Xiaomi เตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 สัปดาห์หน้า

iPhonemod - 22 June 2018 - 10:11
69473cce 6394 4b65 B08a D03a017abdcb

Xiaomi ขึ้นชื่อในเรื่องของสเปคแรงราคาถูก ไม่เพียงแค่สมาร์ทโฟนแต่ยังรวมถึงแท็บเล็ตอย่าง Mi Pad ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันอยู่ในรุ่นที่สามและเตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 หลังจากได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวต่างประเทศ สะท้อนในให้เห็นว่าจะมีการเปิดตัวในเร็วนี้

Xiaomi เตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 สัปดาห์หน้าXiaomi เตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 สัปดาห์หน้า Xiaomi เตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 สัปดาห์หน้า

แหล่งข่าวยืนยันว่าจะเปิดตัวในประเทศจีนวันที่ 25 มิถุนายนนี้ และจากภาพโฆษณาด้านบนระบุว่าเป็นแท็บเล็ตขนาด 8 นิ้ว รวมถึงแหล่งข้อมูลจาก Xiaomi อย่างเป็นทางการบอกว่ามันจะมาพร้อมกับความละเอียด Full HD นอกจากนี้ยังมีข่าวลือแปลก ๆ ที่อ้างว่าจะมาพร้อมกับหน้าจอ 18:9

เชื่อว่าการเปิดตัวจะใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon 660 พร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 6,000 mAh รองรับการชาร์จ 5V / 2A (10W) และมีกล้องหลังความละเอียด 13 MP, กล้องหน้าความละเอียด 5MP รวมถึงระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo (MIUI 10) รวมถึงกลับมารองรับ microSD อีกครั้ง

ที่มา – c.mi.com

The post Xiaomi เตรียมเปิดตัว Mi Pad 4 สัปดาห์หน้า appeared first on iPhoneMod.

Apple อธิบายถึงผลเสียของการ Jailbreak ทำให้ไม่ปลอดภัย, ไม่เสถียร และอายุแบตเตอรี่สั้นลง

iPhonemod - 22 June 2018 - 09:50
Jailbreak Risk By Apple

หากใครกำลังจะ Jailbreak อุปกรณ์ iPhone, iPad ควรศึกษาถึงความเหมาะสมก่อน โดย Apple อธิบายถึงผลเสียของการ Jailbreak มาให้ผู้ใช้พิจารณา

Apple อธิบายถึงผลเสียของการ Jailbreak

การ Jailbreak คือ การดัดแปลง iOS โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก Apple

สำหรับข้อมูลต่อไปนี้เป็นการอธิบายถึงผลเสียของการ Jailbreak โดย Apple ซึ่งทีมงานอยากให้ผู้ใช้ศึกษาโดยละเอียดครับ

การดัดแปลง iOS โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้เกิดปัญหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ความไม่เสถียร อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง และปัญหาอื่นๆ ได้

iOS ได้รับการออกแบบมาให้มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณเปิดอุปกรณ์ขึ้นมา คุณสมบัติด้านความปลอดภัยในตัวจะป้องกันมัลแวร์และไวรัสและช่วยรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลของบริษัทได้

การดัดแปลง iOS โดยไม่ได้รับอนุญาต (หรือที่เรียกว่า “Jailbreaking”) เป็นการเลี่ยงคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและอาจทำให้เกิดปัญหามากมายต่อ iPhone, iPad หรือ iPod touch ที่ถูกแฮกข้อมูล ซึ่งได้แก่

  • ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย: การ Jailbreak อุปกรณ์จะเป็นการลดระดับการรักษาความปลอดภัยที่ออกแบบมาให้ปกป้องข้อมูลส่วนตัวและอุปกรณ์ iOS ของคุณ หากอุปกรณ์ iOS ไม่มีการรักษาความปลอดภัยนี้ แฮกเกอร์อาจขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณ สร้างความเสียหายให้อุปกรณ์ บุกรุกเครือข่ายของคุณ หรือส่งมัลแวร์ สปายแวร์ หรือไวรัสได้
  • ความไม่เสถียร: อุปกรณ์มักจะล่มบ่อยโดยไม่คาดคิด แอพที่มาพร้อมเครื่องและแอพของบริษัทอื่นล่มและค้าง และข้อมูลสูญหาย
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง: ซอฟต์แวร์ที่ถูกแฮกข้อมูลจะทำให้เปลืองแบตเตอรี่เร็วขึ้นซึ่งทำให้การทำงานของ iPhone, iPad หรือ iPod touch จากการชาร์จแบตเตอรี่ต่อครั้งสั้นลง
  • เสียงและข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ: สายที่โทรติดแล้ววางไปก่อนที่จะรับ การเชื่อมต่อข้อมูลช้าหรือเชื่อถือไม่ได้ และข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งล่าช้าหรือไม่แม่นยำ
  • บริการชะงัก: บริการต่างๆ อย่างเช่น iCloud, iMessage, FaceTime, Apple Pay, Visual Voicemail, สภาพอากาศ และหุ้นอาจชะงักหรือไม่ทำงานบนอุปกรณ์นั้นอีกต่อไป นอกจากนี้ แอพของบริษัทอื่นที่ใช้บริการแจ้งเตือนแบบพุชของ Apple อาจมีปัญหาในการรับการแจ้งเตือน หรือได้รับการแจ้งเตือนที่มีเจตนาจะส่งให้กับอุปกรณ์เครื่องอื่นที่ถูกแฮกข้อมูล บริการแบบพุชอื่นๆ เช่น iCloud และ Exchange มีปัญหาในการซิงโครไนซ์ข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์นั้นๆ
  • ไม่สามารถปรับใช้การอัพเดทซอฟต์แวร์ได้ในอนาคต: การดัดแปลงที่ไม่ได้รับอนุญาตบางอย่างทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้ต่อ iOS ซึ่งอาจเป็นผลให้ iPhone, iPad หรือ iPod touch ที่ถูกแฮกข้อมูล ไม่สามารถใช้งานได้อย่างถาวรเมื่อมีการติดตั้งการอัพเดท iOS ที่ Apple มีให้ในอนาคต

Apple ขอเตือนไม่ให้มีการติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆ ที่แฮกข้อมูล iOS เด็ดขาด และโปรดทราบว่าการดัดแปลง iOS โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงสิทธิ์การใช้ซอฟต์แวร์ของผู้ใช้ iOS และด้วยเหตุนี้ Apple อาจปฏิเสธการให้บริการสำหรับ iPhone, iPad หรือ iPod touch ที่ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตทุกชนิด

______________

ดังนั้นหากใครกำลังพิจารณา Jailbreak อุปกรณ์ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้น และควรศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความปลอกภัยและการ Jailbreak ให้มากที่สุด

The post Apple อธิบายถึงผลเสียของการ Jailbreak ทำให้ไม่ปลอดภัย, ไม่เสถียร และอายุแบตเตอรี่สั้นลง appeared first on iPhoneMod.

Car Connectivity Consortium (CCC) เผยมาตรฐาน “Digital Key” ใช้ iPhone แทนกุญแจรถได้

iPhonemod - 22 June 2018 - 09:18
Ccc Digital Car Key Iphone

ในอนาคตเราอาจไม่ต้องพกกุญแจรถอีกต่อไปเมื่อ Car Connectivity Consortium (CCC) เผยมาตรฐาน “Digital Key” ใช้ Smartphone แทนกุญแจรถได้

Digital Key ใช้ Smartphone แทนกุญแจรถได้

Car Connectivity Consortium (CCC) ได้ออกมาตรฐาน Digital Key 1.0 ที่ผู้ใช้สามารถใช้ Smartphone จับคู่กับรถยนต์เพื่อ ล็อค, ปลดล็อคและสตาร์ทเครื่องยนต์ผ่านการสั่งการจาก Smartphone ได้

Ccc Digital Car Key Iphone 2

Apple นั้นก็เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม CCC และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Audi, BMW, General Motors, HYUNDAI, LG Electronics, Honda, Panasonic, Samsung, Volkswagen รวมไปถึงสมาชิกหลักอย่าง ALPS ELECTRIC, Continental Automotive GmbH, DENSO, Gemalto, NXP และ Qualcomm

สำหรับเทคโนโลยีที่ Digital Key ใช้นั้นเป็นเทคโนโลยี NFC ที่มีความปลอดภัยสูง และในมาตรฐาน Digital Key 1.0 นี้ก็มีการบรรยายถึงรูปแบบการทำงานเบื้องหลัง, การรักษาความปลอดภัย, การใช้งานตามกรณีใช้งานของผู้ใช้ต่างๆ (Use Case) ข้อมูลเพิ่มเติม – Digital Key

ในรายงานเผยว่า CCC ได้เริ่มร่างมาตรฐาน Digital Key 2.0 แล้ว โดยเป็นมาตรฐานการยืนยันตัวตนของ Protocal ระหว่างรถยนต์และ Smartphone, การนำไปใช้กับ Smartphone และรถยนต์ที่หลากหลาย โดยมาตรฐานนี้คาดว่าจะเผยโฉมในไตรมาส 1 ของปี 2019

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Audi ได้เริ่มนำเสนอ Digital Key ให้ลูกค้าแล้วและ Volkswagen ก็วางแผนที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้เช่นกันในเร็วๆ นี้

The post Car Connectivity Consortium (CCC) เผยมาตรฐาน “Digital Key” ใช้ iPhone แทนกุญแจรถได้ appeared first on iPhoneMod.

