Apple ปล่อยอัปเดต iOS 11.4 beta 2 สำหรับนักพัฒนาโดยมาพร้อมฟีเจอร์ตั้งค่า Lock / Unlock หน้าจอ iPhone X ได้เมื่อใส่เคสฝาพับ Leather Folio
ตั้งค่า Lock / Unlock หน้าจอ iPhone X ได้เมื่อใส่เคสฝาพับ Leather Folioก่อนหน้านี้ Apple ได้เปิดขายเคสฝาพับ Leather Folio สำหรับ iPhone X ที่เป็นเคสฝาพับมีแม่เหล็กด้านหน้า โดยใน iOS 11.4 beta 2 ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้หน้าจอ Lock / Unlock เมื่อปิด-เปิด ฝาเคสได้
ผู้ใช้สามารถไปตั้งค่าฟีเจอร์นี้ใน iOS 11.4 beta 2 ได้ที่ Settings > Display & Brightness > Lock / Unlock ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะ iPhone X ที่ใส่เคสฝาพับ Leather Folio เท่านั้น ยังไม่มีการทดสอบกับเคสฝาพับแม่เหล็กรุ่นอื่น
ที่มา – EverythingApplePro
The post ตั้งค่า Lock / Unlock หน้าจอ iPhone X ได้เมื่อใส่เคสฝาพับ Leather Folio (iOS 11.4 beta 2) appeared first on iPhoneMod.
“แมลงสาบ” เป็นสัตว์อีกชนิดที่หลายๆ คนหวาดกลัว และไม่อยากมองเห็นมันไม่ว่าจะตรงไหนก็ตาม Kincho หนึ่งในผู้นำตลาดยาฆ่าแมลงของญี่ปุ่นจึงออกบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่ไร้รูปแมลงสาบ และสัตว์ชนิดอื่นๆ มากวนใจ
สเปรย์ฆ่าแมลงสาบ Kincho ไร้สิ่งสกปรกมารบกวนสายตาเวลาใช้งานปกติแล้วขวดสเปรย์ฆ่าแมลงจะมีรูปแมลงที่เราๆ ไม่ชอบอยู่เสมอ ไล่ตั้งแต่แมลงสาบ, มด และยุง แต่นั่นก็เพื่อสร้างจุดเด่นให้ผลิตภัณฑ์เวลาไปวางขายตามหน้าร้านต่างๆ เพราะถ้าไม่มีรูปพวกนี้ ผู้บริโภคก็คงงงว่าสินค้าตัวนี้คืออะไร แล้วก็คงเพิกเฉยกับสินค้าแบรนด์นั้น เพื่อที่จะไปเลือกแบรนด์อื่น
แต่พวกสติ๊กเกอร์ หรือสกรีนรูปสัตว์เหล่านั้นจะหมดประโยชน์ในทันทีเมื่อผู้ซื้อนำสินค้าตัวนั้นกลับบ้านแล้ว เพราะแค่รูปลักษณ์ของกระป๋องก็รู้อยู่แล้วว่าเอาไว้ฉีดฆ่าแมลง (โดยเฉพาะบริเวณหัวสเปรย์) ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ถ้านำรูปสัตว์เหล่านั้นออก และเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นแบบใหม่ได้
ซึ่งตอนนี้ Kincho หนึ่งในแบรนด์ยาฆ่าแมลงชั้นนำของญี่ปุ่นได้ทำขึ้นมาแล้ว โดยชูจุดเด่นเรื่องผู้ซื้อสามารถลอกสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์ออกมาได้อย่างง่ายดาย และเมื่อลอกออกมาแล้วก็จะไม่มีรูปยุง, มด และแมลงสาบให้เห็นอีกต่อไป โดยเหลือเพียงกระป๋องสีขาวขุ่นที่มีดีไซน์เรียบง่าย
แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ในเรื่องบรรจุภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน เพราะใช้ความเข้าใจถึงกลุ่มคนที่เกลียดสัตว์พวกนี้ ไม่ว่าจะมีชีวิต หรือเป็นแค่รูปภาพก็ตาม และเชื่อว่าแบรนด์อื่นๆ ก็จะทำตามกันมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อมีคนกล้าที่จะแตกต่างรายแรก ก็ต้องมีรายอื่นเข้ามาเพื่อดึงความสนใจเช่นกัน
อ้างอิง // Rocketnews24
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Apple ได้ปล่อยอัปเดต iOS 11.4 Beta 2 สำหรับนักพัฒนาได้อัปเดตกัน เป็นการแก้ปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพจากเวอร์ชันก่อนหน้า
Apple ปล่อย iOS 11.4 Developer Beta 2 สำหรับนักพัฒนาiOS 11.4 Beta 2 มาพร้อมกับ Build Number 15F5049c ไฟล์ติดตั้งขนาด 248.5 MB โดยปกติแล้วจะเป็นการอัปเดตแก้ไขปัญหาและปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วไปจากเวอร์ชันก่อนหน้าเป็นหลัก
นักพัฒนาที่ใช้ iOS 11 Beta Software Profile ก่อนหน้านี้สามารถเข้าไปอัปเดตผ่าน OTA ได้เลย หากมีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ทีมงานจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องThe post Apple ปล่อย iOS 11.4 Developer Beta 2 ให้นักพัฒนาได้อัปเดตแล้ว appeared first on iPhoneMod.
ในยุคสมัยที่วงการรถยนต์มุ่งไปยังรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (electric vehicle หรือ EV บางแห่งก็เรียก battery electric vehicle – BEV) ที่ผ่านมา Brand Inside เคยนำเสนอข่าวเกี่ยวกับแผนการรถยนต์ไฟฟ้าของพี่ใหญ่ Toyota มาแล้วหลายครั้ง ท่าทีของผู้บริหารโตโยต้าทั้งในต่างประเทศและในไทย ก็ไม่ได้สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัวมากนัก แต่กลับเชียร์รถยนต์ไฮโดรเจนหรือที่ใช้ fuel cell (fuel-cell vehicle หรือ FCV) มากกว่า
คำถามที่น่าสนใจคือ Toyota คิดอะไรถึงได้มีมุมมองที่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมมาก ตกลงแล้ว Toyota เชื่องช้าไม่ทันโลก หรือว่ามองเกมเด็ดขาดข้ามช็อตอย่างแหลมคมกันแน่ บทความนี้พยายามจะทำความเข้าใจกับแนวคิดดังกล่าว
Toyota มองอนาคตของวงการรถยนต์อย่างไรคำตอบของคำถามว่า Toyota มองอนาคตของตัวเองอย่างไร มีอยู่ในเอกสารรายงานประจำปี (Annual Report) ของปี 2017 ที่เพิ่งออกมาเมื่อเร็วๆ นี้
อนาคตของ Toyota ที่ตัวเองมองเห็น มองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะมุ่งไปใน 3 ทิศทางสำคัญคือ
ถึงแม้ชื่อของเชื้อเพลิงไฮโดรเจนอาจเข้าใจยากไปอยู่บ้าง แต่โดยหลักการแล้ว มันคือรถยนต์พลังไฟฟ้าที่เกิดจากการใช้ไฮโดรเจนเหลว ผสมกับออกซิเจนในอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ขับเคลื่อนมอเตอร์นั่นเอง (ในขณะที่ “รถยนต์ไฟฟ้า” ที่รู้จักกันทั่วไปนั้น นำพลังไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่)
หลักการทำงานของรถยนต์พลังไฮโดรเจนส่วนของเสียที่ได้จากรถยนต์พลังไฮโดรเจนจะมีเพียง “น้ำ” จากการผสมกันของออกซิเจนกับไฮโดรเจน (H2O) เมื่อได้พลังไฟฟ้าไปใช้ก็จะทิ้ง “น้ำ” ที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมออกมา ต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันที่จะมีก๊าซ CO2 ออกสู่อากาศ
