Elon Musk แจ้งทำคำสั่งขอซื้อหุ้นทั้งหมดของ Twitter ในราคา 54.20 ดอลลาร์ ซึ่ง Musk บอกว่าเป็นราคาที่สูงกว่า 38% จากราคาหุ้น Twitter เมื่อวันที่เขาประกาศว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (ส่วนราคาหุ้นคืนวันพุธปิดที่ 45.85 ดอลลาร์ต่อหุ้น)
ในประกาศเสนอขอซื้อหุ้นทั้งหมด เขาบอกว่าเขาเชื่อมั่นว่า Twitter มีศักยภาพที่จะเป็นแพลตฟอร์มแห่งเสรีภาพในการสื่อสาร ซึ่งหลังเขาเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็พบว่ารูปแบบที่บริษัทเป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่สามารถไปถึงจุดดังกล่าวได้ Twitter จำเป็นต้องเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้น
Musk บอกว่าหากข้อเสนอนี้ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้น Twitter ปัจจุบัน เขาอาจพิจารณาเรื่องการถือหุ้นที่มีอยู่ใหม่
ที่มา: CNBC
Comments
ปั่นล้อ free กันเลยครับ ?
ขอให้ match นะครับ
ไหนๆ มาถึงจุดนี้แล้ว ซื้อหมดมันซะเลย!
LGBT กรีดร้องรอแล้ว แต่ผมยังไงก็ได้
ทำไมหรอคับ
Elon เคยล้อประเด็นพวกสรรพนามเรียกตัวเองมาก่อน (he/she/they) และชอบ quote tweet อะไรประหลาด ๆ กับพวกโพสต์ LGBT บ่อย ๆ เลยโดนสังคม(?) ต่อต้าน
ส่วนผมเองไม่ได้เดือดร้อนอะไรตรงนี้เลยไม่ได้ออกความเห็นอะไร ตราบใดที่โพสต์ไม่ได้ส่งเสริมหรือปลุกระดมความเกลียดชังผมก็โอเค มันต้องมีอยู่ละคนที่ตะหงิดใจกับอะไรแบบนี้ เพียงแต่ว่าพวก SJW มักคิดว่ามีอำนาจกดหัวความคิดเห็นคนอื่นเลยคิดว่าจะทำอะไรกับคนที่บังอาจจะสงสัยยังไงก็ได้ แต่พอเจอ Elon สายปั่น +อำนาจเยอะ ดันร้องกันซะงั้น ไปไม่เป็นเลย 555 ส่วนตัวผมก็สะใจเหมือนกันแม้ผมจะเป็น LGBT เองก็ตาม บางเรื่องคนพวกนี้ก็ควรเพลา ๆ ลงบ้าง
ทำไมต้องเพลาๆลง
เพลา ๆลงเพราะพวก SJW โหน LGBT
ไปก่อเรื่องมากเกินไปจนไปทำพวก LGBT เขาเดือดร้อน
ผมขอถามผู้รู้ได้ไหมครับ
อยู่ในตลาดหุ้น กับ ไม่เข้าตลาดหุ้น ต่างกันมากไหมครับ
ผมไม่รู้จริงๆเลยถามอะไรโง่ๆแบบนี้ อย่าถือสาผมเลยนะครับ
ผมแค่อยากรู้ ยาวแค่ไหนผมก็อ่านครับถ้าเป็นเรื่องที่ผมสนใจ
อยู่ในตลาดหุ้น ต้องขอความเห็นชอบจาก ผู้ถือหุ้นครับ แต่ถ้าออกแล้ว ใครถือ หุ้นเยอะ มีสิทธิ์กำหนดทิศทาง บริษัทได้เลย การบริหารจะคล่องตัวกว่าครับ ถ้าต้องการระดมทุนค่อยกลับไปตลาดหลักทรัพย์
พูดแบบคนไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ อ่านผ่าน ๆ ได้ (ฮา)
ต้องเข้าใจนิดนึงก่อนคือ ผู้ถือหุ้น = เจ้าของบริษัท
ผู้ถือหุ้นแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท ที่เรียกกันว่าบอร์ด จากนั้นบอร์ดก็จะแต่งตั้งผู้บริหาร คนที่มีอำนาจในการสั่งการต่าง ๆ จะเป็นผู้บริหาร นโยบายต่าง ๆ อาจจะมองว่ามาจากบอร์ด แต่ผู้ที่นำไปใช้จริง ๆ คือผู้บริหาร
ผู้บริหารจะนั่งบนบอร์ดหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่บริษัท หลาย ๆ บริษัทเองก็อาจจะมีผู้ถือหุ้นนั่งอยู่บนบอร์ดด้วยก็ได้เหมือนกัน
ในบริษัทที่เป็นบริษัทเอกชน จะเกิดจากการที่มีบุคคล (บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล) มากกว่าสามคนมาลงหุ้นกันเป็นเงินก้อนหนึ่งเรียกว่าทุน แล้วแบ่งทุนที่ว่านี้เป็นก้อนเล็ก ๆ เรียกว่าหุ้น คนกลุ่มนี้จะมีสภาพเป็นเจ้าของบริษัท และก็มีสิทธิที่จะปลดบอร์ดได้ โดยปรกติอำนาจของผู้ถือหุ้นแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ ถ้าเกิดผู้ถือหุ้นเกิดมีความคิดที่ไม่ตรงกันก็สามารถโหวตกันได้ โดยคนที่มีจำนวนหุ้นมากกว่าจะมีสิทธิมากกว่า
