Apple Watch ลือสเปครุ่นปี 2024!

iPhonemod - 18 December 2023 - 13:08

Apple Watch รุ่นปี 2024 มีข่าวลือมาพร้อมสิ่งใหม่หลายอย่ […] More

The post Apple Watch ลือสเปครุ่นปี 2024! appeared first on iMoD.

Mickey Mouse หมดลิขสิทธิ์ปีหน้า หลัง Disney เป็นเจ้าของมาเกือบ 100 ปี แต่เฉพาะเวอร์ชันแรกสุดเท่านั้น

Brand Inside - 18 December 2023 - 12:49

Mickey Mouse ตัวการ์ตูนโด่งดังจากค่ายใหญ่ Disney และเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Pop Culture ของสหรัฐอเมริกากำลังจะหมดลิขสิทธิ์ในปี 2024 นี้และกลายเป็นสมบัติสาธารณะ 

อย่างไรก็ตาม Disney เผยว่า จะมีแค่ Mickey Mouse จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Steamboat Willie” เท่านั้นที่ลิขสิทธิ์จะหมดอายุ ส่วนเวอร์ชันใหม่จะยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัทเหมือนเดิม 

แม้ว่าลิขสิทธิ์จะหมดอายุ แต่ Mickey Mouse จะยังเป็น Global Ambassador ของ Disney ทั้งในภาพยนตร์ สวนสนุก และสินค้าต่าง ๆ รวมทั้ง Disney ยังเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าของ Mickey Mouse ในฐานะที่เป็นมาสคอตของบริษัทและเป็นตัวแทนของแบรนด์ และบริษัทยืนยันว่าจะยังปกป้องลิขสิทธิ์ของ Mickey Mouse เวอร์ชันใหม่และผลงานอื่นที่สร้างขึ้นต่อไป

การที่ Mickey Mouse เวอร์ชันใหม่ ๆ ยังอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัทหมายความว่า ครีเอเตอร์จะสามารถสร้างผลงานจาก Mickey Mouse ได้ภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง โดยจะไม่สามารถนำตัวละครไปสร้างงานที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและความสับสนว่า Disney เป็นผู้สร้างขึ้นมาได้ 

ตัวละคร Mickey Mouse ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง “Steamboat Willie” ในปี 1928 พร้อมด้วย Minnie Mouse ซึ่งตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 95 ปี หมายความว่าจะหมดอายุในปี 2024 นี้หลังจากก่อนหน้านี้ Disney พยายามรักษาลิขสิทธิ์ไว้ทำให้รัฐบาลขยายลิขสิทธ์อยู่หลายครั้งเป็นเวลา 20 ปี

นอกจาก Mickey Mouse แล้ว ตัวการ์ตูนเสือ Tigger จากเรื่อง Winnie the Pooh ก็จะหมดลิขสิทธิ์ในปีหน้าตามหมีสีเหลือง Winnie the Pooh ไปเช่นเดียวกันเพราะปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในเรื่อง A.A. Milne’s The House in Pooh Corner ในปี 1928 ทำให้ Tigger จะปรากฎตัวภาพยนตร์สยองขวัญ  “Winnie The Pooh: Blood and Honey.” ที่จะเริ่มฉายในต้นปีหน้า

ที่มา – IGN, AP News

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Mickey Mouse หมดลิขสิทธิ์ปีหน้า หลัง Disney เป็นเจ้าของมาเกือบ 100 ปี แต่เฉพาะเวอร์ชันแรกสุดเท่านั้น first appeared on Brand Inside.

How To สร้างเทมเพลตสตอรี่บนไอจี!

iPhonemod - 18 December 2023 - 11:17

ล่าสุดทาง Instagram ก็ได้อัปเดตให้เราสามารถสร้างเทมเพลต […] More

The post How To สร้างเทมเพลตสตอรี่บนไอจี! appeared first on iMoD.

Nissan เดินหน้าใช้จีนเป็นฐานการผลิตรถยนต์ดั้งเดิม และรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งออกไปทำตลาดทั่วโลก

Brand Inside - 18 December 2023 - 10:56

Nissan เพิ่มความสำคัญกับตลาดจีนด้วยการยกระดับไลน์การผลิตรถยนต์เครื่องสันดาปภายในที่ทำตลาดอยู่เดิม รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ Hybrid รูปแบบต่าง ๆ ไปพัฒนา และผลิตในประเทศจีนเพื่อส่งออกไปทำตลาดทั่วโลก ทั้งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชิงหวา หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชีย เพื่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า

Nissan

Nissan ให้ความสำคัญกับประเทศจีน

Masashi Matsuyama ผู้อำนวยการ Nissan Motor และ ประธาน Nissan ประเทศจีน แจ้งว่า Nissan กำลังพิจารณาพัฒนา และผลิตรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงรถยนต์เครื่องสันดาปภายในที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าล้วน และไฮบริด ในประเทศจีนมากขึ้น เพื่อส่งออกไปทำตลาดในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ปัจจุบัน Nissan ประเทศจีน มียอดขายเป็นอันดับ 5 เมื่อเทียบกับยอดขายทั่วโลก ผ่านยอดขาย 2.8 ล้านคัน เมื่อนับช่วง 10 เดือนแรกของปี 2023 นอกจากนี้ Nissan ยังประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชิงหวา หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชียจากประเทศจีน เพื่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า

ความร่วมมือดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาระบบชาร์จ, การบริหารแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายคือ ทำให้ Nissan มีความแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ในประเทศจีนมากขึ้น ผ่านการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่นี้ให้ได้

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nissan ประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชิงหวา เพราะเมื่อปี 2016 ได้ประกาศความร่วมมือเพื่อวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเดินทาง รวมถึงระบบรถยนต์ไร้คนขับ แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการทำตลาดที่ประเทศจีน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเพิ่มกำลังพัฒนา และผลิตรถยนต์ของ Nissan ในประเทศจีน ถือเป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับค่ายรถอื่น ๆ เช่น Tesla, BMW และ Ford ที่เพิ่มกำลังผลิตที่นั่น และให้จีนเป็นฐานการส่งออกหลัก เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า

แต่ในุมเพิ่มความแข็งแกร่งในประเทศจีนที่เป็นตลาดรถยนต์อันดับ 1 ของโลก Nissan และแบรนด์ต่าง ๆ ต้องเผชิญความท้าทายผ่านความแข็งแกร่งของแบรนด์รถยนต์ท้องถิ่น รวมถึงการทำสงครามราคาของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นต่าง ๆ เพื่อจูงใจผู้บริโภคในจีน

อ้างอิง // Reuters

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Nissan เดินหน้าใช้จีนเป็นฐานการผลิตรถยนต์ดั้งเดิม และรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งออกไปทำตลาดทั่วโลก first appeared on Brand Inside.