ภาพจาก Toyota ทางเลือกมีหลากหลาย แต่ Toyota มองไฮโดรเจนมีข้อดีเหนือกว่าไฟฟ้าในประเด็นเรื่องเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ Toyota มองว่าเครื่องยนต์แบบเดิมที่ใช้น้ำมัน ยังสามารถพัฒนาต่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้อีกระยะเวลาหนึ่ง แต่บริษัทก็พยายามมองหาทางเลือกของเครื่องยนต์แบบใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือ รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลงไฮโดรเจน (FCV) โดยมีทางเลือกลูกผสมอย่างรถยนต์ไฟฟ้า-ไฮบริด (plug-in hybrid vehicle หรือ PHV) มาสอดแทรก
แนวทางเลือกพัฒนาเครื่องยนต์และเชื้อเพลิงในอนาคตของ Toyotaแต่จากมุมมองของ Toyota กลับมองว่า รถยนต์พลังไฮโดรเจนมีคุณสมบัติดีกว่ารถยนต์ไฟฟ้า ทั้งคู่เป็นรถยนต์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน แต่รถยนต์ไฮโดรเจน (FCV) เหนือกว่าทั้งในแง่ระยะทางที่ขับขี่ได้ต่อการเติมเชื้อเพลิง 1 ครั้ง (cruising range) และระยะเวลาที่ใช้เติมเชื้อเพลิง/ชาร์จไฟ (refueling/recharging time) ส่วนโครงสร้างพื้นฐานในการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจน/ชาร์จไฟ ทั้งคู่ยังถือว่าอ่อนแอในระดับใกล้ๆ กัน
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติรถยนต์ในอนาคตของ Toyotaภาพอนาคตของ Toyota จึงแบ่งรถยนต์ออกเป็น 3 กลุ่มตามประเภทการใช้งาน โดยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง จะใช้กับรถยนต์ขนาดเล็กที่วิ่งในระยะสั้น ส่วนรถยนต์ไฮโดรเจน (FCV) ใช้กับรถยนต์ขนาดใหญ่ที่วิ่งระยะไกลๆ เช่น รถบรรทุก
สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ปัจจุบันใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ก็จะถูกทดแทนด้วยรถยนต์ไฮบริด ทั้งแบบไฮบริดที่เก็บสะสมพลังงานจากมอเตอร์ (HV แบบดั้งเดิม) และไฮบริดแบบเสียบไฟชาร์จ (PHV)
คุณสมบัติและกลุ่มเป้าหมายของรถยนต์แต่ละแบบในอนาคตของ Toyota แผนการรถยนต์ในอนาคตของ Toyotaกล่าวโดยสรุปแล้ว มุมมองของ Toyota คือเตรียมความพร้อมไว้ทุกทาง โดยจะทำทั้งรถยนต์พลังไฟฟ้า และพลังไฮโดรเจน แต่บริษัทประเมินว่าการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์น้ำมันไปสู่ไฟฟ้าจะ “ไม่เร็ว” ดังที่หลายคนคาด อีกทั้งกระแสตื่นตัวในรถยนต์ไฟฟ้าของคู่แข่ง จะทำให้เกิดการแย่งชิงแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ แบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออน ยังเป็นอันตรายได้ง่าย Toyota จึงมองไปยังแบตเตอรี่แบบใหม่ที่เรียกว่า solid-state battery ที่ปลอดภัยกว่า และกำลังวิจัยเทคโนโลยีนี้อยู่ภายในบริษัท
Mirai ความหวังของรถยนต์ไฮโดรเจน ที่ยังจุดไม่ติด ยอดขายรวมกันแค่หลักพันเมื่อมุมมองของ Toyota คือไฮโดรเจนเป็นอนาคตที่ดีกว่า บริษัทจึงพยายามผลักดันรถยนต์ไฮโดรเจนอย่างหนัก โดยมีรถยนต์รุ่น Mirai (ภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “อนาคต”)
Mirai เปิดตัวครั้งแรกในฐานะรถยนต์ต้นแบบมาตั้งแต่ปี 2011 และเริ่มผลิตรถยนต์รุ่นขายจริงในปี 2014 ก่อนจะวางขายจริงในปี 2015 มันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง
ปัญหาสำคัญของ Mirai คงอยู่ที่สถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนยังมีจำกัดมาก ทำให้ Toyota ยังทำตลาด Mirai ได้เฉพาะบางประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา (เฉพาะแคลิฟอร์เนียเป็นหลัก) แม้ Toyota มีแผนร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศต่างๆ ขยายสถานีเติมไฮโดรเจนในระยะยาว แต่มาถึงวันนี้ก็ยังมีความคืบหน้าน้อยมาก
ตัวเลขยอดขายของ Mirai นับจนถึงสิ้นปี 2017 จึงมีเพียง 5,300 คันทั่วโลก โดยอยู่ในสหรัฐประมาณ 2,900 คัน และญี่ปุ่นอีก 2,100 คันเท่านั้น แม้จะวางขายมานาน 3 ปีแล้วก็ตาม เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฮบริดที่เป็นหัวหอกของบริษัทอย่าง Prius กลับทำยอดขายรวมได้ถึง 4.1 ล้านคันเข้าไปแล้ว (สถิติจาก Toyota)
อนาคตของ Mirai ในตอนนี้ต้องบอกว่าไม่สดใสนัก เพราะหากแผนการผลักดันสถานีเติมเชื้อเพลิงล้มเหลว การดันยอดขายรถยนต์ก็ทำได้ยาก แถมในวงการรถยนต์ก็แทบไม่มีบริษัทอื่นสนใจทำรถไฮโดรเจนมากนัก คู่แข่งในตลาดมีเพียงไม่กี่รุ่น ได้แก่ Honda Clarity Fuel Cell และ Hyundai Tucson/Nexo เท่านั้น เรียกได้ว่าบริษัทฝั่งอเมริกัน-ยุโรป ไม่มีรายไหนสนใจผลักดัน FCV เลย การจะหาแนวร่วมช่วยกันขยายสถานีจึงยากมาก
แผนการ EV ของ Toyota: ทำ เลิกทำ แล้วกลับมาทำใหม่มุมมองของ Toyota ต่อรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่คือ ทำไว้เช่นกัน แต่ให้ความสำคัญรองจากไฮโดรเจน
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แผนการช่วงแรกของ Toyota คือจับมือเป็นพันธมิตรกับ Tesla ของ Elon Musk ที่เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ ถึงขั้นเคยมีหุ้น 3% ใน Tesla รวมถึงเคยออกรถยนต์ SUV รุ่น RAV4 ที่ Tesla เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้
แต่ในปี 2016 Toyota กลับถอนตัวจากข้อตกลงพันธมิตรครั้งนั้น และขายหุ้นของตัวเองใน Tesla ออกทั้งหมด โดยประกาศว่าจะหันมาพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองแทน 100% แต่จากนั้นข่าวคราวของรถยนต์พลังแบตเตอรี่ของ Toyota ก็เงียบหายไปพักใหญ่ๆ
จากนั้นในปี 2017 Toyota ก็กลับมาลุยเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าใหม่อีกครั้ง โดยประกาศร่วมมือกับคู่แข่งร่วมชาติ Mazda เพื่อพัฒนาโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน (หลายคนมองว่าเป็นการจับมือของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่ล้าหลังในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคู่) และข้อตกลงล่าสุดเมื่อปลายปี ในการร่วมมือกับ Panasonic บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของโลก และเป็นผู้จัดหาแบตเตอรี่ให้ Tesla ด้วย
Toyota iQ EV หรืออีกชื่อคือ Toyota eQ
