Moderna เตรียมเดินหน้าพัฒนาวัคซีน mRNA ในประเทศจีน คาดใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านเหรียญ

Brand Inside - 9 July 2023 - 15:27

Moderna ผู้ผลิตยาจากสหรัฐอเมริกา ลงนามบันทึกความร่วมมือ หรือ MOU พร้อมทำข้อตกลงอื่น ๆ ในการเดินหน้าพัฒนา และผลิตวัคซีน mRNA ในประเทศจีน คาดการณ์ลงทุนกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 35,000 ล้านบาท แม้ทางการจีนจะยังไม่อนุญาตให้ใช้วัคซีน mRNA จากต่างชาติก็ตาม

Moderna

Moderna กับการรุกตลาดประเทศจีน

สำนักข่าว CNN รายงานว่า Moderna ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ หรือ MOU และความร่วมมืออื่น ๆ ในวันพุธที่ผ่านมา เพื่อพัฒนา และผลิตตัวยาที่ใช้นวัตกรรม mRNA โดยตัวยา หรือวัคซีนทั้งหมดจะมีข้อบังคับให้ใช้เฉพาะชาวจีน และไม่มีการส่งออกไปนอกประเทศจีน

มีการคาดการณ์ว่า ไลน์ผลิตตัวยา mRNA จะตั้งขึ้นในนครเซี่ยงไฮ้ มีการลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 35,000 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทยาจากสหรัฐฯ รายล่าสุดที่เข้ามาทำตลาดจีน เช่น Pfizer ที่ทำธุรกิจที่นี่ 30 ปี ลงทุน 1,500 ล้านดอลลาร์ และ Johnson & Johnson ที่เริ่มต้นที่จีนปี 1985 และจ้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง

การบุกประเทศจีนของ Moderna ตามหลังการที่ Janet Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ไปเยือนประเทศจีนมาก่อนหน้านี้ ผ่านความพยายามของรัฐบาล Joe Biden ที่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีน ให้ดีขึ้นหลังจากขัดแย้งอย่างรุนแรงในระยะหลัง

Moderna ก่อตั้งเมื่อปี 2010 โดยเน้นที่การพัฒนาตัวยาในรูปแบบ mRNA และปัจจุบันบริษัททำตลาดวัคซีนตระกูล mRNA สำหรับโรคโควิด-19 แต่ยังมีวัคซีน และวิทยาการรักษาโรคอื่น ๆ ที่ใช้ mRNA เตรียมทำตลาดในอนาคตเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าะจะเป็นอาการติดเชื้อ, อาการที่รักษาได้ยาก, โรคเกี่ยวกับหัวใจ และอื่น ๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนยังไม่มีการอนุญาตให้ใช้วัคซีน mRNA ของต่างชาติในประเทศ มีเพียงบริษัทยาจากจีนที่ได้รับอนุญาตเมื่อเดือน มี.ค. 2023 เท่านั้น เนื่องจากทางการจีนยังให้ความสำคัญกับยา หรือวัคซีนนวัตกรรมดั้งเดิม และผลิตโดยบริษัทในประเทศมากกว่า

อ้างอิง // CNN

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Moderna เตรียมเดินหน้าพัฒนาวัคซีน mRNA ในประเทศจีน คาดใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านเหรียญ first appeared on Brand Inside.

ถ้า Apple ออกแบบเครื่องเล่นแผ่นเสียง หน้าตาน่าจะเป็นแบบนี้!

MacThai - 9 July 2023 - 10:00

สำหรับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล หลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าจะมีผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ ๆ ออกมาให้ลุ้นกันอีก นอกจากเทคโนโลยีอย่าง ApAple Vision Pro แต่ Jony Ive ก็ทำให้เห็นแล้วว่า หากแอปเปิลมีเครื่องเล่นแผ่นเสียง และเขายังเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบอยู่ คงมีหน้าตาแบบนี้!