Google Assistant มีโหมด “Continued Conversation” ไม่ต้องพูด “Hey Google” ก่อนสั่งการ

iPhonemod - 22 June 2018 - 06:49
Google Assistant Th

Google ได้อัปเดตว่าแอป Google Assistant มีโหมดใหม่ชื่อ “Continued Conversation” ไม่ต้องพูด “Hey Google” ก่อนสั่งการ (ฟีเจอร์นี้นิยมมากใน Amazon Alexa)

Google Assistant “Continued Conversation”

เมื่อผู้ใช้เปิดโหมด “Continued Conversation” ใน Google Assistant นั้นก็จะสามารถถามคำถามหรือสั่งการ Google Assistant ได้ต่อเนื่อง เช่น เมื่อสั่งเปิดทีวีและเครื่องทำ popcorn เสร็จก็สามารถสั่งปิดไฟในห้องครัวและห้องนั่งเล่นต่อได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูด “Hey Google” ในแต่ละคำสั่ง

Google Assistant Now Supports Continued Conversation

หากต้องการหยุดผู้ใช้สามารถพูดคำว่า “thank you” หรือ “stop” การสนทนาหรือการสั่งการ Google Assistant ก็จะจบลง

หากผู้ใช้พูด “Hey Google” หรือ “Ok Google” ในการ Active อุปกรณ์อยู่ (หรือกดปุ่มเพื่อเรียก Google Assistant) ตัว Google Assistant ก็จะ Standby รอรับคำสั่งระยะหนึ่งแ ละผู้ใช้สามารถถามคำถามหรือสั่งการได้ต่อเนื่องโดยที่ไม่ต้องพูด “Hey Google” ในแต่ละครั้ง

Google เริ่มปล่อยอัปเดตฟีเจอร์ใหม่นี้ในแอป Google Assistant แล้ว สามารถเปิดโหมดนี้ได้ที่  Settings > Preferences > Continued Conversation

แอป Google Assistant ภาษาไทยยังไม่พบอัปเดตและโหมดใหม่นี้ (6:38 22 มิ.ย. 61)

ดาวน์โหลดหรืออัปเดตแอป Google Assistant ภาษาไทยได้ที่ App Store

ที่มา – iclarified

The post Google Assistant มีโหมด “Continued Conversation” ไม่ต้องพูด “Hey Google” ก่อนสั่งการ appeared first on iPhoneMod.

UBS วิเคราะห์ผลจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน อาจพาให้ดัชนีหุ้นในเอเชียลงได้ถึง 30%

Brand Inside - 22 June 2018 - 00:09

บทวิเคราะห์สถาบันการเงินอย่าง UBS วิเคราะห์ถึงเรื่องสงครามการค้าว่าอาจพาทำให้ดัชนีของตลาดหุ้นหลายๆ แห่ง และยังรวมไปถึงดัชนีหุ้นในเอเชียอย่าง MSCI Asia ex Japan อาจลงไปได้ถึง 30%

ภาพจาก Shutterstock

ความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ประเทศในเรื่องของการขึ้นภาษีทางการค้า ทำให้ตลาดหุ้นทั่วทั้งเอเชียตอบรับในแนวลบ เพราะว่านักลงทุนกำลังคาดว่าความรุนแรงในเรื่องนี้อาจมากกว่านี้ได้

Niall MacLeod นักกลยุทธ์การลงทุนของ UBS ได้วิเคราะห์ว่าหากสงครามการค้าระหว่างทั้ง 2 รุนแรงกว่านี้ จะทำให้ดัชนีหุ้นทั่วทั้งเอเชีย รวมไปถึงดัชนีอย่าง MSCI Asia ex Japan ปรับตัวลงมามากถึง 30% จากจุดสูงสุดของปีนี้ และยังมองว่าราคายังไม่ได้ตอบรับผลร้ายที่จะกำลังตามมาเท่าไหร่อีกด้วย

เขายังได้เทียบดัชนี MSCI Asia ex Japan ตอนดัชนีปกติ ไม่มีข่าวร้ายมาเข้ามารบกวน เทียบกับดัชนีเมื่อเวลายอดส่งออกตกลง เขาได้วิเคราะห์อีกว่าถ้าหากเกิดสงครามการค้าขึ้นมาจริงๆ จะทำให้ยอดส่งออกตกลงและจะทำให้กำไรของบริษัทลดลงประมาณ 15 ถึง 20%

ส่วนกลยุทธ์ยังแนะนำให้คงลงทุนในกลุ่มประเทศอย่างจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อยู่ เพราะว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้ยังมีความสำคัญในเรื่องของ Supply Chain แต่ถ้าหากความรุนแรงเกิดขึ้นมาก เขาแนะนำให้สลับการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ซึ่งได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะว่ามีการบริโภคในประเทศสูง

ที่มาBloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

Location Strategy กลยุทธ์การเลือกทำเลที่ตั้ง ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจยุคดิจิทัล

Brand Inside - 22 June 2018 - 00:09

ยุค Digital Transformation แต่มีกี่องค์กรที่มีการปรับตัว หรือรู้ว่าต้องปรับตัวอย่างไร หลายคนรู้ว่าต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กร แต่คำถามคือ ทำอย่างไร

รู้หรือไม่ ว่าทำเลที่ตั้ง เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยี และนำมาซึ่ง กลยุทธ์ด้านทำเลที่ตั้ง หรือ Location Strategy ที่ไม่ใช่แค่ทำเลที่ตั้ง แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อความสําเร็จในแต่ละพื้นที่

มากกว่าแค่แผนที่ แต่เป็น Location Strategy และ GIS

การวางกลยุทธ์ Location Strategy ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้ Geographic Information System หรือ GIS เป็นระบบข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ เริ่มจากการมีแผนที่ความละเอียดสูงเป็นพื้นฐาน และนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องวางลงไปบนแผนที่เพื่อโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลและตำแหน่ง นำไปสู่การขยายผลทางข้อมูล

Location Strategy หรือ GIS นี้จะทำให้สามารถเห็นข้อมูลได้แบบ Real Time ช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทำเลขยายธุรกิจ หรือการบริหารต้นทุนการขนส่ง โดยวิเคราะห์จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประชากร คู่แข่ง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งหมดคือ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

Location Strategy สร้างมุมมองที่แตกต่าง

การใช้ Location Strategy สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกธุรกิจ ธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ ก็เป็นหนึ่งในประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งเป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผนกลยุทธ์ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

Location Strategy สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างจากการช่วยวิเคราะห์พื้นที่สำหรับตั้งโรงงาน ตั้งสาขา หาแหล่งวัตถุดิบ โกดังสินค้า และจัดเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังร้านค้า

ยกตัวอย่างการเห็นความสัมพันธ์กันของข้อมูลยอดขายกับสภาพอากาศของพื้นที่นั้นๆ เช่นสินค้าหนึ่งขายได้ดีในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง แต่ขายได้น้อยในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ จะสามารถนำไปสู่การวิเคราะห์ปรับปรุงแผนการดำเนินงาน แผนการตลาด โดยใช้ข้อมูล Real Time จาก Location Strategy เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จ

เช่น บริษัท U.S. Cellular ผู้ให้บริการระบบไร้สายครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประยุกต์ใช้หลักการเลือกสถานที่ตั้งร้านค้าปลีกตามรูปแบบการจับจ่ายของผู้บริโภค คู่แข่ง และข้อมูลทางการตลาด โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยในการวิเคราะห์หาพื้นที่ที่บริษัทจะได้เปรียบคู่แข่งและมีโอกาสทำยอดขายได้สูงสุด ถือเป็นการสร้างรูปแบบใหม่ในการแข่งขันทางธุรกิจโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในการตัดสินใจ (Business Intelligence)

ปลดล็อกข้อมูลแบบ Real Time เพิ่มศักยภาพธุรกิจ

สิ่งที่สร้างความแตกต่างคือ การดูข้อมูลแบบ Real Time เพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แบบทันที ยิ่งเมื่อผสานกับข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ข้อมูลประชากร อาจทำให้สามารถคาดการณ์ตลาดในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ

ข้อมูลแบบ Real Time ยังช่วยให้สามารถปรับและพัฒนากลยุทธ์เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ดีและรวดเร็วขึ้น จากการวิเคราะห์ผลกระทบที่มีต่อธุรกิจและความเข้าใจการบริหารจัดการงานในปัจจุบัน

จากข้อมูลของบริษัท Planet Fitness of Maryland ซึ่งเริ่มการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งและฐานที่อยู่ของสมาชิกประจำ โดยให้รหัสสีที่อยู่ของสมาชิกฟิตเนสตามลำดับการเข้าร่วม ทำให้เห็นรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่แสดงโอกาสทางการตลาดของบริษัทในการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการขยายตัวของสมาชิก ถือเป็นการยืนยันประโยชน์จากการใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก Location Strategy

มาพบกับสุดยอดเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้ที่ งาน Esri Business Summit 2018  “Empower Your Business with Location Strategy” ในวันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้อง The Residence 305 โรงแรม Grand Hyatt Erawan

รายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.esrith.com/about/event-esri/

*ที่นั่งมีจำนวนจำกัดขอสงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนเท่านั้น

สรุป

Location Strategy เป็นมากกว่าการเลือกทำเลที่ตั้ง แต่เป็นการสร้างกลยุทธ์จากการนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลทำเลที่ตั้แบบ Real Time ทำให้สามารถบริหารองค์กร กำหนดทิศทาง และวางแผนทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

Unilever ประกาศแบนไม่ร่วมงานกับ Influencer ที่ซื้อผู้ติดตาม

Brand Inside - 21 June 2018 - 23:28

Unilever หนึ่งในแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ประกาศนโยบายใหม่ที่งาน Cannes Lions Festival ว่าจะไม่ร่วมงานกับ Influencer ที่ซื้อจำนวนผู้ติดตามอีกต่อไป เพราะต้องการต่อต้านการฉ้อโกงในโลกดิจิทัล