อย่างไรก็ตาม มาถึงตอนนี้ปี 2018 Toyota ยังไม่มีรถยนต์ที่เป็นแบตเตอรี่ 100% (All-Electric) ออกวางขายทั่วไป มีเพียงรถยนต์ขนาดเล็ก iQ EV (ในญี่ปุ่นเรียก Toyota eQ) ที่เป็นรถต้นแบบ และมียอดขายน้อยมากเพียงหลักสิบคันเท่านั้น
ดังนั้นกว่าเราจะได้เห็น Toyota EV รุ่นสมบูรณ์คงต้องรอกันอีกพักใหญ่ๆ (แผนการที่ประกาศไว้คือออก EV 10 รุ่นภายในปี 2020) ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Nissan Leaf นำหน้าไปไกล ทำยอดขายได้เกิน 300,000 คันทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว
แผนการของ Toyota ในระยะสั้นคงหนีไม่พ้นการดันรถยนต์ไฮบริดที่ตัวเองเชี่ยวชาญ (จากความสำเร็จของ Prius และไฮบริดหลายๆ รุ่น) มาทำตลาดไปพลางๆ ก่อนในช่วงที่ตัวเองกำลังปรับทัพเรื่อง EV
ระยะสั้นไม่กระทบธุรกิจ แต่ระยะยาวน่าเป็นห่วงทิศทางการพัฒนารถยนต์ในอนาคตของ Toyota อาจสรุปได้ว่าไปไม่สุดสักทาง เพราะเส้นทางสายไฮโดรเจน (FCV) ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า ส่วนรถยนต์แบตเตอรี่ (EV) ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และกลับมาเริ่มต้นใหม่โดยช้ากว่าคู่แข่งไปหลายปี
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตระยะอันใกล้ที่ FCV/EV ยังมาไม่ถึง และโลกยังต้องอยู่กับเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมต่อไปอีกสักพัก ธุรกิจของ Toyota ก็จะยังดูไม่กระทบอะไรมากนัก โดย Toyota ยังมีระบบการผลิตที่ทรงประสิทธิภาพ และแผนการล่าสุดคือ แพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) โครงสร้างพื้นฐานการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ที่เริ่มใช้ในปี 2015 โดยรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่าง C-HR รวมถึง Lexus/Camry จะทยอยมาพัฒนาบนโครงสร้าง TNGA ตัวนี้ทั้งหมด เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากชิ้นส่วนที่แชร์ร่วมกันได้ น่าจะช่วยให้ Toyota ยังมีอัตรากำไรดีไปอีกระยะหนึ่ง
แต่ในอนาคตระยะไกลที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการรถยนต์ ทิศทางของ Toyota ที่ยังไม่ชัดเจน ก็ถือว่าน่าเป็นห่วงมิใช่น้อย ว่าสุดท้ายแล้ว Toyota จะสามารถเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมในรอบนี้ได้มากแค่ไหน
แผนการ 3 ขาของ Toyota – ปรับปรุงการผลิต, TNGA และโครงการไฮเทคเพื่ออนาคต – ที่มา Toyotaติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ชิปประมวลผล S-Master รหัส CXD9730 ที่จะเขียนถึงในบทความตอนนี้
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับวงจรขยาย Class-D และวงจรขยาย S-Master รุ่นแรกกันแล้ว ในบทความตอนที่ 2 นี้ เราก็จะมาทำความรู้จักกับวงจร S-Master รุ่นถัดมาอย่าง Digital Drive และ S-Master Pro ครับ
ก่อนหน้านี้เราเคยได้ รีวิว iRobot Roomba 890 ไปแล้ว และก็ถึงเวลารีวิวหุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติ iRobot Braava Jet 240 ซึ่งก็จริงอยู่ว่าในตลาดมีหุ่นยนต์แบบ 2-in-1 อยู่มากมาย แต่เชื่อเถอะว่าคุณสมบัติการทำงานจริงต่างกันราวกับฟ้าเหวแน่นอน เพราะการถูพื้นนั้นมีอะไรมากกว่าการเอาผ้าเปียกลากไปตามพื้น
iRobot Braava Jet 240 iRobot Braava Jet 240สำหรับหุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติรุ่น Braava Jet 240 ในรีวิวนี้มีราคาอยู่ที่ 12,900 บาท สามารถสั่งซื้อได้ผ่านตัวแทนจำหน่าย Com7 (Studio7) และหากใครอยากสัมผัสตัวจริงว่ามันทำงานอย่างไร หรือเช็คโปรโมชั่นและบัตรเครดิตในแต่ละเดือน ก็ลองไปดูกันได้ที่หน้าร้านอีกทีครับ
หุ่นยนต์ถูพื้นเป็นอะไรที่มากกว่าการลากผ้าเปียกไปตามทาง
iRobot เป็นแบรนด์หุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านอัตโนมัติ นวัตกรรมทำความสะอาดบ้านอัจฉริยะจากสหรัฐอเมริกาที่คิดค้นโดยกลุ่มนักพัฒนาหุ่นยนต์จาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถใช้งานได้จริงมากมาย ถูกใช้ในกองทัพสหรัฐฯ และนาซ่า
ในตลาดบ้านเราอาจเห็นหุ่นยนต์หน้าใหม่จากจีนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติรวมแบบ 2-in-1 ทั้งดูดฝุ่นและถูพื้นในตัวเดียว แต่ประสิทธิการทำงานนั้นยังห่างชั้นกับ iRobot เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฉลาดในการทำงาน หรือแม้กระทั่งประสิทธิภาพของมอเตอร์ ขั้นตอนการออกแบบ ฯลฯ
ตัวหุ่นยนต์ถูกออกแบบมาเหมือนงานถูพื้นโดยเฉพาะ (รุ่นนี้ไม่มีดูดฝุ่นและกวาดพื้น) อย่างที่เรากล่าวขั้นต้นว่าการถูพื้นเป็นอะไรที่มากกว่าการลากผ้าเปียกไปมา และบริษัทหุ่นยนต์ระดับโลกอย่าง iRobot คิดค้นมาแล้วว่าการถูที่สะอาดจำเป็นต้อง “ขัด” จึงมีการใส่มอเตอร์สั่นขยับไปมาระหว่างถูพื้นด้วย ช่วยให้คราบสกปรกบนพื้นหลุดออก
อุปกรณ์ภายในกล่องภายในกล่องมาพร้อมกับหุ่นยนต์ขนาดเล็ก ด้วยขนาดของหุ่นยนต์: 17 x 17.7 x 8.3 เซนติเมตร และน้ำหนักเพียง 1.9 กิโลกรัม ส่วนการรับประกันทั้งตัวหุ่นยนต์และแบตเตอรี่อยู่ที่ 1 ปี
แผ่นถูพื้นเพื่อความสะอาดจึงเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ตรงที่หลายคนอาจกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย และหากใครอยากได้ ผ้าถูพื้นแบบซักได้ ก็มีขายแยกเช่นกันครับ แต่ส่วนตัวแนะนำแบบใช้แล้วทิ้งดีกว่า
และเนื่องจาก iRobot เป็นบริษัทระดับโลก เรื่องอะไหล่เลยไม่ต้องกังวลครับ อะไหล่ Braava Jet มีขายตั้งแต่แบตเตอรี่ไปจนถึงฟิลเตอร์กรองน้ำ ส่วนแผ่นถูพื้นขายกล่องละ 10 แผ่น ราคาเริ่มต้น 350 บาท
ตัวเครื่องมีขนาดเล็กสามารถเข้าถึงซอกใต้เตียงและตู้ได้เป็นอย่างดี ออกแบบมาเหมาะสำหรับห้องขนาด 25 ตารางเมตร (คอนโดหรือห้องนอน) สามารถจดจำสิ่งกีดขวางในเส้นทางการทำงาน แล้วลดความเร็วเพื่อการทำความสะอาดรอบเฟอร์นิเจอร์ ผนังห้องและอุปกรณ์ติดตั้งต่าง ๆ
ด้านล่างของเครื่องจะเป็นที่ใส่แผ่นทำความสะอาด แล้วก็มีระบบตรวจสอบพื้นที่ต่างระดับ Cliff Detect ช่วยป้องกันตกจากบันไดหรือที่สูง และนอกจากนี้ตัวหุ่นยนต์เองยังมีระบบหลีกเลี่ยงการไต่ขึ้นไปบนพรมเช็ดเท้าให้ด้วย (คงไม่มีใครถูพรมเช็ดเท้ากันหรอกจริงไหม ?)
