Tags:
Node Thumbnail

เมื่อปีที่แล้วทีมงาน Tencent เคยนำเสนอปัญญาประดิษฐ์สำหรับลบการแต่งหน้าออกจากภาพ ในปีนี้ที่งาน CVPR ก็มีการนำเสนอปัญญาประดิษฐ์สำหรับ "ลอก" การแต่งหน้าจากภาพต้นแบบไปลงหน้าใครก็ได้

การทำงานขั้นแรกจะแยกภาพส่วนสำคัญ เช่น ตา, คิ้ว, ปาก, จมูก จากนั้นนำภาพแต่ละส่วนเข้าโมเดลสร้างภาพการแต่งหน้า โดยใส่ทั้งภาพใบหน้าเป้าหมาย และใบหน้าของแบบที่แต่งหน้าเสร็จแล้วไปพร้อมกัน ภาพที่ได้จะเป็นภาพ delta หรือเฉพาะการแต่งหน้า เพื่อนำไปเติมลงในภาพต้นฉบับและได้ใบหน้าที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว

การสร้างชุดข้อมูลอาศัยวิดีโอสอนแต่งหน้าบน YouTube ที่ผู้สอนมักมีทั้งภาพหน้าสดและภาพแต่งหน้าเสร็จแล้วอยู่บนวิดีโอ ทีมงานแยกภาพก่อนและหลังกว่าพันชุด เพื่อฝึกโมเดลนิวรอนแบบ dilated residual networks (DRN)

อีกหน่อยเห็นภาพดาราบนอินสตาแกรมก็เซลฟี่ตัวเองให้แต่งหน้าแบบเดียวกันได้ทันที หรือเจ้าสาวทั้งหลายไปเห็นพอร์ตของช่างแต่งหน้าก็ทดลองได้ก่อนว่าเหมาะกับตัวเองไหม

ที่มา - Princeton

No Description

No Description

Get latest news from Blognone

Comments

By: akira on 22 June 2018 - 06:47 #1056678

อันนี้เด็ด สร้างสินค้าพร้อมขายกลุ่มเครื่องสำอางค์ได้สบาย เลือกแบบแต่งหน้าที่สนใจ มา Map กับหน้าตัวเองชอบอันไหนกดสั่ง ส่งชุดเครื่องสำอางค์ที่ใช้ไปให้ เก็บตังค์ แต่ในไทยคงเอามาเล่นแกล้งกันซะมากกว่า

By: lockinlive06 on 22 June 2018 - 08:05 #1056683 Reply to:1056678

ทุกประเทศมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีครับ
อย่าไปตื่นตูมกับอะไรที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ผมอยู่ US มาก่อนผมขอยกเรื่องหนึ่งเลยคือเรื่องของการ Bully ในเด็กคุณรู้ไหมว่ามันรุนแรงน้อยมากเมื่อเทียบกับ US
เด็กที่เติบโตในเมืองไทยบางครั้งยังโชคดีกว่าด้วยซ้ำครับในแง่ของการเติบโตท่ามกลางความรุนแรงของการกลั่นแกล้งที่ไม่รุนแรงเท่า
ทุกประเทศมีทั้งดีและไม่ดีแตกต่างกันไปครับ

By: whitebigbird
Contributor
on 22 June 2018 - 09:50 #1056707 Reply to:1056683
whitebigbird's picture

แสดงว่าคนไทยไม่ควรจะกังวลกับสถานการณ์ bully ในประเทศตัวเอง เพราะปัญหา bully ที่สหรัฐอเมริการุนแรงกว่าที่ไทย และทุกประเทศมีคนไม่ดี และคนดี

ฟังดูแล้วมัน เป็นเหตุเป็นผลมั้ยครับ?

By: tkmzaa on 22 June 2018 - 09:57 #1056709 Reply to:1056707
tkmzaa's picture

เพราะคุณเจ้าของเม้นเค้าบอกว่าคนไทยคงเอามาเล่นแกล้งกันมากกว่า คุณเม้นสองเค้าเลยสื่อว่าทุกประเทศมีทั้งคนดีคนไม่ดีนั่นแหละ ประเทศโลกที่ 1 เค้าก็แกล้งกันเหมือนกัน ก็เท่านี้เองคุณ

By: whitebigbird
Contributor
on 22 June 2018 - 10:42 #1056731 Reply to:1056709
whitebigbird's picture

อันนี้ความเห็นคุณหรือความเห็นของเม้นสองครับ? เป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นแค่ความเห็นของคุณ?

