)
ภาพจาก วิกิพีเดีย
จนกระทั่งปี 2016 ที่ WhatsApp อัพเดตนโยบายความเป็นส่วนตัวนำเบอร์โทรศัพท์ไปใช้กับ เฟซบุ๊ก ช่วยให้ เฟซบุ๊กสามารถทำโมเดลโฆษณาแบบเจาะจงหรือ Target Ads ได้ ซึ่งตรงนี้ Acton บอกว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่แฮปปี้ เพราะ WhatsApp ถือคติว่า ไม่มีโฆษณา ไม่มีเกมส์ ไม่มีลูกเล่นกิมมิคใดๆ เขายังบอกด้วยว่าเขาขายบริษัท ขายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เพื่อผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า มันเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง
และ Acton ก็ลาออกในเดือนกันยายน ปี 2017 จนถึงตอนนี้ก็ครบรอบ 1 ปีพอดี
ในบทความ Acton ระบุว่า พวกเขา (เฟซบุ๊ก) เป็นนักธุรกิจที่ดี เพียงแต่แนวทางธุรกิจ แต่อาจมีหลักการ จริยธรรม และนโยบายบางอย่างที่เขาไม่เห็นด้วย โดยในช่วงช่วงเจรจาเข้าซื้อว่า เฟซบุ๊กมาพร้อมกับเงินมหาศาล และให้ข้อเสนอที่เขาปฎิเสธไม่ได้ แหล่งข่าวของ Forbes ระบุว่านอกจากหุ้นแล้ว ข้อเสนอยังให้ตำแหน่งบอร์ดและสัญญาว่าจะไม่กดดันให้ WhatsApp สร้างรายได้ไปอีกอย่างน้อย 5 ปี
ระหว่างการเข้าซื้อ WhatsApp ผู้ก่อตั้งทั้งสองคนต้องชี้แจงหน่วยงาน European Competition Commission ที่มีความเข้มงวดเรื่องการผูกขาดการค้า และ Acton บอกกับหน่วยงานเหล่านี้ว่าตัวข้อมูลของ WhatsApp และ เฟซบุ๊กนั้นต่างกันมาก ยากที่จะนำมาใช้ร่วมกัน และผู้บริหาร WhatsApps ก็ไม่ได้ต้องการให้เชื่อมข้อมูลเข้ากับเฟซบุ๊กด้วย
แต่ปรากฎว่า เฟซบุ๊กเตรียมการเชื่อมข้อมูลไว้แล้วโดยมีการแก้ไขข้อตกลงการใช้งานหลังจากรวมบริษัทได้ 18 เดือน และทำให้เฟซบุ๊กถูกปรับจากสหภาพยุโรปไปถึง 122 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน Acton ได้ลงทุนใน Signal แอพแชทที่เน้นความปลอดภัยสูง ที่แม้แต่เอดเวิร์ด สโนว์เดนก็สนับสนุนให้ใช้งาน Acton ยังลงทุนในองค์กรการกุศลเพื่อสุขภาพ 1 พันล้านดอลลาร์ สนับสนุนการดูแลทางสาธารณสุขในพื้นที่ยากจนในสหรัฐฯ
ที่มา - Forbes
Comments
แล้วจะให้เขาทำเงินจากอะไรละ Ads ก็ขายไม่ได้ คิดค่าใช้บริการก็ไม่ได้
WhatApps เสียเงินครับ แต่ Facebook บริษัทต้นสังกัดหาเงินเพิ่มเองโดยเอาข้อมูลลูกค้าไปขายไงครับ บริษัทก็ได้ค่าโฆษณากับข้อมูลบน Facebook มหาศาลอยู่แล้วนะ
มันเสียเงินจริงๆ หรอครับ เคยใช้สักพักไม่เห็นมีใครเสียเลย จน LINE มาก็เลิกใช้ WhatApps ไป
ขาย Sticker แบบ LINE รวยกว่าเยอะ มุ้งมิ้งด้วย55
ถ้าจำไม่ผิด จะมีฟรีให้ลองใช้อยู่ระยะนึง แล้วเสียค่าบริการรายเดือนนะครับ
ก่อนไลน์มาผมโดนให้เสียครับ แต่คนอื่นไม่โดน เลยลบไป
ช่วงนี้ข่าวมากระหน่ำ Facebook รัวๆ ทั้ง Founder ของ Instagram ลาออก ข่าวอันนี้ก็มาแฉซ้ำอีก
ทิ้งหุ้น หมายถึงขายหุ้น รึปล่าว
น่าจะเป็นผลประโยชน์ที่เสียไปหากลาออกก่อนเวลาหรือเปล่า
เป็นหุ้น unvested ครับ อยู่ไม่ครบเวลาจะไม่ได้
lewcpe.com, @public_lewcpe
ตามที่ lew ว่า มันคือ unvested stock
บริษัทไอทีหลายบริษัท เวลาให้หุ้นแก่พนักงาน (เช่น ตอนเซ็นสัญญา หรือ โบนัสรายปีส่วนที่เป็นหุ้น) เขาจะไม่จ่ายหุ้นมาให้ทั้งหมดในล๊อตเดียวแต่จะหั่นแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วทยอยจ่ายทีละปีเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น ตอนเซ็นบริษัทให้หุ้นมา $1000 แต่มีกำหนดจ่าย 5 ปี นั่นคือ ทำงานครบปีแรก บริษัทก็จ่าย(vested)หุ้น มา $200, ปี 2 ได้ $200 ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ 5 แต่ถ้าลาออกก่อนครบปีที่ 5 หุ้นส่วนที่ยังไม่จ่ายมาก็จะถือว่าเป็นโมฆะ ก็คือการทิ้งหุ้นที่ยังไม่ได้จ่าย (unvested)
ทั้ง Whatsapp ทั้ง Instagram 555
อ่านแล้วเศร้า เหมือนโดนหักหลังเลยนะ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
จะว่าไป Facebook เป็นผู้ทำผิดเงื่อนไขการซื้อ Whatsapp นะ
แต่ Facebook ก็ลอยตัว
ผิดกับเจ้าของ Whatsapp ที่ประท้วงลาออก กลับเสียเงินแทนซะงั้น
แปลกแต่จริง