LINE ออกอัพเดตแอปเวอร์ชันล่าสุดทั้งบน iOS และ Android โดยมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเปลี่ยนแปลงวิธีการย้ายบัญชี ไปยังโทรศัพท์เครื่องใหม่ ให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมาปัญหาซึ่งหลายคนประสบพบเจอ หรืออาจต้องพบตอนไปแก้ปัญหาให้คนอื่น ก็คือการย้ายบัญชี LINE จากโทรศัพท์เครื่องเดิมไปยังโทรศัพท์เครื่องใหม่ โดยสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในการจัดการบัญชี LINE ใหม่นี้คือ บังคับให้ตั้งรหัสผ่านสำหรับการลงทะเบียนบัญชีใหม่เสมอ (อดีตมีแค่เบอร์โทรศัพท์ก็ลงทะเบียนได้) รวมทั้งมีการส่งข้อความยืนยันว่าบัญชีมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการย้ายอุปกรณ์แล้ว
ทั้งนี้แม้กำหนดให้ตั้งรหัสผ่านเสมอเพื่อให้ย้ายบัญชีไปอุปกรณ์ใหม่ได้ แต่ขั้นตอนการลงทะเบียนที่เครื่องใหม่ก็ปรับปรุงให้ง่าย โดยสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์เดิมในการยืนยัน และได้ข้อมูลเดิมเลย หรือเลือกใช้รหัสผ่านกรณีย้ายทั้งเครื่องและเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ส่วนกรณีย้ายเครื่องและเบอร์ แต่ไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน ก็สามารถเรียกขอรหัสทาง SMS ผ่านเบอร์เก่าได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ข้อมูลที่โอนย้ายมีเฉพาะบัญชีติดต่อ ส่วนประวัติการพูดคุย ต้องแบ็กอัพแยกออกมาเอง เว้นแต่ย้ายอุปกรณ์ในระบบปฏิบัติการเดียวกันซึ่งอาจย้ายมาได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
ที่มา: LINE
Comments
ก็ประวัติการคุยน่ะแหละที่เป็นปัญหา
+1
จริง เข้ามานึกว่าจะปรับปรุงสิ่งที่เป็น pain point อันดับ 1 ของคนใช้ ผิดหวังกันไปตามๆกัน
สิ่งที่คนต้องการ ไม่ทำ ดันทำแต่ขยะ เน้นหาเงินลูกเดียว
+1000000000000
เบื่อไลน์เรื่องนี้มาก จนอยากจะใช้ whatsapp ให้มันจบๆ ไป (แต่ไม่มีใครใช้ด้วย)
เหมือนโปรแกรมเมอร์ของไลน์ มีแนวคิดให้คุยแล้วจบๆ กันไป ไม่ได้ใส่ใจกับการบันทึกประวัติการคุยอะไรมาก แต่กลายเป็นว่าเราใช้ไลน์กันในเรื่องจริงจัง การทำงาน ซึ่งมันควรต้องบันทึกเก็บไว้ สงสัยเราใช้ไลน์กันผิดวัตถุประสงค์ไปเอง
ที่เบื่ออีกเรื่อง คือถึงไลน์จะมีให้ backup conversation เป็นไฟล์พร้อมภาพได้ แต่ดันเข้ารหัสข้อมูลการคุยอีก !!! (จะเข้ารหัสทำไม ที่ export ออกมาก็เพราะจะเอามาใช้นี่แหละ) ดีนะที่ไม่ได้เข้ารหัสรูปไว้ด้วย เลยยังแตก zip เอามาใช้ได้ ทุกวันนี้เวลาจะ backup เก็บไว้ก็ต้อง export ทั้งแบบ text และแบบเป็นไฟล์เพื่อเอาภาพออกมาไว้ น่าเบื่อและยุ่งยากพอสมควร
ทุกวันนี้แทบจะอยากให้คนไทยเปลี่ยนไปใช้ตัวอื่นกันซะที
ถ้าคุยงานผมใช้บังคับอีเมล์อย่างเดียวนะ การใช้โปรแกรมแชทคุยงานสำคัญมันผิดแต่แรกแล้ว
แต่ส่วนใหญ่คนไม่ใช้อีเมล์คุยนี่แหละปัญหา
ถามไปบอกว่าไม่มีเมล์บ้าง ใช้ไม่เป็นบ้าง
ให้ใช้ fb messenger ก็บอกว่าส่วนตัวเกินไป ไม่อยากadd ซึ่งจริงๆaddแค่ msg ก็ได้ แต่ก็ไม่ทำกัน
Line ระบบคุยนี่ห่วยที่สุดแล้ว
Line@ ยิ่งโคตรไม่เหมาะในการเอามาคุยธุรกิจ
หวังเอาแต่ขายสติกเกอร์ ระบบบ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด
ใช้อีเมล์คุยงาน? ...
