Tags:
Node Thumbnail

ในช่วงที่มีการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้แอพประชุมออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน และก็ยังมีแอพวิดีโอคอลล์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด ทำให้ Cloudflare เปิดตัวบริการใหม่ในชื่อ Cloudflare Calls สำหรับรันแอพลักษณะนี้โดยเฉพาะ

Cloudflare Calls ใช้เทคโนโลยี WebRTC ที่กูเกิลเป็นผู้ผลักดันและเป็นโอเพนซอร์ส โดย WebRTC มีจุดเด่นคือทำงานแบบ peer to peer ไม่ต้องผ่านเซิฟเวอร์กลาง จึงมี latency ค่อนข้างต่ำ แต่ในขณะเดียวกันข้อจำกัดของ WebRTC ก็คือยิ่งจำนวนคนในวงสนทนาเยอะ แต่ละเครื่องก็ต้องมี overhead ในการรับส่งข้อมูลมากขึ้นตาม (เพราะเป็น peer to peer ต้องเชื่อมหากันหมด) และหากในวงสนทนามีคนที่อินเทอร์เน็ตช้า ก็จะทำให้คุณภาพการสนทนาโดยรวมแย่ไปด้วย วิธีแก้คือใช้ SFU (selective forwarding unit) เข้ามาเป็นตัวกลางคอยจัดการการรับส่งข้อมูลระหว่างคนในวงสนทนาแต่ละราย

alt="pZho6l.png"

เมื่อมี SFU มาเป็น "ตัวกลาง" ก็แปลว่าต้องตั้งเซิฟเวอร์กลาง และก็แปลว่าต้องตั้งหลายตัวกระจายไปในแต่ละภูมิภาคของโลก เพื่อให้การสนทนาข้ามโลกลื่นไหลไม่กระตุก ซึ่งมาพร้อมภาระการจัดการที่มากขึ้น

Cloudflare เลยได้ไอเดียว่าไหนๆ ตนเองก็มีเครือข่ายระดับโลกอยู่แล้ว ประชากร 90% ของโลกสามารถเข้าถึงเครือข่ายของ Cloudflare ได้ด้วย latency ไม่เกิน 10 ms จึงควรทำให้ Cloudflare เป็น peer ของ WebRTC เสียเลย (เรียกว่า super peer) เพียงเท่านี้ผู้ใช้แอพประชุมออนไลน์ก็สามารถพูดคุยได้ลื่นไหลผ่านเครือข่ายคุณภาพสูงของ Cloudflare ได้ทันที

alt="pZhP1v.png"

ฝั่งผู้พัฒนาแอพประชุมออนไลน์ก็ไม่ต้องลงมือดูแลอินฟราที่จะมารัน WebRTC เอง ไม่ต้องกังวลว่าจะสเกลระบบแค่ไหน หรือดูจุดคุ้มทุนว่าควรจะขยายอินฟราไปยังภูมิภาคอื่นของโลกแล้วหรือยัง เพราะสามารถปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Cloudflare แทน ผู้ใช้ทุกคนจะเชื่อมต่อไปยังเครือข่าย Cloudflare ที่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังสามารถดูสถิติต่างๆ ได้อย่างละเอียด สำหรับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

Cloudflare ระบุว่าลูกค้าสามารถสร้างห้องประชุมออนไลน์ขนาดยักษ์ มีผู้เข้าร่วมเกิน 10,000 คนได้โดยที่ latency ต่ำกว่า 100 ms

ขณะนี้ Cloudflare Calls ยังเป็น closed beta อยู่ ยังไม่เปิดเผยค่าบริการ แต่หากสนใจสามารถลงชื่อขอร่วมทดสอบได้

ที่มา - Cloudflare
ภาพทั้งหมดโดย Cloudflare

Get latest news from Blognone