Jony Ive อดีตหัวหน้าฝ่ายออกแบบของแอปเปิล ได้เปิดเผยโปรเจ็กต์ล่าสุดของเขา ที่เป็นความร่วมมือกับ Linn แบรนด์เครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษเพื่อออกแบบเครื่องเล่นแผ่นเสียง Sondek LP12 รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี

โดยเครื่องเล่นแผ่นเสียงสุดหรูนี้มีมูลค่า 60,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านบาทไทย) เป็นโปรเจกต์ฮาร์ดแวร์ที่ไม่ใช่ของแอปเปิล แต่เป็นโครงการแรกที่ Ive มีส่วนร่วมตั้งแต่เขา และเพื่อนร่วมงานอีก 4 คนลาออกจากบริษัทในปี 2019 เพื่อก่อตั้งบริษัทออกแบบ LoveFrom นั่นเอง

ซึ่งเทคโนโลยีเสียงระดับพรีเมียม เครื่องเล่นแผ่นเสียง Sondek LP12 มีคุณลักษณะเด่นแบบคลาสสิกหลายอย่าง เป็นอีกหนึ่งงานออกแบบที่ดูเรียบหรู และประณีตจาก Ive เพราะตั้งแต่ขอบอะลูมิเนียม และองค์ประกอบวงกลมสำหรับวางแผ่นเสียงนั้น มีความสวยงามที่มินิมอลมาก ๆ

นอกจากนี้ Ive ยังให้สัมภาษณ์กับ Fast Company อีกว่า เขาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Linn หลายชิ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอธิบายว่า “ดนตรีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเขามาโดยตลอด” หลังได้ออกแบบเครื่องเล่นเพลงครั้งแรกอย่าง iPod ออกมา ก็เป็นจุดเริ่มต้นสู่ iPod อีกหลายรุ่น รวมถึง AirPods และอุปกรณ์เสริมในการฟังเพลงหลายรายการ

เพราะเหตุผลนี้เลยทำให้เขารู้สึกโชคดีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความเคารพที่มีต่อ Linn แต่เมื่อบริษัท LoveFrom เสร็จสิ้นการทำงานโปรเจกต์นี้แล้ว ก็ไม่ได้มีสัญญาหรือข้อตกลงทางการเงินอื่น ๆ กับบริษัทต่อแต่อย่างใด

และก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ Ive ได้ออกจากแอปเปิลเพื่อก่อตั้ง LoveFrom บริษัทของตัวเอง เขาและเพื่อนนักออกแบบ Marc Newson ก็ได้ออกแบบแบบอักษร ตราสัญลักษณ์ สำหรับพิธีบรมราชาภิเษกของ King Charles III และจมูกของตัวตลกสีแดงให้กับองค์กรการกุศล Comic Relief ของอังกฤษด้วย เรียกได้ว่าฝีมือแบบเขาไปที่ไหนก็มีสปอตไลท์ตามไปด้วยจริง ๆ

แต่อย่างที่แอปเปิลกล่าวในปี 2019 ว่า Ive จะยังคงมีส่วนร่วมในการออกแบบ และแอปเปิลจะยังคงเป็นหนึ่งในลูกค้าหลักของ LoveFrom ตัวอย่างเช่นมีการรายงานมาว่า Ive มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้าง iMac รุ่นปี 2021 แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีแน่ชัดว่า LoveFrom ได้ทำงานร่วมกับแอปเปิลตั้งแต่นั้นมาหรือไม่ เพราะไม่มีการเผยรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม

ที่มา – MacRumors

The post ถ้า Apple ออกแบบเครื่องเล่นแผ่นเสียง หน้าตาน่าจะเป็นแบบนี้! appeared first on Macthai.com.

[ลือ] Apple Vision Pro จะวางจำหน่ายในอังกฤษ และแคนาดา ปี 2024 เอเชีย และยุโรปประเทศอื่นรอไปก่อน!

MacThai - 8 July 2023 - 10:00

แพลนปล่อยอุปกรณ์ใหม่อย่าง Apple Vision Pro จะวางจำหน่ายในอเมริกาช่วงต้นปีหน้าประเทศแรก และก็มีอัปเดตประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ และแคนาดาก็จะวางจำหน่ายปลายปีหน้าเช่นกัน

ซึ่ง Mark Gurman จาก Bloomberg ได้บอกมาว่าเป็นการตัดสินใจที่แอปเปิลเลือกแล้ว ส่วนประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย และยุโรปต้องรอไปก่อน เพระาอาจจะประกาศวางจำหน่ายตามมาทีหลัง

