ไม่กี่ปีที่ผ่านมาการมาถึงของ Internet of Things ไปจนถึงเครือข่ายอย่าง NB-IoT, eMTC และเร็ว ๆ นี้กับ 5G ทำให้การพูดถึงการประยุกต์ IoT ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เริ่มเห็นกันได้มากขึ้น และด้วยความที่บ้านเราเป็นประเทศเกษตรกรรม แนวคิดการนำ IoT มาใช้งานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรทั้งในแง่การลดต้นทุนและเพื่อทำการเกษตรแม่นยำสูง (precision agriculture) เลยถูกพูดถึงกันค่อนข้างมาก
Deva Farm ฟาร์มฮอปส์แห่งแรกในไทยเป็นอีกหนึ่งฟาร์มที่นำ IoT มาใช้งาน ด้วยความที่เจ้าของฟาร์มเป็นอดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ เลยลองมาหมดแล้วตั้งแต่ทำฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์เอง จนถึงซื้อฮาร์ดแวร์สำเร็จรูปมาใช้งาน ในภาพรวมการทำสมาร์ทฟาร์มอาจจะคุ้มกว่าการทำฟาร์มแบบเดิมในระยะยาว แต่ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เกษตรกรที่ไหนจะสามารถทำได้ง่าย ๆ เพราะต้องใช้องค์กรความรู้หลายส่วนประกอบกัน
วงการคราฟท์เบียร์ในบ้านเราในปัจจุบันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่มีผู้ผลิตเบียร์รายย่อยสัญชาติไทยมากขึ้น แต่ละเจ้าก็มีสูตรมีช่องทางหาวัตถุดิบของตัวเอง โดยวัตถุดิบดั้งเดิม (traditional) ของการหมักเบียร์มี 4 วัตถุดิบพื้นฐานได้แก่ มอลต์, ยีสต์, น้ำและฮอปส์ ซึ่งที่ผ่านมาวัตถุ 3 อย่างแรกสามารถหาได้ในไทย ยกเว้นฮอปส์ ที่ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก
Deva Farm ผู้ผลิตคราฟเบียรืไทยแบรนด์เทพพนม (Devanom) นับเป็นรายแรกที่เริ่มต้นการปลูกฮอปส์ในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย ที่น่าสนใจคือใช้ฟาร์มปลูกฮอปส์ของ Deva Farm เป็นสมาร์ทฟาร์ม ใช้คนดูแลน้อยมาก และใช้เซ็นเซอร์และระบบอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่
คุณอ๊อบ ณัฐชัย และ คุณอาร์ต ธีรภัทร อึ๊งศรีวงศ์ สองพี่น้องเจ้าของ Deva Farm เล่าให้ฟังว่าเดิมทั้งสองคนเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ให้กับบริษัทที่ทำแอปมือถือมานานถึงกว่า 14 ปี และด้วยความที่เป็นคนชอบดื่มแอลกอฮอล์ เลยมีโอกาสได้ไปเรียนต้มเบียร์ ก่อนจะมีความคิดลองซื้อสายพันธุ์ฮอปส์มาปลูกในไทย ซึ่งเดิมทั้งคุณอ๊อบและคุณอาร์ตปลูกผักแบบไฮโดรโพนิก (ปลูกแบบไม่มีดิน) อยู่แล้วด้วย
ช่วงแรก ๆ ทั้งสองคนคิดแค่จะปลูกเล่น ๆ เพราะฮอปส์เป็นพืชเมืองหนาว ไม่คิดว่าจะรอด แต่ปลูกไปปลูกมากลับออกดอกแล้วกลิ่นใช้ได้ พอจะทำเบียร์ได้ ประกอบกับบริษัทที่ทำอยู่กำลังจะปิดพอดี เลยเริ่มเห็นโอกาสว่าสามารถปลูกเป็นฟาร์มและต่อยอดทางธุรกิจได้ เพราะตอนนั้นราวปี 2014-2015 ยังไม่มีใครปลูกเป็นฟาร์มอย่างจริงจัง
คุณอ๊อบ ณัฐชัย (ซ้าย), คุณอาร์ต ธีรภัทร (ขวา)
พื้นที่ของ Deva Farm มีประมาณ 4 ไร่ ปลูกฮอปส์ไปทั้งหมด 2 ไร่ 5 โรงเรือน พื้นที่ราว 150 ตารางเมตร มีคนงานอยู่ 4 คนและผู้จัดการที่ช่วยดูแลทั้งหมดอีก 1 คน โดยสายพันธุ์ที่ปลูกเป็นสายพันธุ์จากอเมริกาทั้งหมด แต่คุณอ๊อบก็บอกด้วยว่าปัจจุบันกำลังพัฒนาสายพันธุ์ของตัวเองอยู่ในฟาร์ม และตอนนี้มีเบียร์เทพพนมก็ใช้ฮอปส์ที่ปลูกเองผสมเข้าไปกับที่นำเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างที่เกริ่นไปว่า Deva Farm เป็นสมาร์ทฟาร์ม ใช้ระบบอัตโนมัติเสียส่วนใหญ่ ในช่วงแรก ๆ ฮาร์ดแวร์ทำเองเกือบทั้งหมด ซอฟต์แวร์ก็เขียนเอง ลองผิดลองถูกและเปลี่ยนโซลูชันไปเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันกว่า 90% ฮาร์ดแวร์ซื้อแบบสำเร็จรูปมา เขียนต่อจาก API เอา ถ้าไม่มี API ก็แฮ็กให้ซอฟต์แวร์ที่เป็น Command Center สามารถดึงโปรโตคอลมาใช้และสั่งงานได้
อุปกรณ์ IoT หลัก ๆ ในฟาร์มก็มีตัววัดอุณหภูมิ วัดความชื้น วัดความเข้มแสง ความเร็วลม น้ำฝน วัดปุ๋ยและความชื้นในกระถาง
เซ็นเซอร์วัดความชื้นในกระถาง
การทำงานหลัก ๆ ก็คือถ้าอุณหภูมิในโรงเรือนสูงไปกว่าที่กำหนดไว้และแดดออก เซ็นเซอร์ตรวจจับได้ก็ไปสั่งเปิดระบบพ่นหมอกน้ำ เพื่อลดอุณหภูมิ โดยจะกำหนดด้วยว่าอุณหภูมิสูงแค่ไหน ควรพ่นหมอกกี่นาที ใช้แค่คำสั่ง if..else ธรรมดา
และระบบปุ๋ย ที่จะดึงเอาปุ๋ยสูตร A และสูตร B มาผสมกันให้อัตโนมัติ โดยอิงจากค่าที่เซ็นเซอร์วัดได้ในโรงเรือนและกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ปุ๋ยสูตรที่แตกต่างกันไป เช่น อากาศร้อน ฮอปส์จะดูดน้ำมาก ก็จะให้ปุ๋ยที่มีความเข้มต่ำ ๆ แต่ถ้าอากาศชื้น ฮอปส์จะไม่ค่อยดูดน้ำ ก็จะให้ปุ๋ยที่มีความเข้มข้นสูง ก่อนที่เซ็นเซอร์ในกระถางจะตรวจสอบอีกครั้งว่า ปุ๋ยที่ให้ไปค่าความเข้ม ค่า pH ตรงกับที่ตั้งเอาไว้หรือไม่
สำหรับซอฟต์แวร์กลางที่ควบคุมอุปกรณ์ทั้งหมด คุณอ๊อบบอกว่าเขียนขึ้นมาเองด้วย Python รันอยู่บนลินุกซ์ เชื่อมกับอุปกรณ์ผ่าน IoT ต่าง ๆ ผ่าน API เก็บข้อมูลเอาไว้บน MongoDB หรือ Redis ถ้าบางตัวไม่มี API ก็ต้องพยายามหาทางดึงข้อมูลจากเซ็นเซอร์มาให้ได้ อย่างเช่นเซ็นเซอร์วัดสภาพอากาศที่ซื้อมาจากจีน จะส่งข้อมูลกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของมันเอง คุณอ๊อบก็ต้องจำลองเซิร์ฟเวอร์ให้มันยิงมาแทน หรือเซ็นเซอร์วัดฝุ่นของ Xiaomi ที่มีคนทำไลบรารี API เอาไว้อยู่แล้ว ก็ไปเอามาใช้งาน เป็นต้น และแสดงผลผ่านแดชบอร์ดของ Grafana
ด้วยความที่ระบบดูแลฮอปส์ทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนควบคุม หน้าที่ของคนงานก็มีแค่ดูภาพรวมในฟาร์ม แก้ปัญหาหรือซ่อมแซมอุปกรณ์ต่าง ๆ ในกรณีที่พัง ไปจนถึงเรื่องการย้ายกระถาง แก้ปัญหาแมลง หรือต้นที่มีปัญหา ก็จะคอยถ่ายรูปลง Evernote และ Google Sheet เก็บเป็น log ติดตามการแก้ปัญหา
ส่วนเครือข่าย IoT ภายในฟาร์มมีการใช้ NB-IoT ของ AIS ร่วมกับ Wi-Fi และคลื่น RF433 MHz
คุณอ๊อบบอกว่าการทำสมาร์ทฟาร์มแบบนี้ ถ้าเป็นฟาร์มผักสลัดหรือผักผลไม้ทั่วไปที่เราทาน จะค่อนข้างคุ้ม เพราะต้นทุนไม่ได้แพงเกินไป ผักใช้ระยะเวลาไม่นาน ผลที่ได้ก็ค่อนข้างแม่นยำ แปปเดียวก็เก็บขายได้แล้ว ตลาดก็มีรองรับแถมใหญ่ด้วย แต่ด้วยความทีฮอปส์ใช้ระยะเวลานานในการปลูก และตลาดเล็กกว่า อาจไม่ค่อยคุ้มนักในระยะสั้น ส่วนในระยะยาว Deva Farm มีแผนจะใช้งานฮอปส์ที่ปลูก ไม่เพียงแต่ในคราฟเบียร์ของตัวเอง แต่รวมถึงขายทั้งในไทยและต่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ตามแม้สมาร์ทฟาร์มจะทำแล้วช่วยลดต้นทุน ลดความยุ่งยาก แต่เอาเข้าจริงแล้วใช่กว่าเกษตรกรที่ไหนจะสามารถมาทำได้ เพราะคุณอ๊อบบอกว่าจำเป็นต้องมีความรู้ด้านวิศวกรรม ด้านไฟฟ้าไปจนถึงด้านโปรแกรมมิ่ง เพราะระบบควบคุมมีปัญหาง่ายโดยเฉพาะจากความร้อน ที่ทำให้เซ็นเซอร์ต่าง ๆ พังง่าย และต้องมีคนคอยมอนิเตอร์ระบบอยู่ตลอดเวลา มีปัญหาต้องให้แก้ตลอดและรอนานไม่ได้ด้วย เพราะอาจส่งผลต่อผลผลิตทั้งฟาร์ม ขณะที่โซลูชันแบบสำเร็จรูปก็มี แต่แพงมาก คนที่ทำแล้วคุ้มก็อาจจะมีแต่ไม่ค่อยเยอะ
สรุปก็คือคนที่พอมีความรู้ พอสามารถแก้ปัญหาด้านเทคนิคกับอุปกรณ์และโซลูชัน IoT เหล่านี้ได้ แล้วมาทำสมาร์ทฟาร์ม จะค่อนข้างได้เปรียบกว่า ขณะที่หากเป็นเกษตรกรมาแต่เดิมแล้วอยากทำสมาร์ทฟาร์ม ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามในการหาความรู้และทำความเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้ รวมถึงอาจต้องพึ่งคนใกล้ชิด ลูกหลานคนรุ่นใหม่หน่อยให้เข้ามาช่วยดูแลแบบเต็มเวลา นอกเสียจากว่ามีเงินทุนมากพอ
Comments
เก็บข้อมูลเอาไว้บน MongoDB และ Redis
อ่านปุ๊ปถึงกับสำลักเลย 555
ฮอปส์
ไลบรารี
ยุ่งยาก
ผมก็งงว่าบน Reddit มันเก็บข้อมูลได้ด้วยหรือ
ใช้บอทไปโพสลง Subreddit ส่วนตัวครับ ?
