จากปัญหา iOS 4 เก็บข้อมูลพิกัดทุกคนไว้โดยตั้งใจ ค่ายคู่แข่งก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ โดย Windows Phone 7 ออกมาระบุว่าไม่ได้เก็บข้อมูลพิกัดของผู้ใช้ไว้แบบ iOS ไปก่อนแล้ว คราวนี้เป็นคิวของ Android บ้าง
- Android เก็บข้อมูลพิกัดของผู้ใช้เช่นกัน แต่ผู้ใช้ต้องเป็นคนสั่งให้เก็บเอง (opt-in) ซึ่งจะถามตอนตั้งค่าเครื่องครั้งแรก
- ข้อมูลพิกัดจะถูกส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของกูเกิล โดยไม่มีข้อมูลที่ระบุตัวบุคคลอยู่ด้วย แต่จะมี ID ของอุปกรณ์ที่ใช้พ่วงไปด้วย (พูดง่ายๆ คือตามรอยไปถึงเครื่องได้ แต่จะไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร)
- Android จะเก็บข้อมูลพิกัดไว้บนเครื่องเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วลบทิ้งเมื่อเลิกใช้ ต่างกับกรณีของ iOS ที่เก็บยาวเป็นปี (ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม)
อย่างไรก็ตาม มีแฮ็กเกอร์ออกมาสาธิตว่าข้อมูลที่เก็บใน Android เมื่อนำมารวมกับฐานข้อมูล Wi-Fi access point ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ก็สามารถระบุตำแหน่งของผู้ใช้ย้อนหลังได้เช่นกัน - The Register
ที่มา - TechCrunch, AllThingsD
Comments
"ผู้ใช้ต้องเป็นคนสั่งให้เก็บเอง" Google Win ตรงนี้แหละ
ประโยคสุดท้ายนี่ ไม่ว่าอุปกรณ์ใดๆก็ตามใด้ไม่ใช่เหลอ ถ้ามีถึงฐานข้อมูลไวไฟ ไม่ว่าจะเป็นโนตบุก มือถือ แทบเลต หรืออื่นๆ ที่เชื่อมต่อ wifi
ตั้งค่าตรงไหนเหรอครับ จะได้ให้พี่กูเกิ้ลเลิกเก็บข้อมูลเราซะที
ตอนเปิดเครื่องครั้งแรกสุด ช่วงที่เราจะผูกบริการกับ gmail ครับ จะมีตัวเลือกให้เลือกสองอัน ว่าจะส่งข้อมูลอะไรกลับ google บ้าง
ถ้าจะแก้ไข ให้เข้าไปที่เมนู setting > location and security ดูครับ
ส่วนตัว ส่งๆไปเหอะ ไม่ได้เป็นคนดังอะไร... เขาคงไม่ส่งเอฟบีไอจากโน่นมาจับผมเพราะเอ็มพี ๓ หรอกนะ อิอิ
Like
แล้วที่เก็บที่ เซอร์เวอร์ google มันเก็บนานแค่ไหน
เจ้านึงขอ > ไปเก็บในเซิฟเวอร์
อีกเจ้านึงไม่ขอ > เก็บในเครื่องตัวเอง
ถ้าจะมองว่าอันตรายผมว่าก็พอๆกัน แต่ส่วนตัวเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรมากมายเท่าไหร่เลยทั้ง 2 กรณี
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
อ่านดีๆ ครับ เก็บไว้ในเครื่องตัวเองทั้งคู่ "และ" ส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ทั้งคู่ (ปรกติของ Wi-Fi location)
สิ่งที่ต่างคือ Android ขอผู้ใช้ล่วงหน้า และเก็บไว้ 200 จุดล่าสุดครับพร้อมลบทิ้งทั้งหมดทันทีเมื่อปิดการใช้งาน ส่วน iPhone ไม่จำกัด ไม่มีกระบวนการลบทิ้ง
lewcpe.com, @wasonliw
หรอเนี้ย --