แผ่นทำความสะอาดสามารถใส่ได้ง่ายมากกกกก ดันเข้าไปลงล็อคเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ส่วนแผ่นทำความสะอาดจะมีทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งมีคุณสมบัติ (และราคา) ที่แตกต่างกันดังนี้
และตัวหุ่นยนต์เองก็มีความฉลาดมากพอที่จะแยกแผ่นถูพื้นแต่ละชนิด โดยที่เราไม่ต้องตั้งโปรแกรมอะไรเลย เพียงแค่สลับแผ่นเข้าไปเครื่องก็จะรูว่าเราต้องการที่จะถูแบบไหน
พลิกกลับมาด้านบนของเครื่องจะมีช่องสำหรับเติมน้ำเพื่อถูพื้น และที่สำคัญไม่ใช่ช่องธรรมดานะครับ ตรงนี้มีฟิลเตอร์กรองให้ด้วย เพื่อที่ว่าเราจะได้น้ำที่สะอาดจริง ๆ ในการถูพื้น ผู้ผลิตค่อนข้างใส่ใจเลยทีเดียว (เป็นบ้านเราก็ใช้น้ำประปาธรรมดาเนี่ยแหล่ะ) ส่วนอีกฝั่งเป็นสวิตซ์สำหรับปลดแผ่นถูพื้น เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องจับแผ่นถูพื้นที่สกปรกให้เลอะมือ กดแล้วสามารถทิ้งลงถังได้เลย
ส่วนแบตเตอรี่ก็สามารถแกะออกไปใส่แท่นชาร์จ และเมื่อชาร์จเต็มแล้วก็เอามาประกบติดหลังเครื่องได้เลย อันนี้น่าสนใจตรงที่หากใช้ไปหลายปีแล้วแบตเตอรี่เสื่อม เราก็สามารถซื้อแบตเตอรี่ก้อนใหม่มาเปลี่ยนโดยที่ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
เมื่อเติมน้ำเสร็จทุกอย่างแล้วก็เปิดเครื่องพร้อมใช้งาน อันนี้ค่อนข้างง่ายเพราะมีแค่ปุ่มเดียว
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้อะไรควบคุมก็ได้ แต่หากใครอยากได้ละเอียดขึ้นมาหน่อยก็สามารถควบคุมได้ผ่านแอปพลิเคชัน iRobot HOME แต่อันนี้จะไม่เป็นแนวควบคุมการทำงาน เพราะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เอาไว้ดูได้แค่แบตเตอรี่ กับสั่งการทำงานถูเฉพาะจุด แล้วก็เปิดหรือปิดการทำงานของ Virtual Wall (ถ้ามี)
การถูพื้นแบบเปียกเหมาะกับการถูพื้นทั่วไปตามบ้านของเรา ใช้ได้กับพื้นทุกประเภท ความเปียกอยู่ในระดับกำลังพอดีไม่มากจนเกินไป ทิ้งไว้สักนาทีพื้นก็แห้ง ส่วนการถูแบบหมาดจะเหมาะกับพื้นไม้หรือปาเก้ที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ (แผ่นถูก็จะเป็นอีกแบบ) ส่วนการถูแบบแห้งเหมาะสำหรับทำความสะอาดเส้นผมหรือขนสัตว์เลี้ยง
ใช้งานจริงการใช้งานความรู้สึกคือ “ไม่ต้องทำอะไรเลย” เปิดเครื่องแล้วก็รอการทำงานเสร็จสิ้นเป็นอันจบ ตัวหุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติจะค่อย ๆ ทำงานด้วยการขยับสั่นผ้าถูพื้น จากนั้นจะวิ่งไปข้างหน้าสัก 2-3 นิ้ว พอเช็คว่าไม่ชนเฟอร์นิเจอร์หรือกำแพงแล้วค่อยพ่นน้ำออกมา จากนั้นก็วิ่งไปถูซ้ำวนที่เก่า จะนั้นถ้าเช็คว่าเจอขาเฟอร์นิเจอร์ก็จะเช็ดวนรอบ ๆ ทำความสะอาดแบบนี้จนครบห้องและปิดการทำงานเอง
แผ่นบนเป็นสภาพที่ยังไม่ใช้งาน ส่วนแผ่นล่างหลังจากใช้งานไปได้ประมาณ 15 นาที จากสภาพพื้นที่สะอาดปกติ แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพการถูของ iRobot Braava Jet 240 ก็พึ่งพาได้อยู่เหมือนกัน เดินแล้วรู้สึกพื้นสะอาดขึ้นไม่สากเท้า แถมไม่ต้องเปลืองแรงถูพื้นเองก็ได้อยู่ครับ
สรุปการใช้งานโดยรวมน่าพอใจ หุ่นยนต์มีขนาดเล็กและใช้งานง่าย ผู้ใช้แทบไม่ต้องทำอะไรเลยยกเว้นการเติมน้ำและชาร์จแบตเตอรี่ หากคุณมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอยู่แล้วเพิ่มหุ่นยนต์ถูพื้นไปอีกสักเครื่อง ก็จะเป็นการทำงานที่สมบูรณ์แบบครับ ส่วนเรื่องอะไหล่ระยะยาวก็ไม่ต้องกังวลเหมือนแบรนด์จีน เพราะขนาดแบตเตอรี่ผู้ใช้งานก็ยังเปลี่ยนเองได้
ส่วนหากใครสนใจหุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติ iRobot Braava Jet 240 หรือรุ่นอื่น ๆ สามารถไปลอง ไปสัมผัสตัวจริงกันได้ที่ Studio7 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ
The post รีวิว iRobot Braava Jet 240 หุ่นยนต์ถูพื้นอัตโนมัติ เปียก-หมาด-แห้ง appeared first on iPhoneMod.
หลังจากที่แอปเปิลปล่อย watchOS 4.3.1 Beta ให้นักพัฒนาได้ใช้กัน ล่าสุดได้มีนักพัฒนาได้ไปเจอโค้ดบางอย่างบน NanoTimeKit ซึ่งอาจคิดไปได้ว่าแอปเปิลเตรียมเปิดให้นักพัฒนา Watch face (หน้าปัดนาฬิกา) บน Apple Watch เพื่อวางจำหน่ายใน watchOS เวอร์ชันถัด ๆ ไป
สำหรับ watchOS เวอร์ชันปัจจุบัน ตอนนี้แอปเปิลยังไม่อนุญาตให้นักพัฒนาทำหน้าปัดนาฬิกามาใช้บน Apple Watch เอง จะต้องใช้หน้าปัดของแอปเปิลที่มีไว้ให้ในเครื่องเท่านั้น ซึ่งในอนาคตถ้าแอปเปิลเปิดให้รองรับหน้าปัดนาฬิกาแบบ 3rd party จริง ถึงว่าเป็นเรื่องดีแก่ผู้ใช้มาก เพราะจะทำให้เรามีหน้าปัดให้เลือกมากกว่าเดิมมาก และจะไม่จำเจอีกต่อไป
ส่วนฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ คาดว่าแอปเปิลน่าจะใส่มาให้พร้อมกับ watchOS 5 ที่จะเปิดตัวในงาน WWDC 2018 ที่จะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ต้องมาคอยดูกันว่า แอปเปิลจะมีฟีเจอร์อะไรมาโชว์ภายในงานบ้าง แล้วจะทำให้สาวกต้องร้องว้าวหรือไม่ ?