Apple และสตาร์ทอัป Corellium ยุติการคดีสู้ในศาล 4 ปีเต็มแล้ว!

MacThai - 18 December 2023 - 10:00

หลังจากที่แอปเปิลได้ฟ้องร้องศาลถึงประเด็นการลอกเลียนแบบ iOS เสมือนจริงของบริษัทสตาร์ทอัปอย่าง  Corellium มาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งก็เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้ว แต่ตอนนี้แอปเปิลได้เจรจายอมความที่ฟ้องร้องแล้ว

ซึ่งก่อนหน้านั้นแอปเปิลได้ยื่นฟ้องร้อง Corellium ถึง 2 ครั้ง ทั้งครั้งแรกในปี 2019 และต่อมาในปี 2021 เนื่องจากมองว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ Digital Millennium Copyright Act (DMCA) ซอฟต์แวร์ที่เป็นเอกสิทธิ์ของแอปเปิล แม้  Corellium จะเป็นสตาร์ทอัปที่พัฒนาซอฟต์แวร์เสมือนของอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่แล้ว เพื่อนเ้นทดสอบความปลอดภัยก็ตาม

โดยแอปเปิลมองว่าเป็นการจำลองที่ผิดกฎหมายด้วยการสร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้กับไอโฟนมาทดสอบ เพราะทำให้ “ผิดกฎหมายที่จะหลีกเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยีที่ใช้เพื่อป้องกันการเข้าถึงงานที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต”

แต่คดีนี้ก็พีคไปอีก ตรงที่ทนายความของ Corellium เคยเปิดเผยว่าแอปเปิลพยายามที่จะซื้อบริษัทสตาร์ทอัปด้วยมูลค่า 23 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ด้วย แต่ดีลนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด และแอปเปิลก็ถอนข้อกล่าวหา DMCA และเพิกถอนการร้องเรียนการละเมิดลิขสิทธิ์ต้นฉบับไป

ซึ่งอาจจะเป็นไปตามข้อโต้แย้งของ Corellium ที่ว่าเป็นเพียงแค่การทดสอบความปปลอดภัยของไอโฟน ดังนั้นซฟอต์แวร์นี้จึงไม่ถือว่าละเมิดสิทธิ์ และถึงแม้นี่อาจจะยังไม่ใช่จุดจบของคดี แต่แอปเปิล และ Corellium ก็ไม่ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติม หรือรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับคดีนี้ครับ

ที่มา – Forbes

The post Apple และสตาร์ทอัป Corellium ยุติการคดีสู้ในศาล 4 ปีเต็มแล้ว! appeared first on Macthai.com.

iOS 17.2 เก็บตกฟีเจอร์น่าสนใจ เล็ก ๆ แต่มีประโยชน์

iPhonemod - 17 December 2023 - 13:55

iOS 17.2 ปล่อยให้ทุกคนได้อัปเดตแล้วชมคลิปสรุปแบบเต็ม ๆ […] More

The post iOS 17.2 เก็บตกฟีเจอร์น่าสนใจ เล็ก ๆ แต่มีประโยชน์ appeared first on iMoD.

[ลือ] iPhone 17 Pro จะมาพร้อมกับชิป Wi-Fi 7 ที่ Apple ออกแบบเอง?!

MacThai - 17 December 2023 - 10:00

จากบันทึกการวิจัยบริษัทการลงทุน Haitong International Securities ในฮ่องกง Jeff Pu ก็ได้บอกมาว่า iPhone 17 Pro รุ่นในปี 2025 จะติดตั้งชิป Wi-Fi 7 ที่ออกแบบโดยแอปเปิลเอง โดยเชื่อว่าแอปเปิลจะขยายการใช้งานชิป Wi-Fi 7 ของตัวเองไปใช้กับ iPhone 18 ซีรีส์ในอนาคตทั้งหมดในปี 2026 ด้วย

ซึ่งแม้รายละเอียดเพิ่มเติมจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ Pu มองว่า ชิปนี้อาจเป็นปัญหาระยะยาวต่อ Broadcom ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้จัดหาชิป Wi-Fi และ Bluetooth รวมกันสำหรับไอโฟนด้วย เพราะแอปเปิลตั้งใจที่จะลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากภายนอกแล้ว ทั้งผู้จัดหาชิป หรือส่วนประกอบ และจอก็ตาม

เหมือนกับชิปโมเด็ม 5G ที่ถูกลือมานานว่ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนา ซึ่งแอปเปิลก็กำลังสานต่อการพัฒนาของตัวเองไปพร้อมกับชิป Wi-Fi 7 นี้ด้วย อย่างที่ Mark Gurman จาก Bloomberg บอกเอาไว้

โดยข้อดีของการองรับ Wi-Fi 7 ได้ จะทำให้ iPhone 17 Pro รุ่นต่าง ๆ สามารถส่งและรับข้อมูลบนย่านความถี่ 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz พร้อมกันกับเราเตอร์ที่รองรับ ส่งผลให้ Wi-Fi เร็วขึ้น และการเชื่อมต่อเสถียรมากขึ้นด้วย เพราะ

Wi-Fi 7 สามารถให้ความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 40 Gbps ซึ่งเพิ่มขึ้น 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 6E ของ Qualcomm  แต่ iPhone 16 Pro รุ่นที่จะเปิดตัวในปีหน้าที่มีการรองรับ Wi-Fi 7 นั้นยังไม่ใช่ชิปที่แอปเปิลออกแบบเองครับ ซึ่งต้องรอดู และติดตามการพัฒนาที่เป็นไปได้ของแอปเปิลกันไปก่อน

ที่มา – MacRumors

The post [ลือ] iPhone 17 Pro จะมาพร้อมกับชิป Wi-Fi 7 ที่ Apple ออกแบบเอง?! appeared first on Macthai.com.