Influencer Marketing กลายเป็นอาวุธทางการตลาดที่นิยมอย่างมากในยุคนี้ เพราะผู้บริโภคมักติดตามคนมีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ ทำให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งใครๆ ก็สามารถเป็น Influencer ได้ แค่มีจำนวนคนติดตาม หรือ Follower เยอะๆ ก็ขึ้นชื่อว่ามีอิทธิพลแล้ว หลายคนจึงเลอืกสิธีซื้อผู้ติดตามเพื่อให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือนั่นเอง

แต่ยุคนี้หลายแบรนด์เริ่มตระหนักถึงจุดนี้มากขึ้น การเลือก Influencer ในการร่วมแคมเปญไม่ได้ดูแค่จำนวนผู้ติดตาม แต่ต้องดูกลุ่มเป้าหมายด้วย และเริ่มมีการเคลื่อนไหวของแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Unilever ที่ออกมาประกาศชัดเจนเลยว่าจะขอแบน ไม่ร่วมงานกับ Influencer ที่ทำการซื้อยอดคนติดตาม

เหตุผลของ Unilever ส่วนหนึ่งก็คือต้องการให้ตระหนักถึงความโปร่งใส ความถูกต้อง รวมไปถึงเรื่องของการวัดผลบนโซเชียลมีเดีย ต้องการให้มีการวัดผลในแคมเปญที่แม่นยำที่สุด ซึ่ง Unilever ก็ยืนยันชัดเจนว่าบรัทไม่มีการซื้อยอดผู้ติดตามเช่นกัน

ทางผู้บริหารของ Unilever ยังบอกอีกว่า Influencer Marketing มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนบางทีควบคุมไม่อยู่ ทำให้แบรนด์ต้องลงมาจัดการให้เป็นเรื่องเป็นราว เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภคก่อนที่จะสายเกินไป เพราะต้องยอมรับว่า Influencer เป็นเหมือนตัวแทนของแบรนด์ที่คุยกับผู้บริโภค จึงต้องมีการคัดเลือกดีๆ มิเช่นนั้นจะกระทบกับแบรนด์ได้

Influencer ในยุคนี้มีรายได้ที่มากขึ้นเช่นกัน จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดย Captiv8 พบว่า Influencer ที่มีผู้ติดตามราว 100,000 คน จะมีเรทราคาในการลลงโฆษณา 2,000 เหรียญ ในขณะที่ Influencer ที่มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคน จะได้ค่าโฆษณาถึง 20,000 เหรียญ

สิ่งที่ Unilever ทำให้ครั้งนี้เพื่อต้องการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาด้วย เพราะตอนนี้นักการตลาดกำลังอยุ่ในช่วงหลอกตัวเองเพราะสามารถซื้อได้ทุกอย่างบนโลกออนไลน์ จึงต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส สามารถวัดผลได้แบบสมบูรณ์

Source

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

(ลือ) Apple อาจเปิดขายแผ่นชาร์จ AirPower ช่วงเดือน ก.ย. 2018 ขายช้าเพราะเจอ Bug อยู่

iPhonemod - 21 June 2018 - 20:34
Airpower

นักวิเคราะห์เผยว่า Apple อาจเปิดขายแผ่นชาร์จ AirPower ก่อนหรือในช่วงเดือน ก.ย. 2018 นี้ เพื่อให้มั่นใจว่าตัวอุปกรณ์ทำงานกับ Software ได้ดี

AirPower ขายช้าเพราะยังมีปัญหาด้าน Software อยู่

Apple เปิดตัวแผ่นชาร์จ AirPower ตั้งแต่งานเปิดตัว iPhone X เมื่อเดือน ก.ย. 2017 และเผยว่าจะเปิดขาย AirPower ในปี 2018 นี้ แต่นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วเราก็ยังไม่เห็นวี่แววการเปิดขายเลย

Airpower

Mark Gurman จาก Bloomberg เผยว่าจริงๆ แล้ว Apple วางแผนที่จะเปิดขาย AirPower ตั้งแต่ช่วงงาน WWDC มิ.ย. 2018 แต่ AirPower ยังเจอปัญหาการทำงานร่วมกับ Software อยู่ เช่น เกิดความร้อนระหว่างชาร์จ, การแยกแยะการชาร์จอุปกรณ์หลายตัวซึ่งเป็นปัญหาด้าน Firmware ของ AirPower (วิศวกรบางรายได้ทดสอบนำ AirPower มาใช้งานในออฟฟิศบ้างแล้ว)

AirPower ซับซ้อนกว่าแผ่นชาร์จไร้สายทั่วไป

ในรายงานเผยว่า การทำงานของ AirPower ซับซ้อนกว่าแผ่นชาร์จทั่วไป เพราะใช้ชิพของ Apple เองและส่วนหนึ่งต้องพึ่งการทำงาน iOS  ในการจัดการพลังงาน, จับคู่อุปกรณ์ ซึ่งวิศวกรยังพบปัญหาการใช้งานและต้องแก้ Bug ใน Firmware เช่นกัน

Iphone X Airpower

จากที่เราเห็นในการ Demo พบว่า AirPower สามารถชาร์จอุปกรณ์ไร้สายพร้อมกันได้ 3 ชิ้น คือ iPhone 8 / 8 Plus หรือ iPhone X, Apple Watch Series 3 และกล่องหูฟัง AirPods (รองรับชาร์จไร้สาย) วางไว้ตรงไหนก็ได้ซึ่งเป็นเทคโนโลยีซับซ้อนของ Apple

Apple Airpower

(นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตเพิ่มว่า การจะชาร์จ Apple Watch ผู้ใช้ต้องวางตัวเรือนให้ระนาบกับตัว AirPower ดังนั้นอาจมีปัญหากับผู้ที่ใช้สาย Apple Watch บางแบบที่วางระนาบยาก ผู้ใช้ต้องแกะตัวเรือนออกทำให้ยุ่งยากเข้าไปอีก)

Apple พยายามจะทำให้ iPhone ไร้สาย?

Gurman เผยว่า Apple มีความพยายามที่จะตัด Port ต่างๆ ออกไปใน iPhone เช่น การเพิ่มฟีเจอร์ชาร์จไร้สายมาใน iPhone 8 / 8 Plus, iPhone X แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างทำให้ Apple ยังให้ iPhone รองรับการชาร์จแบบมีสายอยู่ ซึ่ง iPhone 2018 นี้ลือกันว่าจะมาพร้อม USB-C และรองรับ Fast Charge ด้วย ต้องรอดูกันต่อไป

ที่มา – macrumors

The post (ลือ) Apple อาจเปิดขายแผ่นชาร์จ AirPower ช่วงเดือน ก.ย. 2018 ขายช้าเพราะเจอ Bug อยู่ appeared first on iPhoneMod.

Moto Z2 Play + Mods กล้อง Hasselblad เหลือเพียง 14,999 บาท คืนนี้ที่ Shopee

MXPhone - 21 June 2018 - 19:36

คุ้มสุดๆ แล้วตอนนี้สำหรับสมาร์ทโฟน Moto Z2 Play พร้อม Mods กล้อง Hasselblad True Zoom ที่ลดเหลือเพียง 14,999 บาท (จากปกติ 25,800 บาท) โดยจะจำหน่ายเฉพาะที่ Shopee แบบ...

The post Moto Z2 Play + Mods กล้อง Hasselblad เหลือเพียง 14,999 บาท คืนนี้ที่ Shopee appeared first on mxphone.

สู้ศึก Facebook! เจ้าของ Tinder ซื้อ Dating Application เพิ่ม เสริมแกร่งอาณาจักรความรัก

Brand Inside - 21 June 2018 - 18:06

ตลาด Online Dating ทั่วโลกนั้นใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคาดถึง และมีหลายคนยอมที่จะเสียเงินเพื่อหาคู่ให้ได้ จึงไม่แปลกที่ Facebook อยากเข้ามามีส่วนร่วม และทำให้กลุ่ม Match ที่เป็นเจ้าของ Tinder ต้องขยับตัวบ้าง

การใช้งาน Hinge เข้าซื้อกิจการเสริมแกร่งอาณาจักรความรัก

ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า Match เป็นผู้ให้บริการ Online Dating ดั้งเดิม และได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก แต่เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบกับนวัตกรรมด้าน Dating ก็พัฒนาขึ้นทุกวัน ทำให้ Match ตัดสินใจทยอยควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเป็นอาณาจักรแห่งความรัก

โดยนอกจาก Match จะเป็นเจ้าของ Tinder หรือ Dating Application ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตอนนี้ ยังเป็นเจ้าของ PlentyOfFish, OkCupid, OurTime, Meetic และ Pairs แถมในปี 2561 ยังคาดการณ์รายได้อยู่ที่ 1,550 ล้านดอลลาร์ (ราว 51,000 ล้านบาท)

ยอดรายได้ของ Match ในปี 2560

แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะเมื่อ Facebook ประกาศเตรียมเข้ามารุกตลาด Online Dating ผ่านการยกระดับให้ผู้ใช้ในระบบกว่า 2,200 ล้านคน/เดือน ให้ใช้ Feature ดังกล่าวได้เร็วๆ นี้ ก็ทำให้กลุ่ม Match ไม่สามารถอยู่เฉย และล่าสุดก็ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นในกิจการ Hinge เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่ม

สำหรับ Hinge นั้นเป็น Dating Application ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ชอบใช้งาน Tinder โดยเฉพาะ เนื่องจากจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ในระยะยาวมากกว่า โดยทางกลุ่ม Match นั้นมีความสนใจที่จะซื้อหุ้นในกิจการ Hinge ตั้งแต่เดือนส.ค. 2560 แต่ก็ปล่อยไปจนกระทั่งไม่นาน Application ดังกล่าวก็มีผู้ใช้โตถึง 400%

ยอดการใช้งาน Tinder จนถึงไตรมาส 1 ปี 2561

ทางกลุ่ม Match จึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น 51% ใน Hinge พร้อมได้สิทธิการเข้าซื้อทั้งหมดภายใน 12 เดือนข้างหน้า แม้ตัว Hinge จะได้รับความนิยมในผู้ใช้ที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แต่การเข้าซื้อกิจการของ Match ครั้งนี้ก็น่าจะมองไกล พร้อมยกระดับ Application ตัวนี้ให้มีการใช้งานทั่วโลกแน่นอน

สรุป

อาณาจักร Match นั้นยิ่งใหญ่มาก และยังเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งหลักๆ ก็มาจาก Tinder ที่ในไตรมาส 1 ของปี 2561 ก็มีผู้สมัครใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 3.4 ล้านคน ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็ยังมีการออก Feature ใหม่เช่นกัน ดังนั้นต้องคอยติดตามว่าหาก Facebook เดินเกม Online Dating แล้วทาง Match จะเป็นอย่างไรบ้าง

อ้างอิง // Match, Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

อยากกู้เงินล้าน! KBank เสิร์ฟ SME ให้กู้ผ่านมือถือ

Brand Inside - 21 June 2018 - 18:05

ใครอยากขอสินเชื่อวงเงินหลักล้านบาท อย่างแรกคือต้องเดินไปที่สาขาธนาคาร และผ่านกระบวนการอีกยาว…นาน กว่าจะได้เงินสักก้อนมาครอบครอง แต่จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นทำให้คนใกล้กันมากขึ้น จนไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารก็ย้ายมาอยู่บนฝ่ามือ(โทรศัพท์มือถือ)กันแล้ว ทางฝั่งธนาคารกสิกรไทยเลยใช้ประโยชน์จุดนี้ เสริมช่องทางใหม่ในการเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการSMEผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือ K PLUS 

แก้ปม SME  ให้เข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ไม่ต้องมีหลักประกัน

สุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย  บอกว่า ปัญหาดั้งเดิมของ SME คือ การเข้าไม่ถึง
สินเชื่อ บางครั้งใช้เวลานาน หรือ ขออนุมัติได้ยาก แต่ล่าสุดกลางเดือนมิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ทางธนาคารเริ่มใช้ โมเดลใหม่ โดยเพิ่มช่องทางเสนอและอนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าผ่านทางแอปพลิเคชั่น K PLUS บนโทรศัพท์มือถือ  ซึ่งจะใช้เวลาในการพิจารณาและอนุมัติเร็วขึ้น ที่สำคัญไม่ต้องมีหลักประกัน ไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่ม ส่วนของธนาคารก็ลดต้นทุนการดำเนินงานให้เหลือ 0% อีกด้วย

โดยสินเชื่อกลุ่มนี้ทางธนาคารจะส่ง ข้อเสนอ สินเชื่อเข้าไปในเมนู Life PLUS บนแอปพลิเคชั่น ลูกค้าสามารถคลิกเลือกข้อเสนอ(เงื่อนไขสินเชื่อ เช่น ดอกเบี้ย วงเงิน ฯลฯ) ต่อจากนั้นธนาคารพิจารณาเพื่ออนุมัติสินเชื่อ และส่งกลับมาที่ลูกค้าหาลูกค้าตกลงรับสินเชื่อ เงินจะโอนเข้าบัญชีภายใน 1 นาที

ในส่วนของวงเงินสามารถขอสินเชื่อได้สูงสุดอยู่ที่ 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ MRR +3% ต่อปี สูงสุด MRR+9%ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของลูกค้า

เปิดระบบหลังบ้านใช้ AI วิเคราะห์ลูกค้า 300 จุด หวัง NPL 3%

เบื้องหลังการขอและอนุมัติสินเชื่อที่ใช้เวลาน้อยลงนั้น เกิดขึ้นจาก เทคโนโลยีที่ชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ซึ่ง ธนาคารจะนำมาวิเคราะห์ข้อมูล ความเสี่ยงของลูกค้า รวมถึงความเป็นไปได้ในการปล่อยสินเชื่อ โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 300 จุดในเวลาเดียวกัน ทำให้ ธนาคารสามารถ เลือกว่าจะให้สินเชื่อใคร? เมื่อไร? ในวงเงินเท่าใด?

โดย ปัจจุบันระบบ AI จะใช้วิเคราะห์ข้อมูล จากฐานลูกค้าผู้ประกอบการ SME ของธนาคารกว่า 200,000 ราย ดังนั้นหาก SME มีการเดินบัญชีสม่ำเสมอ มีวินัยทางการเงิน จะทำให้ธนาคาร มีข้อมูลเพียงพอในการวิเคราะห์เพื่อเสนอสินเชื่อแก่ลูกค้า

1 สัปดาห์ที่ผ่านมาทางธนาคารเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการ SME กว่า 1,000 ราย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้า 76%และมีลูกค้าได้รับการอนุมัติสินเชื่อ 63%

ปล่อยกู้ผ่านมือถือ 3,000 ล้านบาท เสริมเป้าหมายสินเชื่อใหม่ปี 2561 โต 6%

ส่วนเป้าหมายสิ้นปี 2561 นี้ ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางมือถือให้กลุ่ม SME กว่า 3,000 ล้านบาท(หรือลูกค้าประมาณ 6,000 ราย) มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ SME โดยเฉพาะกลุ่มMicro (มียอดขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อปี) กลุ่มSME ขนาดเล็ก ( มียอดขายระหว่าง 10-50 ล้านบาทต่อปี)  ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น SME ขนาดกลาง(มียอดขาย 50-400 ล้านบาทต่อปี)

“ในปีแรกเราตั้งเป้าหมายว่าจะปล่อยสินเชื่อผ่านมือถือที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินเฉลี่ย 300,000-500,000 บาทต่อราย เรามองว่าวงเงินสินเชื่อกลุ่มนี้ในระยะแรกจะไม่มากนัก แต่จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการให้สินเชื่อนี้จะขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Micro และ SMEขนาดเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสจะเติบโตเปฺน SME ขนาดกลาง ทำให้ธนาคารต่อยอดผลิตภัณฑ์อื่นๆได้อีกในอนาคต”

นอกจากนี้สินเชื่อ 3,000 ล้านบาท จะไปสนับสนุนให้สินเชื่อใหม่ SME ช่วงปลายปีนี้จบที่ 240,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน

* ดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี ปัจจุบัน(21 มิ.ย.)อยู่ที่ 7.125-9.050% ต่อปี (อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย)

สรุป 

ธนาคารกสิกรไทย เพิ่มช่องทางเสนอสินเชื่อให้ลูกค้า SME ขอสินเชื่อผ่านมือถือได้แบบไม่ต้องมีหลักประกัน ไม่ต้องส่งเอกสารเพิ่ม วงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท ดอกเบี้ยอยู่ที่ MRR+3%ต่อปีถึง MRR+9%ต่อปี ตั้งเป้าหมายสิ้นปี61 ปล่อยสินเชื่อกว่า 3,000 ล้านบาท ช่วงกระตุ้นยอดสินเชื่อใหม่ทั้งกลุ่ม SME แตะ 240,000 ล้านบาท โต 6% จากปีก่อน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

ธุรกิจจะเปลี่ยนตัวเองให้มีนวัตกรรมได้อย่างไร? บทเรียนจาก SingularityU Thailand

Brand Inside - 21 June 2018 - 17:51

ทางทีมงาน Brand Inside ได้รับเชิญให้เข้าฟังงานสัมมนา SingularityU Thailand Summit 2018 ซึ่งเป็นการยกทีมงาน Singularity University สถาบันคลังสมองสำหรับผู้นำทางธุรกิจจากซิลิคอนวัลเลย์ มาบรรยายให้คนไทยได้ฟังกัน

โฟกัสหลักของ Singularity University คือการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ แต่เทคโนโลยีในที่นี้ไม่ใช้เทคโนโลยีทั่วไป คีย์เวิร์ดที่พบได้บ่อยครั้งในงานคือคำว่า ‘exponential technology‘ หรือเทคโนโลยีที่สร้างผลลัพธ์ให้ดีกว่าเดิมเป็นทวีคูณ จนสามารถเอาชนะการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจในระยะยาวได้ เทคโนโลยีเหล่านี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การผลิต การแพทย์ ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มาแรงแห่งยุคสมัยอย่าง AI กับ Blockchain

หัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือการบรรยายหัวข้อ Corporate Innovation ของ John Hagel นักวิเคราะห์กลยุทธ์ทางธุรกิจชื่อดังจากบริษัท Deloitte ผู้มีประสบการณ์ให้คำปรึกษาธุรกิจไฮเทคในซิลิคอนวัลเลย์มายาวนาน เคยอยู่กับบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังทั้ง Boston Consulting Group และ McKinsey

เขาเล่าถึงการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีต่อธุรกิจจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1965 จนถึงปัจจุบัน ว่าเห็นผลกระทบอย่างชัดเจน เพราะอัตราผลตอบแทนของบริษัทจะลดลงโดยธรรมชาติตามระยะเวลาที่นานขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นทางรอดของบริษัทต่างๆ จึงมีทางเดียวคือหา exponential technology มาช่วยชดเชย

John Hagel

ในทางปฏิบัติแล้ว Hagel บอกว่าจากประสบการณ์ของเขา มี 3 อย่างที่บริษัทต้องให้ความสนใจ

Rethink Strategy

Hagel เล่าว่าจากประสบการณ์ของเขาที่สัมผัสบริษัทเทคโนโลยีมาเยอะ บริษัทเหล่านี้มองคำว่า “ยุทธศาสตร์” (strategy) ต่างจากบริษัทปกติทั่วไป ที่มักใช้วิธีวางแผนยุทธศาสตร์ 3-5 ปีว่าจะทำอะไรบ้าง แต่บริษัทไฮเทคกลับมองกรอบของเวลา (time horizon) ต่างไป

Hagel เรียกยุทธศาสตร์ของบริษัทไฮเทคว่า “Zoom In, Zoom Out” ที่มองเส้นเวลา 2 เส้นที่ต่างกันมากไปพร้อมๆ กัน

  • Zoom Out คือมองกรอบเวลาระยะยาวมาก 10-20 ปี ว่าตัวบริษัทเองอยากจะเป็นอะไรในระยะเวลาไกลขนาดนั้น
  • Zoom In คือมองกรอบเวลาระยะสั้นมาก 6-12 เดือน ว่ามีอะไรบ้างที่อยากโฟกัสเพียงแค่ 2-3 เรื่อง แล้วหาทรัพยากรมาทำให้ได้จริง

Hagel บอกว่าการมองกรอบเวลาที่แตกต่างกันขนาดนี้ อาจดูว่าบริษัทไม่มีแผนในระยะกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้ากรอบเวลาระยะไกลถูกต้อง และทำงานในระยะใกล้ได้ดี อนาคตระยะกลางจะไม่ใช่ปัญหาเลย บริษัทส่วนมากมักวางแผนโน่นนี่เต็มไปหมด และทำหลายอย่างมากเกินไป (spread to thin) จนระยะสั้นไม่เกิดผล การวางเป้าระยะยาวแล้วโฟกัสกับอนาคตระยะใกล้ เป็นสิ่งสำคัญกว่า

Reframe Innovation

Hagel เล่าว่าในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใดๆ มีคำว่า “นวัตกรรม” อยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าทุกบริษัทอยากมีนวัตกรรม แต่คำว่านวัตกรรมที่ถูกพูดถึงในที่ประชุม มักเป็นนวัตกรรมที่ตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการ (product/service innovation) สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือนวัตกรรมทางกระบวนการหรือโมเดลธุรกิจ (process innovation) รวมถึงนวัตกรรมเชิงองค์กร (institution innovation)

เขาย้อนกลับไปตั้งคำถามว่าเรามีองค์กรใหญ่ (institution) กันไปทำไม คำอธิบายในโลกบริหารธุรกิจยุคก่อนคือ เราสร้างองค์กรใหญ่เพื่อเพิ่มประสิทธิผล (efficiency) และลดต้นทุน (cost) แต่สิ่งนี้ยังเป็นจริงอยู่ไหมในโลกยุคนี้?

ข้อเสนอของเขาคือเรายังต้องมีองค์กรขนาดใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างไปจากเดิม เพราะองค์กรใหญ่ทำให้เราเรียนรู้ร่วมกันได้เร็วขึ้น เกิดคำว่าเรียนรู้แบบทวีคูณ (scalable learning) ที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจยุคใหม่ ที่เจอภัยคุกคามใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

Hagel บอกว่าเราไม่สามารถเลือกมีทั้ง scalable efficiency และ scalable learning ได้พร้อมกัน เพราะเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกัน

  • scalable efficiency เน้นรีดประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงสุด ดังนั้นจึงยอมรับข้อผิดพลาดไม่ได้
  • แต่ scalable learning จำเป็นต้องสร้างข้อผิดพลาด (failure) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้โดยเร็ว การเรียนสมัยใหม่ไม่ใช่เป็นการถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่แล้ว แต่เป็นการสร้างความรู้ใหม่ๆ จากประสบการณ์หน้างาน ว่าทำงานอย่างไรถึงแก้ปัญหาเดิมๆ ได้ดีกว่า

เขายกตัวอย่าง scalable learning ของบริษัท LiveOps ซึ่งให้บริการธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ ในธุรกิจนี้การประเมินผลการตอบคำถามของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญมาก นวัตกรรมของ LiveOps คือเลียนแบบระบบจากเกมออนไลน์ World of WarCraft ที่มีหน้าจอ realtime dashboard ให้ผู้เล่นรู้ว่าตัวเองเล่นเกมได้ดีแค่ไหน ควรปรับปรุงตัวเองอย่างไร แล้วนำระบบนี้มาใช้กับพนักงานให้รู้ถึงผลการทำงานของตัวเองตลอดเวลาด้วย

LiveOps ยังออกแบบระบบประเมินผลไม่ให้ดูเป็นการกดดันพนักงานจนเกินไป ด้วยการเพิ่มระบบ “ขอความช่วยเหลือ” สำหรับพนักงานที่รู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่ดี เพื่อให้เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานมาช่วยสนับสนุน แทนการประเมินผลเพื่อกดดันหรือไล่ออกได้ด้วย นวัตกรรมของ LiveOps ทำให้เกิดการแชร์ความรู้ระหว่างพนักงานคอลเซ็นเตอร์ด้วยกัน และช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด

Refocus Transformation

ประเด็นสุดท้ายที่ Hagel พูดถึงคือการเปลี่ยนแปลง (transformation) ขององค์กรว่าควรทำอย่างไร เขาบอกว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบความจริงว่ากระบวนการ trasnformation ไม่ใช่เรื่องเหตุและผล (rationale) แต่มันคือการเมืองภายในองค์กร

เทคนิคที่เขาค้นพบคือ ขั้นแรกให้หา “ศัตรูของการเปลี่ยนแปลง” (enemy of change) ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองเป็นตัวขัดขวางการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรอก ผู้บริหารทุกคนบอกว่ายินดีเปลี่ยน แต่ลับหลังก็หาวิธีลัดขั้นตอนหรือไม่ยอมทำการเปลี่ยนแปลงแบบที่สัญญาไว้

Hagel อ้างพิชัยยุทธ์ของซุนหวู่ ว่าถ้าเลือกปะทะกับตัวขัดขวางเหล่านี้ จะเกิดสงครามภายในองค์กรที่รุนแรง กินเวลายาวนาน และเปลืองทรัพยากรไปกับการปะทะอย่างมาก สิ่งที่ควรทำคือหลบหลีกการต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้ากับตัวขัดขวางไปเรื่อยๆ และรอจนพวกเขาอ่อนแอ

เทคนิคของเขาเรียกว่า scaling the edge คือให้หา “อนาคตใหม่” (edge) ของบริษัทที่ยังมีขนาดเล็กและไม่สำคัญในปัจจุบัน แต่คาดเดาได้ว่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากในอนาคต และเข้ามาทดแทนแกนหลัก (core) อันเดิมของบริษัทได้ในะระยาว ซึ่งที่ต้องทำคือพยายามฟูมฟัก edge ไปเรื่อยๆ ขยายทรัพยากรให้กับ edge ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยผลักดันให้มันมาทดแทน core เดิม การเปลี่ยนแปลงจะง่ายขึ้นและเจอแรงต้านน้อยลง

เขายกตัวอย่างธนาคาร State Street Bank ซึ่งในอดีตให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย (retail bank) และเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงจนสู้ลำบาก แต่ผู้บริหารกลับพบว่าสิ่งที่บริษัททำได้ดีมากคือการระบบประมวลผลหลังบ้าน (backoffice transaction) จึงเริ่มผลักดันธุรกิจรับเอาต์ซอร์สระบบหลังบ้านให้ธนาคารอื่น สุดท้ายนี่กลายมาเป็นธุรกิจใหม่ของ State Street แทนธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อยที่เลือกปิดตัวไป

Hagel จบการบรรยายของเขาโดยบอกว่าแนวคิด scalable efficiency จะมีผลตอบแทนลดลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ (diminishing return) สิ่งที่เราต้องการคือหาผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (increasing return) ซึ่งในสายตาของเขาแล้วคือ scalable learning

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

โหลดฟรี WildCraft เกมจำลองการใช้ชีวิตเป็นสัตว์ป่า เล่นออนไลน์ร่วมกับเพื่อนได้

iPhonemod - 21 June 2018 - 17:47
Game Wildcraft Cover

หากคุณจะหาเกมเพลิน ๆ เล่นร่วมกับเพื่อนหรือแฟน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ล่ะก็ เกม WildCraft ควรเป็นหนึ่งในตัวเลือกเลยครับ เล่นแบบ Open World ออกผจญภัย ล่าสัตว์ สำรวจโลกที่สวยงามด้วยทิวทัศน์แบบ 3 มิติ

เกม WildCraft: Wild Sim Online

เกมจำลองการใช้ชีวิตเป็นสัตว์ป่า ได้แก่ หมาป่า สุนัขจิ้งจอก แมวป่า และม้า (พร้อมอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต) ออกผจญภัยสำรวจธรรมชาติหรือสำรวจโลกที่สวยงามด้วยทิวทัศน์แบบ 3 มิติ (เล่นแบบ Open World กว้างมาก) หาอาหาร ล่าสัตว์ สร้างครอบครัว เลี้ยงลูก สืบเชื้อสายจากครอบครัวปัจจุบันไปจนถึงสร้างครอบครัวใหม่ได้อย่างอิสระ

โดยจุดเด่นของเกม WildCraft อยู่ที่สัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ที่สามารถตกแต่งได้มากมายและระบบการเล่นแบบ Open World ที่มีโลกให้สำรวจที่แตกต่างกันถึง 4 แบบ ได้แก่ Wild Plains, Winter Forest, Battle Arena และ Farm (พร้อมอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต) แถมยังมีหลายฤดูให้เอาชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย

Game Wildcraft Content6

พร้อมทั้งโหมดออนไลน์ Multiplayer ที่ช่วยให้คุณสามารถเล่นร่วมกับเพื่อน ๆ ได้สูงสุดถึง 8 คน เพียงลงทะเบียน (Register) เพื่อเชื่อมต่อบัญชีออนไลน์กับทาง WildCraft และเชื่อมต่อผ่าน Server เดียวกัน

Game Wildcraft Content1

Game Wildcraft Content2

Game Wildcraft Content3

Game Wildcraft Content4

Game Wildcraft Content5

วิธีเล่น

มือซ้าย: ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของสัตว์ป่าในรูปแบบอนาล็อก

มือขวา: ใช้ในการกดปุ่ม Action ต่าง ๆ เช่น ปุ่มหอนเพื่อมองหาอาหาร, ปุ่มโจมตี/กัด/คาบเหยื่อ, ปุ่มวิ่ง, ปุ่มกระโดด หรือปุ่มคำราม/เรียกเพื่อน

คุณสมบัติเกม WildCraft
  • ภาพเกมสวย 3 มิติ กราฟิกภาพในระดับปานกลาง สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย
  • เล่นสำรวจโลกและท่องเที่ยวไปในสถานที่สวยงามได้แบบ Open World
  • 4 โลกที่สวยงามรอให้คุณไปสำรวจ ได้แก่ Wild Plains, Winter Forest, Battle Arena และ Farm พร้อมอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต
  • เอาชีวิตรอดในหลายฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง
  • 4 สายพันธุ์สัตว์ป่าให้เลือกเล่น ได้แก่ หมาป่า สุนัขจิ้งจอก แมวป่า และม้า พร้อมอัปเดตเพิ่มเติมในอนาคต
  • เลือกเพศของสัตว์ป่าได้
  • ตกแต่งสัตว์ป่าได้หลากหลาย เช่น ลวดลาย (Skin), ดวงตา, เสื้อ, หมวก หรือท่าทางประจำตัว (Action) เป็นต้น
  • ปรับแต่งโครงสร้างสัดส่วน (Body) ของสัตว์ป่าได้ เช่น ส่วนหัว, ลำตัว, คอ, หาง, ขาคู่หน้า หรือขาคู่หลัง เป็นต้น
  • 2 โหมด ให้เลือกเล่น ได้แก่ โหมดเล่นคนเดียว (Singleplayer) และโหมดเล่นกับเพื่อน (Multiplayer)
  • รองรับหลาย Server ได้แก่ Europe, USA East, USA West, Canada, Asia, Japan, Australia, South America, India, Russia และ South Korea
  • ลงทะเบียน (Register) เพื่อเชื่อมต่อบัญชีออนไลน์และเก็บบันทึกข้อมูลไว้ใน Cloud
  • โหมดถ่ายรูปเพื่อแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้
  • ภาษาอังกฤษ รองรับภาษาไทย (ยังไม่ค่อยสมบูรณ์) และอีกหลายภาษา
ดาวน์โหลดเกม WildCraft

เนื้อที่เกม: 106.6 MB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone, iPad และ iPod Touch)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: WildCraft: Wild Sim Online on App Store

Game Wildcraft Footer

The post โหลดฟรี WildCraft เกมจำลองการใช้ชีวิตเป็นสัตว์ป่า เล่นออนไลน์ร่วมกับเพื่อนได้ appeared first on iPhoneMod.

Nomura ออกมาเตือน “ภายใน 3 ปี” จีนและฮ่องกงอาจพบกับวิกฤติทางการเงิน

Brand Inside - 21 June 2018 - 17:05

บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Nomura ที่เตือนถึงจีนและฮ่องกงว่าอาจเกิดวิกฤติทางการเงินได้ ซึ่งในรายงานมีสัญญาณเตือนหลายตัวเลยทีเดียว

รายงานของ Nomura ได้กล่าวว่าจีนและฮ่องกงมีความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติภาคการเงินมากที่สุดภายใน 3 ปีนี้ และยังมีความเสี่ยงจากหลายๆ ปัจจัย เช่น เรื่องของความต้องการบริโภคในประเทศที่ลดลงในประเทศจีน และยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่ตามมาด้วย

นักวิเคราะห์ของ Nomura ได้แก่ Rob Subbaraman และ Michael Loo ได้กล่าวในบทวิเคราะห์ว่า ถ้าหากทดลองทำ Stress Test ซึ่งมักเอาไว้ทดสอบถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และเอาไว้หาความเสี่ยง กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในตอนนี้มีความเสี่ยงในหลายๆ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญหาวิกฤติภาคการเงินได้มากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว

ตัวอย่างปัจจัยที่ทางนักวิเคราะห์ของ Nomura นำมาใช้ในการวิเคราะห์ เช่น

  • ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
  • ราคาอสังหาริมทรัพย์
  • หนี้ต่อ GDP
  • สัดส่วนหนี้ของภาคเอกชน
  • อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง

สำหรับประเทศอื่นๆ นอกจากจีนที่มีความเสี่ยงประกอบไปด้วย ไทย โคลอมเบีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ส่วนทางด้านประเทศที่ความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ เกาหลีใต้ และ อินเดีย

ก่อนหน้านั้น Macquarie ได้ออกมาเตือนถึงเรื่องค่าเงินในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาว่าค่าเงินในประเทศเหล่านี้กำลังมีความเสี่ยง ถ้าหากดอลลาร์สหรัฐยังแข็งตัวต่อไป

ที่มาBloomberg

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

“สะสมไมล์เป็นเรื่องเชย” AirAsia เปิด BIG Loyalty ให้สะสมแต้มตามเที่ยวบิน

Brand Inside - 21 June 2018 - 15:57

AirAsia รื้อระบบ Loyalty Program เปิดตัวการสะสมคะแนนรูปแบบใหม่ BIG Loyalty เปลี่ยนจากการสะสมแต้มตามราคาตั๋วเครื่องบิน เป็นจำนวนเที่ยวบิน พร้อมจัดสถานะสมาชิกตามลำดับขั้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าบินถี่ขึ้น

สายการบิน Low Cost ก็ต้องมี Loyalty Program

อย่างที่ทราบกันดีว่าสิ่งที่ดึงดูดผู้บริโภคให้ใช้บริการสายการบิน Low Cost ก็คือราคาถูก แต่ในยุคที่การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ แค่ราคาอย่างเดียวไม่สามารถเอาอยู่แล้ว ต้องพ่วงด้วย Loyalty Program เพื่อสร้างแบรนด์เลิฟให้อยู่ในใจผู้บริโภคตลอด

AirAsia เป็นสายการบินหนึ่งที่มี Loyalty Program มาตั้งแต่ปี 2012 ใช้ชื่อว่า AirAsia BIG Loyalty ในตอนนั้นเป็นการสะสมคะแนนตามค่าตั๋วโดยสาร ทุก 20 บาทจะได้ 1 BIG Point ทุกคนมีสถานะเท่ากัน ไม่มีการจัดอันดับแฟนที่มีลอยัลตี้สูงๆ

จนถึงในปีนี้ AirAsia ได้ปรับโฉมโปรแกรมนี้ใหม่ ในรูปแบบ Freedom Flyer Programme เริ่มเปิดตัวที่มาเลเซียตั้งแต่เดือนกันยายน 2017 ในไทยก็เริ่มมีใช้แบบเงียบจนได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้

ซึ่งโปรแกรมใแหม่ยังมีการสะสม BIG Point จากการใช้จ่ายอยู่ ทุก 10 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนริงกิต มาเลเซีย) จะได้รับแต้มสูงสุด 2 แต้ม แต่เพิ่มโมเดลสะสมแต้มจาก “เที่ยวบิน” ไม่ว่าจะบินสั้นในประเทศก็นับเป็น 1 เที่ยว ถ้าบินระยะไกลก็นับเป็น 2 เที่ยว ซึ่งเที่ยวบินจะเป็นเกณฑ์ในการจัดลำดับสถานะสมาชิกมี 4 ระดับด้วยกัน คือ Red, Gold, Platinum และ Black ทำให้สมาชิกสะสมคะแนนได้เร็วขึ้น สามารถไปแลกตั๋วเครื่องบินได้ง่ายขึ้น

โมเดลนี้จะแตกต่างจากสายการบินอื่นที่ส่วนใหญ่จะใช้การสะสมไมล์ ระยะทางในการเดินทาง หรือเป็นค่าใช้จ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน แล้วมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือแลกตั๋วเครื่องบิน แต่พบว่ายังมีข้อจำกัดในการแลกตั๋วเครื่องบินอยู่

สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า

“Loyalty Program ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการสายการบิน เป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ เราถือว่ามีโปรแกรมที่ชัดเจนที่สุด มองว่าการสะสมไมล์เป็นเรื่องเชยไปแล้ว การดูจากเที่ยวบินทำให้รู้ว่าลูกค้ารักเราแค่ไหน บินบ่อยแค่ไหน โปรแกรมนี้จะเป็นการรักษาฐานลุกค้าให้ไม่เปลี่ยนใจ จากนั้นก็ปากต่อปากกันต่อไปก็ทำให้ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเอง”

พัฒนาโปรแกรมให้จริงใจ และแฟร์กับลูกค้า

เบื้องหลังของการพัฒนาโปรแกรมใหม่นี้มาจาก Pain Point ที่ว่าอยากให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิประโยชน์มากที่สุดและแฟร์กับลูกค้ามากที่สุดที่สำคัญต้องมีความจริงใจสามารถแลกตั๋วเครื่องบินได้แบบไม่มีเงื่อนไข