บริษัทที่เป็นมหาชน เกิดจากการนำหุ้นบางส่วนไปขายในตลาดหุ้น ราคาหุ้นจะเป็นไปตามกลไกตลาดหุ้น การซื้อขายเองก็เหมือนกัน คือมีคนถือหุ้นเดิม เสนอขายที่ราคาที่ตั้งไว้ เมื่อมีคนสนใจก็จะไปซื้อขึ้นมากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหม่ สิทธิของผู้ถือหุ้นเหมือนกับกรณีที่เป็นบริษัทจำกัด ผู้ถือหุ้นสามารถเข้าร่วมการประชุมสามัญประจำปีของบริษัท และร่วมโหวตในการตัดสินใจสำคัญ ๆ บางอย่างของบริษัทได้ (โดยคะแนนที่มีจะขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถือ เหมือนกับบริษัทเอกชน) ดังนั้นเราจะเห็นคนที่ซื้อหุ้นที่จำนวนต่ำที่สุดที่มีการซื้อขาย เพื่อเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปีของบริษัทเหมือนกันครับ (อาจจะเข้าไปสอบถามหรือเข้าไปด่าผู้บริหารก็มี)
ถ้าถามว่าทำไมบริษัทถึงอยากเข้าตลาดหุ้น คิดว่าเพราะว่าปริมาณทุนของบริษัทเอกชนนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น ถ้าผู้ถือหุ้นไม่เพิ่มไม่ลดหุ้น หรือราคาต่อหุ้นเลย ทุนก็จะมีเท่าเดิม การมีเงินทุนที่จำกัดก็จะทำให้กระทำการบางอย่างได้ลำบาก ถ้านำหุ้นเข้าไปขายในตลาด ราคาต่อหุ้นอาจจะสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีเงินทุนในการประกอบกิจการเพิ่มขึ้นได้ครับ (แน่นอนว่าก็ลดได้เหมือนกัน)
แต่พอเอาเข้าตลาดหุ้น เราก็จะไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้ถือหุ้น ตอนเป็นบริษัทเอกชน บริษัทอาจจะมีผู้ถือหุ้นสามคน คนนึงถือหุ้นใหญ่ ก็จะมีทิศทางชัดเจนและเป็นทิศทางที่เป็นมิตรกับพนักงานบริษัท (บอร์ด ผู้บริหาร พนักงานอื่น ๆ ฯลฯ) แต่ถ้าเอาเข้าตลาดหุ้น อาจจะเป็นกลุ่มทุนมาซื้อ แล้วกลุ่มทุนก็มีทิศทางชัดเจนว่าไม่แคร์อะไรนอกจากกำไร ก็จะกลายเป็นว่าบริษัทก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มมูลค่าของหุ้นให้มากที่สุด เพื่อสร้างกำไรให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นพวกนี้ครับ เพราะอย่าลืมว่านักลงทุนในตลาดหุ้นเองที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือกำไรจากราคาหุ้นครับ
เหมือนตอน Dell ประกาศซื้อหุ้นคืนทั้งหมด เพื่อเตรียมออกจากตลาดหุ้น เพราะเป็นเรื่องของการ ดำเนินงานต่างๆ คล่องตัวมากขึ้น วางแผนกลยุทธ์ในระยะยาวได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจาก บริษัทในตลาดมักจะโดนนักลงทุนกดดันในการทำผลงานระยะสั้นมากกว่าระยะยาว แต่พออยู่นอกตลาดไม่ต้องรายงานผลการดำเนินงานทุกไตรมาสแล้ว
นึกสภาพแบบผลประกอบการตกลดลงนิดหน่อย แต่ราคาหุ้นอาจวูบได้ มันเสียขวัญมากกว่าเยอะ
ผู้ถือหุ้นเขามองแต่กำไร ถ้าแนวทางบริหารชัดเจน บริหารตามวิสัยทัศน์ได้ ไม่ต้องบริหารตามเกมของผู้ถือหุ้น
จะเอาแบบ telegram เหรอ
ตรงนี้น่าจะผิดนะครับ ปัจจุบันน่าจะแค่ 9.2%
ไม่แน่ใจว่ามีการแก้ไขก่อนหน้านี้รึเปล่าครับ
แต่ประโยคเต็มๆน่าจะเป็น
ราคาที่สูงกว่าราคาหุ้น Twitter หลังจากเขาประกาศว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 38%
38% คือราคาหุ้นที่ขึ้นไปหลังจากประกาศครับ ไม่ใช่ % การถือหุ้น
ใข่ครับ เรียงประโยคแบบนี้ทำให้กำกวมและน่าจะมีคนเข้าใจผิดง่ายๆ ผมก็งงตอนแรกว่ามันกระโดดจาก 9% ตอนไหน ต้องไปเช็คจากต้นทาง
ประโยคเต็ม ๆ ครับ
เติมคำว่า อยู่ ก่อน 38% น่าจะทำให้สับสนน้อยลงนะครับ
ตามนั้น แก้ไขแล้วครับ
The End ของจริง