[ลือ] Apple Watch Ultra รุ่นใหม่ปี 2026 จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และราคาแพงขึ้น+

MacThai - 16 December 2023 - 10:00

มีข่าวลือมาว่า Apple Watch Ultra โมเดลแรกจะเปลี่ยนจากจอ OLED เป็นจอ micro-LED ซึ่งทางซัพพลายเออร์คาดจะทำให้ขนาดจอใหญ่ขึ้นกว่า Apple Watch Ultra ปัจจุบันที่มีขนาด 2.12 นิ้วด้วย รวมถึงมีราคาสูงขึ้นไปอีก เพื่อให้สมกับโปรดักระดับไฮเอนด์ครับ

ตามมาด้วย IPS LCD พร้อมไฟแบ็คไลท์ miniLED ที่แอปเปิลเปลี่ยนไปใช้กับโมเดล iPad Pro และตอนนี้ก็นำไปใช้กับ MacBook ด้วย ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้ OLED ก็เคยเกิดขึ้นกับโปรดักอย่าง Apple Watch มาก่อนที่จะนำไปใช้กับไอโฟน อย่าง iPhone X ซึ่งจะนำไปใช้กับไอแพดในปีหน้า  และใช้กับ MacBook ต่อด้วย

โดยแอปเปิลมีแผนที่จะนำ micro-LED มาใช้กับโปรดักทั้งหมด แต่การสลับไปใช้กับโปรดักทั้งหมดก็น่าจะใช้เวลาเป็นปี ๆ แน่นอน แต่จะเริ่มที่ Apple Watch ก่อน ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 หลังลือมาเรื่อย ๆ ว่าจะเปิดตัวปี 2024 และ 2025 แต่ก็เลื่อนปีเปิดตัวอีก

เพราะส่วนประกอบ micro-LED มีขนาดเล็กทำให้การผลิตจอยุ่งยาก และซับซ้อนขึ้น เลยอาจจะทำให้อัตราผลตอบแทนต่ำ แต่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแทน ซึ่งเป็นโจทย์ของแอปเปิลเองว่าจะผลิตเทคโนโลยีจอใหม่อย่างไรให้คุ้มกับต้นทุน

ที่มา – 9To5Mac

The post [ลือ] Apple Watch Ultra รุ่นใหม่ปี 2026 จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และราคาแพงขึ้น+ appeared first on Macthai.com.

แม้ต้นทุนเพิ่ม กำลังซื้อฟื้นไม่เต็มที่ แต่ KFC ในมือ CRG ปิดปี 2023 โต 11% ยอดขาย 7,000 ล้านบาท

Brand Inside - 16 December 2023 - 09:33

KFC คือผู้นำในตลาด QSR หรือร้านอาหารบริการด่วน รวมถึงตลาดไก่ทอดอย่างไม่ต้องสงสัย และถึงจะเจอกับพิษต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มผ่านสงครามรัสเซียยูเครนจนราคาวัตถุดิบหลายตัวพุ่ง รวมถึงสถานการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศไทยยังกลับมาไม่เต็มที่ แต่ KFC ที่บริหารโดย CRG ยังดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง

เพราะสิ้นปี 2023 มีการคาดการณ์ว่า จะมียอดขายราว 7,000 ล้านบาท เติบโต 11% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ทำได้ 6,300 ล้านบาท โดยการเติบโตนั้นมีทั้งการได้อานิสงส์จากแคมเปญการตลาดของ KFC และการเดินหน้าขยายสาขา รวมถึงการนำดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการให้บริการ

แล้วปี 2024 KFC ภายใต้การบริหารของ CRG จะเดินหน้ากลยุทธ์อย่างไรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR & Western Cuisine ผู้บริหารแบรนด์ KFC ภายใต้การบริหารโดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ดังนี้

KFC CRG

CRG กับการเดินหน้า KFC ด้วยดิจิทัล

ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR & Western Cuisine ผู้บริหารแบรนด์ KFC ภายใต้การบริหารโดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เล่าให้ฟังว่า ภาพรวมตลาดอาหารบริการด่วน หรือ QSR ยังแข่งขันกันสูง แต่ยังขยายตัวได้เล็กน้อย ผ่านการมีมูลค่าตลาดที่ 45,000 ล้านบาท ในปี 2023

กลุ่มเมนูไก่ทอดยังกินสัดส่วนอันดับ 1 เช่นเดิม หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาด และยังเติบโตได้ดี โดยมี KFC กินส่วนแบ่งเกือบทั้งหมดในตลาด แต่เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับการบริการ และขับเคลื่อนให้ตลาดเติบโต CRG จึงเตรียมแบ่งเงินลงทุน 500 ล้านบาท เปิดสาขาในรูปแบบดิจิทัล และปรับสาขาเดิมบางแห่งให้เป็นแบบดิจิทัลเช่นกัน

“ปี 2023 CRG เพิ่งลงทุน 17 ล้านบาท เพื่อปรับปรุง KFC สาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ให้เป็นรูปแบบดิจิทัล โดยตัวร้านจะตกแต่งให้มีความทันสมัยขึ้น และมีตู้สั่งอาหารอัตโนมัติ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี รวมถึงมีการจัดกิจกรรมเพื่อจูงใจคนรุ่นใหม่ เช่น การปูเสื่อให้กินในร้าน ช่วยสร้างกระแสได้อีกทาง”

KFC CRG

เร่งเครื่องเปิดสาขาใหม่ขับเคลื่อนตลาด

ในปี 2023 KFC ภายใต้การบริหารของ CRG มีการเปิดสาขาใหม่ 20 สาขา รวมมีทั้งหมด 335 สาขา ปี 2024 มีแผนเปิดสาขาราว 20 แห่ง เช่นกัน โดยเกือบทั้งหมดจะเป็นสาขาในรูปแบบดิจิทัล ทำให้ปี 2024 จะมีสาขารวมทั้งหมด 350 สาขา

“การเปิดสาขาเพิ่มทำให้เรายังหวังการเติบโตดับเบิลดิจิต โดยปี 2023 คาดว่าจะมีรายได้ราว 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีรายได้รวม 6,300 ล้านบาท โดยตัวเลขนี้คิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้ CRG ยิ่งมีศักยภาพของสาขาเมืองรอง และการขยายตัวของกลุ่มเซ็นทรัล การไปถึงเป้าหมายนี้ก็ยิ่งเป็นไปได้มากขึ้น”

ปัจจุบันลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ KFC ของ CRG จะมีค่าใช้จ่ายราว 200 บาท/บิล และในแต่ละสาขาจะมี 2,000 บิล/วัน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2022 โดย KFC และ CRG มีการทำเมนูใหม่ ๆ เพื่อจูงใจ และเน้นเพิ่มจำนวนบิลต่อสาขา มากกว่ามูลค่าต่อบิล เช่น เมนูหนังไก่ทอด, เครื่องดื่ม หรืออื่น ๆ

KFC CRG

ผู้มีกำลังซื้อระดับบนกิน KFC อย่างน้อยเดือนละครั้ง

ปิยะพงศ์ มองว่า กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อระดับบนจะเข้ามารับประทาน KFC อย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่ CRG ยังพยายามทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง และระดับเริ่มต้น เช่น เมนูที่ราคาไม่สูงจนเกินไป หรือราคาไม่ต่างกับเมนู Streetfood ในศูนย์การค้า

“KFC ของ CRG พยายามให้ Affordable Protein ให้กับทุกคน ควบคู่ไปกับการนำกระแสต่าง ๆ มายกระดับแบรนด์ แม้ตอนนี้แบรนด์ KFC จะเป็นที่รู้จักกว่า 96% และหากนับผู้ถือสิทธิ์ทำตลาดทั้ง 3 ราย จะมี KFC กว่า 1,000 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัด แต่เรื่องการสร้างแบรนด์ และทำตลาด มันหยุดแค่นี้ไม่ได้”

ด้านอัตราระยะเวลาใช้บริการของลูกค้า KFC จะเฉลี่ยที่ 1 ชม. และการปรับปรุงร้านให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น จะช่วยให้บริการต่าง ๆ ทำได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสลูกค้าเข้ามาใช้บริการเช่นกัน และถึงจะเจอการแข่งขันในตลาดทั้งแบรนด์ใหญ่ แบรนด์เล็ก แต่ KFC โดย CRG ไม่ได้เก็บมาคิด ผ่านการเน้นยกระดับตัวเองในฐานะผู้นำตลาดมากกว่า

KFC CRG

ไม่ขึ้นราคาแม้ปัญหาต้นทุนยังกระทบต่อเนื่อง

ในทางกลับกัน ต้นทุนของการทำธุรกิจ เช่น วัตถุดิบ, ค่าแรง และค่าสาธารณูปโภค กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ขึ้นราคาต่อเนื่องนับตั้งแต่การเริ่มต้นของสงครามรัสเซียยูเครน และถึงจะเริ่มปรับลงมาแล้ว แต่ยังไม่กลับมาถึงจุดเดิมก่อนเกิดสงครามดังกล่าว

ส่วนเรื่องพนักงาน KFC ที่บริหารโดย CRG มีพนักงานทุกรูปแบบราว 6,000 คน ทำให้บริษัทต้องปรับตัวด้วยการคุมต้นทุนอื่น ๆ เช่น สาขาสแตนด์อโลนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่ายเรื่องไฟฟ้า หรือการเจรจากับคู่ค้าต่าง ๆ ด้วยการซื้อสินค้าให้มากขึ้น เพื่อให้ได้ราคาสินค้าเท่าเดิม เพราะไม่ต้องการขึ้นราคาเมนูต่าง ๆ

“ปีนี้เราต้องสู้กับ Cost Inflation รวมถึงเรื่อง Consumer Spending ที่ยังกลับมาไม่เต็มที่ ซึ่งเรามองว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในร้านจะช่วยแก้ไขปัญหา และสร้างการเติบโตในอนาคตได้ ยิ่งตอนนี้เทคโนโลยีไม่ใช่แค่ Nice to Have แต่คือ Foundation ของทุกธุรกิจแล้ว”

KFC CRG

อ้างอิง // CRG

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post แม้ต้นทุนเพิ่ม กำลังซื้อฟื้นไม่เต็มที่ แต่ KFC ในมือ CRG ปิดปี 2023 โต 11% ยอดขาย 7,000 ล้านบาท first appeared on Brand Inside.

เชฟรอนสนับสนุนกิจกรรม Saturday School Run 2023 ฉลองครบ 9 ปี มูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ สู่ก้าวที่แข็งแกร่งของการศึกษาไทย

Brand Inside - 15 December 2023 - 18:30

Chevron School run 2023

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (กลาง) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล Saturday School Run 2023 เสาร์นี้วิ่งเพื่อน้อง เนื่องในโอกาสครบรอบ 9 ปี มูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday School Foundation) ร่วมด้วยเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มร. โรเบิร์ต เอฟ.   โกเดค (ซ้าย) และนายสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร (ที่ 3 จากขวา) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการมูลนิธิโรงเรียน       วันเสาร์ และนางสาวกุลนันท์ พันธ์อนุกูล (ที่ 2 จากขวา) กรรมการบริหารมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ โดยบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด นำโดย นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร นายปฏิเวธ บุณยะผลึก (ขวา) รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายสุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม และนายไพโรจน์ กวียานันท์ (ที่ 2 จากซ้าย) อดีตประธานกรรมการบริหาร ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดในฐานะผู้สนับสนุนหลักของงาน  กิจกรรมครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเชฟรอนที่ไม่หยุดยั้งเดินหน้าสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้สังคมไทยผ่านจุดเริ่มต้นของการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยภายในงานมีพนักงานเชฟรอน นักเรียนในเครือข่าย อาสาสมัครของมูลนิธิ และบุคคลทั่วไปรวมกว่า 1,300 คน เข้าร่วมกิจกรรม ณ สวน วชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)

Chevron School run 2023 2

กิจกรรมเดินวิ่ง การกุศลครั้งนี้ เป็นการระดมทุนเพื่อการศึกษาครั้งแรกของมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ โดยตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา ทางมูลนิธิฯ ได้มุ่งพัฒนากิจกรรมนอกหลักสูตรการศึกษา เพื่อสร้างโอกาสและพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ให้กับทั้งเยาวชนและอาสาสมัครที่มาเข้าร่วม ผ่านการขับเคลื่อนด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนในสังคมสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้ ซึ่งจนถึงปัจจุบันอาสาสมัครมาร่วมจำนวนกว่า 3,831 คน และมีนักเรียนมาเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ มากกว่า 9,451 คน ทั้งนี้ เป้าหมายดังกล่าว สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเชฟรอนในฐานะบริษัทด้านพลังงานระดับโลกที่เชื่อมั่นใน “พลังคน” โดยที่ผ่านมาเชฟรอนได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกิจกรรมล่าสุดในโครงการ After School Program ที่เปิดโอกาสให้พนักงานได้ร่วมเป็นครูอาสาเพื่อส่งต่อความรู้ให้กับเยาวชน การสนับสนุนงบประมาณ 1.5 ล้านบาท สำหรับการจัดงาน Saturday School Run 2023 เสาร์นี้วิ่งเพื่อน้อง ไปจนถึงกิจกรรมอื่นๆ เพื่อเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทยให้ไกลกว่าเดิม 

