พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมประชุมคณะกรรมการเตรียมการไซเบอร์แห่งชาติ โดยมีประเด็นสำคัญคือการกำหนดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ และแผนการพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์
การกำหนดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (critical information infrastructure - CII) กำหนด 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มความมั่นคงและภาครัฐ, กลุ่มการเงิน, กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม, กลุ่มการขนส่งและโลจิสติกส์, กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค, และกลุ่มสาธารณสุข
ส่วนแผนการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มีแผนพัฒนาตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงช่างเทคนิค รวม 1,000 คน งบประมาณแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 350 ล้านบาท และงบจากศูนย์ความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น อีก 5 ล้านดอลลาร์ ระยะเวลา 5 ปี
ที่มา - Facebook: ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
Comments
มาแนวมาเลเซียหรือปล่า เห็นใกล้เลือกตั้ง
@TonsTweetings
กลุ่มการเงิน, กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม, กลุ่มการขนส่งและโลจิสติกส์ ไม่ค่อยห่วง เห็นเอกชนเขาพอจะเข้มแข็งอยู่ แต่ได้ภาครัฐมาหนุนจริงจังก็ดี
กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค, กลุ่มสาธารณสุข อันนี้อยากให้ปรับปรุงจริงจังเลย ค่าน้ำค่าไฟของบ้านนอกนี่จ่ายผ่านออนไลน์จริง ๆ ไม่ได้ซักที (ยังต้องไปบุญเติมหรือเซเว่น) แฟ้มประวัติคนไข้ก็รอไปสิ มาเอาคิวตั้งแต่ 8 โมงเช้า กว่าแฟ้มจะมาถึงล่อไป 9-10 โมง ย้ายโรงบาลต้องไปค้นแฟ้มประวัติก่อน เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ไปเข้าโรงบาลอื่น ไม่มีประวัติให้ เพราะฐานข้อมูลไม่ได้แชร์กัน (ในแง่จริยธรรมไม่รู้ว่ามันแชร์ได้มั้ยอะนะ แต่ถ้าทำฐานข้อมูลดี ๆ มันควรจะแชร์ได้เมื่อคนไข้หรือญาติอนุญาตให้เข้าถึงนะ)
กลุ่มความมั่นคงและภาครัฐ....อันนี้คงไม่ต้องพูดถึง ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันระดับไหน...
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมคิดว่าข้อมูลผู้ป่วย อย่างน้อยโรงพยาบาลรัฐควรจะแชร์กันนะ จะได้ไม่ต้องเก็บซ้ำซ้อนกัน และน่าจะทำระบบฐานข้อมูลกลางไว้ มีศูนย์ข้อมูลในหลาย ๆ สถานที่ทั่วประเทศและทำให้เป็นข้อมูลเดียวกัน
รายละเอียดมันจะมากกว่า "แชร์กันหรือไม่" ครับ ถ้าบอกว่าโรงพยาบาลรัฐแชร์กันหมายถึงเป็นเซิร์ฟเวอร์กลาง โรงพยาบาลไหนทำหลุด (ผู้ใช้เผลอใช้ password ซ้ำ, โดนแฮก) ก็หลุดทั้งประเทศเลยไหม
หรือแค่มี "format กลาง" สำหรับโอนข้อมูลกัน เวลาต้องใช้ก็ขอไฟล์ ออนไลน์หรือให้ผู้ป่วยถือ thumbdrive ไปเอง แล้วไปสำเนาเข้าเซิร์ฟเวอร์ของแต่ละโรงพยาบาล
lewcpe.com, @wasonliw
ในแง่จริยธรรม ข้อมูลการรักษาเป็นสิทธิ์เฉพาะตัวของผู้ป่วยครับ ทางปฏิบัติจึงไม่แชร์ข้อมูลออกไปนอกโรงพยาบาลนั้นครับ
ผมว่าไม่ควรแชร์ถึงขั้นนั้น นอกจากเจ้าตัวอนุญาตเป็นกรณีๆ เป็นครั้งๆ ไป แต่ควรปรับปรุงแบบเป็นมาตราฐานข้อมูลหลักในการแชร์กันได้เมื่อคนไข้ต้องการย้ายโรงพยาบาลจะได้ไม่ต้องคีย์ข้อมูลใหม่หอบแฟ้มไป (ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันให้ข้อมูลกันยังงัย) แต่ข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างควรมีเก็บไว้บัตรประชาชนนะ เช่น พวกแพ้ยา แพ้อาหาร โรคประจำตัว อะไรพวกนี้ กรุ๊ปเลือดน่าจะมีอยู่แล้ว เวลาไปโรงพยาบาลใหม่รูดบัตรประชาชนข้อมูลโชว์เลยไม่ต้องมาใส่ น่าจะสะดวกดี
ปัจจุบันโรงพยาบาลสามารถดึงข้อมูลจากบัตรประชาชนแบบชิปการ์ดได้ แต่ว่าชิปการ์ดของบัตรประชาชนไม่สามารถเก็บประวัติอย่างการแพ้ยา โรคประจำตัว เพราะบัตรออกโดยกระทรวงมหาดไทยครับ ไม่สามารถเก็บข้อมูลของโรงพยาบาลเข้าไปในบัตรครับ และเรายังไม่มีระบบส่วนกลางครับ
ส่วนการส่งข้อมูลไปโรงพยาบาลอื่น ๆ ปัจจุบันเราสามารถส่งข้อมูลผ่านระบบส่งตัวต่าง ๆ เช่น ThaiRefer, ReferLink, iRefer… โดยให้การส่งข้อมูลเข้า Server ของระบบนั้น ๆ และเก็บรวบรวมและส่งต่อระหว่างระบบผ่าน nRefer ของกระทรวงสาธารณสุขอีกที
แต่ก็น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถแลกเปลี่ยนประวัติการรักษาทั้งหมดระหว่างโรงพยาบาลผ่านบัตรประชาชนได้ เพราะเรายังไม่มี Server ส่วนกลาง ที่ต้องมีมาตรฐาน มีความปลอดภัย รองรับการทำงานทั่วประเทศได้ อีกทั้งยังมีเรื่องความปลอดภัย สิทธิ์ผู้ป่วย และเรื่องจุกจิกอีกมากมาย
แต่ว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ การแชร์ข้อมูลทางสุขภาพและการแพทย์ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทางด้านสาธารณสุขอยู่แล้วครับ ตอนนี้กระทรวงกำลังพัฒนาอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถส่งประวัติการรักษาจากต้นทางไปปลายทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยครับ
เกรงว่าการฝึกด้านความมั่นคง จะเอามาใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลซะมากกว่า
อย่างเลวร้ายสุดก็คงจะเป็นแบบจีน เกาหลีเหนือ หรืออดีตเยอรมันตะวันออกแน่ หรือแบบมาเลเซียที่เห็นผลชัดเจน
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
หืม... มีความรู้ทางด้านนี้ด้วยหรือ
1000 คน กินงบ 500 ล้าน ใช้เวลา 5 ปี
how effective..
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ค่าจ้างลูกน้องคนละ 16,500 บาท 5 ปีก็ตั้ง 0.016% แล้วครับ
... เดี่ยวน้ำชาจะเย็น
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ห้าแสนต่อคน ขอภาพชัดกว่าพูดลอยๆ ว่าพัฒนาห้าปีก็ดีนะครับ จะทำอะไรได้ จะป้องกันประเทศอะไรก็โม้มา ไม่ใช่ลอยๆ พัฒนา พัฒนา คำนี้มันเป็นคำพูดเอาตัวรอด ไม่ใช่คำพูดชี้วิสัยทัศน์ซักเท่าไหร่
กระเป๋าตุงอีกแล้วลุงนี้เก่งจริงๆ
รายงานเบอร์ในแอป[กันกวน]ไปชาตินึงแล้ว ไม่มีความคืบหน้าเลย เกือบ30ล้านหรือเปล่านะ จำไม่ได้
ควรทำมาตั้งนานแล้ว
อย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เช่น เงินเดือนตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญสูงมากๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ผู้เชียวชาญตัวจริงตำ่เรี่ยดินเร่งแซงยังไงไม่เกินเงินเฟ้อ
องค์ความรู้ต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่โหนกระแส
แล้วอย่าลืมพัฒนาการศึกษาด้วยนะครับ ทำตั้งแต่เด็กเลยจะได้ไม่ต้องมาเสียเงินพัฒนาตอนพวกเค้าโตแล้วมากนัก