เดินทางมาถึงรุ่นที่ 8 ของตระกูล One เสียที สำหรับเจ้า HTC One (M8) เรือธงเพียงหนึ่งเดียวของปีนี้ หลังจากที่วางขายในสหรัฐอเมริกาไปก่อนตั้งแต่วันเปิดตัวแบบสายฟ้าแล่บ และแล้วในที่สุดก็จะถึงคิวของประเทศไทยที่ได้ยลโฉมและสัมผัสกับ HTC One (M8) กันเสียทีในเร็วๆ นี้ครับ

แน่นอนครับว่างวดนี้เอชทีซีประเทศไทยก็ได้ส่งเครื่องมาให้ลองเล่นด้วย ก็เลยนำมาเขียนให้ได้อ่านกันในคราวนี้นะครับ แต่ด้านสเปคก็คงไม่พูดซ้ำเหมือนเคย ถ้าใครอยากทราบไปตามกันได้จากข่าวเก่าหรือ หน้าเว็บหลักนะครับ

รูปทรงตัวเครื่อง

M8 นั้นยังคงใช้ลักษณะการออกแบบเหมือนกับ M7 เช่นเคย เพียงแต่ใช้เหล็กมาทำเป็นตัวถังเพิ่มขึ้น และขัดให้ความคมนั้นน้อยลง ส่วนสีนั้นที่เหมือนเดิมคงมีแค่สีเงินขาว กับสีทองดำ ส่วนสีดำนั้นถูกขัดให้ออกมาโทนอ่อนกว่า M7 นอกนั้น แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยครับ

ด้านหน้าไล่จากบนลงล่างก็จะประกอบไปด้วยลำโพง BoomSound เซ็นเซอร์รับแสง กล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิกเซล หน้าจอทัชสกรีนความใหญ่ 5 นิ้ว (ขยับเพิ่มจาก 4.7 ในปีที่แล้ว) และไมโครโฟนหลักที่ซ่อนอยู่ในลำโพงส่วนล่าง

ด้านหลังประกอบไปด้วยกล้องคู่หลัง HTC Dual Camera แฟลชคู่แบบทูโทน และไมโครโฟนตัวที่สอง

ด้านบน มีปุ่ม Power และแถบ IR Blaster ที่งวดนี้ยึดพื้นที่ทั้งหมด

ด้านล่างมีพอร์ต USB และช่องเสียบหูฟัง

ด้านข้างซ้ายเป็นที่อยู่ของ NanoSIM ส่วนข้างขวาเป็นที่อยู่ของ MicroSD Card ทั้งคู่ต้องใช้วิธีการจิ้มเพื่อให้ถาดเด้งออกมาแล้วถึงค่อยใส่ซิมหรือการ์ดเข้าไป และปุ่มปรับเสียง อยู่ด้านขวาถัดจากถาด MicroSD

ซอฟต์แวร์

ซอฟต์แวร์ของ M8 นั้นฐานคือ Android 4.4.2 ครอบทับด้วย Sense 6 ซึ่งขอพูดตามตรงว่าความสามารถไม่หนีไปจาก Sense 5 มาก เพราะฉะนั้นคนที่ใช้ One 2012 และคิดจะอัพเกรดขึ้นมาเป็นตัวนี้ ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเหมือนตอน Sense 3/Sense 4 เป็น Sense 5 ครับ ส่วนคนที่ใช้ One 2013 ซึ่งปัจจุบันเป็น Sense 5.5 นั้น ยิ่งแทบไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลย เพราะหน้าตาส่วนใหญ่จะเหมือน Sense 5.5 มากจนตกใจเลยทีเดียว

แต่ในความเหมือนทั้งหมดก็ใช่ว่าจะไม่มีของใหม่ เพราะ Sense 6 นั้น ได้เพิ่มความสามารถ Motion Launch และ FlipFont (ที่มีอยู่ใน Samsung Galaxy ทุกรุ่น) เข้ามา และนอกจากนี้ Sense 6 ยังได้แยกฟีเจอร์ออกเป็นแอพพลิเคชันรายตัว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการอัพเดต (ซึ่งในอนาคต Android ค่ายอื่นจะเข้ามาโหลดไปใช้งานได้อีกด้วยครับ)

ข้อดีอีกอย่างของ Sense 6 ก็คือเราสามารถใช้แบคอัพที่ทำไว้ตอนเป็น Sense 5 มา Restore เพื่อใช้งานต่อได้เลย โดยแอพพลิเคชันจะติดตั้งให้เองโดยไม่ต้องไปงมหาใน Play Store ใหม่ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือพื้นที่ใช้งานของ M8 มีเพียงแค่ 16 GB เท่านั้น ถ้าเกินระวังที่จะไม่พอใช้นะครับ

แน่นอนว่าพระเอกตลอดกาลของเอชทีซีกับโซนี่อย่าง PlayStation Mobile ยังคงใช้งานได้เช่นเคยครับ

เสียง

เพราะความที่ Beats Audio ขอถอนหุ้นคืนจาก HTC ทั้งหมด ทำให้เอชทีซีหมดสิทธิ์การใช้งาน Beats Audio ต่อในทันที (เหลือแค่ HP ที่มีสิทธิ์ใช้งาน) ซึ่งโทรศัพท์ที่เราเห็นเอชทีซีถอดเอา Beats Audio ออกไปแล้วนั้น ก็คือ HTC One Max ที่วางขายช่วงกลางปี 2013 และแน่นอนว่าผลยังส่งต่อถึง M8 ด้วย แต่อย่างไรก็ดี เอชทีซีได้ใช้สิ่งที่เรียนรู้จาก Beats Audio มาพัฒนาเป็น Sound Enchantment ของตัวเองในชื่อ BoomSound ครับ

BoomSound ของ M8 นั้น ให้เสียงออกมาในโทนที่ Beats Audio สามารถทำได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเสียงเบส ความมีมิติ ความนุ่ม และความซอฟท์ ซึ่งทั้งหมด BoomSound ทำได้เทียบเท่า (หรืออาจจะดีกว่า) Beats Audio ด้วยซ้ำ และยิ่ง M8 มีแอมป์ตัวที่กินไฟกว่า M7 ผลก็คือเสียงของ M8 ยิ่งทำออกมาได้ดีกว่า M7 มากพอสมควรเลยทีเดียว

ส่วนลำโพง BoomSound ของตัวเครื่องนั้น ใน M8 ก็ได้ปรับปรุงให้ลำโพงมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า M7 ขึ้นไปอีก เสียงที่ปล่อยออกมาเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับการฟังด้วยชุดหูฟังแล้ว โทนเสียงมีความใส นุ่มลึก มีเบสออกมาพร้อม เรียกได้ว่าสามารถเอาไปใช้เปิดในงานปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงได้โดยไม่ต้องต่อเครื่องเสียงกันเลยทีเดียวครับ

กล้อง

กล้องของ M8 นั้นปรับปรุงใหม่ยกแผง โดยเปลี่ยนไปใช้เซ็นเซอร์กล้องแบบคู่ ซึ่ง HTC เรียกมันว่า HTC Dual Camera ครับ ในแง่ความละเอียดภาพ M8 ยังคงใช้เซ็นเซอร์ตัวเดิมของ M7 นั่นก็คือ Ultrapixel ขนาด 4.7 ล้านพิกเซล แต่สิ่งที่ปรับปรุงคือฟีเจอร์ที่โดดเด่นขึ้น และสามารถใช้งานได้จริง

โหมดกล้องของ M8 นั้นจะประกอบไปด้วย Zoe, Pan 360 (Photosphere ใน Stock Android), Selfie, Dual Capture และโหมดกล้องปกติทั้งกล้องถ่ายรูป และกล้องถ่ายวิดีโอ