By: IDCET
Contributor
on 22 June 2018 - 10:11 #1056715 Reply to:1056683

พูดถึงการทะเลาะและการกลั่นแกล้ง ผมว่าอย่าเอามาเปรียบเทียบให้สบายใจเลยครับ มันควรจะไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม โดยเฉพาะในบ้านและโรงเรียน ต้องไม่มีเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ หากเป็นไปได้ ต้องไม่เกิดขึ้นที่ไหนเลยในโลก มีแต่ทำให้ตัวเองและเหยื่อเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ผู้แกล้งจะได้สมบัติหรือทรัพย์สินจากเหยื่อ สักวันก็จะได้รับผลของการกระทำ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่คุ้นกันเลยกับสิ่งที่ได้

และหากเกิดขึ้น ต้องมีมาตรการที่รุนแรงต่อผู้กระทำและมีการเยียวยาและรักษาสำหรับเหยื่อด้วย แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแกล้งหรือสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเหยื่อเองหรือบุคคลที่สามด้วย

1.คนแกล้งก็ต้องรับโทษรุนแรงเท่าสถานผู้ใหญ่ ถูกตัดสิทธ์ทางสังคมและโดน Blacklist ไม่ให้เข้าโรงเรียนใดๆ หรือสถานที่ใดๆ เลย เพราะเป็นภัยต่อคนอื่น ต้องมีโปรแกรมดัดนิสัยและปรับสภาพ พ่อแม่ที่เลี้ยงดูต้องโดนโทษร่วมกันไม่มีข้อยกเว้น ทางเดียวที่จะแก้ไขได้ คือ เข้าร่วมและต้องไม่กลับมาเป็นภัยสังคมอีก จนกว่าจะตาย หากก่อเหตุอีก โดนโทษตลอดชีวิต และถูกจับตามองจากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะถือว่าเป็นภัยต่อคนอื่นและสังคม

2.เหยื่อต้องได้รับการรักษาทั้งร่างกายและจิตใจ และต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และสามารถอยุ่ร่วมกับคนอื่นได้ ไม่ใช่เฉพาะนักเรียน แต่เป็นทุกคนในอนาคต เว้นแต่จะพบเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาท หรือกลั่นแกล้ง จะต้องถูกลงโทษในข้อที่ 1

สำหรับผม ถ้าเด็กหรือผู้ใหญ่ หากทำความผิดแล้ว และเลือกที่จะทำมันต่อ ไม่ควรได้ให้อภัยหรือกลับเข้าสู่สังคมอีก เพราะตนนั้นได้กระทำละเมิดสิทธืผู้อื่นไปแล้ว รวมถึงเขาได้ละทิ้งดุลยพินิจและสามัญสำนึกของตนไปแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่ามนุษย์ได้อีก

ยิ่งเป็นคนที่หาเรื่องแกล้งคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่ เทียบได้กับนรกเดินดินก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไปตั้งแต่ต้น และเป็นผู้ที่ถูกแกล้งในสมัยเด็ก การแกล้งกัน ไม่ว่าจะตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลทำล้ายทั้งทางกายและจิตใจต่อเหยื่อ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

จบแค่นี้ครับ


ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว

By: whitebigbird
Contributor
on 22 June 2018 - 10:44 #1056732 Reply to:1056715
whitebigbird's picture

เห็นด้วยกับเม้นนี้ครับ ถ้าจะบอกต้นเม้น ก็ไม่ควรเสนอในเชิงว่าทุกที่ก็มีเพื่อให้ฟังดูเบาลง ซอฟท์ลง

By: zerocool
ContributoriPhoneAndroid
on 24 June 2018 - 01:33 #1056977 Reply to:1056715
zerocool's picture

ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้

คนเราใครบ้างเกิดมาไม่เคยทำผิดพลาด หากการทำผิดพลาดแล้วไม่สมควรถูกเรียกว่ามนุษย์ผมว่ามันไม่ถูกต้องแล้ว เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ "เรียนรู้" จากความผิดพลาดโดยแท้จริง

การให้อภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่มนุษย์พึงมีให้แก่กัน ความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma) นั้นเกิดขึ้นแล้วเป็นเรื่องจริง แต่ก็ใช่ว่าคนเราจะอ่อนแอถึงขนาดที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ ถ้าอิงกับพุทธศาสนาของที่มันแบกแล้วมันเป็นทุกข์ก็วางของนั้นลงเสีย ไม่มีใครบังคับให้คุณแบกทุกข์ได้นอกจากตัวคุณเอง ส่วนศาสนาอื่นผมไม่ถนัดแต่ผมคิดว่าก็คงมีทางออกที่ดีเช่นเดียวกัน

ปล. ผมรู้ว่า comment นี้ออกนอกทะเล แต่ไม่อยากให้คน ๆ หนึ่งมาตีตราคนอีกคนหนึ่งว่าไม่สมควรเป็นมนุษย์ คนเพียงคนเดียวไม่มีอำนาจขนาดนั้น สิ่งที่มีอำนาจมากขนาดนั้นมีเพียงอย่างเดียว (ที่จับต้องได้) คือ "สังคม" ซึ่งเป็นดุลยพินิจของคนหลายคนที่หลากหลายเห็นพ้องต้องกัน ไม่ใช่แค่เพียงความคิดของใครคนใดคนหนึ่ง


That is the way things are.