ที่มา – 9to5Mac
The post พบเบาะแสบน watchOS 4.3.1 !! Apple เตรียมรองรับหน้าปัด Apple Watch แบบ 3rd Party appeared first on Macthai.com.
Apple ได้เปิดขาย iPad 9.7 นิ้ว 2018 รุ่นใหม่แล้ว เราได้รวบรวมภาพพื้นหลังจาก iPad รุ่นใหม่นี้มาให้ดาวน์โหลดใช้กันใน iPhone
ภาพพื้นหลัง (Wallpaper) จาก iPad 9.7 นิ้ว 2018 สำหรับ iPhoneแตะที่ลิงก์ “iPhone”, “iPhone X” เพื่อดาวน์โหลด และ Save ภาพจากลิงก์ที่เปิด (เปิดใน Safari จะดีที่สุด) จะได้ความละเอียดสูงสุด หาก Save จากโพสต์นี้เลยภาพจะไม่ค่อยคมชัด
ขอบคุณภาพพื้นหลังสวยๆ จาก – idownloadblog
The post แจกภาพพื้นหลัง (Wallpaper) จาก iPad 9.7 นิ้ว 2018 สำหรับ iPhone appeared first on iPhoneMod.
เชื่อว่าหลายๆ คนตอนสมัคร Apple ID นั้นจะใช้อีเมลเก่าหรือว่าเป็นอีเมลที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเป็นหลักแล้วก็เกิดปัญหาว่าหากอีเมลนั้นไม่ได้ใช้บ่อยๆ ถ้าหากต้องการเปลี่ยนอีเมลของ Apple ID ให้เป็นตัวใหม่ถามว่าได้ไหม? ตอบเลยว่าได้ครับ เช่น Apple ID เดิมใช้ของ abc@hotmail.com แล้วต้องการเปลี่ยนเป็น xyz@gmail.com สามารถทำได้ โดยที่ประวัติการซื้อแอป เพลง หรือหนังจาก iTunes นั้นไม่หายไปไหน ชมวิธีการตามนี้ได้เลยครับ
วิธีเปลี่ยนอีเมล Apple ID จาก hotmail เป็น gmail หรืออีเมลอื่นๆ ที่ต้องการโดยรายการซื้อไม่หายขั้นที่ 1 เข้าไปที่ https://appleid.apple.com/ ผ่าน Safari บน iPhone, iPad หรือผ่านคอมพิวเตอร์, กรอก Apple ID และรหัสผ่าน เพื่อเข้าระบบ
ขั้นที่ 2 เลือก Account> Change Apple ID…
ขั้นที่ 3 ใส่อีเมลใหม่ที่ต้องการ จากนั้นเข้าไปเช็คอีเมลเพื่อนำรหัส 6 ตัวมากรอกในช่อง เพื่อยืนยันอีเมลใหม่
ขั้นที่ 4 เพียงเท่านี้เราก็จะได้อีเมลใหม่สำหรับ Apple ID แล้ว ส่วนรหัสผ่านก็ยังคงใช้ตัวเดิม พวกรายการซื้อแอป ซื้อเพลง ซื้อหนัง ฯลฯ จาก Apple ก็ยังคงอยู่
ข้อมูลเพิ่มเติม
The post วิธีเปลี่ยนอีเมล Apple ID จาก Hotmail เป็น Gmail หรืออีเมลอื่นๆ ที่ต้องการโดยรายการซื้อไม่หาย appeared first on iPhoneMod.
Tesla นั้นยังคงอยู่ในช่วงระส่ำระสายหลังจากที่ถูกบริษัทปรับลดเครดิต รวมถึงนักวิเคราะห์คาดว่าน่าจะต้องเพิ่มทุนอีก ทำให้หุ้นตกหนักมาก (อ่านบทวิเคราะห์จาก Brand Inside) ล่าสุดซีอีโอ Elon Musk ออกมายืนยันว่า Tesla จะมีกำไรภายในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปีนี้ และไม่ต้องเพิ่มทุนด้วย
Musk กล่าวตอบโต้ The Economist ที่รายงานว่า Tesla อาจจะต้องเพิ่มทุน 2.5-3 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยยืนยันว่า Tesla จะมีกำไร และมีกระแสเงินสดหรือ cash flow เป็นบวกภายในไตรมาสที่สามหรือสี่ของปีนี้ ดังนั้น Tesla จึงไม่ต้องการเพิ่มทุนใด ๆ
การยืนยันของซีอีโอนั้น ก็หมายความว่าตัวเขาเองก็มั่นใจอย่างมากว่า Tesla จะผลิตรถยนต์ Model 3 ได้เยอะขึ้นจากเดิม เพราะปัจจุบัน Model 3 สามารถผลิตได้น้อยมาก ซึ่งทำให้ซีอีโอต้องถึงขั้นไปนอนที่โรงงานเพื่อดูแลปัญหาการผลิต Model 3 เลยทีเดียว
Musk เผยว่าปัญหาการผลิต Model 3 คือการใช้ระบบอัตโนมัติมาผลิตรถยนต์ในขั้นตอนประกอบสุดท้ายมากกว่าการผลิตรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ทำให้มีปัญหาเรื่องความซับซ้อนที่สูงมาก ส่งผลให้การผลิตล่าช้า ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นปัญหาของตัวเขาเองที่ประเมินมนุษย์ต่ำไป (underrated)
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จาก Thomson Reuters มองว่า กระแสเงินสดของ Tesla นั้นจะยังคงเป็นลบไปจนถึงปี 2019 เนื่องจากการลงทุนหนักของบริษัท มีนักวิเคราะห์เพียง 1 ใน 19 คนเท่านั้นที่มีมุมมองเป็นบวกต่อ Tesla ว่าจะมีกำไรต่อหุ้นเป็นบวกในช่วงไตรมาสสามและจะเพิ่มขึ้นอีกในไตรมาสสี่ปีนี้
ส่วน Bloomberg ก็เคยออกประมาณการว่า ทุกวันนี้ Tesla น่าจะผลิต Model 3 ได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 1,190 คันเท่านั้น
Musk ยืนยันกับ CBS ว่า ปัจจุบัน Tesla สามารถผลิตรถยนต์ Model 3 ได้ 2,000 คันต่อสัปดาห์แล้ว แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักก็ยังสงสัยในความสามารถของ Tesla ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ Model 3 ให้ได้ระดับ 5,000 คันต่อสัปดาห์ภายใน 3 เดือนจะเป็นไปได้หรือไม่
นอกจากเรื่องปัญหาการผลิต Model 3 แล้ว ก็ยังมีเรื่องอุบัติเหตุ Tesla Model X ที่พุ่งชนแนวกั้นจนผู้ขับรถเสียชีวิต ทำให้ตัวแทนบริษัทถูกเรียกตัวและทำให้บริษัอาจต้องทำการบ้านเรื่องความเชื่อมั่นของรถยนต์ที่ผลิตต่อไปด้วย
ภาพจาก Shutterstock สรุปTesla แม้จะยังคงระส่ำระสายจากปัญหาการผลิต Model 3 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ Tesla ขาดทุนหนัก แต่จากความมั่นใจของซีอีโอที่เข้าไปแก้ปัญหาอย่างจริงจังน่าจะช่วยให้ปัญหาการผลิต Model 3 ทุกวันนี้ดีขึ้น ซึ่งก็ต้องรอดูผลต่อไปว่า Tesla จะสามารถผลิตรถยนต์ในปริมาณที่มากขึ้นจนทำให้บริษัทมีกำไรได้หรือไม่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
เทรนด์ใหม่นี้ถือว่ากำลังน่าสนใจที่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก เพราะว่าร้านกาแฟกำลังเริ่มนิยมนำนมข้าวโอ๊ตของบริษัทจากสวีเดนมาใช้แทนนมสด ซึ่งมีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก
ภาพจาก Shutterstockโดยบริษัทผู้ผลิตนมข้าวโอ๊ตที่กำลังโด่งดังในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีชื่อว่า Oatly เป็นบริษัทที่เริ่มมาจากการวิจัยข้าวโอ๊ตที่มหาวิทยาลัย Lund ช่วงปี 1993 ซึ่งได้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากนมข้าวโอ๊ตทั่วๆ ไป
ปัญหาโลกแตกก่อนหน้าที่ Oatly จะฮิตทั่วร้านกาแฟในสหรัฐ ก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่คล้ายนม (เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ ฯลฯ) ทดแทนนมสดให้สำหรับลูกค้าที่รักสุขภาพ
แต่ปัญหาคือบางครั้งก็จะเหม็นธัญพืช บางคนไม่ชอบกลิ่น เช่น กลิ่นของถั่วเหลือง หรือปัญหาอีกเรื่องคือการนำมาอุ่นก่อนทำลาเต้ บางทีก็ไม่ขึ้นรูปเท่าที่ควร ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้รับความนิยมเวลามาทำกาแฟ
แตกต่างกับ Oatly ซึ่งได้แก้ปัญหาทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ได้รับความนิยมจากร้านกาแฟ
ส่งให้ร้านกาแฟลองใช้ก่อนปัจจัยที่ทำให้ร้านกาแฟในสหรัฐกำลังนิยมนมข้าวโอ๊ตยี่ห้อนี้ คือมีนมข้าวโอ๊ตที่ไว้สำหรับบาริสต้าทำกาแฟโดยเฉพาะ และการทำการตลาดได้เบสิคสุดๆ แต่ได้ผลอย่างยิ่งคือ การส่งผลิตภัณฑ์ไปให้ร้านกาแฟทดลองใช้
ล่าสุดผลิตภัณฑ์ของ Oatly นั้นฮิตตามร้านกาแฟในสหรัฐอเมริกาจนต้องเพิ่มการผลิต เริ่มต้นจากเข้าสู่สหรัฐในปี 2016 ทาง Oatly ส่งให้ร้านเพียงแค่ 10 ร้านในสหรัฐ ณ ปัจจุบันมีร้านกว่า 1,000 ร้านที่ใช้นมข้าวโอ๊ตของ Oatly ซึ่งล่าสุดซัพพลายเออร์เริ่มบอกร้านกาแฟว่าต้องเริ่มสั่งจองล่วงหน้า เพราะว่าผลิตไม่ทัน
บาริสต้าก็ชอบ ลูกค้าก็ยอมจ่ายบาริสต้าอย่าง Micah Lindsey ได้กล่าวว่า Oatly รสชาตินั้นดีมากเวลานำมาทำลาเต้ และข้อดีคือเรื่องของการทำลาเต้อาร์ต ซึ่งทำง่ายกว่านมทั่วๆ ไป
แต่การใช้นมข้าวโอ๊ตนั้นก็ต้องทำให้ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่มมากกว่าเดิมอยู่ประมาณเฉลี่ยที่ 15-25 บาท แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยอมจ่าย
กำลังกินส่วนแบ่งจากผลิตภัณฑ์นมเรื่อยๆข้อมูลจากบริษัทวิจัย Innova Insight คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์ที่คล้ายนม จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ซึ่งถือว่าเติบโตอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 9,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสัดส่วนนี้กำลังแย่งมูลค่าตลาดจากผลิตภัณฑ์จากนมมาเรื่อยๆ
ส่วน Euromonitor คาดว่าในปีนี้ยอดขายผลิตภัณฑ์นมในสหรัฐจะหดตัวลง 1.2% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่คล้ายนมกลับโตสวนทางกว่า 3% โดยคาดว่าการเติบโตนั้นมากจากการที่ผู้คนเน้นการกินผลิตภัณฑ์ที่คล้ายนมมากขึ้น เพราะว่าเป็นเหมือนการดูแลสุขภาพไปอีกทาง
สรุปเมื่อมีผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาของร้านกาแฟ เช่นการทำลาเต้อาร์ตให้ลูกค้า หรือแม้แต่การที่ลูกค้าไม่ชอบกลิ่นหรือรสชาติแบบธัญพืชมากไป แต่ยังมีรสชาติเหมือนนมสดได้แบบตรงจุดแบบที่ Oatly ทำนั้น ก็กลายเป็นว่าผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมแบบล้นหลามทันที แถมกระแสรักสุขภาพที่มาแรงย่อมทำให้เร่งให้ผลิตภัณฑ์จากสวีเดนเจ้านี้ดังขึ้นไปอีก
ส่วนถ้าท่านไหนสนใจไปลองชิมกาแฟที่ทำจากนมข้าวโอ๊ตเจ้านี้อาจหาชิมได้ใกล้ที่สุดตามร้านกาแฟที่ประเทศเกาหลีใต้ หรือ เกาะฮ่องกง ซึ่งมีการนำนมข้าวโอ๊ตเจ้านี้มาใช้แล้ว หรือว่าจะดูได้จากแผนที่นี้
ที่มา – Bloomberg, Time, New York Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากที่แอปเปิลปล่อย macOS 10.13.4 Beta ให้กับนักพัฒนาทดสอบกัน ซึ่งมีคนพบว่า แอปเปิลได้ประกาศเตือนแอปที่ยังรองรับ 32 bit อยู่ ให้อัปเดตโดยด่วน เพราะแอปเปิลเตรียมจะยกเลิกสนับสนุนแอป 32 bit ทั้งหมดใน macOS เวอร์ชันใหม่แล้ว
โดยกล่องข้อความที่เตือนนี้ระบุว่า “App” is not optimized for your Mac. This app needs to be updated by its developer to improve compatibility. ตามภาพด้านล่าง
สำหรับนโยบายเลิกสนับสนุนแอป 32 bit ที่จริงแล้วแอปเปิลได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว โดยเริ่มจากการปิดไม่รับแอป 32 bit ที่ต้องการจากขายบน Mac App Store ถ้านักพัฒนาคนไหนต้องการนำแอปไปขายบน Mac App Store จะต้องเป็นแอปที่รองรับ 64 bit เท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่แอปเปิลบีบบังคับให้นักพัฒนาอัปเดตแอป 64 bit เนื่องจาก ต้องการให้แอปที่ใช้งานบน Mac เป็นแอปที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และง่ายต่อการจัดการและทำระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ ๆ ของแอปเปิล และจากข่าวนี้ คาดว่าแอปเปิลจะเลิกสนับสนุนแอป 32 bit อย่างเป็นทางการบน macOS 10.14 เวอร์ชันถัดไป ที่จะเปิดตัวในงาน WWDC 2018 ในเดือนมิถุนายนนี้
ที่มา – 9to5Mac
The post Apple เตือนนักพัฒนา จะทำการเลิกสนับสนุนแอป 32 bit บน macOS 10.13.4 appeared first on Macthai.com.