ระบบงานส่วนใหญ่ก็ส่งผ่านทาง Email เป็นหลักฐานอยู่แล้วนี่แปลกตรงไหนครับ ผมว่ามันมาตราฐานเลย
+3.1417
ถ้าเป็นงานเอกสารและต้องการหลักฐานยืนยัน ผมว่าใช้อีเมล์สะดวกครับ ส่งแล้วทิ้งเอาไว้
แต่ที่หลายๆ คนกล่าวถึงคือ interactive chat ครับ และผมว่าไม่ได้ผิดปกติอะไรเลยที่จะใช้ interactive chat ในการคุยงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องการการโต้ตอบไปมา ซึ่งเราสามารถย้อนกลับไปดูได้ ไม่ว่าจะดูเพื่อเตือนความจำ หรือดูเพื่อเป็นหลักฐานก็ตาม
ประเด็นคือไลน์มันไม่ซัพพอร์ทการเก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์ซึ่งมันเป็น behaviour แบบแอพแชทเก่าๆ อย่าง MSN messenger ดังนั้นก็คงต้องเลือกใช้ interactive chat ตัวอื่น หลายๆ คนหันไปหา slack อย่าง บ.ผมก็ใช้ slack เพราะมันถูกออกแบบมาใช้สำหรับงานแน่ๆ ล่ะ แต่ที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ history มันมี limit ครับ
ผมยังไม่เห็นว่าการเลือกใช้ interactive chat มันไม่เหมาะกับการทำงานยังไงนะครับ และไม่เห็นว่า email มันดีกว่าตรงจุดไหน หรือมีอะไรที่ interactive chat ทำไม่ได้
อย่างเดียวที่ email มีก็คือมัน "ดูเป็นทางการ" มากกว่า เพราะคนมองว่า interactive chat มีค่าเพียงแค่คุยเล่นนี่แหละครับ ทั้งๆ ที่ปัญหาจริงๆ คือตัวแอพนั้นๆ ครับ ไม่ใช่ชนิดของแอพ
บอกว่าใช้ email เป็นมาตรฐานก็เหมือนบอกว่าราชการไทยต้องอยู่กับกองเอกสารอ่ะครับ ปกติมากๆ ทำกันมานาน ในบริบทของสังคมไทย
ถ้าคิดด้วยเหตุผลนี้ ผมว่า LINE ก็ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้คุยงานนะ เพราะไม่ได้ support การเก็บ chat log ที่ดีแต่แรก และยังรวมไปถึงการเก็บ chat log ในระดับองค์กรที่ควรเน้นเรื่อง availability, history, privacy, information hierarchy เป็นต้น ซึ่งผมมองว่าหลายเรื่อง email ทำได้ดีกว่า LINE มาก
email สามารถส่งไปหาหลายคนได้ง่ายกว่า LINE สำหรับหัวข้อหนึ่ง ๆ เช่น ต้องการส่งคำร้องเรื่องค่าตอบแทนไปยัง HR คุณก็อาจจะส่ง email ไปหา HR ทั้งแผนก หรือส่งไปให้เฉพาะคนที่คุณคิดว่ามีหน้าที่รับผิดชอบเพียงคนเดียว หรือส่งไปหาคนที่รับผิดชอบพร้อมกับหัวหน้าของคน ๆ นั้น ถ้าจะทำแบบนี้บน LINE ก่อนอื่นคุณต้องสร้างห้อง HR ก่อนและทุกคนในห้องนั้นก็ต้องเปิด notification ไว้ตลอดเวลาด้วย
ต่อเนื่องจากข้อ 1 เรื่องการตอบกลับ สมมติว่าส่ง email ไปยังแผนกหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องที่ต้องการจะติดต่อ จึงปล่อยให้ทางแผนกไปมอบหมายหน้าที่ต่อกันเอง จากนั้นให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นั้นติดต่อกลับมายังผู้ส่ง หากใช้ LINE ทำแบบข้อ 1 การตอบกลับก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่า เพราะต้อง copy ข้อความเดิมจากผู้ส่งทั้งหมดไปส่งยัง chat ส่วนตัวแล้วจากนั้นค่อย reply ตอบส่วนที่ต้องการจะตอบลงไป และถ้าหากไม่ copy ข้อความเหล่านั้นมา การเก็บ chat history ก็จะไม่สมบูรณ์ สร้างความสับสนในกรณีที่ต้องการสืบค้นย้อนหลังได้
ชื่อที่ใช้ใน LINE เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เนื่องจาก LINE เป็น program ที่ใช้ทั้งในชีวิตส่วนตัวและ (หากใช้) ในการทำงาน เจ้าของ account จึงมีสิทธิ์เปลี่ยนรูป profile เปลี่ยนชื่อ nickname ได้เสมอ จึงทำให้ค้นหาชื่อเวลาที่ต้องการจะติดต่อได้ยากกว่า email ของบริษัทที่กำหนด address ตายตัวไว้แต่แรก
email มีการคุยที่อิงกับ subject การสืบค้นย้อนหลังทำได้ง่ายกว่า ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น มีการติดต่องานเรื่องหนึ่งระหว่างนาย A กับนาย B ซึ่งปกติก็คุยงานกันอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งนาย A ต้องการคุยกับนาย B เรื่อง requirement งานใหม่อีกชิ้น เรื่องงานเก่าก็ยังคุยกันค้างอยู่ ต่อมานาย B ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการพิจารณาขอบเขตความเป็นไปได้ของงานนี้ พร้อมทั้งให้ response กลับไป เรียกง่าย ๆ ว่าต่อรองปรับเปลี่ยน scope ของงานนั่นเอง เมื่อถึงเวลานั้นคงเป็นการยากมากที่นาย A ซึ่งวันหนึ่ง ๆ คุยกับหลายคนและคุยกับนาย B หลายเรื่องอยู่แล้วจะกดดู chat history ย้อนไปเพื่อทำความเข้าใจ response ของนาย B ที่มีต่อ requirement ใหม่ทีละจุด
availability แน่นอนว่าทุกวันนี้ LINE ไม่ได้เก็บข้อมูลรูปกับ video เอาไว้ตลอดไป จะมีหลายรูปหลาย video ที่เมื่อเวลาผ่านไปมาก ๆ แล้วจะไม่สามารถกดไปดูได้อีก เหมือนกับว่าทาง LINE ได้ลบทิ้งไปแล้ว ซึ่งสำหรับงานระดับองค์กรเรื่องแบบนี้ผมไม่คิดว่าองค์กรรับได้
privacy ในการคุยงานระหว่างองค์กรแน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อมูลบางอย่าง sensitive ที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ เช่น ข้อมูลด้านกฎหมาย คดีความ หรือแม้กระทั่งประวัติทางการแพทย์ของคนไข้ การใช้ LINE คุยแล้วเพิ่มความเสี่ยงว่า LINE จะสามารถอ่านข้อความที่เราคุยกันได้ ผมว่าเป็นอะไรองค์กรหลายแห่งไม่ต้องการ แม้ว่าทาง LINE จะกล่าวอ้างว่าได้เข้ารหัสแบบ end-to-end ก็ตาม
สุดท้ายผมคิดว่าการติดต่องานใช้ email มีข้อดีหลายอย่างมากกว่า chat program ไม่ได้เป็นการใช้งานเพียงเพราะมันเคยใช้ ๆ กันมา อาจจะมี program / platform ที่เหมาะสมกว่า เช่น Slack แต่นั่นก็คือผ่านการคิดเรื่อง process, work flow ต่าง ๆ มาดีแล้วซึ่งแตกต่างจาก chat program อย่าง LINE ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันมากกว่า ซึ่งการเอา chat program แบบ casual ไปใช้กับงานแบบ professional ผมว่ามันคือการใช้งานผิดประเภท
That is the way things are.