Chevron School run 2023 3

ภายในงาน ได้แบ่งประเภทการวิ่งเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร และมินิมาราธอนระยะทาง 10.5 กิโลเมตร รวมถึงยังมีกิจกรรมการแสดงของนักเรียนในโครงการมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ เพื่อเปิดพื้นที่ให้นักเรียนในโครงการฯ ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพตามหลักสูตรที่ได้เรียนรู้ พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ซึ่งรายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้นอกหลักสูตรให้กับเด็ก ๆ ต่อไป ทั้งนี้ นอกจากเป้าหมายเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาการศึกษาแล้ว เชฟรอนเชฟรอนยังมุ่งส่งเสริมให้พนักงาน รวมถึงประชาชนไทยมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นด้วย โดยสามารถรับชมภาพกิจกรรมภายในงานได้ที่ https://www.facebook.com/SaturdaySchoolThailand

Chevron School run 2023 4

Chevron School run 2023 5

 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เชฟรอนสนับสนุนกิจกรรม Saturday School Run 2023 ฉลองครบ 9 ปี มูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ สู่ก้าวที่แข็งแกร่งของการศึกษาไทย first appeared on Brand Inside.

ทิพยประกันภัย ฉลอง 72 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำ ด้วยแคมเปญ TIP FOR REAL “จริงจังกับภัย จริงใจกับคุณ”

Brand Inside - 15 December 2023 - 17:15

ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเราสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ หลายครั้งอาจเป็นไปตามที่วางแผนไว้ แต่หลายครั้งก็ไม่เป็นไปตามที่คาด ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ หรือเรื่องใกล้ตัวจนถึงไกลตัวออกไป ดังนั้น หนึ่งในตัวช่วยสำคัญของการใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงมากขึ้น คือ การมีบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ เป็นเสมือนเพื่อนที่จริงจังและจริงใจกับเรา และนั่นคือ ทิพยประกันภัย

dhipaya

จุดเริ่มต้นของ ทิพยประกันภัย ย้อนกลับไปตั้งแต่ 72 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2484 ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่มีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นบริษัทเอกชนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี พ.ศ.2539 และปรับโครงสร้างเป็น Holding Company เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา 

ทิพยประกันภัย อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บอกว่า ในด้านธุรกิจ ทิพยประกันภัย ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและมีความมั่นคงอย่างมาก สะท้อนผ่านการมีส่วนแบ่งสูงที่สุดในตลาดในประเภทประกันภัยเบ็ดเตล็ดและอัคคีภัย 1 มาต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี

dhipaya

ทั้งหมดคือสิ่งที่ยืนยันว่า ทิพยประกันภัยคืออันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

การจะเป็นบริษัทประกันภัยอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค ต้องได้รับการยอมรับในหลายส่วน ทั้งเรื่องของบริการ การดูแล รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ๆ เพื่อยืนยันในจุดยืนของการเป็นผู้นำด้านประกันภัยตัวจริง และอีกส่วนสำคัญคือต้องได้รับการยอมรับในฐานะธุรกิจที่ดูแลสังคมไปพร้อมกัน

ก่อนหน้านี้ที่มีวิกฤตโควิดเกิดขึ้น ทิพยประกันภัย สร้างผลิตภัณฑ์ที่รองรับวิกฤตของประเทศ หรือในภัยพิบัติอื่นๆ เช่น ประกันภัยนาข้าว พืชไร่ ปศุสัตว์ หากมองย้อนไปในอดีต ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิ ปี พ.ศ.2546 น้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ.2554 ทิพยประกันภัย อยู่ข้างผู้บริโภค ให้การช่วยเหลือดูแลมาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกัน ก็บริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ ทำให้ทิพยประกันภัย ไม่เคยประสบภาวะขาดทุน และมีสถานะที่มั่นคงแข็งแกร่ง

ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อวันนี้และอนาคต

ในส่วนขององค์กร ทิพยประกันภัย มีการปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี เริ่มจากการมีวิสัยทัศน์ต้องการเป็นผู้นำอันดับ 1 ของประกันวินาศภัย และมีการวางทิศทางและนโยบายที่สอดคล้องกันอย่างดี เริ่มจากการทำ Digital Transformation ตั้งแต่ด้านโครงสร้างพื้นฐานภายใน ที่มีระบบการทำงานและให้บริการลูกค้า การบ่มเพาะ Innovative Culture พัฒนาทักษะของพนังานทั้งด้าน Hard Skill และ Soft Skill

ดร.สมพร บอกว่า ที่นี่สร้างคนให้มี Can-Do Attitude, Growth Mindset ค้นหา Blue Ocean Market และ Always Seek New Opportunities และเน้นเรื่องของประสบการณ์ที่มอบให้ผู้บริโภค หรือ Customer Experience เรียกว่าทุกบริการด้านประกันภัยทำได้อย่างไร้รอยต่อทุกช่องทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ ทิพยประกันภัย จะเป็นหนึ่งในบริษัทประกันที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างโดดเด่น

“บริษัทประกันภัย ไม่ใช่แค่ขายประกันเท่านั้น แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้มีต่อสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เรียกว่าเป็น Most Trusted Company ทุกอย่างต้องมีความโปร่งใส หรือ Transparency และต้องช่วยสร้างแรงบันดาลใจหรือ Inspiration ให้กับสังคม ได้ตระหนักและเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และประกันภัยคือเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน”

TIP FOR REAL นี่คือตัวจริงเรื่องประกันภัย

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานของทิพยประกันภัย รวมถึงการศึกษาค้นคว้าข้อมูลใหม่ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเข้าใจรูปแบบของภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและพัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลายและครอบคลุม ทั้งสำหรับลูกค้าองค์กร (Commercial Lines) และสำหร้บลูกค้าบุคคล (Personal Lines)