กล้องของ M8 นั้นจะทำงานพร้อมกันสองตัวครับ ถ้าเกิดเราวางนิ้วไปบังกล้องรอง ตัวเครื่องก็จะมีการขึ้นข้อความเตือนด้วยว่านิ้วเราไปบล็อคกล้อง Duo อยู่ และก็จะไม่อนุญาตให้เราลั่นชัตเตอร์ได้ครับ

การถ่ายภาพในแต่ละโหมดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยครับ อย่างเช่น Zoe ถ้าไม่กดค้างจะเป็นการถ่ายรูปรัว 20 รูปอย่างเดียว แต่ถ้ากดค้างก็จะเป็นการถ่ายวิดีโอทับหน้าไปด้วย (แต่รูปยังรัวแค่ 20 รูป)

ในขณะที่โหมด Pan 360 นั้น ใช้วิธีการและกลไกการถ่ายแบบเดียวกับ Photosphere ใน Stock Android หรือ VR Panorama ใน G UX ของ LG เป๊ะ ดังนั้นจึงไม่ต้องปรับอะไรมาก เพียงแค่ของเอชทีซีจะมีการใส่กราฟบอกตำแหน่งว่าตำแหน่งไหนถ่ายไปแล้วบ้างที่มุมซ้ายบน ส่วนที่ยังไม่ได้ถ่ายจะเป็นสีดำโปร่งๆ แต่ถ้าถ่ายแล้วก็จะเป็นสีเทา

ตัวรูปนั้นสามารถแสดงผลแบบ Photosphere หรือ VR Panorama ได้สมบูรณ์แบบ และสามารถใช้ Gyroscrope ในการหมุนดูภาพได้ด้วย สามารถดึงภาพใหญ่ออกมาพิมพ์ได้เหมือน VR Panorama และภาพสามารถอัพเป็น Photosphere ขึ้น Google+ เพื่อแสดงให้เพื่อนๆ ใน Google+ ได้เห็นเช่นเดียวกันครับ

แต่ฟีเจอร์เด่นๆ ในด้านกล้องนั้นกลับไม่ใช่เรื่องการถ่ายภาพ แต่เป็นเรื่องของการปรับแต่งภาพหลังถ่ายมากกว่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของ M8 นั่นเองครับ โดยการปรับแต่งภาพหลังถ่ายนั้นจะมีหลายฟีเจอร์ด้วยกัน โดยฟีเจอร์เด่นๆ ก็จะมีดังนี้ครับ

UFocus ปรับโฟกัสหลังถ่ายได้แบบอิสระ

Forgrounder ปรับแต่งพื้นหลังได้หมดจด โดยเน้น Object ที่เราเลือกเอาไว้

Season ใส่เอฟเฟคฤดูกาลให้ภาพ

Dimension Plus ปรับตำแหน่งของรูปภาพในแบบ 3 มิติ

ข้อควรระวังเลยก็คือ โหมดปรับรูปทั้งหมดนี้ ใช้กับรูปถ่ายใส่ฟิลเตอร์/เลือกซีนไว้/ถ่าย Close-up ไม่ได้ หรือก็คือใช้ได้เฉพาะรูปที่ถ่ายจากโหมด Auto อย่างเดียวเท่านั้นครับ

แน่นอนว่าฟีเจอร์เด่นตั้งแต่สมัย M7 อย่าง Video Presentation ก็ยังคงติดมาด้วย และมาในรูปแบบที่ดีกว่าเดิมอีก นั่นคือเราสามารถปรับแต่งเอฟเฟคของภาพ หรือเปลี่ยนเสียงเพลงได้แบบตามใจชอบด้วย เอาง่ายๆ คือเราสามารถทำพรีเซนเทชันสำหรับนำแสดงในงานต่างๆ ผ่านทางนี้ได้เลย

ประสิทธิภาพและการใช้งาน

HTC One (M8) ถือว่าเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่จาก HTC One (M7) ในปีที่แล้วทุกด้านพอสมควร เช่นหน่วยประมวลผลที่ปรับปรุงใหม่ หน้าจอใหญ่ขึ้น ตัวเครื่องที่เบาลง และสามารถเพิ่มหน่วยความจำได้ตามความเรียกร้องแล้ว

อีกอย่าง M8 ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นในแนวความคิดที่ว่า ไม่เน้นฟีเจอร์มาก แต่เน้นสิ่งที่ใช้งานได้จริง ดังนั้น M8 จึงมีฟังก์ชันใหม่ที่ชื่อว่า Motion Launch ติดมาด้วย โดย Motion Launch ก็จะเป็นการใช้งาน Gesture Based แบบที่ BlackBerry 10 มีมาก่อนแล้ว นั่นก็คือรูดหน้าจอจากล่างขึ้นบนเพื่อปลุกและปลดล็อกเครื่อง แตะจอสองที เพื่อปลุกหรือปิดเครื่อง รูดจากซ้ายไปขวา เรียก BlinkFeed รูดจากขวาไปซ้าย เรียกหน้าซ้ายสุดของ BlinkFeed Launcher รูดจากบนลงล่าง โทรหาสายล่าสุดที่โทรไว้ (เป็นประโยชน์มากในเวลาที่เรารับสายไม่ทัน) นอกจากคำสั่งข้างต้นแล้ว M8 ยังสามารถเรียกกล้องได้โดยตรงโดยการกดปุ่มลดเสียงค้างไว้ เครื่องก็จะเรียกกล้องให้ในทันที

อีกฟีเจอร์ที่ใช้งานได้จริง (สำหรับสมาชิกทรูวิชันส์) นั่นก็คือ Sense TV ครับ ใน M7 ผมบอกว่า Sense TV ยังไม่รองรับการแสดงรายการในประเทศไทย ซึ่งเอชทีซีก็ปรับให้รองรับประเทศไทยได้ใน Sense 5.5 แต่ยังไม่สามารถดึงรายการมาได้ เพราะฉะนั้นใน Sense 6 จึงมีการพัฒนาให้ดีขึ้น โดยสามารถดึงรายการของทรูวิชันส์ได้ทุกรายการแล้ว สามารถดูรายการล่วงหน้า ตั้งเวลาเตือน หรือสั่งเปลี่ยนเป็นรายการดังกล่าวได้ทันทีด้วยครับ

ในแง่ประสิทธิภาพ M8 ถือว่าอยู่ในระดับที่สูสีกับตัวท็อปปัจจุบันและรุ่นใกล้เคียง เพราะด้วยความที่ Snapdragon 801 ไม่ได้ปรับปรุงอะไรมาก ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานไม่ต่างกัน ต่างกันอย่างเดียวคือ M8 จะมีคล็อกมากกว่าตัวอื่น (และมากกว่ารุ่นสหรัฐฯ) ทำให้ใช้ไฟมากกว่า แต่กลับกัน M8 ก็สามารถชาร์จแบตกลับได้ไว-ไวมาก ด้วยฟังก์ชัน Qualcomm Quick Charge นั่นเองครับ

ประสิทธิภาพอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น ก็อิงจากค่าทดสอบเลยก็แล้วกันครับ

• Quadrant Standard : 25122
• AnTuTu X : 34865
• Vellamo HTML5 : 1794 (Vellamo บอกว่า Android 4.4 ไม่สามารถทดสอบค่าบางตัวที่เคยทดสอบในเวอร์ชันก่อนได้ คะแนนจึงต่ำกว่า Android 4.3 นะครับ)
• Vellamo Metal : 1312
• 3DMark - Ice Storm Unlimited : 16997