ผมเองก็คิดว่าไลน์ไม่เหมาะกับการคุยงาน และแนะนำให้ทุกคนทั้งบ.เก่าและบ.ใหม่งดคุยงานบนไลน์ครับ ที่บ.เก่ามีคนออกระเบียบว่า แม้ลูกค้าจะอยากคุยงานบนไลน์ขนาดไหนก็ห้ามตามใจลูกค้า ให้ใช้ Slack เท่านั้นครับ
ส่วน email ใช้ในกรณีรับส่งเพื่อเป็นหลักฐาน เช่น สแกนใบเสร็จ สรุปประชุมกับลูกค้า สรุปแผนงาน ฯลฯ ครับ
จากข้อ 1. และ 2. ของคุณคือ...
Chat application ทั้งหมดทำ Alias อย่าง email ไม่ได้นั่นเองครับ (บาง Server ก็เรียกว่า Virtual อ่ะนะ อย่าไปซีเรียสเรื่องชื่อเรียก Feature นะครับ)
ผมขอเสริมเพิ่มคือ email สามารถทำ Forwarding ได้ด้วยครับ
จริงๆ ผมอยากให้ใช้พวก Slack, Microsoft Team หรือ Line Work มากกว่านะครับ
แต่ก็ต้องใช้อีเมล (+IM ในบางที) เพราะเค้าว่า Slack ใช้ยากเกินไป
มันไมได้ เก็บ ข้อมูล บน คราว เหรอครับ แล้ว ให้ซิงค์ข้อมูล กัน ดุ มัน ยุ่ง ยาก
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีเจ้านี้จะขึ้งกไม่ทำ cloud อะไรหนักหนา
+1
จริงที่สุด ทำไมงก ไม่เก็บข้อมูลประวัติแชท เหมือนเฟสบุคนะ
ดีแล้ว จะได้ไม่มีหลักฐานเวลาไปขึ้นศาล ^^
เข้าใจว่ามันเป็นการเข้ารหัส End-To-End (E2EE)
ทำให้ตัว server Line เองก็ไม่สามารถอ่านได้ หรือเปล่าครับ
ถ้าจำไม่ผิดนะ
ใช่ครับ แต่แก้ปัญหาได้ครับ เพราะแม้กระทั่งการ sign in จาก app line ของ Windows ก็อ่านย้อนหลังได้ข้อความบนมือถือได้ และ vice versa ครับ
คงต้องไปดูงาน telegram ครับ
ประวัติข้อความ กับรูปภาพนั้นแหละครับที่ต้องการ มากกว่าการมากดรหัสง่ายขึ้น
เรื่องย้ายข้ามค่ายอีก ไม่รู้ทำไมทำไม่ได้เสียที
บังคับให้ตั้งรหัสผ่านสำหรับการลงทะเบียนบัญชีใหม่เสมอ (อดีตมีแค่เบอร์โทรศัพท์ก็ลงทะเบียนได้) - เขียนแบบนี้เหมือนแบบเดิมจะง่ายกว่านะครับ
ผมเข้าใจว่าน่าจะง่ายขึ้นนะ แต่พออ่านจบแล้วยังงงๆว่าง่ายขึ้นตรงไหน
ไม่ทำแบบ Facebook messenger ไปเลย
+1
ปัญหาใหญ่คือการย้ายข้ามค่ายแล้วประวัติการคุยไม่ตามมานี่แหละ เบื่อสุดๆ ไปเลย
งี่เง่าที่สุดคือการต้องมา Backup ห้อง Chat ทีละห้องนี่แหละ
ต้อง backup เองนี่ไม่เท่าไหร่
แต่ช่วยทำให้ทำทีละหลาย ๆ ห้องครั้งเดียวไม่ได้เหรอ
แบคอัพเป็นก้อนเดียวไว้ใน SD แล้ว
ให้ Copy ทั้งก้อนไปเครื่องใหม่จะง่ายขึ้นเยอะเลย
มีครับอยู่ใน Settings > Chat > Backup แต่ข้าม platform ไม่ได้ (Android จะเซฟบน Google Drive ส่วน iOS จะอยู่ใน iCloud)
แถมไม่มี auto-backup อีกต่างหาก ต้องมากดอยู่เรื่อยๆ
เคยลองแล้วมันมาแต่ข้อความ รูปภาพไม่มาครับ
ทั้งที่บาง Chat ของเรานี่รูปภาพสำคัญกว่าข้อความเสียอีก
ต้องกลับมาทำทีละห้องอยู่ดี
และเราไม่อยาก Move มาทั้งหมดทุกห้องด้วย
อยากได้แค่ประมาณ 20-30 ห้อง จาก ร้อยกว่า ห้องเท่านั้น
สรุปว่าเรื่องนี้มันเป็น pain point ของหลายๆ คนเลยทีเดียว ผมก็นึกว่าผมหัวเสียกับเรื่องนี้คนเดียวซะอีก
เห็นด้วยว่าควร backup ทั้งหมดได้ ไม่ต้องทำทีละห้อง แล้วขอเป็นแบบมาพร้อมรูปด้วย ไม่ใช่แบบที่ backup บน google drive แล้วได้แต่ข้อความอย่างเดียว
ปัญหานี้มีมานานจนเปลี่ยนมือถือไปสามเครื่องแล้ว ไลน์ก็ยังไม่ทำอะไร
สรุปคือไม่ได้ปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้น แต่ลดโอกาสระเบิดแอคเค้าท์ตัวเองทิ้งโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพื่อนผมนี่โดนกันบ่อยมาก
"เพื่อนได้ออกจากแชท"
/กุมขมับแปป
จริงๆถ้าทำให้แบคอัพบนcloudได้ไม่หมดก็น่าจะมีวิธีซิ้งในคอมหรือSD cardง่ายๆไม่ต้องมานั่งไล่แบคอัพ
ปัญหาเยอะแต่คนก็ยังใช้กันจนเราต้องใช้ตาม
เพราะที่ทำงานเลย เขาใช้กัน เลยต้องใช้ตาม ใจจริงก็อยากหนีไปใช้ตัวอื่นแทนละ
ถ้าไม่ติดที่ LINE เป็นที่นิยมในประเทศไทย ป่านนี้ผมไปใช้ WhatApps ลำไยหนักมากกับประวัติพูดคุย เปลี่ยนเครื่องทีประวัติหายหมดเลยไม่รู้ว่าเคยคุยอะไรกันมา แถมตอนนี้ตัวแอพก็ขนาดใหญ่มากๆ มีสาระพัดแต่ที่เด่นๆ จริงๆ ก็แทบจะนึกไม่ออก
เกลียดการไม่ backup แชทที่สุดแล้ว เจ้าอื่นดีกว่าเกือบทุกอย่างเลยในเรื่องการแชท
เบื่อ แต่ต้องจำใจใช้
ตกลงการเข้ารหัส end to end ระบบสมควรสามารถ backup chat ได้ด้วยเหรอครับ ? ทำไมหลายคนห่วงเรื่อง backup chat กันมากแต่ผมกลับสนใจด้าน privacy มากกว่า
That is the way things are.