จุดนี้เองที่ทิพยประกันภัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลและการทำ Research (Data Driven) และคิดค้นนวัตกรรมให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่สร้างความคุ้มค่า (Value for money) ให้ลูกค้า ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา และทุกประเภทของอุปกรณ์ (Anywhere Anytime Any Device) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

dhipaya

dhipaya

สำหรับลูกค้าองค์กร หรือโครงการขนาดใหญ่ ต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทุกวันนี้ภัยมาในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งทิพยประกันภัย มีบริการที่ครบถ้วนให้กับองค์กร เช่น ประกันภัยเรือเดินสมุทร, ประกันภัยอุตสาหกรรม หรือประกันอัคคีภัย รวมถึงประกันภัยโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง ทั้งหมดเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

dhipaya

dhipaya

ส่วนลูกค้าบุคคล มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ อาทิ TIP Personal Cyber, TIP Lady, TIP Rainbow, TIP Travel Sure หรือ TIP Pet Lover เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าประกันภัย คือสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการคนเฉพาะกลุ่มได้อย่างแท้จริง และทิพยประกันภัย คือหนึ่งในบริษัทประกันภัยแรกๆ ที่สร้างสรรค์บริการเหล่านี้ให้กับผู้บริโภค

จริงจังกับภัย จริงใจกับคุณ แคมเปญที่บอกความเป็นทิพยประกันภัย

ศิรนุช โรจนเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรฯ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บอกว่า ในโอกาสฉลองครบรอบ 72 ปี ทิพยประกันภัย ถือเป็นโอกาสพิเศษที่จะเปิดตัว “THE OBSERVER” ภาพยนตร์โฆษณาแนวใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริง หรือ Immersive Virtual Reality มาถ่ายทอดเรื่องราวของทิพยประกันภัย ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ การบอกว่าทิพยประกันภัยอยู่เคียงข้างและคอยดูแลทุกคนอยู่เสมอ เพื่อให้ทุกคนมั่นใจและคลายความกังวล

dhipaya

และนั่นเป็นที่มาของแคมเปญ #จริงจังกับภัยจริงใจกับคุณ ซึ่งบอกถึงบุคลิกของทิพยประกันภัยได้ตรงมากที่สุด นั่นคือจริงจังเต็มที่กับทุกภัยที่เกิดขึ้น และพร้อมดูแลผู้บริโภคด้วยความจริงใจ

เมื่อดูตัวภาพยนตร์โฆษณาตัวนี้ จะเห็นภาพสะท้อนการใช้งานเทคโนโลยีและข้อมูล Big Data มาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการใหม่ๆ นี่ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทิพยประกันภัยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในตลาดประกันวินาศภัยและเป็นประกันภัยอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

dhipaya

dhipaya

บทสรุป ให้ทิพยประกันภัย คอยดูแล

ทิพยประกันภัย ประกาศการเป็น Digital Insurance มีการปรับโครงสร้างองค์กรด้วยเทคโนโลยี และนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการด้านประกันภัยใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์โฆษณาบอกคือ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จะใกล้หรือไกลตัว มีโอกาสที่จะเกิดสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เสมอ การมีผู้ช่วยที่ไว้วางใจได้ พร้อมช่วยให้เราเผชิญกับความจริงที่จะเกิดขึ้นและก้าวข้ามผ่าน นั่นคือ คำตอบของการเป็นบริษัทประกันภัยอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค

ในโอกาสครบรอบ 72 ปี ในมุมของธุรกิจ ทิพยประกันภัย มีการบริหารจัดการความเสี่ยงแบบมืออาชีพ ไม่เคยประสบปัญหาขาดทุน และสามารถดูแลให้ความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคได้อย่างดีมาตลอด ยิ่งล่าสุดกับแคมเปญ “จริงจังกับภัยจริงใจกับคุณ” ยิ่งสะท้อนบุคลิกความเป็นทิพยประกันภัยได้อย่างดี ที่ไม่ว่าภัยในอนาคตจะมาในรูปแบบใด เมื่อมีทิพยประกันภัยอยู่เคียงข้าง ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะสามารถก้าวผ่านไปได้ทุกรูปแบบ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ทิพยประกันภัย ฉลอง 72 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำ ด้วยแคมเปญ TIP FOR REAL “จริงจังกับภัย จริงใจกับคุณ” first appeared on Brand Inside.

พาณิชย์เผยหากปรับขึ้นค่าไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด เสี่ยงเพิ่มเงินเฟ้อและต้นทุนธุรกิจ

Brand Inside - 15 December 2023 - 16:48

หลังจาก กกพ.ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 2567 ขึ้นเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาเบื้องต้น หลายฝ่ายต่างกังวลจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและภาคธุรกิจในวงกว้าง ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตามองว่ารัฐบาลจะเดินหน้าปัญหานี้อย่างไร 

ล่าสุดวันนี้ พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปและต้นทุนในระบบเศรษฐกิจพบว่า หากมี

การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68 บาทต่อหน่วย (เท่ากันทั้งครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม) จากระดับปัจจุบันซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย (เพิ่มขึ้นราว 17.29%) จะส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ทั้งอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ต้นทุนผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดอยู่แล้ว เนื่องจากค่ากระแสไฟฟ้าเป็นปัจจัยการผลิตต้นน้ำที่สำคัญ 

ทั้งนี้ หากมีการปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าจะส่งผ่านผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆทั้งกลางน้ำและปลายน้ำ ผ่านการส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมได้เป็นวงกว้าง 

ในมิติของต้นทุน ไฟฟ้าเป็นต้นทุนของภาคการผลิตและบริการทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยมีสัดส่วน 2.51% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด (ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต, Input-Output Table) โดยสาขาการผลิตที่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นต้นทุนสูง ได้แก่ 

  • การผลิตน้ำแข็ง (29.88% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • โรงแรมและที่พักอื่น (17.12% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • สถานที่เก็บสินค้าและการเก็บสินค้า (16.90% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การประปา (14.30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การผลิตซีเมนต์ (12.13% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 
  • การปั่นด้าย การหีบฝ้าย และเส้นใยประดิษฐ์ (12.11% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด) 