Apple อาจจะมีนโยบายการรับประกันใหม่ สำหรับ Apple Watch ซีรีย์ 2 ที่เปิดเครื่องไม่ติดหรือมีอาการแบตเตอรี่บวม ตามเอกสารจาก Apple ได้เปิดเผยออกมา
จากเอกสารที่ 9to5mac ได้รับเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระบุว่า Apple Watch ซีรีย์ 2 ที่มีปัญหาเปิดเครื่องไม่ติด เนื่องจากอาการแบตเตอรี่บวม คาดว่า Apple อาจจะแก้ปัญหาโดยให้บริการซ่อมแซมอุปกรณ์อย่างเหมาะสม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งครอบคลุม Apple Watch ที่อยู่ภายในระยะเวลา 3 ปีจากวันที่ซื้อครั้งแรก
รุ่นที่ได้รับสิทธิ์การรับประกันนี้ได้แก่ Apple Watch ซีรีย์ 2 ขนาด 42 มม. รวมถึงรุ่น Sport, Edition, Hermè sและ Nike + variants แต่จะต้องได้รับการตรวจสอบก่อนซ่อมแซมอุปกรณ์ นโยบายใหม่นี้
ไม่สามารถใช้กับ Apple Watch รุ่นแรก, ซีรีย์ 1 และ ซีรีย์ 3 หรือรุ่นหน้าจอ 38 มม.ได้ แต่ Apple ก็ได้เขียนเพิ่มเติมว่า Apple Watch ทุกรุ่นที่พบปัญหาจะต้องผ่านการตรวจสอบ visual-mechanic ก่อนเข้ารับบริการ
ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้หลายคนได้โพสต์รูปภาพบนเว็บ Apple Support และเว็บอื่นๆ ถึงกรณีที่แบตเตอรี่ Apple Watch ที่บวมเอง ซึ่ง Apple ก็ได้ให้บริการหรือเปลี่ยนเครื่องตลอดมา โดยทั่วไปแล้วจะครอบคลุมแบตเตอรี่ที่ขยายตัวหลังจากผ่านระยะเวลารับประกัน 1 ปี ซึ่ง Apple Watch รุ่นแรกก็ได้รับปัญหาแบตบวมเช่นเดียวกัน และ Apple ก็ให้ประกัน 3 ปีในการซ่อมแซมอุปกรณ์ จึงคาดว่าการให้บริการรับประกันนี้จะครอบคลุมถึง Apple Watch ซีรีย์ 2 ที่พบปัญหาด้วย
The post Apple อาจจะให้บริการรับประกัน 3 ปี สำหรับ Apple Watch ซีรีย์ 2 กรณีแบตเตอรี่บวม appeared first on iPhoneMod.
นักวิเคราะห์มองว่า Apple อาจปรับราคา iPhone รุ่นเรือธงในปี 2018 ให้มีราคาสูงขึ้น คาดว่าเริ่มต้นที่ 1,100 ดอลลาร์
iPhone เรือธงปี 2018 อาจมีราคาเริ่มต้นที่สูงขึ้นนักวิเคราะห์จาก Business Insider ให้ความเห็นว่า Apple จะใช้ Model ในการขาย iPhone รุ่นเรือธง (รุ่นสเปกดีสุด) ในราคาสูง ถึงแม้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ Apple ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้จาก iPhone ในช่วงราคาจาก 600 – 800 ดอลลาร์ได้มากก็ตาม
นักวิเคราะห์คาดว่า Apple จะใช้โมเดลการขาย iPhone แบบ 3 ส่วน คือ ราคาย่อมเยา, ราคากลาง และราคาสูง เพราะการขาย iPhone รุ่นราคาย่อมเยาจะทำให้ Apple สามารถตั้งราคา iPhone รุ่นสเปกดีสุด ในราคาสูงมากได้
แน่นอนว่าหาก Apple เปิดขาย iPhone รุ่นราคาย่อมเยาและราคาสูงพร้อมๆ กัน ก็จะเป็นตัวเลือกให้ผู้ซื้อ iPhone ที่มองราคาและสเปกเป็นหลัก สามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และกลุ่มที่นิยมสเปกสูงก็จะมีเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
นักวิเคราะห์จาก Business Insider คาดการณ์ว่า iPhone รุ่นเรือธงสเปกสูงในปี 2018 นี้อาจมีราคาเริ่มต้นสูงถึง 1,100 ดอลลาร์ และ iPhone SE จะมีราคาเพียง 300 ดอลลาร์เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ Apple เปิดขาย iPhone X ในราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์ สามารถสร้างยอดขายให้ Apple ได้มากขึ้น แต่จำนวนการขายลดลง ต้องติตดามว่าโมเดลการขายของ Apple ในปี 2018 นี้จะช่วยสร้างยอดขายได้มากกว่า iPhone X หรือไม่
ที่มา – iClarified
The post iPhone รุ่นเรือธงปี 2018 นี้อาจมีราคาเริ่มต้นสูงถึง 1,100 ดอลลาร์ appeared first on iPhoneMod.
ชื่อบริษัท WPP อาจไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่สำหรับคนในแวดวงโฆษณา การตลาดและประชาสัมพันธ์แล้ว WPP คือหนึ่งในบริษัทด้านนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเจ้าของเอเยนซี่ชื่อดังที่คุ้นหูอย่าง Hill & Knowlton, JWT, Ogilvy & Mather, TNS, Young & Rubicam, GroupM, Mediacom, Kantar, Mindshare
WPP ถือเป็นหนึ่งใน Big Four ของโลกในอุตสาหกรรมโฆษณา-การตลาด-พีอาร์ ร่วมกับ Publicis (ฝรั่งเศส), IPG (สหรัฐ) และ Omnicom (สหรัฐ) โดย WPP เป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษเพียงรายเดียว
Sir Martin Sorrell (ภาพจาก LinkedIn)สัปดาห์นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ WPP เมื่อเซอร์มาร์ติน ซอร์เรล (Martin Sorrell) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอวัย 73 ปีของ WPP มีอันต้องลาออกจากตำแหน่ง หลังก่อตั้งบริษัทมานาน 33 ปี (ก่อตั้งในปี 1985) และขยายตัวอย่างยิ่งใหญ่ จนมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 2 แสนคน มีบริษัทในเครือมากถึง 405 บริษัท
ชื่อบริษัท WPP มีที่มาจาก Wire and Plastic Products ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับวงการโฆษณาเลย แต่ Sorrell ไปซื้อบริษัทมาเพื่อใช้เป็นฐานในการไล่ซื้อเอเยนซี่โฆษณาต่างๆ มารวมตัวกัน จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ WPP ของโลกโฆษณา
รายชื่อบริษัททั้งหมดในเครือ WPP ข้อมูล ณ ปี 2016 (ภาพจาก WPP Facebook)สาเหตุที่ Sorrell ต้องลงจากเก้าอี้ซีอีโอ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เขามีข้อครหาเรื่องความประพฤติที่ไม่เหมาะสมเรื่องการใช้เงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม WPP แถลงการณ์ว่าผลการสอบสวนภายในไม่พบว่า Sorrell มีความผิด แต่เขาก็ใช้โอกาสนี้ “เกษียณอายุ” จากงานในบริษัท WPP ที่ทำมานานหลายสิบปี
หลังจากนี้ Roberto Quarta ประธานบอร์ดของ WPP จะรักษาการณ์เป็นซีอีโอชั่วคราว ระหว่างสรรหาตัวซีอีโอคนใหม่มาทำหน้าที่แทน
ไม่ว่า Sorrell จะลงจากเก้าอี้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่และตำนานของวงการโฆษณาโลก
ที่มา – ประกาศจาก WPP, BBC, Fast Company
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ปัจจุบันเกมออนไลน์บนสมาร์ทโฟนก็ถูกพัฒนาให้มีศักยภาพใกล้เคียงกับ PC เข้าไปทุกที แถมตอนนี้ก็มีเกมออนไลน์ที่กำลังจ่อเปิดตัวอีกมากมาย ลองมาชมวิดีโอตัวอย่าง 15 เกมออนไลน์มาใหม่ และที่กำลังจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ บนอุปกรณ์ iOS และ Android กันดูครับ ว่าจะมีเกมไหนโดนใจชาว iPhoneMod กันบ้าง
15 เกมออนไลน์มาใหม่และที่กำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้ บนอุปกรณ์ iOS และ Androidหมายเหตุ: อาจมีบางเกมที่ได้เปิดตัวไปแล้วในบางประเทศและบางเกมที่ยังไม่ได้เปิดตัว ใครที่สนใจเกมไหนเป็นพิเศษก็สามารถเข้าไปติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางหรือเว็บไซต์ของผู้พัฒนาได้โดยตรงเลยครับ
ชมวิดีโอ: รายชื่อเกม:ขอขอบคุณ – Android Gamespot
The post 15 เกมออนไลน์มาใหม่และที่กำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้ บนอุปกรณ์ iOS และ Android appeared first on iPhoneMod.