อ้าว ข่าวตอนแรกรายงานว่าไม่มีการส่งข้อมูลจาก iOS ไปเก็บใน Sever นี่ครับ ซึ่งWiFi Location นั้นมันส่งไปเป็นปกติจริงอยู่แต่มันน่าจะเป็นคนละประเด็นแยกกัน ซึ่งคำจากต้นฉบับของข่าวแรก+วีดีโอก็ชัดเจนว่า Nor is there evidence to suggest this data is leaving your custody ซึ่งหมายถึงข้อมูลที่เก็บแบบไม่เคยลบอันนี้ไม่เคยส่งไปยัง Apple เลย
เพราะตามที่ผมเข้าใจคือไฟล์ดังกล่าวนั้นน่าจะเกิดจากกระบวนการของ Wi-Fi location จริงๆ แต่ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ มันไม่เคยโดนลบทิ้งเหมือนเช่น Android แต่กลับเก็บไว้ในเครื่องที่เราใช้งาน ซึ่งไฟล์ดังกล่าวนี้ไม่ได้มีการส่งออกนอกเครื่องแต่อย่างใด
แล้วก็อีกอย่างเพราะถ้าเค้าจะหมายถึงการทำ Wi-Fi location มันคงไม่ต้องมาเป็นข่าวอยู่แล้วเพราะมันเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันจะเป็นประเด็นใหม่ให้เป็นข่าวได้มันย่อมเป็นเรื่องที่เกิดจากกระบวนการที่ไม่ปกติมากกว่านะครับ
แต่ที่ผมเข้าใจผิดคงเป็นของ Android นี่แหละว่าตกลงเค้าเก็บหรือไม่เก็บกันแน่ เพราะเห็นท้ายข่าวก็บอกว่าสุดท้ายเอาข้อมูลดังกล่าว(ซึ่งข้างบนบอกว่าลบไปแล้ว)มาเทียบกับ WiFi Access Point ก็ทำลักษณะเดียวกันได้เช่นกัน ผมเลยงงว่าลบหรือไม่ลบกันแน่ แล้วคำว่าลบทิ้งเมื่อเลิกใช้ คือเลิกใช้แบบการที่เราเข้าไปกดเลิกใช้หรือเมื่อเราใช้งานครั้งนั้นๆเสร็จ? ก็ขอรบกวนว่าถ้าอธิบายให้ผมเข้าใจได้ก็จะเป็นพระคุณครับ ^^
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
ที่ข่าวต้นฉบับบอกว่าไม่ได้ส่งออก หมายถึงไม่ได้ส่งออกไปท้ังไฟล์ที่เก็บมั้งครับ ที่เป็นข่าวใหญ่โตขึ้นมา เพราะมันไม่มีการถามก่อนเก็บ และดันเก็บไว้ตลอดกาลด้วยไม่มีลบออก
แต่ด้วยเทคนิคของ wifi location ยังไงก็เหมือนกันทั้ง 2 os ครับ คือเก็บแคชไว้ในเครื่องและส่งไป server เพื่อหา location (อันที่จริงผมก็ไม่รู้นะว่า Apple ใช้ location server ของ Google รึเปล่า :P)
จุดที่ต่างกันก็คือ...
ส่วนของ ios ไม่ถาม เก็บตลอดกาล จบ
ที่คุณไม่เข้าใจคือ Wi-Fi location ของ Android (และเท่าที่รู้คือเจ้าอื่นๆ ด้วย) นั้นอาศัยข้อมูลจากผู้ใช้ในการสร้างฐานข้อมูลครับ
เช่นว่าเครื่องของคุณมองเห็น Access Point 5 ตัวในเวลาเดียวกันก็จะส่ง MAC Address ของทั้ง 5 ตัวกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์มี 3 ตัวที่เซิร์ฟเวอร์รู้จักตำแหน่งของมันอยู่แล้ว มันก็จะคืนค่าตำแหน่งที่เป็นไปได้กลับมาให้ แต่มันจะเก็บอีกสองตัวที่เหลือไว้บนเซิร์ฟเวอร์ว่าเป็นตัวใหม่ที่น่าจะอยู่ตำแหน่งใกล้เคียงกัน
ข้อมูลเพื่อพัฒนาบริการให้บริการเช่นนี้ไม่ลบครับ ผมเข้าใจว่าการที่บอกว่าไม่เก็บชื่อผู้ใช้แต่เก็บหมายเลขเครื่อง มันหมายถึงการเก็บหมายเลข MAC ของเรื่องที่ร้องขอ Wi-Fi location เอง
อะไรทำให้คุณเข้าใจว่าไฟล์ของ iOS เกิดจากกระบวนการ Wi-Fi location หรือครับ???