ขณะที่ในมิติของสินค้าที่ครัวเรือนบริโภคนั้น ค่ากระแสไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 3.90% ของค่าใช้จ่ายครัวเรือน  

ดังนั้น การปรับขึ้นค่ากระแสไฟฟ้าทั้งระบบ (ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคครัวเรือน) 17.29% ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งต้นทุนการผลิตและการบริโภคของครัวเรือนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยภาคการผลิตและบริการจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.65%  และภาคครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 0.66% ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมทันที 0.66% และมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.62% หากมีการส่งผ่านต้นทุนการผลิตและบริการไปยังสินค้าขั้นสุดท้ายในระยะต่อไป โดย 5 สินค้าและบริการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ประกอบด้วย 

1) น้ำแข็ง
2) ค่าห้องพักโรงแรม
3) น้ำประปา
4) เสื้อผ้า
5) ผ้าอ้อมเด็ก 

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทำให้ค่าเช่าบ้านและอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะราคาอาหารสำเร็จรูปเป็นผลจากค่าเช่าพื้นที่หรือค่าเช่าตลาดที่เพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังและติดตามภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างสูงจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหรือบริการที่มีการแข่งขันสูง มีสภาพคล่องต่ำ การเติบโตทางรายได้ และผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงมีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นจำนวนมากในอุตสาหกรรมดังกล่าว 

โดยจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิเคราะห์กลุ่มที่มีอัตราส่วนสภาพคล่องต่ำกว่า 1 และวิเคราะห์อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมที่ยังคงติดลบ (หรือขาดทุน) ในปี 2565 เช่น 

1) โรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -12.6% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อย (Micro SME) เป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนนิติบุคคลทั้งหมด
2) เกสต์เฮ้าส์ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -7.4% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยสูงถึง 80%
3) การผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -3.5% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยคิดเป็นสัดส่วน 12.2%
4) การทอผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -2.1% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ 47.5%
5) การผลิตจักรยาน มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ -1.1% โดยมีจำนวนวิสาหกิจขนาดย่อยอยู่ที่ 31.5% 

ดังนั้นการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้า ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น

“การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจในอัตราที่ก้าวกระโดด และใช้อัตราค่าไฟดังกล่าวต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การทยอยปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเหมาะสม และรัฐบาลมีมาตรการลดค่าครองชีพอื่นๆ จะช่วยลดภาระของประชาชน ขณะที่ ควรหลีกเลี่ยงการปรับค่าไฟฟ้าสำหรับภาคธุรกิจในช่วงที่ต้นทุนอื่น ๆ กำลังทยอยปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น” พูนพงษ์ กล่าว

ที่มา สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post พาณิชย์เผยหากปรับขึ้นค่าไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด เสี่ยงเพิ่มเงินเฟ้อและต้นทุนธุรกิจ first appeared on Brand Inside.

ฮุนได ทุ่มตลาด EV จริงจัง เปิดตัว IONIQ Lab แห่งแรกของโลกที่ไทย

Brand Inside - 15 December 2023 - 15:01

ฮุนได เปิดตัว IONIQ Lab สถานที่จัดแสดงนวัตกรรมความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ไทยเป็นที่แรกของโลก พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของตลาดไทย

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนสร้าง IONIQ Lab ในประเทศไทย สะท้อนถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของตลาดเมืองไทยในระดับภูมิภาคอาเซียนเพื่อการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศสู่การสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนของฮุนได และให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของฮุนไดอย่างใกล้ชิด

ภายใน IONIQ Lab จะประกอบด้วยส่วนจัดแสดงหลายประเภท ทั้งเครื่องจักรแขนกลอัจฉริยะที่ประกอบโครงรถกับแบตเตอรี่, Hyundai EV Charging Station รวมไปถึงรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง IONIQ 5 รวมไปถึง IONIQ 5 N ที่มีแผนวางจำหน่ายในไทยภายในปีหน้าอีกด้วย

IONIQ Lab ตั้งอยู่ภายในโครงการ True Digital Park ยังถือเป็นความร่วมมือของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการสนับสนุนสถานที่จัดแสดงในระยะยาว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ฮุนได ทุ่มตลาด EV จริงจัง เปิดตัว IONIQ Lab แห่งแรกของโลกที่ไทย first appeared on Brand Inside.

Netflix เปิดให้เล่นเกม GTA แล้ววันนี้!

iPhonemod - 15 December 2023 - 15:01

ใครที่รู้จักเกม Grand Theft Auto หรือเรียกสั้น ๆ ว่า GT […] More

The post Netflix เปิดให้เล่นเกม GTA แล้ววันนี้! appeared first on iMoD.

ฮอนด้า เปิดสายการผลิต Honda e:N1 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในไทย

Brand Inside - 15 December 2023 - 14:27

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายฮิเดะโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ และนายทาเคชิ วาตานาเบะ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร กับ Honda e:N1 ยนตรกรรมเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกที่ผลิต ณ สายการผลิต โรงงานฮอนด้า ปราจีนบุรี ต้นเดือนธันวาคม 2566

honda

นับเป็นก้าวสำคัญของฮอนด้า ที่แสดงถึงความเชื่อมั่นว่าฮอนด้ายังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ทั้งยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยทั้งจากการผลิตและการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ฮอนด้า ได้เตรียมเดินหน้าสู่เป้าหมายปี พ.ศ. 2573 ในการผลิตและจำหน่ายยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (BEV) ด้วยสัดส่วนไม่น้อยกว่า 2 ล้านคันทั่วโลก

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดการเปิดตัวและช่องทางจำหน่าย Honda e:N1 ยนตรกรรมเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ทราบอีกครั้งช่วงไตรมาสแรกในปี พ.ศ. 2567

honda

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ฮอนด้า เปิดสายการผลิต Honda e:N1 รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในไทย first appeared on Brand Inside.

แชร์วิธีใช้ปุ่ม Action Button ของ iPhone ใน iOS 17.2!