ถ้าคุยเล่นๆ สัพเพหระ คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่หลายครั้ง สิ่งที่คุยเป็นเรื่องงานครับ
การเก็บหลักฐานการคุยงานไว้จึงสำคัญมากในหลาย ๆ กรณี
+1000000
โดยเฉพาะงานราชการนี่ หลักฐาน ร่องรอยการทำงานต่างๆ รวมถึงภาพถ่าย มันจำเป็นมากครับที่ต้องเก็บไว้ แถมไม่ได้ concern เรื่อง privacy ด้วย เพราะถ้าไม่ใช่เอกสารลับ มันเปิดเผยได้อยู่แล้ว
ทุกวันนี้จะจมกองเอกสารตายอยู่แล้ว คำสั่งทุกอย่างต้องเก็บไว้หมด (ไม่ได้ทำงานหันผ่าน Outlook หรือ Lotus แบบเอกชน) เดี๋ยวนี้ก็เริ่มประหยัดกระดาษ ส่งคำสั่งกันทางไลน์ละ มันก็ควรที่จะสำรองข้อมูลกันได้ง่ายๆ หายนี่จบกัน ซึ่งเรื่องพวกนี้คนทำงานเอกชนอาจไม่เข้ามข แต่นั่นล่ะระบบปบบนี้มันเป็นระบบของราชการที่ทำกันมานานแล้วไงครับ ก็ต้องทำไปตามนี้ แต่ระบบของไลน์เองที่ไม่เอื้ออำนวยตรงนี้เลยทั้งๆ ที่ราชการบ้านเราใช้ไลน์ทำงานก้นเยอะมาก
ผมว่างานพวกนี้ถ้าซีเรียสเรื่องเก็บข้อมูลมันไม่ควรมาคุยกันผ่านทางนี้อะ เค้าไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ถ้าจะฝืนใช้ก็ต้องทนกันไป
ปัญหาคือหลายๆที่ใช้ line คุยงานครับ แล้วถ้าเครื่องมีปัญหาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ต้องเปลื่ยนเครื่อง แชตกับรูปมันหายหมดครับจำไม่ได้ว่าคุยอะไรไปบ้าง
ผมว่ามันคนละเรื่องกันนะคับ คุณสามารถ backup ได้โดยไม่ต้องเข้าใจ content หนิครับ ทำแค่ตัวช่วยให้คนใช้ย้ายคีย์มาเครื่องใหม่ได้ก็จบแล้ว
อึมก็จริง เราไม่มีวันรู้หรอกว่า Server จะเก็บข้อความเข้ารหัสหรือเปล่า และเก็บไว้นานแค่ไหน
เพราะแม้จะขุดข้อความเก่าไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า Server ไม่เก็บข้อความเลย
ตรงกันข้ามกับผมเลยครับ ห่วงเรื่อง backup chat มากกว่า privacy นะ
เอาจริงๆ privacy ก็ห่วงแหละ คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาอ่านด้วย แต่ขอให้เบื้องต้นมัน export ออกมาให้ได้ง่ายๆ ก่อนถ้าเกิดผู้ใช้ต้องการ แล้วเมื่อผู้ใช้ต้องการนำข้อมูลมันออกมาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของผู้ใช้ที่ต้องดูแลข้อมูลนั้นเอง ซึ่งผมว่าผมดูแลได้นะ ส่วนใครที่ห่วงเรื่อง privacy ก็ไม่ต้อง backup ข้อมูลนั้นออกมา
บางคนมีความจำเป็นต้องนำข้อมูล backup ออกมา ซึ่งด้วยการชั่งน้ำหนักของบางคนที่จำเป็นแล้ว อาจให้น้ำหนักของการ backup ออกมาสำคัญกว่าเรื่อง privacy ก็ได้
ซึ่งตรงนี้ก็ควรเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกเองได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ โดยโปรแกรมเมอร์ไลน์ก็ไม่ควรคิดแทนผู้ใช้ว่าเพราะทางไลน์ concern เรื่อง privacy ก็เลยไม่ทำให้แอพมัน backup ออกมาง่ายๆ แต่ควรทำให้มันยืนหยุ่นและตอบโจทย์ผู้ใช้ที่มีความต้องการแตกต่างกันมากกว่า
ทั้ง Facebook Messenger และ Telegram ก็มี end to end ครับ ข้อความที่ส่งผ่านระบบปกติไม่ได้ทำ end to end ก็จะบันทึกบนคลาวด์ ส่วนข้อความที่ส่งผ่าน end to end ก็มีวิธีจัดการต่างกันไป
Telegram นี่อาศัยเก็บข้อมูลในเครื่องอย่างเดียว เครื่องไหนใช้แชตห้องไหนก็จะอ่านได้เครื่องเดียวไปเปิดเครื่องอื่นอ่านไม่ได้
ส่วน Facebook Messenger นี่จะมีการ sync ด้วยวิธีบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ อาจจะ sync ข้อความกันระหว่างเครื่องอุปกรณ์ของเราโดยตรงหรือ sync เฉพาะ encryption key แล้วดึง encrypt message จากคลาวด์อีกทีครับ แต่ระบบจัดการเครื่องที่เข้าถึงข้อความส่วนนี้ได้นี่ผมยังดูแล้วก็งงๆ อยู่
จริงๆมันต้องมี backup บน cloud อยู่แล้วนะ ตอน sign in บน PC chat history ยัง sync มาได้เลย
แต่ทำไมเวลาเปลี่ยนมือถือไม่ยอม sync ให้นี่งงจริง
LINE ไม่เหมาะกับการใช้งาน ที่เป็นเรื่องสำคัญ ที่มีข้อมูล หรือข้อความที่จำเป็นต้องใช้งาน ที่ห้ามสูญหาย เพราะมันมีโอกาสหายได้ง่าย และกู้คืนไม่ได้ด้วย LINE เหมาะกับการเอาไว้คุยเล่นกันมากกว่า แต่ผมก็แปลกใจที่มีคนเอามาใช้เรื่องงานกันเยอะ คงไม่กลัวข้อมูลหายกันเท่าไร ... 555
+1 ใช้กันเยอะมาก ทั้ งเอาไว้ ส่ง งาน ส่งนั้น นี้ ทั้งที่ มันไม่ใช่
+1 เหมาะเอาไว้แชทกับกิ๊กมากกว่าคุยเรื่องงานเยอะมาก >///<
หลายๆ ครั้งคุยนอกเรื่องงานแต่เป็นเรื่องสำคัญก็มีครับ ชีวิตผมอยู่บนโลกออนไลน์เป็นส่วนมาก บางทีส่งรูปให้กัน (รูปอะไรก็แล้วแต่) มันเป็นความทรงจำ อยากเก็บเอาไว้ครับ หรือแม้กระทั่งทะเลาะกันจะกลับไปอ่านว่าทะเลาะกันว่าอะไร พอดีผมชอบอ่านซ้ำๆ จนกว่าจะเข้าใจครับ
ทำไมไม่กดเซฟลงเครื่องหละครับรูปสำคัญ ส่วนข้อมูลตอนนี้ backup ได้นะ
ถ้าไม่ลืมก็เก็บครับ แต่หลายๆ รูปต้องอ่านพร้อมข้อความ มันเหมือนเป็นเรื่องเล่าน่ะครับ
ที่สำคัญ คนอย่างผมไม่สลับเครื่องบ่อยๆ แต่มักเกิดเพราะเครื่องเก่าเกิดอุบัติเหตุครับ ไม่ทันจะแบคอัพอะไรเลย
เบื่อการคุยงานและสั่งไฟล์งานใน Line มาก ๆ ไฟล์หายประจำ ไหนจะถูกดันข้อความที่ไม่เกี่ยวกับงานจากเพื่อนร่วมงานสูงวัยทั้งหลายอีก บอกดี ๆ ก็งอนออกจากห้อง ....
ถ้าใช้ Android แล้วเคยตั้งค่า backup chat log กับ google drive เอาไว้ พอย้ายมาเครื่องใหม่ LINE เค้าจะ restore chat log ให้เองเลยนะครับ เพิ่งย้ายเครื่องเมื่อวานพอดี -- ทำดีแล้ว
จะดีมากคือควรจะตั้งเวลาหรือ backup chat log ให้อัตโนมัติถ้ามีการตั้งค่า cloud drive เอาไว้ (google drive/icloud)
:daho:
เกลียดที่ chat log หายเหมือนกัน
แต่บางทีมันก็เป็นการเตือนเราเหมือนกันนะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน
ถ้ามันเกิดบ่อยๆ คงได้ปลงกับชีวิตมากขึ้น... (ฮา)
ให้คิดเสมอว่า Line มันหายได้ตลอดเวลา เข้าใจว่า Line เก็บข้อมูลใน Server ไม่นาน
ถ้าคุยงานใช้ Skype ดีกว่า เท่าที่ดู Skype ข้อความไม่หาย
เปลี่ยนมือถือก็ขุดข้อความเก่า + ไฟล์โบราณอายุนานกว่า 6 เดือนได้
แล้วก็ Skype ใช้ในจีนได้นะ
อะโหววว
เมื่อไหร่แอพจะลื่นสักที ลองใช้ Telegram ลื่นคนละโลกเลย
ลื่นเพราะนับคนใช้ได้เหรอครับ
ผมพยายามสลับไป แต่ไม่มีใครตามมาเลย
ในองค์กรผม เปลี่ยนจาก ICQ มาเป็น Telegram ทั้งหมดโดยสมบูรณ์มา 14 เดือนเศษ ตอบโจทย์การทำงานได้ดีมาก มีใช้บนทุก Platform โดย Chat content ตามไปด้วยเองทั้งหมด
ในขณะที่ LINE ก็มีไว้ใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องติดต่อกับคนนอกซึ่งใช้ LINE เท่านั้นครับ
...ใช่ครับ ผมพิมพ์ไม่ผิด... ICQ
หืม น่าสนใจครับ ผมเพิ่งรู้ว่า ICQ ยังอยู่นะเนี่ย
ตอนก่อนหน้าใช้ในองค์กรในเชิงอะไรเหรอครับ
นอกจากสื่อสารปกติแล้วก็ในงาน Automation control ครับ
ใน Platform อื่นที่ไม่ใช่ PC ผมจะเอา climm ไป Compile ใช้ เพื่อคอย Update status ของเครื่องจักรส่งผ่าน Internet ไปภายนอก รวมไปถึงการ Remote config หรือ Update firmware บางอย่าง...
เริ่มเล่าผิด คืองี้... พอหมดสมัยตั้ง Modem ต่อ RS232 รับสายทางโทรศัพท์ (Internet เข้า) ผมก็ต้องหาวิธี Upgrade งานของบริษัทผม ช่วงนั้นที่เจอมีแต่ ICQ นี่แหละ ที่เปิด Source code ให้ไป Implement ได้ทุก Platform ผมจึง Implement XMPP ไปใช้งานแทนตั้งแต่ประมาณปี 2548 (เพราะ Site งานส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศครับ) ซึ่งประสบความสำเร็จดีมาก สะดวกยิ่งกว่ายุค Modem เสียอีก ลดงบประมาณพัฒนา Protocol ใช้เองครับ เครื่องจักรชนิดเดียวกันก็อยู่ Group เดียวกัน ส่ง Firmware ทีเดียว ทุกเครื่องได้รับไปหมด แล้ว Update Script ก็ Run ไป... ฯลฯ
พอมาเมื่อปลายปี 2560 ความซวยก็มาเยือน เพราะ ICQ (ต้นทาง) เขาปรับปรุงเหมือน LINE ขึ้นมา คือต้องมีหมายเลขโทรศัพท์เพื่อส่ง OTP ยืนยันตัวตน อีกทั้งหมายเลข ICQ เดียวใช้งานได้เพียง 1 Concurrent ก็เกิดปัญหาสิครับ ผมจึงหาอย่างอื่นทดแทน ก็มาได้ Telegram นี่แหละ ซึ่งตอนนี้ก็ Upgrade ไปหมดแล้วครับ
ทำแบบนี้ ถ้าที่ไหนมีอะไรผิดปกติ Engineer ของผมทั้งทีมจะได้รับ Short Text + Error code (รวมทั้ง Log ด้วยในบางกรณี) ทาง Telegram ในโทรศัพท์มือถือตัวเองทันที รีบแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทันที โดยส่วนใหญ่จะแก้ไขเสร็จไปก่อนลูกค้าจะรู้ตัวเสียอีก
ส่วนทาง IT ของลูกค้า เขาจะเปิด Port ให้ทางผมใช้งานแค่ Port เดียวเท่านั้น (โดยไม่ต้อง forward ด้วย) จึงทำให้หมดปัญหาเรื่อง Security ไปครับ
อ้อ... มีใช้ในกรณี Configuration backup ด้วยครับ บางอย่างลูกค้าสามารถปรับแต่ง Config เองได้ตลอด ตัว Firmware จะส่ง Backup config เดิมกลับมาที่ทีมผมทาง Telegram เอาไว้ Role back ให้ลูกค้าได้ เพราะบ่อยครั้งที่ลูกค้าซนจนทำกลับไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไร มันก็คาอยู่ใน Telegram อย่างนั้นเฉยๆ ครับ
สุดยอด ขอบคุณครับ ผมว่าเป็นบ.ที่โคตรเจ๋ง ปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดแบบนี้ ขออนุญาตินะครับ
rollback ครับ
ก็ไม่ใช่ว่าปรับใช้ "ตลอด" หรอกครับ ไม่ได้เจ๋งขนาดนั้น แค่ "ความซวยมาเยือน" ทำให้ "จำเป็น"
ปกติ ถ้ามันยังตอบโจทย์เราได้ดีอยู่ ก็ไม่อยากไปปรับเปลี่ยนวิ่งตามเทคโนโลยีติดๆ นักหรอกครับ
ที่จริง ผมยังเล่าตก "ความซวย" รอบแรกไปนะครับ
ตอนแรกเนี่ย XMPP Protocol เนี่ย Google เขาก็ใช้ครับ เพราะมัน Open Source เนี่ยแหละ ใน Google Talk ก็ใช้เช่นกัน ทำให้ช่วงแรกผมมี Server ไว้เป็น "ศูนย์กลาง" ใช้งานฟรีหลายตัวเลย (นอกจาก ICQ)
ความซวยรอบแรกมาเยือนก็ตอน Google ออก Hang out แล้วปิดบริการ Google Talk แต่ตอนนั้นผมก็แค่ค่อยๆ ปิด Server list จนเหลือแค่ icq.com (ถอยจนหลังชนฝา) แล้วความซวยสุดท้ายก็มาเยือน... ดังที่เล่าไปแล้ว
ผมเห็นบริษัทหลายบริษัทได้พัฒนาตัวเองจากความซวยนะครับ ผมมองว่าทุกเหตุการณ์มันเอามาเรียนรู้ได้แหละ แต่อย่าเกิดแบบโดนจับโยนน้ำไม่ว่ายก็ตายบ่อยๆ ละกันครับ
ถามนิด ใครวางระบบตั้งแต่เริ่มอ่ะ ผมรู้สึกชื่นชมครับ
บริษัทของผมเองครับ ผมเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่สุดครับ
ครับ...เผด็จการ... (ก็หม้อข้าวตัวเองนี่นา)
คืออยากรู้ใครเป็นคนวางโครงสร้างระบบอ่ะ
ผมเองครับ ระยะราว 10 ปีแรกของบริษัท นอกจากวางโครงสร้าง บริหาร ลงไซท์งานแล้ว ผมทั้งลง Coding เองและ Lab ด้วยตัวเองครับ เพราะลูกน้องจบใหม่รุ่นแรกที่รับมาทำงานด้วย ต้องปรับตัวกับผมเยอะ ผมไม่ได้ใครที่ถึงลูกถึงคนโดยกำเนิด (จากสถาบันการศึกษา) เลย ต้องมาปั้นเพิ่มเองทุกคน
ผมถูกถามเรื่องนี้บ่อยๆ ว่า "ทำอย่างไร....ฯลฯ" จึงรีบใบ้แบบรวบรัดไว้ก่อนว่า "เผด็จการ" น่ะครับ
ปี 2004 นอกจาก PC ใน Lab จำนวน 2 เครื่องที่ยังต้องมี Windows ไว้ทดสอบ นอกนั้นผมย้ายมา Linux ครบ 100% ทั้งบริษัท ทุกสาขา ในทุกประเทศ (เริ่มย้ายตอน Red Hat กำเนิด)
ระบบบัญชีภายในบริษัท เราเขียนใช้เอง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารงาน Project ปัจจุบันคือตัวที่ 3 แล้ว เพราะใช้ไปแล้วเจอข้อจำกัดในโครงสร้างในระดับ Database Structure และ Work flow ส่งผลต่อการต่อยอด จึงเริ่มสร้างตัวใหม่ใช้งานมา 2 ครั้ง (เราไม่ได้มองเป็นรอบบัญชี แต่เรามองเป็นราย Project ครับ)
ส่วนบัญชีอีกหน้าหนึ่งตามกฏหมายท้องถิ่น (เช่นส่งกรมพัฒน์ฯ + กรมสรรพากรบ้านเรา) เรา Outsource ให้บริษัทบัญชีและนักบัญชีอิสระรับไปทำ แยกกันเพื่อสอบทานกันเอง
Office ปัจจุบันใช้ LibreOffice + Plugin extension ที่เราเขียนกันขึ้นมาใช้เองเพื่อตอบโจทย์การทำงานเฉพาะของเรา (Project database ACL และ Planning) ตามที่เราต้องการ
นี่เป็นข้อดีของ LibreOffice+OpenOffice ที่ผมไม่เคยไปถกเถียงกับใคร เพราะมันเป็นข้อดีเฉพาะกับ Programmer เท่านั้น คือคุณ Plugin ทุกสิ่งที่คุณต้องการได้อย่างอิสระ "อยากได้ต้องทำเอง" (สำนวนใครเอ่ย?)
เคยโดนจับลิขสิทธิ์ครั้งเดียว ราวๆ ปี 1996 หรือ 1997 (ไม่แม่นยำ) โดนยึด PC จำนวน 19 เครื่องเพราะลูกน้องดันติดตั้ง Thaisoft Dictionary เถื่อนใช้งาน (ยุคนั้นยังเป็นยุค Software เถื่อนที่พันธ์ทิพย์กำลังรุ่งเรือง) โดยบริษัทที่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์อีกที (ที่ผมพาดพิงเพราะเป็นเรื่องจริง ผมผิดจริงและเจ้าของเขาไม่ได้เสียหายนะครับ คุณ lew, mk) ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เป็นแรงขับดันให้ถอน Windows ออกทั้งหมด เพราะเกิดตาสว่างมองเห็นขึ้นมาว่า Windows เป็น OS ที่ตีกรอบ ควบคุมพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรของลูกน้องยากมาก (เผด็จการ / ก็บริษัทเรานี่)
19 เครื่องครั้งนั้น ยอมความที่ สน. โดนไปเครื่องละ ฿68,000 ครับ ลูกน้องนอนคุกที่ สน. แทนผม 1 คืน ปัจจุบันคนนี้ยังอยู่กับผม เป็น Project Sale Director ครับ
ถึงวันนี้ ผมก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า แท้จริงเจ้าของลิขสิทธิ์เขาได้อะไรไปเท่าไหร่ หรือว่าบริษัททนายที่รับมอบอำนาจนั้น กินไปเองสักเท่าไหร่นะครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังไล่จับ ไล่รีดไถกันสนุกวงการเลย (BSA ยังไม่เข้ามา) ผู้ประกอบการที่ไม่อยากให้เรื่องบานปลายใหญ่โต และไม่อยากยืดเยื้อเสียงาน ส่วนใหญ่ยอมความ จ่าย จบ ลบทิ้ง กัน
เป็นช่วง "มาเฟียลิขสิทธิ์" รุ่งเรืองครับ
ส่วนตัวไม่มองว่าเผด็จการครับ ผมว่าเป็น policy maker มากกว่า ขอบคุณครับไม่ถามต่อละ กลัวยาวรบกวนคนอื่น แต่ฟังแล้วสนุกดีมากๆ ครับ
อันที่จริง ตอนนี้เรายังสามารถใช้งาน Hangouts ผ่าน XMPP ได้เหมือนเดิมนะครับ ไม่รู้ว่าจะยกเลิกจริงๆตอนไหน
ใช่ครับ ถ้าคุณใช้ Hangouts นะ ก็มันเป็น App ของเขาเองนิ
คุณลองใช้ Open Source XMPP Library ดูสิครับ
ทดลองง่ายๆ เอา Pidgin มาลองดูก็ได้ครับ ใช้ gmail account ของคุณลองดู
คือตอนนี้ XMPP ที่ Hangouts ใช้อยู่น่ะ มันต่อยอดเกินไปจากที่ Open Document ไปแล้วครับ ไอ้ครั้งเราจะไป Re-engineering เขาเพื่อใช้ Server เขาฟรี ผมว่าผมจะลงทุนผิดที่นะครับ (แถมอาจจะเป็นการละเมิดด้วย)
ICQ ก็กำลังจะเป็นไปทางนั้นเหมือนกัน
ตอนนี้ไม่มีใครใช้ XMPP แค่ตาม Document แล้วครับ ต่อยอด ศัลยกรรมกันไปจนมันไม่ Backward Compatible แล้ว และไม่มีใครเปิดเผยด้วยครับ
แม้กระทั่ง Facebook ก็ใช้ XMPP อยู่ระยะหนึ่งครับ นานพอสมควรเลย (chat.facebook.com) แล้วก็ดัดแปลงจนหลุดออกไปแล้วเช่นกัน
ใช้ได้ครับ ที่ผมจะสื่อคือบริการ Hangouts มันยังสามารถเชื่อมต่อจากข้างนอกด้วย XMPP ได้ปกติมาตลอดทั้งที่กูเกิลประกาศว่าจะยกเลิก เพราะผมเองก็ใช้ Pidgin กับ Gmail ผมอยู่ทุกวันมาเกินสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังใช้ได้ปกติอยู่ครับ
ส่วน Facebook นี่ใช้กับ Pidgin ใช้ไม่ได้ตั้งแต่ราวๆช่วงปี 2012-2013 ครับ
อ้อ ครับ เข้าใจที่คุณสื่อแล้ว
ขอบคุณครับที่ Update ให้ผมทราบ แต่ผมไม่ย้อนกลับไปใช้ XMPP แล้วล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม จากที่คุณให้ข้อมูลผม ผมจะขออธิบายเพิ่มว่าทำไมผมจึงไม่ถอยกลับไป เพราะสิ่งที่ผมจะอธิบายเป็นความรู้จากประสบการณ์โดยตรง เป็นเรื่องเทคนิคแท้ๆ อันน่าจะเกิดประโยชน์กับใครได้ไม่มากก็น้อย ตามจุดประสงค์หลักของผมที่ทำให้มาสถิตย์เป็นสมาชิกอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก โดยอันนี้ผมไม่ได้มีมุมมองเดียวกับคุณ whitebigbird คือ รบกวนคนอื่น เพราะไม่ได้ผิดจุดประสงค์ของ Blognone ที่กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนตอนนี้นะครับ
คืองี้... ช่วงที่ Google เริ่ม Implement เพื่อรองรับ Video Chat เข้าไปใน XMPP (ก่อนการประกาศจะยกเลิก XMPP อย่างเป็นทางการ) ช่วงนั้นผมเจอ "Unknown command" และ "Unknown support code" ใน Pipe การสื่อสารแล้วครับ ซึ่งเราก็พยายามหาปัญหากันพักหนึ่ง (ไม่กี่สัปดาห์) Google ก็ประกาศยกเลิกออกมา ผมจึงสั่งถอน talk.google.com ออกจาก List ทันทีอย่างเป็นทางการเช่นกัน สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้น จะอธิบายดังนี้...
การที่ผมเอา XMPP ไปใช้ นั่นก็แปลว่า มีโอกาสสุ่มเสี่ยงจากการถูก Attack ด้วยวิธีการประมาณเดียวกับ DDoS ได้นั่นเองครับ และโดยเฉพาะงานของผมส่วนใหญ่จะต่ออยู่กับเครื่องจักรในกระบวนการผลิตโดยตรง (หรืออย่างน้อยก็ Modbus กับ PLC อีกที) ยิ่งต้องระวังตรงนี้อย่างที่สุด ดังนั้นพอมีอะไรที่นอกเหนือ Paper โผล่เข้าไปที่เป็น "Unknown command" และ/หรือ "Unknown support code" ปั๊บ Firmware จะทำการ Black list ก่อนทันที เพื่อป้องกันการถูกโจมตีหรือถูกเจาะเข้าไปในระบบได้ ดังนั้นช่วงที่ Google เริ่มดัดแปลง XMPP นั้น ทำให้ Firmware ของผมไล่ Black list โดยอัตโนมัติเองทันที จนเหลือแต่ ICQ เองครับ
ถึงแม้เราจะเป็นปลด Black list ก็ตาม แต่ Google ก็กำลัง Implement อยู่ในเวลาเดียวกันนั่นแหละ แป้บเดียว ก็โดน Black list อัตโนมัติเองหมดอยู่ดี พอผมดูเหล่า "Unknown command" ก็พอเดาจากศัพท์ออกว่า กำลัง Implement Video Chat เข้าไปนั่นเอง (เช็คไมค์, เช็คกล้อง, Multimedia I/O layer) ซึ่ง XMPP โดย Mirabilis ไม่ได้ออกแบบให้รองรับไว้ตั้งแต่แรก (ที่เดาจากศัพท์ได้ ยังมีที่เกี่ยวกับ G+ ด้วยครับ)
การตัดสินใจที่ดีที่สุดในขณะนั้นคือ ถอน Server ของ Google ออกจาก List ทั้งหมดอย่างถาวรทันทีครับ
และไม่ได้ย้อนกลับมาดูในเชิงเอามาประยุกต์ในงานนี้อีกเลย
ดังนั้น ถึงแม้จะยังเปิดให้บริการอยู่ แต่ด้วย XMPP Original library แล้ว ต้องเจอ "Unknown command" และ "Unknown support code" บานแน่นอน แล้วก็โดน Auto Black List อีกอยู่ดี
ไม่ขอตามแกะล่ะครับ
อนึ่ง เรามีการส่ง Command text ที่ไป Execute ใน /bin โดยรับจาก XMPP แล้วส่งผลกลับด้วยนะครับ อารมณ์ประมาณเหมือนคุณ ssh ผ่าน XMPP นั่นเอง (แต่ไม่เป็น root นะครับ) ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดปกติแม้แต่ byte เดียว จะ Disconnect แล้ว Black list ทันทีครับ เพื่อไม่ให้ Hacker มีโอกาสลองหรือสุ่มส่งอะไรเข้าไปที่ Account ที่ใช้ Online อยู่ได้เลยครับ (Brute force)
ลูกค้าต้องมั่นใจครับ
นึกถึงสมัยก่อนนู้น (น่าจะ 6-7 ปีได้) ใช้วิธี backup ทั้งแอพเลยด้วย titanium backup จะแฟลซรอมเล่นหรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ก็ restore มาได้หมด account ก็ไม่หายในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ต้องสมัครใหม่กันเป็นว่าเล่น แล้วอยู่ดีๆ LINE ก็ให้ restore กลับมาได้แค่ setting ของแอพ ส่วนแชทนั้นหายเกลี้ยง
เรื่องการโอนย้ายข้อมูล ถูกใจเป็นการส่วนตัว ผมยกให้ WeChat
ล่าสุดเพิ่งได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่
ตัว Wechat มีให้ทำแค่ไม่กี่ขั้นตอน และยืนยันรหัสต่าง ๆ ที่ตั้งไป
และใส่ข้อมูลยืนยันที่เครื่องใหม่ มือถือเครื่องเก่าจะทำการซิ้งค์ข้อมูลทั้งหมดไปเครื่องใหม่เลย
ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข้อความ ได้มาครบเหมือนที่อยู่เครื่องเก่าทั้งหมดเลย
ไม่เหมือน Line ได้กลับมาแค่ข้อความที่ Backup ไว้
ซึ่งส่วนตัวผมว่ารูปภาพก็สำคัญ ไม่ใช่แค่ข้อความเท่านั้น ถ้าได้มาครบจะดีไม่น้อย
ปรับปรุงกันต่อไป หลังจากรอกันมาเป็น 10 ปี (ก็ยังไม่ได้)
feature back up chat บน cloud น่าจะกำลังตามมา
line คงมองปัญหา privacy สำคัญกว่า มันหมายถึงความสบายใจในการใช้งานของ user ทุกคน
ถ้าคุยเรื่องสำคัญ ก็มีตัวเลือกให้ user เก็บข้อมูลเยอะแยะ
อย่าลืมว่า line มัน log in ได้หลาย device
ถ้าคุณหลุดจากline mobile ใน line pc คุณก็ยังอยู่นะ
ถ้า login หลักบนมือถือหลุดเมื่อไหร่ ipad หรือ pc จะโดนเตะออกทันทีครับ
+1 ตรงนี่แหละสำคัญมากครับ
อ่านคอมเมนต์แล้วตอกย้ำอีกครั้งว่า Line มันไม่เหมาะเอามาทำงานซีเรียสจริงจังจริง ๆ นะ แต่เราดันเลือกไม่ได้ TT^TT
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ทำไมผมอินกับบรรทัดนี้
"หรืออาจต้องพบตอนไปแก้ปัญหาให้คนอื่น"
T-T
รบกวนถามหน่อยค่ะ ว่าเราจะรู้ได้ไงว่าโทรไลน์ชนกัน