องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เตรียมประชุมกับกรรมการที่ปรึกษาถึงแนวทางการปรับรูปแบบการใช้วัคซีน COVID-19 ให้ง่ายลง โดยไม่ต้องนับเดือนและติดตามข่าวเป็นรอบๆ แบบทุกวันนี้ แต่อาศัยการอัพเดตวัคซีนรายปีแบบเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
แนวทางที่เสนอมาจะเริ่มต้นฉีดวัคซีนสองเข็มแบบเดิม โดยหลังจากนี้ผู้ที่ได้สองเข็มเริ่มต้นมักจะเป็นเด็ก แล้วหลังจากนั้นจะฉีดอัพเดตรายปี โดยคาดว่าจะเลือกสายพันธุ์ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจากนั้นวัคซีนที่ปรับสูตรกับสายพันธุ์ที่เลือกมาก็ได้เริ่มใช้งานได้ในเดือนกันยายน
ที่ผ่านมาเราได้ยินข่าวสายพันธุ์ไวรัสเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น Omicron นั้นเริ่มพบในปลายปี 2021 และแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แต่เดือนเมษายน 2022 สายพันธุ์ย่อย Omicron BA.2 ก็แพร่มาแทนที่ แต่ในเดือนตุลาคม 2022 สายพันธุ์ที่แพร่หลักๆ ในสหรัฐฯ กลายเป็น Omicron BA.4/BA.5 จากนั้นก็มีสายพันธุ์ BQ.1/BQ1.1 และตอนนี้สายพันธุ์ XBB/XBB.1.5 ก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเป็นสัดส่วน 30% ของผู้ติดเชื้อแล้ว
FDA จะประชุมกับกรรมการที่ปรึกษาในวันที่ 26 นี้
Get latest news from Blognone
Follow @twitterapi
Hiring! บริษัทที่น่าสนใจ
Blognone Jobs Premium
Cloudnone
- Kubernetes คืออะไร [Part 1] เกิดขึ้นมาอย่างไร? ทำไมต้องใช้มัน? | Cloudnone EP.14
- CI/CD ยังไงดี ตั้งเซิร์ฟเวอร์เอง vs เช่าคลาวด์ | Cloudnone EP.13
- รู้จักโน้ตบุ๊กบนคลาวด์ เช่าใช้งาน Jupyter Notebook ที่ไหนดี | Cloudnone Ep.12
- สรุปข่าวใหญ่ปี 23 และคาดการณ์เทรนด์ปี 24 ในวงการ Cloud | Cloudnone EP.11
- สรุปของใหม่และสาระสำคัญจาก AWS re:Invent 2023 | Cloudnone Special EP
Comments
กลายเป็นระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่เรียบร้อย
พูดเหมือนรู้ว่ามันจะมาใหม่เรื่อยๆ หลังมิถุนาของทุกปี
ยังกับเขาอักเกรด OS Windows
ผมก็ว่ามันก็เหมาะสมนะ
เขาไม่รู้ครับ ในรายงานก็เล่าถึงสายพันธุ์ต่างๆ ว่าไม่ชัดเจนแบบนั้นว่าจะมาเมื่อไหร่ อย่างที่ผมสรุปมานี่ปีเดียวเปลี่ยนสามรอบ แต่จะให้กลับมาฉีดใหม่ทุกรอบที่มันเปลี่ยนคงไม่ไหว สักปีนึงมันง่ายในการจัดการ
lewcpe.com, @wasonliw
คงอิงจากโรคระบาดที่ใกล้เคียงกันอย่างไข้หวัดใหญ่แหละครับ
บ้านเราคงต้องรอเสี่ยหนูตามตูดสหรัฐ ซึ่งดูทรงแล้วเป็นหวังที่ลมๆแล้งๆมาก
พอไม่ตามตูดเขา ก็ด่า ไม่เป็น สากล ประเทศอื่นเขาไปถึงไหนแล้ว
พอตามตูดเขา ก็บอกตามตูดเขา คิดเองไม่เป็น
เออออ ขอยาหอมหน่อยสิ
รอบปีละครั้งก็ดีละครับ ไม่อยากฉีดบ่อยเกิน
..: เรื่อยไป
มีใครเป็นเหมือนผมบ้างไหม Moderna เข็ม3 นี้แข็งแรงดี แต่พอเข็ม4 แข็งข้างที่ไม่ฉีดมันล้าๆชาๆ ผ่านมาจะปีแล้ว บ้างครั้งแขนข้างนั้นก็ชาๆยกไม่ขึ้น ส่วนพี่ชายแพ้ขึ้นตุ้มแดงๆ , ส่วนคุณพ่อก็อาการคล้ายๆผมแต่เป็นที่ขา หาหมอแล้วไม่พบอะไร คือมันบ้างครั้งจะชาๆ ไม่ได้เป็นตลอด
ที่บ้านเลยหยุดไม่ต่อเข็ม5กัน อาจจะ dna หรือกรรมพันธ์ ไม่เข้ากับmoderna
(2เข็มแรก ชีโนฟารม์ ,พ่อแม่ แอตร้า, เข็ม3-4 Moderna ทั้งบ้านครับ)
ผม ตั้งแต่เข็ม 3 เป็น mRNA หมด
Pfizer> Moderna > Moderna> Pfizer
ไม่มีอาการครับ
ตั้งแต่มีวัคซีน ผมฉีดไฟเซอร์ไปแค่สองเข็ม ไม่ยักจะติดโควิด ใช้ชีวิตแทบจะตามปกติ
แต่คนรอบข้างหลายคนฉีดเยอะมาก ติดซะงั้น ผมเลยคิดอยู่ว่า ไปฉีดบูสเตอร์เยอะๆมันจำเป็นเหรอ
วัคซีนมันไม่ได้กันติดเชื้อนะครับ แต่มันช่วยลดอาการป่วยจากหนักเป็นเบาเวลาติดเชื้อต่างหาก
คือผมเห็นหลายคนฉีดบูสต์เพราะคิดว่าจะช่วย
จริงๆมันน่าจะขึ้นอยู่กับการระวังตัวเอง และดวง มากกว่า
ผมคิดว่าประเทศเราตื่นตัวกับการฉีดบูสต์ที่สุดแล้ว
สิงคโปร์ให้ฉีดทุก 6 เดือน ของไทยเห็นผ่านไปสามเดือน เริ่มถามกันแล้วว่าฉีดเพิ่มดีไหม
มันมีที่มาจากภาวะขาดแคลนวัคซีน mRNA ในตอนแรก
จนต้องคิดผสมสูตรมากมาย เป็นวิธีบริหารทรัพยากร
มีทั้งสามเข็ม สี่เข็ม และเร่งให้ฉีดเร็วๆ เพื่อรองรับการระบาดในช่วงนั้นพอดี
คนก็เลยติดการฉีดบูสต์ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้น
มันไม่จำเป็นแล้ว อยู่ที่อาหารการกินมากกว่า
พอเราอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่นคนใกล้ตัวติดขึ้นมา
เราก็จัดวิตามินเลย เน้นที่เสริมภูมิคุ้มกัน
ถ้ามีผลการวิจัยที่รองรับว่าวิตามินช่วยป้องกันการติดหรือทำให้หายเร็วขึ้นรบกวนช่วยแปะหน่อยครับ
เลิกใส่หน้ากากกันได้แล้ว อาการไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่เลย จะต้องใส่กันไปถึงไหน
ต้องแยกแยะนะ อาการอาจจะไม่ต่างกับไข้หวัดใหญ่ แต่ความแรงในการแพร่กระจายสูงกว่าเยอะ
ถ้านอกสถานที่ผมเริ่มเห็นคนไม่ใส่มากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ จนตอนนี้ยังไม่เห็นดราม่ารุนแรง (แต่มีคนมองหน้าแน่ๆ)
lewcpe.com, @wasonliw
คิดว่าไข้หวัดใหญ่ถ้าแพร่เร็วผู้ป่วยเยอะแบบ covid นี่รพ.น่าจะเสี่ยงแตกเหมือนกันครับ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เราติดคนเดียวอาการเป็นไงมันน่ากลัวที่จำนวนคนติดพร้อมๆกันแล้วรพ.รับจำนวนคนไม่ไหวต้องเลือกคนตายแบบสมัยเดลต้า
จริง ผมก็เลิกใส่มาตั้งแต่ปีที่แล้วละ
ใส่เพื่อกันติดเชื้อน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่คนไทยส่วนใหญ่ใส่เพราะกลัวสายตาคนอื่นมากกว่า
มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำที่ใส่ให้ถูกต้องจริงๆ ถ้าใส่กันถูกต้องหมดประเทศเราคงไม่ติดกันเป็นแสนต่อวันตอนโอมิครอนมาเมื่อพฤษภาปีที่แล้วหรอก
.
ทุกวันนี้ผมขึ้นรถไฟฟ้า กวาดๆตาไปกว่าครึ่งก็ใส่หน้ากากแบบช่องว่างให้อากาศเข้าเต็มไปหมด บางคนใส่ไม่ปิดจมูก บางคนหน้ากากไม่พอดีหน้า บางคนใส่หน้ากากกันฝุ่นที่ไม่กันโควิด ฯลฯ
ถ้าจะแค่ใส่เพื่อให้ไม่แปลกจากคนอื่นก็ควรเลิกๆไปดีกว่า เปลืองเงินและสร้างขยะอีกด้วย
ผมเบื่อพวกที่ชอบเอาไข้หวัดมาแพร่บนรถไฟฟ้า เพราะตัวผมติด H1N1 ก็จากรถไฟฟ้านี่แหละ ร่างกายด๋อยไปเกือบปี เดินขึ้นบันไดก็หอบเหมือนวิ่งมา ยิ่งของเกินสิบโลปวดตัวแทบตาย
ไม่ค่อยเข้าใจลอจิคว่าอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ก็เลยไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก แปลว่าแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ก็ไม่มีปัญหาเหรอ
ทำไมต้องสนใจคนอื่นล่ะครับ? ถ้าคิดว่าตัวเรารับผิดชอบต่อสังคมเพียงพอ
ใครจะใส่หรือไม่ใส่ก็เรื่องของเขาไหมน่ะ?
เมื่อไม่ได้มีกฎบังคับแล้ว ส่วนตัวผมก็ไม่แคร์นะว่าใครจะใส่ไม่ใส่
เฉพาะรอบๆตัวนะ ที่คุยกันที่ยังใส่ทุกวันนี้มาจาก PM2.5 มากกว่าโควิด คือไม่ได้กลัวโควิดกันเลยแต่ฝุ่นมันเยอะ เลยใส่เพื่อลดฝุ่นเข้าจมูกเนี่ยละ
ส่วนตัวแล้ว ตราบเท่าที่ระบบสาธารณะสุขยังปกติอยู่ ใครจะใส่หรือไม่ใส่ผมก็โอเคนะ แต่ละคนก็มีเหตุผลของเขา แล้วถึงจะบอกว่าอาการไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่มันก็ไม่ใช่เบาๆนะ ไข้หวัดใหญ่เนี่ย อีกอย่างมันก็ติดง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดาเยอะเลย เพราะงั้นจะบอกว่าทีไข้หวัดใหญ่ไม่เห็นใส่กันมันก็เทียบไม่ได้ซะทีเดียว
ที่ผมไม่โอเคก็คือคนที่มายุ่มย่ามคนอื่นว่าให้ใส่หรือไม่ต้องใส่หน้ากากเนี่ยแหละครับ
แต่หลังมีโควิดนี่ผมไม่ป่วยเป็นไข้หวัดเลยนะครับ ด้วยว่าตัวผมเองนั่งบีทีเอสไปทำงานตลอด ติดหวัดจากคนบนรถไฟฟ้าเรื่อยๆ
แต่พอทุกคนใส่หน้ากากแล้วชีวิตผมดีขึ้นเลย นี่ขนาดว่าผมใส่หน้ากากมาตั้งแต่ก่อนโควิดอีกนะ ผมเลยเชื่อว่าการให้คนที่มีเชื้อใส่น่าจะป้องกันดีกว่าให้คนที่ยังไม่ป่วยใส่
แน่นอนครับว่าในแง่ของสุขภาพโดยรวม ถ้าทุกคนใส่มันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่ป่วยหรือมีเชื้อ เพราะเข้าใจว่าหน้ากากส่วนใหญ่ออกแบบมาเพื่อป้องกันเชื้อออกมากกว่าเชื้อเข้า (รึเปล่านะ?)
แต่ก็อย่างที่บอกว่าทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง เพราะงั้นโดยส่วนตัวแล้วผมยอมรับได้ครับถ้าใครเลือกที่จะใส่หรือไม่ใส่ก็ตาม ถึงแม้จะรู้ว่าถ้าทุกคนใส่มันดีกว่าแต่ก็จะไม่ไปชี้หน้าใส่คนอื่นว่าให้ใส่ครับ (และในทางกลับกันก็ด้วย) แน่นอนว่าตราบเท่าที่ระบบสาธารณสุขปกตินะ
ปล. ได้ยินว่าจริงๆแล้วพวกไข้หวัดที่เราเป็นกันบ่อยๆเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกิดจากที่จมูกเราสูดเชื้อเข้าไป แต่มักจะเกิดจากมือเราไปสัมผัสแล้วเอาเข้าปากหรือจมูกมากกว่า เพราะงั้นการล้างมือจึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้หวัดมากกว่าการใส่หน้ากาก ซึ่งเข้าใจว่าค่านิยมการล้างมือบ่อยๆหรือการใช้แอลกอฮอล์หรือการไม่สัมผัสอะไรซี้ซั้วมันเพิ่งมาตอนช่วงโควิดนี้เอง นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้ถึงป่วยน้อยกว่าเมื่อก่อนมั้งครับ?
ตามนี้เลย
หน้ากากเหมาะกับการใช้กันเชื้อออกมากกว่าเข้า
คนใส่หน้ากากกันเชื้อเข้าได้บ้าง แต่ได้น้อย พวกเชื้อที่เป็น droplet อย่างหวัดกันเข้าได้พอสมควร แต่ระดับ airborne อย่างโควิดแทบไม่ช่วยอะไรเลย
ปัจจุบันคนเกือบ 100% ในโลกเลยไม่ได้ใส่หน้ากากที่จะกันโควิดเข้าอีกแล้ว (แต่พอกันเชื้ออื่นได้)
PM2.5 ก็ไม่กัน เพราะไม่ได้ใส่ N95 กัน สรุปคือใส่กันหวัดกันเฉยๆ
ส่วนเรื่องล้างมือ จริงๆไม่ว่าจะแอลกอฮอล์ สบู่ น้ำยาอะไรก็ตาม ควรล้างให้ทั่วถึงและล้างอย่างน้อย 30 วินาที ไม่งั้นก็ช่วยไม่มาก
ผมรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ก็บีบเจล ปาดๆมือสองสามทีจบ ก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่อยู่ดี
ของผมนี่โดนไอใส่ในระยะไม่เกิน 2 เมตรครับ ทุกครั้งเลย ผมนั่งแล้วคนมายืนไออยู่ด้านหน้า หรือไม่ก็ผมยืนแล้วคนข้างๆ ไอไม่ปิดปาก
ในสมัยที่ยังไม่มีโควิดเรื่องพวกนี้ไม่มีใครซีเรียส มีแต่ผมที่ซีเรียสเพราะผมป่วยจนเบื่อจากการติดคนบนรถไฟฟ้า
เหมือนกันครับ ตั้งแต่ใส่หน้ากากนี่ผมไม่เป็นหวัดเลย
ยังใส่ 100% เมื่อออกข้างนอก และเท่าที่เห็น คนไทยเกือบ 100% ใส่หน้ากากถูกสุขลักษณะ ที่ไม่ใส่ส่วนมากก็ต่างชาติ แต่ต่างชาติบางท่านก็ใส่แบบถูกต้อง น่าชื่นชม
จะใส่ไม่ใส่เรื่องของรายบุคคลนะผมว่า ส่วนผู้สูงอายุความเสี่ยงสูงผมยังคิดว่าควรใส่อยู่ครับ ติดมาทีแล้วรักษาไม่ดีก็มีโอกาสอาการหนักสูง
That is the way things are.