MacThai - 15 December 2023 - 14:00

หลังจากที่เคยแชร์วิธีการใช้งานโหมดการแคปวิดีโออย่าง Spatial Video ของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่ใช้งานได้บน Apple Vision Pro กันไปแล้ว รวมถึงการอัปเกรดของแอป Weather แบบละเอียดบน iOS 17.2 ก็ถึงตาของปุ่ม Action Button กันบ้างครับ

ซึ่งความพิเศษของปุ่ม Action Button ก็คือการแปลภาษาแบบกำหนดเองได้ โดยแอปเปิลก็พัฒนาฟังก์ชันนี้มาจากอุปสรรคการแปลภาษา และการสื่อสารเป็นหลักแน่นอน ซึ่งจะสามารถใช้ได้กับ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max แทนที่ปุ่มสวิตช์แบบเดิมบน iOS 17.2

โดยไม่ได้มีดีแค่เป็นตัวช่วยแปลภาษาเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงบริบทการสนทนาที่ซับซ้อนมากขึ้น และจับความแตกต่างของแต่ละภาษาได้แบบมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีประโยชน์มากแน่ ๆ กับคนที่ชอบเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ หรือนักเรียน และทุกคนที่เรียนภาษาอยู่

แต่ก่อนที่จะใช้ฟังก์ชันนี้ได้ ต้องเข้าไปตั้งค่าภาษาที่จะแปลก่อน ผ่านแอปแปลภาษาในตัวของแอปเปิลเลย เพียงแค่กดที่ไอคอนข้าง ๆ ภาษา แล้วค่อยเลือกเปลี่ยนเป็นภาษาอื่น ๆ โดยเข้าไปที่ตั้งค่าก็จะมีเมนู “Action Button” ให้เลือกแล้วครับ

พอตั้งค่าภาษาที่ต้องการแปลเสร็จ ก็แค่กดที่ปุ่ม Action Button บนไอโฟนค้างไว้ แล้วเริ่มพูดได้เลย ซึ่งจะกดปุ่มค้างไว้นานเท่าที่พูดก็ได้ แล้วไอโฟนจะทำการถอดเสียงที่พูด และแสดงตรงส่วนฟีเจอร์ Dynamic Island พร้อมมีคำแปลภาษาที่เลือกไว้ข้างล่างคำแปลเสียงที่ถอดจากการฟังในตอนแรก

โดยไอโฟนจะทำการอ่านออกเสียงโดยอัตโนมัติ แต่ใครกลัวฟังไม่ทัน ก็สามารถกดเล่นซ้ำอีกครั้งได้ด้วยปุ่มทางด้านขวาที่มีให้กด Repeat ครับ

ที่มา – MacRumors

The post แชร์วิธีใช้ปุ่ม Action Button ของ iPhone ใน iOS 17.2! appeared first on Macthai.com.

ศาสตราจารย์ Stanford มอง คนทำงานที่บ้านแบบ 100% มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกแทนที่ด้วย AI

Brand Inside - 15 December 2023 - 13:45

ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg มอง พนักงานที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเลย อาจเจอปัญหาใหม่เรื่องการถูก AI เข้ามาแทนที่

Nicholas Bloom ศาสตรจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ผู้ศึกษาการทำงานแบบ Hybrid Work เผยแพร่งานวิจัยพบว่า ในปัจจุบัน 60% ของพนักงานชาวอเมริกันและยุโรปตอนเหนือไม่มีตัวเลือกทำงานที่บ้านอย่างเช่นคนที่ทำอาชีพรับจ้างขับรถหรือพนักงานร้านอาหาร ขณะที่อีก 30% สามารถเข้าออฟฟิศสลับกับการทำงานที่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทำงานที่บ้านได้ 2 วันต่อสัปดาห์ ส่วน 10% ที่เหลือสามารถทำงานที่บ้านได้แบบ 100% 

Bloom พูดถึงแนวคิดเรื่องสถานที่ในการทำงานกับอิทธิพลของ AI ว่า พนักงานที่ทำงานที่บ้านได้แบบ 100% กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญเสียงานให้กับเทคโนโลยีมากที่สุด โดยเฉพาะถ้างานนั้นทีความซ้ำซ้อนและเป็นงานง่าย ๆ อย่างงานข้อมูล คอลเซ็นเตอร์ HR ที่ทำงานที่บ้านได้แบบ 100% ก็อาจจะถูกแทนที่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์มองว่า AI ก็อาจจะมีข้อดีสำหรับพนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid เพราะจะทำให้สามารถทำงานได้ Productive มากขึ้นเพราะช่วยให้งานออกแบบและงานเขียนรวดเร็วกว่าเดิม

เขาเสนอว่า ทางที่จะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกแทนที่ทำได้ด้วยการคือการเลือกทำงานในตำแหน่งที่จำเป็นจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง เพราะการเจอเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าทุกเดือนช่วยสร้างกิจกรรมการทำงานที่ AI ทำแทนไม่ได้

การถกเถียงเรื่องที่ว่า AI จะเข้ามาแทนที่คนทำงานได้หรือไม่และขนาดไหนยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ ChatGPT ถูกพัฒนาให้ช่วยงานมนุษย์ได้ในหลายเรื่องทั้งการเขียนโค้ด การสร้างเครื่องมือด้านการตลาดและแผนงานต่าง ๆ 

Goldman Sachs สถาบันการเงินรายใหญ่ของโลกเองก็ได้เผยแพร่การศึกษาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า AI อาจเป็นสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับโลกของการทำงานและอาจส่งผลกระทบต่องานสูงสุดถึง 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

ข้อมูลของ Pew Research ให้ผลไปในทางเดียวกันว่า พนักงานออฟฟิศเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจาก AI มากที่สุดโดยเฉพาะงานวิศวกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ ผู้ช่วยทนายความ นักบัญชี และผู้ตรวจสอบบัญชีที่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้ตลอดเวลา

ส่วนงานที่ต้องใช้แรงกายและทักษะเฉพาะตัวอย่างเช่น ช่างซ่อมบำรุง งานท่องเที่ยวและโรงแรม เกษตรกรรม สาธารณสุข ก็อาจจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะถูกแทนที่ 

Kweilin Ellingrud ผู้อำนวยการ McKinsey Global Institute มองว่า งานที่จะรอดจาก AI ต้องเป็นงานที่ใช้แรงกายที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เพราะถ้าเป็นงานที่ซ้ำซ้อนและคาดเดาได้ AI ก็จะสามารถทำแทนได้อยู่ดี

ที่มา – Business Insider, Bloomberg

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ศาสตราจารย์ Stanford มอง คนทำงานที่บ้านแบบ 100% มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกแทนที่ด้วย AI first appeared on Brand Inside.

Pages