By: IDCET
Contributor
on 24 June 2018 - 11:40 #1056993 Reply to:1056977

คือจะบอกว่า ให้เหยื่อลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคนแกล้งก็ลืมสิ่งที่กระทำลงไปเหรอ ผมวันมันไม่ใช่ เหยื่อสามารถลืมได้แต่ก็เป็นบาดแผลทางจิดใจไปตลอดชีวิต ส่วนคนแกล้งก็ได้ออกไปใช้ชีวิตโดยไม่ได้บทเรียนหรือผลของการกระทำเลย มันไม่แฟร์กับเหยื่อนะครับ บางครั้ง กให้อภัยใช้ักับคนบางคนไม่้ไดจริงๆหาการกระทำเลวร้ายมาก หรือก่อให้ผู้เป็นเหยื่อต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควร

และที่สำคัญ ไม่ใช่ทุกคนสามารถก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้นะครับ แม้แต่ศาสนา บางทีก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว หากโดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ และยิ่งคนที่ตนรักหรือครอบครัวโดนลูกหลงไปด้วย คิดว่าจะลืมมันไปได้เหรอครับ ผมก็เป็นคนนึงที่โดนแกล้งตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม แต่ก็ผ่านมาได้ ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีปัญหาเลย ผมยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และผมเชื่อว่าผู้กระทำยังลอยนวลอยู่ในสังคมและอาจสร้างความเสียหายที่มากกว่าที่ผมโดนได้ ก็ไม่สมควรอยู่ในสังคมครับ แต่ถ้าคนนั้นกลับตัวได้และไม่ทำความผิดอีกเลย ก็ว่าไปอย่าง

สำหรับผมต้องรุนแรงและสาสม ถึงจะสอนและเป็นบทเรียนให้คนอื่นไม่ให้กระทำเช่นเดียวกันนี้อีก หากกระทำการใดๆ ก็ต้องได้รับผลของการกระทำครับ ผมไม่ได้พูดเอาสะใจ ผมต้องการให้คนเหล่านั้นได้รับผลและสิ่งที่กระทำไว้อย่างสาสมที่สุด

ส่วนที่ผมพูดในการตัดสินคนนั้น ผมไม่ได้เป็นคนตัดสิน และไม่ใช้ให้เจ้าหน้าที่ตัดสินอย่าเดียว แต่เป็นคนที่มีดุลยพินิจพิจารณา มีคนในสังคมให้ความเห็นและรูปแบบที่ควรลงโทษ และต้องอ้างอิงหลักกฐานได้ทั้งพยานบุคคลและวัตถุ ถึงจะตัดสินได้


ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว

By: zerocool
ContributoriPhoneAndroid
on 24 June 2018 - 16:56 #1057023 Reply to:1056993
zerocool's picture

ผมว่าทุกอย่างก็คงต้องว่ากันด้วยกฎหมายครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่สังคมเห็นพ้องต้องกัน แน่นอนว่ากฎหมายในแต่ละประเทศยังมีความยุติธรรมไม่เท่ากันอยู่ และแม้กระทั่งตัวกฎหมายเองบางครั้งก็อาจจะยังกำหนดได้ไม่ดีพอ (ในความคิดของแต่ละบุคคล) ซึ่งสังคมก็มีหน้าที่ผลักดันให้กฎหมายมันยุติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

คนทำผิดก็สมควรได้รับโทษ แต่ก็เป็นการรับโทษในฐานะ "มนุษย์" ครับ ผมไม่เห็นด้วยที่จะไปตราหน้าเขาเหล่านั้นว่าไม่ใช่มนุษย์


That is the way things are.

By: whitebigbird
Contributor
on 25 June 2018 - 09:58 #1057118 Reply to:1057023
whitebigbird's picture

คนทำผิดไม่สมควรถูกตราหน้าว่าไม่ใช่มนุษย์ แต่ถ้าผู้ถูกกระทำให้อภัยไม่ได้กลับถูกมองว่าให้อภัยไม่เป็น ปล่อยวางทุกข์ไม่ได้ ไม่เข้าใจศาสนาพุทธ

ผมว่าคุณควรถอยห่างจากศาสนาพุทธ และกฎหมาย แล้วมาทำความเข้าใจมนุษย์จริงๆ อ่ะครับ

อ่านหนังสือจิตวิทยาสมัยใหม่เยอะๆ จะดีมาก ไม่ใช่สอนให้คน suppress กับรอ justice และพอมันไม่มาถึงก็ให้ไปผลักดันกฎหมาย กับรอสิ่งที่ไม่ควรรอต่อไปเรื่อยๆ

ลองหาอ่านดูครับ ว่าทำไมคนเราไม่ควร suppress bad emotion ถ้าจะพูดถึงศาสนาพุทธจริงๆ คุณควรเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง และยอมรับมันด้วยซ้ำครับ (introspective)

By: zerocool
ContributoriPhoneAndroid
on 25 June 2018 - 16:39 #1057204 Reply to:1057118
zerocool's picture

ถ้าคุณคิดว่าการปล่อยวาง การให้อภัย คือการ suppress emotion ผมว่าคุณเข้าใจผิดนะ ผมไม่เคยบอกให้ suppress emotion เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผมเสนอคือการลืมมันไปมากกว่า ลืมมันไปจริง ๆ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของเรื่องนี้อยู่ในความคิดอีก ลืมประหนึ่งว่าคุณประสบอุบัติเหตุทางสมองความจำเสื่อมจำอะไรไม่ได้เลย เมื่อสิ่งนั้นมันหายไปจากชีวิตคุณ คุณลืมมันไป คุณไม่สนใจมัน มันไม่มีตัวตนอีกต่อไป แล้วคุณจะไป suppress มันอีกได้อย่างไร ?


That is the way things are.

By: whitebigbird
Contributor
on 25 June 2018 - 17:39 #1057219 Reply to:1057204
whitebigbird's picture

ถ้าคุณไม่รู้จัก trauma และไม่เข้าใจว่าอะไรคือการ suppress หรือกลไกการทำงานของสมอง ผมแนะนำให้คุณไปอ่านก่อนดีกว่าครับ

ไม่งั้นคงไม่มีจิตบำบัดหรอกครับ ... อย่าบอกนะครับว่าคิดว่าคนที่ต้องไปบำบัดจิตคือคนที่ปล่อยวางไม่เป็น

By: whitebigbird
Contributor
on 25 June 2018 - 09:51 #1057117 Reply to:1056977
whitebigbird's picture

ผมไม่ชอบหลักการที่ว่าทุกคนต้องให้อภัยต่อคนที่ทำให้เรามีบาดแผลทางใจ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาป้ายไปคาดหน้าผากผู้ถูกกระทำว่าเป็นคนให้อภัยไม่เป็น

การยอมรับในตัวเอง ว่าคนๆ นี้ทำกับเราเอาไว้ และเราไม่สามารถให้อภัยเค้าได้ ผมว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำมากกว่า

สิ่งที่ยิ่งไม่ควรทำไปใหญ่คือการตราหน้าผู้ถูกกระทำว่าให้อภัยไม่เป็น อีกประการคือการใช้หลักศาสนาที่เป็นเหมือนกฎของสังคมมากดผู้ถูกกระทำให้ดูเป็นคนที่ไม่ทำตามหลักศาสนา กลายเป็นผู้ถูกกระทำนั้นโดนกระทำจากทุกทาง

trauma นั้นมีหลายประการที่รักษาไม่หาย และก้าวข้ามไม่ได้ ชีวิตคุณจะ struggle กับ trauma นั้นๆ ไปตลอดชีวิต หลายคนกลายเป็น eating disorder หลายคนมีปัญหาทางจิตจนวันตาย สิ่งที่ทำให้อาการหนักคือการพูดเชิงกล่าวโทษผู้ถูกกระทำนี่แหละครับ

คุณอาจบอกว่าคุณกำลังชี้ทางสว่าง แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณไม่รู้ตัวว่าการกระทำดังกล่าวคือการกล่าวโทษผู้ถูกกระทำ ...​ ผมก็ขอไว้เลยว่าคุณควรทราบว่าการกระทำแบบนี้นี่แหละ ทำให้ผู้ถูกกระทำมีอาการ panic attack เป็นส่วนใหญ่

อีกประการถ้าคุณจะพูดหลักพุทธศาสนา คุณควรเอาหลัก หรือธรรมทุกประการมาใช้ร่วมกัน ไม่ใช่แยกมาโดดๆ อย่างเช่น อภัยทาน มันไม่ใช่แค่คิดว่าจะทำทานด้วยการอภัยอย่างเดียว สังคมไทยเลยกลายเป็นการให้อภัยกันแบบไร้สติ ให้อภัยกันแบบไม่มีสายกลาง ให้อภัยกันแบบที่ไม่ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยกันแบบไม่รู้ที่มา และที่ไป

trauma ไม่ใช่ทุกข์ในแบบที่ปล่อยวางได้ ถ้าแค่นี้ไม่รู้ผมว่าอย่าอ้างพุทธศาสนาให้มันด่างพร้อย เหมือนเป็นศาสนาที่ไม่พร้อมเข้าใจวิทยาศาสตร์ และไม่พร้อมอยู่ร่วมกับสังคมยุคใหม่ดีกว่าครับ

ใช้ศาสนาแห่งทางสายกลาง แบบไม่รู้จักทางสายกลางในการใช้ ... อย่าใช้เลยครับ

By: zerocool
ContributoriPhoneAndroid
on 25 June 2018 - 16:51 #1057199 Reply to:1057117
zerocool's picture

เอาจริง ๆ ผมรู้จักและเข้าใจพุทธศาสนามากกว่าที่คุณคิดนะ แต่ผมยกแค่เรื่องการให้อภัยเพราะว่าต้องการให้ comment มันสั้นกระชับและตรงประเด็นแค่นั้นเอง กลายเป็นว่าผมเป็นคนที่ไม่เข้าใจศาสนาพุทธแต่คุณกลับยกตัวเองคิดว่าเข้าใจศาสนาพุทธมากกว่าผมไปเสียอย่างนั้น และอันที่จริงที่ผมหยิบศาสนาขึ้นมาให้ฟังเพียงเพราะมันเปรียบเทียบง่าย มีบทคำสอนชัดเจน (ถ้าผมยกสิ่งอื่นที่ไม่มีเอกสารหลักการ คุณก็อาจจะหาว่าความคิดผมเลื่อนลอยได้อีก) ผมไม่เคยบอกให้ใครต้องมีศาสนา ต้องบังคับใช้ศาสนาเลย คุณหาว่าผมเอาศาสนามากด ผมก็อยากจะถามว่าผมกดตรงไหนเหมือนกัน

ขนาดตัวผมเองตอนนี้ก็กึ่ง ๆ ไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ (เพราะผมเข้าใจหลักธรรมจนมองข้ามเปลือกอย่างวัดหรือพระสงฆ์สมัยนี้ไปแล้ว)

การให้อภัยกันมันไม่ได้มีแค่อยู่ในคำสอนของศาสนา คนเรารู้จักให้อภัยกันตั้งแต่สมัยบรรพกาล สมัยที่ยังไม่มีแม้แต่ศาสนาเลยด้วยซ้ำ มันก็เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์มีมนุษย์คิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาตัวเอง คนที่เจ็บแค้นจดจำความชอกช้ำที่ถูกกระทำมา ไม่ยอมละทิ้ง ไม่ยอมลืม ไม่ยอมปล่อยวาง ก็จะเป็นคนที่เหนื่อยเอง ในขณะที่จดจำเพ่งไปที่ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมานี้ คู่กรณีก็ไม่ได้อยู่ด้วยตรงหน้า คิดเพ่งไปก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนอกจากทำให้ความคิดตัวเองจดจ่อและกระตุ้นประสบการณ์ที่ไม่ดี ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดีอยู่ซ้ำ ๆ เรื่อยไป ดังนั้นคนที่รู้ตัวคิดได้ก็จะปล่อยวางได้ หยุดการทำร้ายตัวเองซ้ำ ๆ ทางความคิด

หลักการคิดแบบนี้มีมาก่อนพุทธศาสนาแน่นอน พระพุทธเจ้า (ถ้ามีอยู่จริง) ไม่ได้คิดค้นอะไรใหม่ แค่หยิบสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาเรียบเรียงเป็นคำสอนหลักธรรมเท่านั้นเอง คุณจะไปเรียกสิ่งที่ท่านสอนว่าเป็นอย่างอื่น เป็นชื่ออื่น เป็นศาสนาอื่น หรือแม้กระทั่งไม่เรียกว่าเป็นคำสอนของศาสนาก็ได้ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าคุณรู้ไหมว่ามันมีอยู่จริง คุณเข้าใจมันอย่างถ่องแท้หรือเปล่า จะเรียกอะไรมันก็เป็นแค่ "เปลือก"

ผมบอกความคิดของผม ผมบอกวิธีที่ผมคิดว่าช่วยได้ คุณกลับเรียกว่า "ผมกล่าวโทษผู้ถูกกระทำ" แล้วต้องให้ผมแสดงความคิดเห็นอย่างไรครับ ? ต้องให้ผมเห็นด้วยกับคุณว่าคนที่แกล้งคนอื่นในวัยเด็กไม่สมควรถูกเรียกว่า "มนุษย์" กระนั้นหรือ ถึงจะสาแก่ใจคุณ ถ้าผมพูดแบบนั้นผมถึงจะเป็นคนดี (ในสายตาคุณ) ที่ไม่ "กล่าวโทษผู้ถูกกระทำ" อย่างนั้นหรือ ? ไม่สามารถคิดเห็นต่างได้เลยหรือ ? หรือว่าเห็นต่างได้แต่ก็ต้องปิดปากเงียบไป เพราะไม่ว่าพูดอะไรที่ไม่ทำร้ายไม่ด่าทอผู้กระทำ ก็จะกลายเป็นว่าผมไป "กล่าวโทษผู้ถูกกระทำ" ไปเสียหมด

ผมกล่าวโทษผู้ถูกกระทำ หรือผู้ถูกกระทำคิดไปเองว่าถูกผมกล่าวโทษ ??

คนทำผิดนั้นก็ผิดอยู่แล้วเป็นเรื่องหนึ่ง ผู้ถูกกระทำมีบาดแผลในใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้วเราย้อนเวลาไปห้ามไม่ให้มันเกิดไม่ได้ การด่าทอผู้กระทำผิดก็เป็นประเด็นหนึ่ง เป็นวาระหนึ่ง ใช่ว่าการที่ผมไม่พูดถึงผู้กระทำผิดไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการกระทำนั้น ๆ ผู้กระทำผิดก็ต้องรับโทษอยู่แล้ว แต่ผมอยากเน้นถึงประเด็นที่ว่าผู้ถูกกระทำจะรักษาตัวเองอย่างไรจากประสบการณ์อันเลวร้ายต่างหาก

คนเรามันพูดได้ทีละประเด็นครับ ถ้าต้องการจะสื่อสารให้ดี ผมไม่ได้พูดถึงประเด็นด้านผู้ก่อเหตุไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับความเลวร้ายนั้น ๆ กรุณาแยกแยะให้เป็น อ่านหนังสือจับใจความให้ได้ด้วย

ผมยืนยันคำเดิม ผมไม่เคยกล่าวโทษผู้ถูกกระทำ ผมแค่บอกทางซึ่งเป็นวิถีที่มนุษย์เราใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว มันคือกลไกพื้นฐานของมนุษย์เราที่จะจัดการกับสิ่งแย่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต มีมาก่อนทุกศาสนา ถ้าแค่บอกทางยังทำไม่ได้ แล้วผู้ถูกกระทำจะรู้ได้อย่างไรว่ามีทางออก ?

trauma จากการถูกกลั่นแกล้งคือความเลวร้าย คือประสบการณ์อันชอกช้ำ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตแน่นอน ในชีวิตยังมีสิ่งอื่นที่ดีรออยู่ และในทางกลับกันก็ยังมีสิ่งที่น่าเจ็บปวดน่าชอกช้ำเข้ามาได้อีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการถูกทรยศโดยคนที่ไว้ใจ การสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก หรือแม้กระทั่งความตาย

เชื่อผมเถอะ ในวินาทีที่คุณเผชิญกับความตาย คุณจะไม่มีเวลามานึกสนใจกับเรื่องเลวร้ายที่ "ผู้อื่น" ได้กระทำกับคุณในอดีตหรอก มันจะมีเรื่องราวอีกมากมายหลายอย่างที่สำคัญกว่าเข้ามาให้คุณคิดในช่วงนั้น

ปล. ช่วยกรุณาเลิกนิสัยรู้ดีว่าคนอื่นเข้าใจเรื่อง ๆ หนึ่งดีหรือไม่ดีเถอะครับ ในกรณีนี้คือเรื่องพุทธศาสนา การที่คุณเองไม่รู้จริงว่าผมรู้ดีมากน้อยแค่ไหน ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณรู้ดีมากน้อยแค่ไหนนะ ดังนั้นผมจะไม่บอกว่าคุณรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องพุทธศาสนามากหรือน้อยกว่าผม แต่ผมแค่จะบอกว่าผมรู้เรื่องพุทธศาสนามากพอสมควร มากกว่าที่คุณพูดกล่าวหาว่าผมไม่รู้เรื่องแน่นอน ดังนั้นขอนะครับ เลิกเสียเถอะนิสัยแบบนี้ มันไม่ใช่นิสัยที่ดีเอาเสียเลย


That is the way things are.

By: whitebigbird
Contributor
on 25 June 2018 - 17:40 #1057220 Reply to:1057199
whitebigbird's picture

คุณรู้จัก phobia มั้ยครับ เป็น trauma แบบนึง คิดว่าแค่ลืมๆ ไปได้มั้ยครับ

By: zerocool
ContributoriPhoneAndroid
on 25 June 2018 - 20:09 #1057253 Reply to:1057220
zerocool's picture

ผมว่าคุณเข้าใจผิดนะ trauma สามารถพัฒนาเป็น phobia ได้ในภายหลัง แต่ phobia อื่น ๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ trauma เลย สาเหตุไม่เกี่ยวข้องกัน

phobia จาก trauma ผมว่ารักษาได้ บำบัดได้ อาจจะไม่ได้หายขาดแต่ phobia ตั้งแต่เกิดเป็นมาเอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

Research suggests that phobias can run in families, and that both genetic and environmental factors (nature and nurture) can contribute to developing a phobia. Some children and teens develop a phobia after being exposed to a traumatic or frightening event such as a fear of water after a near drowning or fear of dogs are being bitten.

ผมว่าเราอย่าพยายามเปลี่ยน scope จาก bully trauma ไปยัง phobia เลยครับ ยิ่งคุยเหมือนคุณจะยิ่งพยายามขยาย scope ออกไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าคุณรู้ตัวไหมว่าประเด็นมันเปลี่ยน

ถ้าอยากเอาชนะก็แล้วแต่เลยครับ สุดท้ายผมต้องการสื่อว่าคนเราทำผิดพลาดได้ แม้ว่าจะเคยทำเรื่องเลวร้ายแต่ทุกคนก็ยังเป็น "มนุษย์" ผมไม่เห็นด้วยกับการตราหน้าคนอื่นว่าไม่ใช่ "มนุษย์"

คนทำผิดสมควรได้รับโทษ ซึ่งเป็นโทษตามที่สังคมเห็นสมควรตามกฎหมาย ส่วนผู้ถูกกระทำก็ต้องได้รับการรักษาบำบัดเพื่อดำรงชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข


That is the way things are.

By: whitebigbird
Contributor
on 26 June 2018 - 08:05 #1057315 Reply to:1057253
whitebigbird's picture

การยกตัวอย่างของผม กลายเป็นคุยนอกเรื่องซะงั้น แบบนี้การเอาความเห็นส่วนตัวเรื่องให้ลืม trauma กับการยกพุทธศาสนามาพูดถึงในแบบที่คุณทำ ผมควรตำหนิคุณแต่แรกเลยมั้ยครับ?

ผมพยายามยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด และพูดถึงการจัดการ trauma ในตัวเอง ที่ผมให้ข้อมูลจาก fact ล้วนๆ แต่คุณก็ยังพยายามคุยกับผมด้วยความเห็นเรื่องปรัชญาทางการกำหนดจิต

เอางี้ เอาตามที่คุณพูดเรื่องขอบเขตกฎหมายก็ได้ครับ การที่ผู้ถูกกระทำได้ปลดปล่อยความโกรธและสิ่งท่ติดค้างในใจออกมา เช่น การด่าว่า การกระทำไร้ความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ อันนี้ก็อยู่ในขอบเขตของกฎหมายครับ

ถ้าคุณไม่สบายใจที่คนด่าผู้กระทำด้วยคำพูดที่อยู่ในขอบเขตกฎหมาย คุณควรกระทำแบบที่คุณแนะนำคนอื่น คือคุณควรจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ที่เห็นคนอื่นกระทำการใดๆ ที่ขัดกับความเชื่อของตน ไม่ใช่ไปห้ามคนอื่นด้วยการเอาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีไปชักนำคนอื่นครับ

โดยเฉพาะสิ่งที่คุณทำมันเป็น opinion ไม่ใช่ fact และการกระทำแบบที่คุณทำไป เป็นสิ่งต้องห้ามในการบำบัดผู้มี trauma ครับ อัันนี้เป็น fact นะครับ ไม่ใช่ opinion

ผมขออนุญาตไม่ตอบต่อนะครับ แต่ขอขอบคุณที่สนทนาด้วยและขอบคุณที่ตั้งใจสนทนากันครับ ไม่ใช่มาพิมพ์แซะเรื่อยเปื่อย พอโดนแซะคืนก็รีบปกป้องตัวเองแบบเม้นล่างๆ

By: john dick
iPhone
on 22 June 2018 - 11:18 #1056746
john dick's picture

เม้นออกทะเลกันอีกละ

By: whitebigbird
Contributor
on 22 June 2018 - 11:21 #1056747 Reply to:1056746
whitebigbird's picture

การที่คุณเม้นถึงเม้นที่ออกทะเล มันก็ไม่เกี่ยวกับข่าว เม้นคุณก็เป็นอีกเม้นที่ออกทะเลอ่ะครับ

By: lockinlive06 on 22 June 2018 - 12:18 #1056774 Reply to:1056747

ออกทะเลception

By: myungz
In Love
on 22 June 2018 - 14:08 #1056795
myungz's picture

ผมถึงกับต้อง login เข้ามาทึ่งคอมเม้นตอบโต้กันข้างบนเลย

By: akira on 22 June 2018 - 16:41 #1056815

555 ออกทะเลกันไปไกล ผมเพียงแค่ต้องการสื่อว่าคนไทยนิสัยชอบสนุก คงต้องเอามาทำ filter ไว้แกล้งเพื่อน เช่น เอารูปเพื่อนผู้ชายมาจับแต่งหน้า แล้ว Post social media มันจะดูน่าเข้าทางคนไทย ฮิตแน่นอน ไม่คิดว่าจะออกทะเลไปซะไกล การวาง Product บางทีก็ต้องดูธรรมชาติของคนในแต่ละประเทศก่อน เมืองไทยต้องจุดกระแสก่อนแล้วค่อยเอาธุรกิจตาม แค่ไอเดียไม่คิดว่าจะแตกประเด็นเป็นเรื่องอื่น

By: impascetic
Android
on 25 June 2018 - 11:40 #1057150 Reply to:1056815

จริงๆผมเข้าใจคอมเมนต์ต้นทางของคุณนะ มันมาแนวเฮฮา แต่ทำไมมันกลายเป็นจริงจังขนาดนั้น

By: whitebigbird
Contributor
on 25 June 2018 - 17:41 #1057221 Reply to:1057150
whitebigbird's picture

ผมมองว่า ถ้าไม่สามารถจริงจังได้กับทุกเรื่อง พอๆ กับที่สนุกได้กับทุกเรื่อง ผมเชื่อว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างครับ

By: impascetic
Android
on 25 June 2018 - 17:49 #1057223 Reply to:1057221

เกี่ยวอะไรกันครับน่ะ

พอดีผมชอบอะไรที่มันพอดีๆ จริงจังเกินไปก็ไม่สนุก สนุกเกินไปก็ไร้สาระ ส่วนตัวผมว่าอันนี้มันไม่พอดีผมก็เลยไม่เลือกที่จะอ่านทั้งหมด แค่มาออกความเห็นคุยกับเจ้าของคอมเมนต์เฉยๆน่ะ ไม่ต้องถึงกับเพ่งเล็งมาทางผมก็ได้ครับ

By: IDCET
Contributor
on 26 June 2018 - 10:34 #1057361 Reply to:1056815

ผมเห็นความเห็นที่เกี่ยวกับการแกล้ง และมีประเด็นเปรียบเทียบขึ้นมา และมาจากที่ผมมีประสบการณ์เคยโดนแกล้งรุนแรงมาก่อน ผมเลยดึงเรื่องใกล้ตัวที่เจอมาอธิบายครับ และแนวทางที่ควรจะเป็นสำหรับการจัดการปัญหาการกลั่นแกล้งนะครับ ไม่ได้คิดว่าจะบานปลายได้ขนาดนี้

ปล. การแกล้งคนอื่น มันมีหลายระดับ ตั้งแต่เล่นกันไปจนถึงทำลายทุกสิ่งของฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่ผมพูดถึงคือการจัดการแบบหลังครับ แต่ก็ใช่ว่าแบบแรกจะไม่สร้างปัญหาเลย แต่อาจเป็นเหตุรุกรามไปถึงระดับหลังได้ ถ้าเล่นกันเกินพอดี ซึ่งผู้กระทำควรรู้อยู่แก่ใจและข้อจำกัดที่ไม่ควรแหวกออกมาใสคนอื่น

สำหรับความหมายของคนที่ไม่ใช่มนุษย์ คือคนที่ทำทุกสิ่งเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สนผลของการกระทำ ทำเพื่อได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องการเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนวิธีการที่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควรจะทำครับ แม้เป็นการจบชีวิตขอคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม โดยที่คนปกติจะมีสามัญสำนึก ความคิด และรู้ถึงข้อจำกัดที่ควรจะทำ แต่คนเหล่านี้เลือกไม่แยแสและก้าวข้ามสิ่งที่ไม่ควรกระทำไปแล้ว ยากที่จะหันหลังกลับมาอีกครับ เรียกอีกอย่างว่า “อมนุษย์” ครับ


ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว

By: pote2639
ContributoriPhoneWindows PhoneWindows
on 22 June 2018 - 22:53 #1056851

พอดีผมไม่ชอบมีปัญหากับใคร แต่มาเห็น comment section แล้วอยากให้ blognone มีปุ่ม block จริงๆ ฮ่าๆ