โดยปรกติแล้วการเก็บข้อมูลในเครื่องบ้าง มันเข้าใจได้อยู่แล้วครับ คงไม่แปลกใจกันนักหากจุด "ล่าสุด" จะถูกเก็บเป็นไฟล์อยู่ในเครื่องเพื่อเพิ่มความเร็วการหาตำแหน่งหรือใช้บริการอื่นๆ อย่าง Android เองเก็บหลัก "ร้อย" จุด ก็มีคนถามแล้วว่าทำไมต้องเก็บย้อนหลังเยอะขนาดนั้น ส่วน iPhone นั้นยิ่งแย่เพราะเก็บกันแบบไม่ลบ
lewcpe.com, @wasonliw
ทำไมกลัวแฟนจับกิ๊กได้กันจังหว่า
ทำไมคุณถึงคิดว่าคนรักความเป็นส่วนตัวถึงเป็นคนทำผิดแล้วต้องซ่อน?
lewcpe.com, @wasonliw
+1000000000000000000000
มันก็ถูกครับ แต่ก็นะคนที่พยายาม แงะข้อมูลที่มันอยู่ในเครื่องคุณได้(ไม่รวมเจ้าของ OS ที่แอบข้อมูลเราไว้) แสดงว่ามันต้องมีความสำคัญมากๆถึงขนาดลงแรงขนาดนั้น แต่ผมว่าเค้าเก็บเพราะจะเอาเป็นสถิติ เพื่อเอาไปเครมโฆษณา หรือวิเคราะห์ตลาดนั้นแหละ ผมว่าถามก่อนแบบที่ google ทำก็โอเคนะ เพราะพวกที่ตอบรับแบบส่งๆไป เค้าเองก็คงไม่สนใจเรื่องนี้นัก ส่วนพวกแบบรักความเป็นส่วนตัวสูงก็น่าจะรอบคอบพอที่อ่านก่อน
แบบนี้กูเกิ้ลก็รู้หมดดิว่าเราอยู่ตรงไหน
เอ๊า กินปูนร้อนท้องกันใหญ่ สงสัยหลายคนผ่านไปแถว อะฮิๆ ที่ไม่อยากบอกแฟนเป็นแน่แท้เลยเป็นเดือดเป็นร้อน อิอิ
-1
ผมว่าบางคนก็เป็นห่วงความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจนเหมือนกับวิตกจริต ไม่ได้เข้าข้างแอปเปิ้ล เพราะว่าการ"แอบ"เก็บข้อมูลนั้นมันก็ไม่ดีแน่นอน แต่ผมว่าสำหรับคนทั่วไป พวก location log นั้นมันก็คงไม่ได้ทำความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินมากนัก พูดง่าย ๆ ว่า "รู้ไปก็ไม่มีใครตาย"(เว้นว่าท่านเป็นพวกอาชญากรที่ไปปล้นธนาคารและไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเราเคยเข้าธนาคารไปเวลาเท่านั้นเท่านี้)
แต่เราก็ต้องควรระวัง ไม่ให้ข้อมูลพวกนี้ไปอยู่ในมือคนที่ไม่ประสงค์ดี(ที่ต้องฉลาดมาก ๆ ในการเอาพิกัดของเราออกมาวางแผนทำมิดีมิร้ายเราได้ พวกโจรกระจอกมุมตึก ไม่สามารถอยู่แล้ว เรียกได้ว่าถ้าเราเป็นคนธรรมดา ก็ไม่รู้ว่ามันจะลงทุน) เหมือนที่ท่านเห็นในหนัง Holly wood
ท้ายสุดแล้ว ผมว่า ถ้าคนที่กังวลมากว่าข้อมูลที่อยู่เราจะมีคนอื่นรู้ ควรจะเลิกใช้ iOS ไปซักพักจนกว่าจะมีการแก้ไขออกมา และไปถือโทรศัพท์ที่ไม่มี GPS หรือใช้เขียนจดหมายเอา(แต่อย่าเขียนที่อยู่ผู้ส่งนะ เดี๋ยวเค้ารู้ว่าส่งจากไหน) แนะนำว่าให้อยู่แต่ในบ้าน และปิดไฟให้มืด(คนอื่นจะได้ไม่รู้ว่าเราอยู่ในบ้าน) และถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้านจริง ๆ ควรจะใส่หมวกและเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าให้มิดชิด เพื่อไม่ให้มีพยานบุคคลเห็นเรา ควรทำศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าทุก6เดือน เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง และห้ามมีครอบครัวหรือญาติเด็ดขาด เพราะคนเหล่านี้จะสามารถชี้นำตัวท่านได้ สระผมบ่อย ๆ หรือโกนหัวเพื่อที่ผมจะได้ไม่ร่วงตามที่ต่าง ๆ อาบน้ำขัดตัวแรง ๆ และควรเช็ดสิ่งของต่าง ๆ ที่ตัวเองจับด้วยแอกกอฮอลทุกครั้งเพื่อปกปิดหลักฐานทาง DNA ฝึกวิชาตัวเบาด้วยเพื่อจะได้ย่องเบา เอ๊ย เดินเบา ๆ เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่มีรอยเท้า เพียงเท่านี้ผมว่าน่าจะเพียงพอที่จะทำให้ท่านไม่สามารถถูกติดตามได้แล้วว่าท่านได้ไปไหนมาบ้าง และคงอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสบายใจ (แต่ลำบากกาย)
ป.ล. ขำ ๆ นะครับ อย่าคิดมาก ^^"
สมมตินะครับ ผมซื้อ iPhone มาด้วยราคาที่ทำให้ผมช้ำเลือดช้ำหนอง ผมควรจะเลิกใช้ไปซักพักหนึ่งจนกว่าเค้าจะแก้ไข ซึ่งมันก็คงราคาตกไปหลายและตกรุ่นไประดับหนึ่งแล้วอย่างนั้นหรือครับ?
แล้วถ้าโจรกระจอกมุมตึกจี้โทรศัพท์ผมไป หรือผมทำโทรศัพท์หาย มีคนเก็บได้ แค่นำโทรศัพท์ไปต่อเข้ากับคอมแล้วเปิดโปรแกรมสำเร็จดึงข้อมูลออกมาดู เพื่อดูว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน เวลาที่ผม "อยู่" หรือ "ไม่อยู่" บ้านเป็นประจำ แล้วอาศัยช่วงเวลาที่คาดว่าผมไม่อยู่บ้านแน่นอนเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินอย่างสบายใจ ผมควรจะกังวลได้หรือยังครับ?
อืม ตกลงคุณจะทำยังไงเหรอครับ มันค่อนข้างขัด ๆ กันชอบกล >.< หยุดใช้ก็ไม่หยุด แต่ก็กลัวจะเป็นอันตราย และขี้กังวลเอามาก ๆ แต่ก็แอบเสียดายว่าอุตส่าซื้อมาแล้ว? แล้วถามผมว่าควรจะหยุดใช้มั้ย? หรือควรจะกังวลมั้ย? ผมจะตอบได้ไหมละครับ คุณยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย = ="
ถ้างั้นถ้าซื้อแล้วก็ขายทิ้งไปครับ ตอนที่ราคามันยังไม่ตกมาก (ในความคิดของคุณ) หรือถ้ายังไม่ซื้อ ก็ยังไม่ต้องซื้อครับ รอมันแก้ปัญหาให้ได้ก่อน
ป.ล. โจรสมัยนี้มันก็ชั่วนะครับ เก่งขนาดนั้นยังจะมาเป็นโจร ไม่ไปทำมาหากินอะไรให้มันได้เงินดี ๆ เนอะ T^T Born to be จริง ๆ ทำไมโลกนี้มีแต่คนชั่วเยอะแยะไปหมดเลยน้า ทุกคนถึงจ้องจะทำร้ายคุณจัง T^T
ยิ่งเป็นข่าว Apple ก็ต้องยิ่งรีบแก้ไงครับ
ก็รอดูต่อไปครับ ว่าจะแก้ตัว หรือแก้ไข หุหุ แต่เงียบแบบนี้สงสัย.....
งานนี้ Google ยังสบายกว่า Apple เยอะ