แบตเตอรี่

ถึงแบตเตอรี่ของ M8 จะเพิ่มจาก M7 ไปเท่าตระกูล Butterfly แต่สิ่งหนึ่งที่เอชทีซีพลาดไปนั่นก็คือยังปรับแต่งการใช้พลังงานได้ไม่ดีพอ เพราะเวลาใช้งานหนักๆ (ขนาดไม่ได้ใช้ 3G นะ) ยังลดแบบสายน้ำ แต่พอทิ้งไว้เฉยๆ ก็แทบไม่มีการใช้พลังงานเลย นอกจากยิงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นบางครั้งเพื่อเรียกข้อมูลใหม่ๆ ครับ

ในเรื่องแบตอาจจะยังทดสอบไม่ได้มากนัก เนื่องจากตัวเครื่องที่ HTC ให้มาในตอนนี้ มีปัญหาที่ว่ามันรับสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญหลักของการซื้อโทรศัพท์มาใช้งาน เพราะฉะนั้นในรีวิวนี้ ก็ขอยกยอดไปตอนที่สองก็แล้วกันนะครับ

สรุป

HTC One (M8) ถือว่าค่อนข้างโดดเด่นในแง่คนที่อยากเน้นฟีเจอร์ที่ใช้งานได้จริง สัมผัสได้จริง แต่ในเรื่องลำโพงคู่ คงต้องวัดกับ Sony Xperia Z2 ที่ท้าชนในเรื่องนี้ตรงๆ อีกที ว่าใครจะทำได้ดีกว่าใคร แต่สำหรับผมที่เคยใช้ M7 มาก่อน ก็บอกตามตรงเลยว่า M8 นั้นพัฒนาในหลายๆ ด้านดีขึ้นกว่า M7 จริงๆ ทั้งเรื่องเสียง (ผมเป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้ว) เรื่องกล้อง และเรื่องฟีเจอร์ต่างๆ แต่ในเรื่องความละเอียดของหน้าจอ ผมก็คงยกให้ M7 เป็นรุ่นที่มีหน้าจอที่มีความละเอียดต่อจุดเยอะที่สุดในขณะนี้อยู่ดี ซึ่งผมก็คาดว่า M7 คงจะครองตำแหน่งนี้ได้อีกไม่นาน เพราะ Oppo Find 7 ที่มาพร้อมหน้าจอระดับ 2K ก็ใกล้จะวางขายอย่างเป็นทางการแล้วด้วย

ในแง่ของคนเล่นกล้องแบบไม่สนพิกเซล ประมาณว่าวันๆ ก็อัพ Instagram ก็บอกเลยว่า M8 นั้น ตอบโจทย์ในเรื่องนี้ดีกว่าสมัย M7 เป็นอย่างมาก ทั้งฟีเจอร์ UFocus, Defocus, Background Rerendering หลายๆ ฟีเจอร์พวกนี้ผมมองว่าผู้หญิงที่เล่นกล้องพิเศษนั้น คงจะตื่นเต้นกับลูกเล่นเหล่านี้ของ M8 พอสมควร

สิ่งเดียวที่ผมคิดว่าเสียดายที่สุด นั่นก็คือฟีเจอร์ Zoe ซึ่งในปีนี้เอชทีซีมีนโยบายปล่อย Zoe ให้แอนดรอยด์ค่ายอื่นสามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ ซึ่งผมเองก็มองว่า Zoe เนี่ย เป็นฟีเจอร์ชูโรงมาตั้งแต่สมัย M7 การที่เอชทีซีปล่อยให้ค่ายอื่นเอาไปใช้งานได้นั้น ก็คงมองว่าฟีเจอร์นี้ แน่พอตัวเหมือนกัน แต่ก็ต้องรอดูผลตอบรับในระยะยาวว่า จะสามารถตีตลาดคนเล่นฟีเจอร์กล้องได้ดีแค่ไหนครับ

แต่สำหรับคนที่มองหาโทรศัพท์รุ่นใหม่ในช่วงนี้ (แบบไม่สนใจ Galaxy S5) ก็ลองเล่น HTC One (M8) ก่อนก็ได้ครับ เพราะหลายคนแล้วที่ได้ลองเล่นและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รักเลย” และ “คุ้มที่จะลงทุนสุดๆ” ครับ