บวรภัค วชิรวราการ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย AirAsia BIG Loyalty กล่าวเสริมว่า

“แต่ก่อนการสะสมแต้มเป็นแบบทุกคนเท่าเทียมกันหมด ทำให้แต่ละคนไม่มีแรงจูงใจ การจัดลำดับทำให้เห็นว่ามีแฟนที่บินกับเราถี่แค่ไหน แต่ละลำดับก็ขึ้นอยู่กับจำนวนการบิน การปรับรูปแบบใหม่ก็เป็นการแฟร์ด้วย”

AirAsia BIG Loyalty มีการฟรีค่าสมาชิก และมีอายุการใช้งานตลอดชีพ แต่ถ้าไม่แอคทีฟนาน 3 ปีระบบก็จะตัด สามารถใช้ BIG Point แลกเป็นตั๋วเครื่องบินได้ทุกเส้นทางใช้แลกค่าโดยสารรวมถึงค่าธรรมเนียมและภาษีได้

สำหรับสถานะสมาชิก 4 ระดับ จะจัดตามจำนวนเที่ยวบินที่บินต่อปี Red น้อยกว่า 13 เที่ยวบิน Gold ระหว่าง 14-23 เที่ยวบิน Platinum ระหว่าง 24-49 เที่ยวบิน และ Black มากว่าหรือเท่ากับ 50 เที่ยวบิน

ปัจจุบัน AirAsia BIG Loyalty มีสมาชิกแล้ว 2 ล้านราย แอคทีฟ 80% มียอดคะแนนเติบโตขึ้น 100% และการแลกตั๋วเติบโตขึ้น 80% ในปีนี้ตั้งเป้ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านราย จากจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 23.2 ล้านราย

สรุป

การปรับโฉมรูปแบบของ Loyalty Program สร้างสีสันให้ตลาดได้ไม่น้อย เพราะยุคนี้ไม่ได้คุยแค่เรื่องราคาอย่างเดียว ต้องมีโปรแกรมที่ดึงดูดผู้บริโภคให้อยู่ได้ตลอด ต้องมีสิทธิประโยชน์ที่มากพอ และโปรแกรมนี้สร้างความแตกต่างในตลาดด้วย จากที่ส่วนใหญ่เน้นการสะสมไมล์ เป็นการสะสมจากจำนวนเที่ยวบิน บินสั้นแต่บินถี่ก็ถือว่าแฟนจริงๆ แล้ว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

เอาไว้สู้ Amazon ในศึกค้าปลีก! Walmart ประกาศรับคนไอทีเข้าทำงานอีก 2,000 ตำแหน่งในปีนี้

Brand Inside - 21 June 2018 - 15:54

ยุคนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสายงานหรืออุตสาหกรรมใดๆ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการ “คนไอที” เพราะยุคนี้เทคโนโลยีครองโลก ล่าสุด Walmart ประกาศแผนรับสมัครพนักงานไอทีเพิ่ม 2,000 คนในปีนี้ จากแต่เดิมที่มีอยู่แล้วถึง 6,000 คน

WalmartPhoto: Shutterstock ค้าปลีกยุคใหม่ ต้องการคนไอทีจำนวนมาก มาเสริมแกร่งธุรกิจ

Walmart ประกาศรับสมัครพนักงานสายไอทีเพิ่ม 2,000 คนในปีนี้ เพื่อสู้ศึกค้าปลีกและต่อกรกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon

พนักงานไอทีจำนวน 2,000 คนที่ Walmart ต้องการมีทั้งที่เป็นพนักงานประจำและ part-time โดยคนไอทีเหล่านี้จะต้องเข้าไปทำงานใน Walmart Labs ที่ตั้งอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย, ในรัฐอาร์คันซอ, ในรัฐเวอร์จิเนียหรือในประเทศอินเดีย

อันที่จริง ในปัจจุบัน Walmart มีพนักงานที่เป็นคนไอทีมากอยู่แล้วถึง 6,000 คน (ถ้าจบสิ้นปีนี้และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นั่นหมายความว่า Walmart จะมีพนักงานไอทีในบริษัทถึง 8,000 คน) พนักงานไอทีของ Walmart มีตั้งแต่ที่เป็นวิศวกรไอที, Data Scientists ไปจนถึง Product Managers หน้าที่หลักคือการดูแลธุรกิจฝั่งอีคอมเมิร์ซทั้งหมด แต่ทว่าแค่นี้ยังไม่พอ เพราะในปีนี้ Walmart ต้องการขยายแผนงานให้ครอบคลุมไปฝั่งส่งของสดออนไลน์ (grocery online) ให้แข็งแกร่งมากขึ้น

WalmartPhoto: Shutterstock

แน่นอนว่า Walmart ไม่อยากแพ้ในศึกครั้งนี้ ดังนั้นการเดินเครื่องเพิ่มคนไอทีเข้ามาในบริษัทจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะชนะศึกครั้งนี้ได้ เพราะการส่งของสดออนไลน์ต้องจัดการทั้งออร์เดอร์ออนไลน์, จัดการเรื่องคลังสินค้าแบบเรียลไทม์ จนถึงการส่งของเดลิเวอรี่ และสำหรับ Walmart ด้วยความที่แข็งแกร่งออฟไลน์ คือมีหน้าร้านจำนวนมาก ก็มีบริการให้ลูกค้าไปรับของที่สาขาไหนก็ได้ แถมในปีนี้ Walmart ยังมีแผนที่จะขยายพื้นรับของสดผ่านหน้าร้าน (หรือที่เป็นตู้อัตโนมัติก็หน้าตาประมาณนี้) จากเดิมที่ให้บริการอยูอยู่ 1,500 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ก็จะเพิ่มเป็น 2,100 แห่ง เรียกได้ว่า Walmart ต้องการคนไอทีเข้ามาทำงานในบริษัทจำนวนมากจริงๆ

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคอย่างหนึ่งที่ Walmart ประสบอยู่ก็คือ คนไอทีจำนวนมากยังมองไม่เห็นว่า Walmart เป็นบริษัทไอที เพราะยังคงติดภาพที่เป็นเพียงบริษัทค้าปลีกทั่วไปอยู่นั่นเอง

ที่มา – Venturebeat

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

เปิดตัวเลขสื่อโฆษณาเดือน พ.ค. 61 TV Direct นำมาอันดับ 1

Brand Inside - 21 June 2018 - 15:33

TV Direct เป็นแบรนด์ที่ใช้งบโฆษณาเยอะที่สุดในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และเมื่อเทียบตลอดปีนี้ที่ผ่านมา TV Direct ก็ยังนำเป็นอันดับ 1 เช่นกัน จากเดิมช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะเป็น กระทะ Korea King แต่เมื่อดูภาพรวมทั้งบริษัท Unilever ยังคงเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนแบรนด์ในมือที่มีมากมายหลากหลาย

เมื่อจำแนกตามประเภทสื่อที่มีการใช้งบโฆษณา พบว่า ช่องทีวีแบบเดิม, หนังสือพิมพ์และแม็กกาซีน ยังเป็นสื่อที่มียอดการใช้สื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเทียบตลอด 5 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับการปิดตัวของสื่อสิ่งพิมพ์หลายๆ รายที่ผ่านมา

หมายเหตุจาก Nielsen

สื่อกลางแจ้ง (outdoor) และสื่อเคลื่อนที่(transit):มีการรวมข้อมูลจาก JCDecaux สำหรับข้อมูลจากสื่อในสนามบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 และข้อมูลของสื่อ outdorr และ transit จาก JCDecaux ได้ถูกรวมเข้าไว้ในรายงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560

นีลเส็นได้มีการเพิ่มพื้นที่การเก็บข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) เช่นสื่อเคลื่อนที่(transit),ป้ายบิลบอร์ด, ป้ายโฆษณาบนทางเท้า, สื่อในสนามบิน และอื่นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมปี2559 เป็นต้นมา

อินเตอร์เน็ท – ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 นีลเส็นได้มีการขยายการเก็บข้อมูลโมษณาผ่านสื่อ อินเตอร์เน็ทโดยครอบคลุม 50 เว็บไซต์ยอดนิยม และ 10 เว็บไซต์ยอดนิยมบนมือถือ

สำหรับภาพรวมการใช้งบโฆษณาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ททั้งหมดกรุณาอ้างอิงข้อมูลจากDAAT

สื่อในห้าง – นีลเส็นได้มีการเพิ่มข้อมูล สื่อวิทยุในห้าง Big C และ 7 Eleven เข้ามาในฐานข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559

ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ข้อมูลของสื่อในห้างTesco Lotus และ Big C ไม่ได้รวมอยู่ในฐานข้อมูลของนีลเส็น

ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2559 เป็นต้นมา ได้มีการเพิ่มสื่อที่บริหารจัดการโดยบริษัท Plan B เข้ามาในฐานข้อมูลของสื่อกลางแจ้ง, สื่อเคลื่อนที่, และสื่อในห้าง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

ช่วง Trade War แบบนี้ ลงทุนที่ไหนดี?

Brand Inside - 21 June 2018 - 14:38

ข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้า (Trade War) เลยเป็นเหตุผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทิ่มหัวลงในวันอังคาร (19 มิ.ย.) ที่ผ่านมา

สาเหตุหลักเกิดจากความตึงเครียดกรณีภาษีการค้าระหว่างสหรัฐและสาธารณรัฐประขาชาจีน ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นในช่วงเวลาไม่แน่นอนแบบนี้จะมีตลาดไหนบ้างที่นักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุน หรือหาที่หลบพายุซึ่งกำลังโหมกระหน่ำนี้ได้

เริ่มกันที่ การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ​ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงในระดับโลก แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศบ้าง แต่ผลตอบแทนของพันธบัตร 10 ปี ยังเคลื่อนไหว(เพิ่มขึ้น)ตรงข้ามกับราคาพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งในวันอังคารที่ผ่านมานักลงทุนยังเข้าซื้อตราสารหนี้ของสหรัฐมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวยังลดลงบ้าง

ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ(USD) มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ราคาทองคำทั่วทั้งตลาดกลับร่วงลงในวันอังคารที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นักลงทุนมองว่า ทองคำ คือ Save Heaven(สินทรัพย์ปลอดภัย) เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่จับต้องได้และเชื่อมโยงไปกับอุปสงค์อุปทานในตลาดซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่นักลงทุนต้องไม่จำกัดตัวเองในการลงทุนแค่ ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ อัตราแลกเปลี่ยน เพราะมีผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่า มีหุ้นบางส่วนที่จะพุ่งขึ้นในช่วงความผันผวนนี้

การลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะช่วยให้หุ้นที่มีปันผลมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนัลงทุนที่ต้องการราย
ได้คงที่เช่น Verizon ยังให้เงินปันผลที่ 4.9%เพิ่มขึ้นเกือบ 2% และแม้ว่าดัชนีดาวโจนส์ ในวันอังคารจะร่วงลงถึง 400 จุดแต่กลุ่มสาธารรูปโภคและกองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ยังคงให้เงินปันผลสูง

ส่วนที่เหลือของตลาดแม้ไม่ค่อยดี นัก แต่ Tom Essaye (ทอม เอสเซย์) ผู้ก่อตั้ง The Sevens Report (บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุน) กล่าวในจดหมายข่าวรายวันว่า นักลงทุนควรมุ่งเน้นกลุ่มบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของสหรัฐ

“ถ้าสงครามการค้าบานปลาย จะกดดันทั่วทั้งตลาด แต่ในภาพที่แย่ที่สุด เซคเตอร์ที่ในประเทศสหรัฐ จะมีภาพที่ดีกว่าตลาดนอกประเทศ”

 

และอีกหนึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple, Facebook, Amazon, Netflix and Google owner Alphabet จะยังมีการเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ และถือเป็น Save Haven ในสถานการณ์ที่มีความวุ่นวาย และมีเรื่องสงครามการค้า

Daniel Ives (แดเนียล ไอฟ์) หัวหน้าฝ่ายวิจัยเทคโนโลยี GBH Insights บอกในรายงานเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีในสินค้าจีนกว่า 200,000 แสนล้านเหรียฐสหรัฐ ว่า “เราเชื่อว่าบริษัทอย่าง Apple และกลุ่มFANG (Facebook Amazon Netflix Google) จะได้รับผลกระทบด้านการเงินน้อย แม้ว่าจะมีกรณีการตอบโต้เรื่องมาตรการทางการค้าก็ตาม”

Ives เล่าต่อว่า Apple อยู่ในจุดที่ดี เพราะมีความสัญญาเรื่องการผลิตสินค้ากับ Foxconn ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต
ไอโฟน Ives มองว่ารัฐบาลจีนไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงให้ Foxconn ผ่านการกดดัน Apple

“จากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง Apple and Foxconn ในจีน เราจึงเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อย“

ส่วนหุ้นอย่าง FANG Ives  คิดว่าเป็นหุ้นที่ได้รับการป้องกันจากกรณีสงครามการค้า  เพราะส่วนใหญ่ ทั้ง Facebook, Amazon Netflix  และ Google ไม่ได้มีส่วนมากในจีน ซึ่งนับเป็นภาคการบริการมากกว่าภาคการผลิต จึงเป็นเรื่องยากที่จะคิดเรื่องภาษีจาก การโฆษณา เครือข่ายสังคม(social network)  ระบบถ่ายทอดสดภาพและเสียง(streaming media) และทีวีซีรีย์ แตกต่างจากการกำหนดภาษีอย่าง รถ เครื่องบิน หรือ อาหาร

สรุป

ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน นักลงทุนยังสามารถลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐ หุ้นที่มีปันผล หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐ เพราะยังมีการเติบโตที่ดี นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ที่เป็นภาคบริการ เช่น Facebook, Amazon, Netflix and Google owner Alphabet ยังถือว่าน่าสนใจ

ที่มา http://money.cnn.com/2018/06/19/investing/market-safety-stocks-tariffs-trade-war/index.html?iid=ob_article_hotListpool

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

4 อาชีพที่กำลังมาแรงใน 3-5 ปีนี้ | เปิดเผยโดยผู้บริหารระดับสูงของ Linkedin

Brand Inside - 21 June 2018 - 14:29

เปิด 4 ทักษะอาชีพที่กำลังจะเป็นที่ต้องการของตลาดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อมูลนี้ได้มาจาก Ryan Roslansky รองประธานบริษัทอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Linkedin บริษัทหางานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Linkedin มีผู้เข้าใช้งานบนแพลตฟอร์มกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก มีข้อมูลจากหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล ที่สำคัญทางบริษัทสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นออกมาเป็นความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมได้อย่างแม่นยำ

ทักษะอาชีพ งานPhoto: Shutterstock
  • และนี่คือ 4 ทักษะอาชีพที่กำลังมาแรงในอีก 3-5 ปีนับจากนี้
1. งานฝ่ายบุคคลสาย HR มาแรง

Roslansky บอกว่า การบริการงานฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังมานี้งานสาย HR มาแรงและมีความต้องการที่สูงมาก เนื่องจากการออกแบบและจัดสรรผลประโยชน์ให้กับพนักงานเป็นสิ่งที่สำคัญของบริษัทในยุคนี้

2. ฝ่ายนโยบายของบริษัท

อีกหนึ่งสายงานที่จะมาแรงคือ งานสายนโยบายของบริษัท Roslansky บอกว่า งานสายนี้จะทำหน้าที่ในการออกนโยบายสำหรับการว่าจ้างพนักงาน รวมถึงอกนโยบายมาบริหารจัดการพนักงานในบริษัท รับรองว่าเราจะได้เห็นงานสายนี้เติบโตอีกมากอย่างแน่นอน

ทักษะอาชีพ งานPhoto: Shutterstock 3. ฝ่ายอำนวยความสะดวกให้พนักงาน

อย่างที่ทราบกันดีว่า กระแสการทำงานของโลกยุคใหม่คือการไม่ต้องอยู่ติดกับที่หรือต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะฉะนั้นบริษัทต่างๆ ในยุคต่อไปจำเป็นจะต้องมีฝ่ายอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานเพื่อรองรับความต้องการของพนักงานในบริษัท

4. ฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล Big Data

แทบจะไม่ประหลาดใจอะไรกับงานสายนี้ เพราะว่ามาแรงอยู่แล้วในปัจจุบัน (แถมหาตัวจริงในตลาดยากด้วย) และสำหรับกระแสของงานสายนี้ในอนาคต Roslansky ฟันธงไว้เลยว่า งานสายวิเคราะห์ข้อมูลจะเติบโตอย่างมากในอนาคตอย่างแน่นอน

สรุป: ในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก การรักษา “พนักงาน” คือหัวใจสำคัญ

จะเห็นได้ว่า ทักษะอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั้ง 4 สายงานข้างต้นนี้ มีถึง 3 สายงานด้วยกันที่เป็นงานซึ่งเกี่ยวข้องกับ “พนักงาน” โดยตรง

  • คำถามคือ เพราะอะไร?

เพราะว่าในยุคที่เทคโนโลยีครองโลก คือเทคโนโลยีเป็นทั้งพื้นฐานของธุรกิจและเป็นทั้งเครื่องมือในการแข่งขันของแต่ละบริษัท แต่ต้องอย่าลืมว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในวันนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะการันตีความสำเร็จในอนาคต แต่กลับกันสิ่งสำคัญของแต่ละบริษัทคือ “คน” การรักษาและพัฒนาพนักงานที่เติบโตมาด้วยกันให้เข้าใจเทคโนโลยีเพื่อพร้อมต่อการแข่งขัน สิ่งนี้เองต่างหากที่จะเป็นสิ่งการันตีความสำเร็จของบริษัทในอนาคต

ข้อมูล – CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

หลุดภาพตัวจริง ZTE nubia Z18 จอขยายเต็มเครื่อง ไร้ซึ่งรอยบาก

MXPhone - 21 June 2018 - 13:14

เบาะแสเกี่ยวกับเรือธงใหม่รุ่น nubia Z18 มีหลุดออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้มีข้อมูลที่น่าสนใจอย่างเรื่องของสัดส่วนพื้นที่หน้าจอเมื่อเทียบกับตัวบอดี้ และกล้องหน้าขนาดเล็กแบบเดียวกันกับตัว Essential Phone ซึ่งล่าสุดก็มีภาพเครื่องจริงออกมาให้ชมกัน จากรูปจะเห็นว่ารุ่นนี้มีพื้นที่ขอบเครื่องที่บางมากๆ ถึงแม้ว่าอะไรแบบนี้จะไม่ใช้เรื่องใหม่ของวงการสมาร์ทโฟน แต่ก็นับได้ว่า nubia ประสบความสำเร็จในการลดพื้นที่ขอบจอด้านบนและด้านล่างของเครื่องซึ่งทำให้ nubia Z18 มีสัดส่วนที่ดูกระทัดรัดกว่าตัว nubia...

The post หลุดภาพตัวจริง ZTE nubia Z18 จอขยายเต็มเครื่อง ไร้ซึ่งรอยบาก appeared first on mxphone.

Pages