อากาศร้อนแบบนี้ ใครที่อยู่ว่าง ๆ ก็ต้องมีเกมวิ่งด้วยตัวละครไส้กรอกสุดเฮฮาอย่างเกม Run Sausage Run! ที่เอาไว้เล่นร่วมกับเพื่อนหรือเด็ก ๆ ได้อย่างสนุกสนานเลยละครับ
เกม Run Sausage Run!เกมวิ่งเล่นง่าย ที่คุณต้องเล่นเป็นไส้กรอกแสนอร่อยที่มีลำตัวยาวโครงเครง แตะเพื่อให้ตัวไส้กรอกวิ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ พยายามหลบอุปสรรคต่าง ๆ ภายในห้องครัว เช่น มีดสับ ใบเลื่อย เตาเผา เป็นต้น วิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เกม Run Sausage Run! มีตัวละครไส้กรอกให้สะสมมากมาย รวมถึงตัวละครลับที่คุณต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่ท้าทายเพื่อปลดล็อกมันด้วย และด้วยตัวเกมที่เป็นแนวเฮฮา จึงเหมาะสำหรับเล่นร่วมกันภายในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เป็นอย่างมาก หรือจะเล่นคนเดียวยามว่างก็ใช้ได้เลยครับเกมนี้
วิธีเล่นตัวละครจะวิ่งให้โดยอัตโนมัติ แตะค้างเพื่อวิ่งเร็วขึ้น ปล่อยเพื่อให้วิ่งช้าลง
คุณสมบัติเกม Run Sausage Run!เนื้อที่เกม: 296.9 MB รองรับ iOS 9.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone, iPad และ iPod Touch)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: Run Sausage Run! on App Store
The post โหลดฟรี Run Sausage Run! เกมไส้กรอกวิ่งหลบหลีกอุปสรรคสุดเฮฮา appeared first on iPhoneMod.
หลังจากที่ตลาด e-commerce เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในทั่วโลก สร้างการตื่นตัวในทุกวงการ แต่เชื่อหรือไม่ว่าสินค้า Luxury หรือของหรูหรากลายเป็นหมวดหมู่ที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาด
ภาพจาก Shutterstockหลายคนอาจจะมองว่าสินค้า Luxury ไม่สามารถซื้อขายทางออนไลน์ได้ เพราะเป็นสินค้ามีมูลค่าสูง มีความเสี่ยงเกินไป ยังไงคนซื้อก็ยังต้องไปหน้าร้านอยู่ดีเพราะมีความมั่นใจมากกว่า แต่ตามรายงานของ eShopWorld พบว่าสินค้า Luxury เป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ยังมีรายงานจาก Euromonitor ในเดือนธันวาคม 2016 พบว่ายอดขายของสินค้า Luxury ทางช่องทางออนไลน์จะมีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ในช่วงปี 2016-2021 เมื่อเทียบกับยอดขายทางหน้าร้านที่เติบโต 2% เท่านั้น
การเติบโตนั้นได้อิทธิพลมาจากสินค้า Luxury ในระดับล่าง เช่น กลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มคนที่ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ อายุน้อย คุ้นเคยกับการซื้อออนไลน์ แต่ถ้าสินค้าหรูมากๆ ก็ยังคงเดินไปที่ช้อปอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มมาออนไลน์มากขึ้นเช่นกัน
มีผลสำรวจของ Ipsos ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมการซื้อสินค้า Luxury ในญี่ปุ่น และยุโรปตะวันตก (ฝรั่งเศส, อิตาลี และสหราชอาณาจักร) พบว่า 76% มีการค้นหาข้อมูลสินค้าก่อนทำการซื้อสินค้า และมีการค้นหาด้วยรูปภาพ แบรนด์สินค้า โซเชียลมีเดีย 49% และหาข้อมูลที่หน้าร้าน 44%
ส่วนในปี 2017 ทาง Hitwise ได้ทำการสำรวจนักช้อปออนไลน์ชาวอเมริกัน พบว่าเว็บไซต์ยอดนิยมของสินค้า Luxury ก็คือ Michael Kors 18.6%, Ralph Lauren 17.6% และ Coach 16.3%
มีการคาดการณ์ว่ากลุ่ม Millennial จะมีอิทธิพลมากขึ้นสำหรับสินค้ากลุ่ม Luxury หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของตลาด ภายในปี 2025 โดยที่ Millennial ชาวมะกันมีการซื้อสินค้า Luxury ชิ้นแรกบนออนไลน์ 14% ต่อไปจะเป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มผู้ซื้อสินค้า Luxury ถึง 48% เมื่อเทียบกับ Gen X ที่มี 26% และ Baby Boomer 25%
พฤติกรรมการซื้อสินค้าหรูหราบนออนไลน์88% ของผู้บริโภคบอกว่าคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อของหรู ซึ่งในประเทศจีนจะสูงถึง 93% รองลงมาคือซื้อของหรูเพราะรู้สึกดี รู้สึกมั่นใจ รู้สึกมีความสุข เป็นเหตุผลทางอารมณ์ 56% เหมือนเป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานะ
87% ของนักช้อปชาวญี่ปุ่น และยุโรปตะวันตกชอบการซื้อของหรูที่หน้าร้านมากกว่า เพราะต้องการสัมผัสสินค้า และ22% กลัวสินค้าลอกเลียนแบบ
ส่วนนักช้อปออนไลน์ 40% บอกว่าสะดวกสบาย 33% บอกว่ามีข้อเสนอที่ดีกว่าหน้าร้าน และ 31% มีความกดดันน้อยกว่าเมื่อซื้อหน้าร้าน เพราะด้วยพนักงานในร้านด้วย
มีข้อมูลจาก McKinsey & Company ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 พบว่าสินค้า Luxury ที่มีการขายบนออนไลน์มากที่สุดก็คือกลุ่มความสวยความงาม, เสื้อผ้าแฟชั่น และเครื่องประดับ กระเป๋าต่างๆ แต่กลุ่มนาฬิกา หรือจิวเวอรี่ต่างๆ ขายได้ยาก เพราะมีราคาที่สูงเกินไปที่จะขายช่องทางนี้
อิทธิพลจาก Influencerการที่ Luxury ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลมาจากสื่อสังคมโซเชียลมีเดีย และคนดัง Influencer บนโลกออนไลน์ที่มีการโปรโมทสินค้า
ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนปี 2017 Gucci สามารถสร้างรายได้ 227 ล้านเหรียญจากการใช้ Influencer Marketing ซึ่งคิดเป็นการเติบโตถึง 157.1%
จากการสำรวจของ Econsultancy ในเดือนมีนาคม 2017 พบว่า 1 ใน 3 ของสินค้า Luxury ในอเมริกา และสหราชอาณาจักรล้วนใช้ Influencer Marketing
แคมเปญที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคสำหรับสินค้ากลุ่มนี้จะมาจาก Influencer บน Instagram และ Pinterest ได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงที่สุด
มีรายงานจาก R3 Worldwide ระบุว่า Gucci เป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลอย่างมากใน WeChat ขณะที่ Dior และ Chanel ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน Weibo ล้วนใช้ Influencer ทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าโลกออนไลน์อะไรก็เป็นไปได้ ขนาดสินค้าหรูหราที่คนคิดไม่ถึงว่าจะขายออนไลน์ได้ ก็ยังขายได้ มีทั้งขายทางตรงและทางอ้อม สามารถทำการตลาดให้เข้าถึงนักช้อปได้เช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา