ทางเว็บไซต์ AppleInsider ได้มีรายการเกี่ยวกับสิทธิบัตรของแอปเปิลที่มีการจดไว้ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2008 ที่มีชื่อว่า "Display with Dual-Function Capacity Elements" ซึ่งเป็นการรวมเอาตัวเก็บประจุเข้าไปไว้ในส่วนแสดงผลของแต่ละจุดบนหน้าจอ LCD และสามารถทำงานแยกกันได้ตามปกติ
เทคนิคนี้จะสามารถทำให้ผลิตอุปกรณ์ที่มีจอภาพสัมผัสแบบประจุ (capacitive) ได้บางขึ้น เบาขึ้น และสว่างมากขึ้น เพราะเป็นการเปลี่ยนจากการใช้จอ LCD แยกกับแผงเซนเซอร์สัมผัสแบบเดิมที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งสิทธิบัตรนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หลักๆ ของแอปเปิลได้เกือบทั้งหมด
ระยะหลังมานี้เราจะเห็นว่าแอปเปิลได้ให้ความสำคัญกับการจดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับจอภาพสัมผัสเป็นจำนวนมาก และเรื่องของกฎหมายนี้เองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่หลายๆ สำนักคาดเดาว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ Android ไม่มีระบบมัลติทัชเสียที แม้ว่าฮาร์ดแวร์จะรองรับแล้วก็ตาม
ที่มา - AppleInsider
Comments
ให้ลูกค้าเอาไป Root เอาเอง..
(ไม่แน่อาจจะแอบยัด Software ไว้แล้วแต่ปิดไว้)
การจดสิทธิบัตรแบบนี้ ผมว่ามันขัดขวางความเจริญยังไงไม่รู้
แต่ถ้าคุณคิดได้ คุณจะไม่จดหรือครับ?
@mamuang
กลับกันครับ ความเจริญเกิดจากสิทธิบัตรต่างหาก ถ้าไม่มีสิทธิบัตรใครจะนั่งคิดให้เหนื่อย ใช้หากินก็ไม่ได้จิ
@TonsTweetings
ไม่ต้องมีสิทธิบัตร คนก็คิดขึ้นมาใช้กับอุปกรณ์บริษัทตัวเอง ทำเองขายเอง ได้อยู่ครับ
ออกจะทำให้ผูกขาดง่ายขึ้นมานิดนึง เพราะบริษัทใหญ่ๆมักจะเอาไปใช้แล้วได้ประสิทธิผลมากกว่า
แต่ปัญหามาเฟียสิทธิบัตรแบบแอปเปลกับโนเกียก็น้อยลงนะ
ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับพรรคไพเรทที่จะลดอายุสิทธิบัตรลงเหลือ 5 ปี
ไม่งั้นต้องมีการตั้งอัตราค่าซื้อสิทธิบัตรให้ยุติธรรมหน่อย หรือน่าจะมีค่าเสื่อมราคาสิทธิบัตรด้วย
ไม่เห็นด้วยครับ หากเสียเวลามากกว่า 5 ปีในการคิดค้นและวิจัยผลงานบางอย่าง แต่กลับจดสิทธิบัตรได้เพียงแค่ 5 ปีแล้วจะเสียเวลาวิจัยไปทำไม
อีกอย่างถ้าวิจัยได้แล้ว ไม่ได้เป็นเจ้าของ กลับถูกนายทุนที่ร่ำรวยนำไปใช้ขาย เป็นที่รู้จักกว่าของตัวเอง แล้วจะวิจัยไปทำไม
That is the way things are.
จดสิทธิบัตร คือขอการคุ้มครอง [แม้ว่าจะมีคนที่บังเอิญคิดเหมือนกัน บังเอิญทำออกมาเหมือนกัน ก็ถือว่าผิด]
มันยุติธรรมกับคนที่แค่คิดช้ากว่าแค่ 3 เดือน แต่ฉลาดพอๆกัน มั้ย ล่ะครับ?
ในเมื่อขอการคุ้มครอง ก็ต้องให้ประโยชน์แก่รัฐ จะเอาไปฟันกำไรเท่าไหร่ก็ตามใจ แต่ต้องมีจำกัด ไม่งั้นคุณไม่คิดว่ามันละเมิดสิทธิคนอื่นบ้างเหรอ ไม่ได้ตั้งใจลอกอะไรใคร แต่เผอิญคิดได้เหมือนกัน แค่ทำเสร็จช้ากว่านิดเดียว ทุ่มเงินทุมเวลาลงไปแล้ว กลายเป็นว่าคนอื่นที่แค่คิดเร็วกว่านิดเดียวกลายเป็นเจ้าของ ของที่เราคิดเองแท้ๆ
แถมบางคนยังไม่ทันจะทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน (แค่จินตาการเฉยๆ ) ก็เอาไปจดลิขสิทธิ์ไว้ละ คนที่มีความสามารถ มีเงิน มีเวลา ก็เลยพลอยวิจัยให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้อีก ผมว่ามันมีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนคุณลิ่วกล่าวด้านล่างครับ คุ้มครองมากไปก็ไม่ดี คุ้มครองน้อยไปก็ไม่ดี ปัญหาคือมันหาความพอดีไม่ได้!!
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
มาก่อนได้ก่อนสิครับ สามเดือนนี่ก็นานนะ ฉลาดกว่าแต่ถ้าไม่จดก็ไม่มีสิทธิ มันก็แค่นั้นเอง ถ้าลงทุนเยอะ กลัวมาก ก็ต้องรีบจดสิครับ มันไม่ได้ผิดที่ระบบหรอก มันผิดที่คนคิดช้ากว่าคนอื่นจดไม่ทันมากกว่า
สิทธิบัตรเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด R&D มาโดยตลอดนะครับ ประเทศทั้งหลายที่ไม่มีระบบสิทธิบัตรกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือไม่พัฒนาทั้งนั้นเลย เรื่องระยะเวลาอายุของสิทธิบัตรเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอด สุดท้ายมันก็อยู่ทีความคุ้มทุนของแต่ละองค์กรครับ แต่อย่าลืมว่าสิทธิบัตรมันรวมไปถึงสิทธิบัตรเทคโนโลยีทางการแพทย์ด้วย ยาชนิดหนึ่งกว่าจะคิดค้นผลิตออกมาได้ตั้งนาน ถ้าได้แค่ 5 ปีใครจะมานั่งคิดยาครับ? มันไม่เหมือนกับอุตสาหกรรมไอทีที่ไหวตัวเร็วกว่าวงการการแพทย์ เพราะฉะนั้นแล้วผมว่า 10-15 ปีเหมาะสมกว่าแน่นอน บริษัทบางบริษัทมันเข็นสินค้าออกมาไม่เร็วเหมือนวงการไอทีแน่นอน
ส่วนเรื่องสิทธิบัตรมาเฟียทั้งหลายนั้นอันนี้มันก็อยู่ที่องค์กรที่ยินยอมให้สิทธิบัตรนั้นถูกจดทะเบียนได้ต่างหาก ถ้าองค์กรมันรับหมดแบบนี้มันก็มีสิทธิบัตรครอบจักรวาลเยอะแยะไปหมด (เช่นสหรัฐ) แต่ในยุโรปสิทธิบัตรหลาย ๆ อย่างไม่สามารถจดได้ รวมไปถึงพวก Software และพวก "วิธีการใช้งาน" ทั้งหลายไม่สามารถจดได้ เพราะฉะนั้นท่านั่งอึในสหรัฐอาจจะจดได้ แต่ในยุโรปอาจจะจดไม่ได้ ปัญหานี้คงต้องโทษ US Patent เองล่ะครับ
สรุป - มาก่อนได้ก่อน เหมือนที่จอดรถนั่นล่ะ ความยุติธรรมมันก็คือมาก่อนได้ก่อนน่ันล่ะ ไม่มีวิธีตัดสินความเที่ยงธรรมที่ดีกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ
@TonsTweetings
ผมเคยฟังงามสัมมนาของ FSF EU ว่าแม้กฏหมายจะไม่รับรอง Software Patent อย่างเป็นทากการ แต่ EU ก็จดกันได้แล้วผ่านทางการล็อบบี้แก้กฏเล็กกฏน้อยไปเรื่อยๆ จนจดได้ไปแล้ว
lewcpe.com, @wasonliw
มันเกิดปัญหาย้อนกลับ ว่าหลายบริษัทวิจัยแล้วเอาไปดองไว้
ผลเลิศของระบบทรัพย์สินทางปัญญา คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรโลก หรืออย่างน้อยๆ ก็ประเทศที่ให้การคุ้มครองนั้นครับ ถ้าไม่มีการคุ้มครอง หรือการคุ้มครองน้อยเกินไป สุดท้ายก็ไม่เกิดการพัฒนาอย่างที่คุณกลัว แต่ในทางตรงกันข้าม หลายหน่วยงานพัฒนาเสร็จแล้ว ไม่ทำการค้า เอาไปเก็บไว้ ที่หนักกว่าคือเอาไปซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ พอมีคนทำในรูปแบบเดียวกันกลายเป็นการละเมิดไป
ถึงจุดหนึ่งแล้วการคุ้มครองที่มากเกินไปจะกลายเป็นตัวทำให้ไม่เกิดการพัฒนาซะเอง เพราะกินบุญเก่ากันได้เรื่อยๆ
ตัวเลข 5 ปีผมว่าทำจริงคงยาก แต่ในทางหนึ่งแล้วมันเป็นการบอกสังคมว่าได้เวลาที่เราจะลดการคุ้มครองลงได้แล้ว
lewcpe.com, @wasonliw
คิดเองขายเอง แล้วจะไปแคร์สิทธิบัตรคนอื่นเค้าทำไม
ก็คิดเองขายเอง แต่ดันไปซ้ำกับคนอื่น ก็โดนฟ้องเหมือนกัน
สิทธิบัตรนะครับไม่ใช่ลิขสิทธิ์
ขอ + 1 ให้กับการกำหนดราคาสิทธิ์บัตรและค่าเสื่อมราคาสิทธิบัตร
แต่ก็ยังเห็นด้วยกับการให้มีสิทธิ์บัตรอยู่
เห็นต่างครับ
ผมหมายถึงการจดสิทธิบัตรคล้ายๆแบบนี้ครับ
คือ "ไม่ได้คิดว่ามันจะทำได้จริงๆเปล่า แต่คิดว่ามันน่าจะทำได้"
บางครั้ง ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีทุนวิจัยจริงๆ แต่รู้แนวโน้ม รู้ทิศทางของธรรมชาิติ แล้วก็ไปคอยดักเก็บค่าสิทธิบัตรโง่ๆ
ผมว่าไม่ครับ
สมมุติคุณลงแรงพัฒนา เทคโนโลยีไป 40ล้านเหรียญ หลังจากนั้นบริษัทต่างๆก็เอาไปใช้ฟรี
ถ้าเป็นคุณคุณจะยอมไหมครับ ?
รวมเป็นชิ้นเดียวสักที
เบาขึ้น บางขึ้น มันแม่งๆป่าวคับ
อาจคิดไปเองคนเดียวคับ
คงต้องเป็น เบาลง บางลง
อันนี้เค้าหมายถึงกระเป๋าคนซื้อหรือเปล่านา
มันควรเป็น (น้ำหนัก) เบาลง (ตัวจอ) บางลง รึเปล่านะ
ภาษาอังกฤษมันเป็นขั้นกว่านี่นา เลยติดเป็นคำว่าขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ :P
มาเป็นครูภาษาไทย
เทคนิค ไม่ใช่ เทคนิก
แก้แล้วครับ :)
มีอะไรต้องรีบจด เดี๋ยวคนอื่นเอาไปจดแล้วกลับมาฟ้องจะเสียหายหนัก คาดว่าคงต้องคิดแบบนี้แน่ (โดนโนเกียฟ้องมาซะอ่วมเลย)
เสียจะได้เปลี่ยนทั้งตัวทีเดียวใช้ยี่ห้ออื่นไม่ได้ part แพงกว่าชาวบ้านเยอะ :P
ความคิดเป็นของเราแต่ไม่จดสิทธิบัตร พอคนอื่นเอาไปใช้แล้วเค้าเอาไปจดสิทธิบัตรว่าเป็นของเค้าแล้วเอามาฟ้องเราทีหลังแล้วเราจะไม่เจ็บใจเอาหรือ ความคิดของเราแท้ๆ กรณีนี้มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว
คนเราเดี๋ยวนี้มักจะเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของตน
มากกว่าความเป็นจริง เพื่อให้ความเชื่อของตนสมจริง
พิมพ์ให้อ่านเฉยๆไม่มีอะไร
เห็นด้วยครับ
+1
ีระบบสิทธิบัตรน่ะดี แต่คนที่ใช้ช่องโหว่ของระบบสิทธิบัตรไปในทางมิชอบตะหากที่ไม่ดี
ระบบมีช่องโหว่ก็ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น อุดช่องโหว่ซะ
แต่ผู้ที่อาศัยช่องโหว่กวาดผลประโยชน์เข้าตัวจนมีอิทธิพล แล้วใช้อิทธิพลกดดันไม่ให้มีใครแก้ไขช่องโหว่นี้
ก็เรียกว่ามาเฟียไงล่ะครับ