ผู้ผลิตคราฟเบียรื > ผู้ผลิตคราฟเบียร์
แก้ไข
ใช้ Machine Learning พวก Fuzzy logic น่าจะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้นได้บ้างนะ
แต่ยังไงต้องเก็บข้อมูลและทดลองไปก่อน ว่าปัจจัยอะไรแบบไหนทำให้ผลผลิตดีขึ้นบ้าง
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
โอ้ pg.in.th
บรรยากาศเก่าๆ ลอยมา :)
ยังมีคนจำได้ 555
nattach.ai
ผมนึกว่าทำคราฟเบียร์ผิดกฏหมายซะอีก Kappa
ส่วนใหญ่ไปต้มต่างประเทศแล้วเอาเข้ามาขายในไทย ขึ้นทะเบียนเป็นเบียร์นอก เสียภาษีเอาครับ
ต้มในไทยถ้ากำลังการผลิตไม่ถึง (ผมจำไม่ได้เท่าไหร่ สมมติ 2 หมื่นลิตรต่อปี) ก็คือผิดกฎหมายอ่ะครับ
ตอนนี้ขนฮอปส์ไปทำที่เกาะกง กัมพูชาครับ
ปลายปีจะเปิดโรงเบียร์หน้าฟาร์มครับ
nattach.ai
อุ้ย
Omg ใช้ dht22 วัดความชื้นกะอุณหภูมิด้วย มันใช้ในทางปฏิบัติได้จริง ๆ เหรอครับ เคยซื้อมาเจ็ดแปดตัว วัดไม่เท่ากันเลยซักตัว ใกล้ ๆ กันอยู่สองสามตัว นอกนั้นต่างกันลิบ ปวดตับมาก
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
หลักการซื้อของถูกคือคุณต้องซื้อเยอะๆ มาคาลิเบรทหรือถ้ามันคาลิเบรทไม่ได้ ก็ต้องหาตัวที่มันทำงานใกล้เคียงกันครับ
พ่อผมเคยซื้อมอเตอร์มายกลัง เอามาต่อไฟ วัดการกินกระแสทีละตัว แล้วจัดไว้เป็นกองๆ เพื่อจะได้เอาไปใช้ด้วยกันง่ายขึ้น
ของถูกมันด็มีราคาที่ต้องจ่ายในแบบของมันอ่ะนะ
ว่าจะลองเอาใช้อยู่เลย มันมีของที่ดีกว่านี้ไหมครับ พอดีเพิ่งลองเข้าวงการมานะครับ
ลองดูของ Sensirion ก็ได้ครับ มันมีรุ่นที่ calibrate แล้วด้วย แต่ราคาก็ขึ้นพัน https://www.sensirion.com/en/environmental-sensors/humidity-sensors/
ยี่ห้อนี้มันมีรุ่นถูกอยู่เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด พวกเครื่องวัดอุณหภูมิของ mi จะใช้ Sensirion SH3x
ขอบคุณครับ
https://randomnerdtutorials.com/dht11-vs-dht22-vs-lm35-vs-ds18b20-vs-bme280-vs-bmp180/
เคยใช้ DHT11 เสียบค้างไว้ไม่ถึงชั่วโมงก็ไหม้เรียบร้อย จะซื้อใช้งานจริงๆจังๆเอาของที่มันดีกว่า แพงก็ช่างแต่จ่ายครั้งเดียวจบ
ที่เห็น DHT22 ในรูปเป็นตัว prototype test NB-iot เฉยๆครับ
nattach.ai
แล้วตัวจริงใช้อะไรแทนครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ใช้ ESP32 + SHT15 สำหรับวัด Ambient Temperature และ Humidity ภายในโรงเรือน เพื่อตัดสินใจว่าจะพ่นหมอกหรือไม่
ส่วนในกระถางปลูกใช้ Hardware ของ Bluelab ครับ
nattach.ai
ขอบคุณที่มาแชร์ครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมใช้ bme280 ครับ เคยเทสพร้อมกัน 10 กว่าตัว คละๆจากหลายโรงงาน ได้อุณหภูมิอยู่ใน range ต่างกันไม่เกิน 2c ความชื้น ต่างกันไม่เกิน 5% ครับ
ราคาตกราวๆตัวละ 80-120 บาท ตอนสั่งดูดีๆครับบางร้านเอา bmp280 มาขายแล้วบอกว่าเป็น bme280 (ร้านเองก็ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง)