Avery Pennarun วิศวกรไฟเบอร์ของกูเกิล เขียนบันทึกการทำงานในกูเกิลลงบนบล็อกของตัวเอง เล่าว่าพนักงานกูเกิลส่วนใหญ่เป็นคนฉลาด แต่มีปัญหาในการมองสังคมภายนอก ทำให้ดูเหมือนมีโลกส่วนตัวและตัดขาดจากโลกความเป็นจริง
เขาเล่าว่าคนที่ฉลาด (โดยเฉพาะด้านคอมพิวเตอร์) มักจะเป็นคนที่คอยหาเหตุผลและคำอธิบายให้กับทุกสิ่งอย่าง (rationalize) และก็มักจะพยายามหาเหตุผลให้กับสังคมที่มีความวุ่นวายด้วยเช่นกัน แต่ในบางครั้งเมื่อผลที่ออกมาไม่เป็นดังที่คาด คนเหล่านี้จึงอาจไม่พอใจและตีตัวออกห่างจากสังคม (isolation) เพราะคนเหล่านี้เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงจากความสำเร็จต่างๆ ในอาชีพการงาน (ขณะที่บางความสำเร็จก็เกิดจากการหลอกตัวเอง เช่น โครงการถูกยุบหรือไม่ทำเงินแต่ก็ยังมองว่าได้สถิติของผู้ใช้งานกลับมา ไม่ล้มเหลวไปซะทีเดียว)
ทั้งนี้ Pennarun ปิดท้ายว่าปัญหาของการทำงานในที่อื่นๆ มักจะเกิดจากความไม่มั่นใจของพนักงาน จนกลายเป็นโรค Imposter Syndrome ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานในกูเกิล เขากลับมองว่า Imposter Syndrome นั้นค่อนข้างมีประโยชน์อยู่ เพราะจะทำให้คนไม่มั่นใจในการให้เหตุผลตัวเองจนเกินไป
ที่มา - Business Insider
Comments
ย่อหน้าสุดท้ายผมอ่านไม่ค่อยเข้าใจครับ
"คนที่ฉลาดๆ เหล่านั้นต้องคอยมาช่วยเหลือคนที่เป็นโรคเหล่านี้"
คนที่ฉลาดๆ เหล่านั้นนี่ คือ กลุ่มคนที่ฉลาด แต่มีปัญหาในการเข้ากับสังคมภายนอก ?
คนที่เป็นโรคเหล่านี้ คือ กลุ่มคนพวกแรกที่พัฒนาจนมีตรรกะแปลกๆ จนเป็นโรค Imposter Syndrome ?
แล้วคนกลุ่มแรก ต้องมาคอยช่วยเหลือคนกลุ่มหลัง ? ทั้งๆ ที่คนกลุ่มแรก ก็จะพัฒนาไปเป็นคนกลุ่มหลัง ?
ขออภัยครับ แก้แล้วครับ
Writer no.59 เพื่อสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้
การทำงานในอื่นๆ ?
คนเหล่านีที่เค้าพูดถึง ต่อให้ไม่ได้ทำงานกับ Google ก็เป็นแบบนั้นนะ :)
จริง แต่ Google ดันเป็นแหล่งของคนเหล่านี้ เลยดูเห็นได้ชัดเท่านั้น
ผมก็เคยเจอนะ ที่อื่นๆ
บางคนอาจจะได้ความมั่นใจมา จากการที่สามารถเข้าไปทำงานใน google ได้ก็ได้ครับ
หมายถึงพวก geek ใช้ปะครับ
ตรงประเด็น...
Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ
+1 อธิบายซะยืดยาว อ่านแล้วยังงงๆ บอก geek ตั้งแต่แรกก็จบ
นี่มันแบบเดียวกับที่ทำงานของผมชัดๆ....
แบบนี้ที่ไมโครซอฟท์ก็เป็น
intp สินะ
มันสนุกดีนะ เวลาได้หาเหตุผลและคำอธิบายให้กับทุกอย่าง
ผมว่ามันคือการแก้สมการที่ยุ่งเหยิงอย่างหนึ่ง
ถ้าคุณหา Factor ที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นๆ ได้
มันก็เท่ากับว่าคุณสามารถเข้าใจในการเกิดเรื่องนั้นๆ แล้ว (แต่อาจไม่ทั้งหมด)
และเวลาที่มัน Fail มันก็แปลว่า Factor ที่หามามันไม่ครอบคลุมหรือสมการนั้นผิดไปจากความเป็นจริง
พอคิดมากๆ เข้า หลายๆ เรื่องมันก็จะไปตันที่ ทำไมเราถึงคิดต่างกัน
แล้วมันก็กลายเป็น Determinism vs Free-will
ปล. บ่นอะไรคนเดียว 555
ผมก็เคยเป็นคนแบบนี้นะ หาอะไรให้กับทุกอย่าง
ตอนนี้ก็ยังหาอยู่ แต่ในใจ ไม่พูดออกมา หาไม่ได้ก็ปล่อยวาง
ผมรู้สึกว่าบางที การที่เราไม่รู้ต้นตอ ก็ดีเหมือนกัน
บางสิ่งมันก็ไม่ต้องการคำอธิบาย เพราะอธิบายละยุ่งมาก 55555
+1
ยิ่งรู้เยอะยิ่งหงุดหงิดครับ
เวลามีคนมาพูดอะไรที่เรารู้ว่าเขามั่ว หรือไม่รู้จริง แต่ดันขี้เกียจไปอธิบายหรือไป proof ว่าเขาผิดมันหงุดหงิดแปลกๆแบบบอกไม่ถูก
คนเก่งๆ น่าจะเป็นอย่างนี้เยอะ และอยู่ทุกๆที่ล่ะเนอะ
ไอ้เรามันก็อ่อนหัด 555 มั่วไปเรื่อยๆ ^^'
..: เรื่อยไป