โดยวิศวกรของแอปเปิลกำลังทำการพัฒนาการแปลภาษาอื่น ๆ เพิ่มเติมจากประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นต้น

แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือการวางขาย Apple Vision Pro ใน Apple Store เพราะต้องทำให้มีความพิเศษกว่าเดิม โดยการตั้งเครื่องเดโม่ไว้ 1-2 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์เสิรมเพื่อสาธิตวิธีใช้งาน เพื่อที่คนจะได้เริ่มคุ้นชินกับอุปกรณ์ราคา 123,000 บาท

แต่การซื้อจะเหมือนกับตอนที่ Apple Watch ปี 2015 เปิดตัว เพราะพนักงานจะคอยถามเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ Apple Vision Pro เหมาะสมกับเรา และผู้ใช้จะถูกถามล่วงหน้าสำหรับใบสั่งยาเกี่ยวกับโรคตาผ่านทางพอร์ทัลออนไลน์ เพื่อให้สามารถใส่เลนส์ที่ถูกต้องได้

นอกจากนี้แอปเปิลอาจจะให้ผู้สั่งซื้อออนไลน์อัปโหลดข้อมูลค่าสายตา และใช้แอปสแกนใบหน้า เพื่อกำหนดขนาดอุปกรณ์เสริมที่เหมาะสมได้ด้วย

ที่มา – MacRumors

The post [ลือ] Apple Vision Pro จะวางจำหน่ายในอังกฤษ และแคนาดา ปี 2024 เอเชีย และยุโรปประเทศอื่นรอไปก่อน! appeared first on Macthai.com.

Japan Airlines ให้บริการยืมเสื้อผ้า ผู้โดยสารไม่ต้องถือกระเป๋าหนัก ลดการปล่อยคาร์บอนฯ

Brand Inside - 7 July 2023 - 18:31

Japan Airlines ออกแคมเปญ Any Wear, Anywhere ให้บริการผู้โดยสารยืมเสื้อผ้าจากสายการบินเมื่อเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นจะได้ไม่ต้องถือกระเป๋าหนัก เครื่องบินบรรทุกสัมภาระลดลงเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงที่นำไปสู่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

สายการบินได้ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นอย่าง Sumitomo เพื่อให้บริการดังกล่าว ผู้โดยสารสามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ Any Wear, Anywhere เพื่อรับบริการเช่ายืมเสื้อผ้าล่วงหน้า 1 เดือนด้วยการกรอกข้อมูลเที่ยวบิน ขนาดเสื้อผ้า ระยะเวลาที่จะอยู่ในญี่ปุ่น และฤดูที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ เสื้อผ้าจะถูกส่งไปยังที่พักภายในวันที่เดินทางเข้าประเทศ

ราคาค่าบริการจะอยู่ที่ 4,000-7,000 เยนหรือราว 900-1,700 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนเสื้อผ้า นักท่องเที่ยวสามารถยืมได้สูงสุด 8 ชุดภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ 

นอกจากการยืมเสื้อผ้าแล้ว Sumitomo ยังให้บริการซักรีด ขนส่ง และดูแลเสื้อผ้า ร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทซักรีดเสื้อผ้าอย่าง Hakuyosha และบริษัทผลิตเสื้อผ้าอย่าง Wefabrik

ในระยะแรก จะเปิดให้บริการจำกัดเฉพาะผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นผ่านสายการบิน Japan Airlines จนถึงวันที่ 24 สิงหาคม หากประสบความสำเร็จ Sumitomo อาจให้บริการบนเครือข่ายสายการบิน Oneworld อย่าง American Airlines, British Airways, Cathay Pacific และ Malaysia Airlines ด้วยในอนาคต

สายการบิน Japan Airlines เป็นสายการบินหนึ่งที่มีนโยบายผลักดันเรื่องความยั่งยืนผ่านแผนการดำเนินงาน Vision 2030 Program ที่ต้องการใช้เชื้อเพลิงเครื่องบินที่ยั่งยืน (SAF) มากขึ้น แต่ปัจจุบันเชื้อเพลิงนี้ยังมีจำกัดทำให้สายการบินเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

การที่ผู้โดยสารพกเสื้อผ้าน้อยลงดูเหมือนจะช่วยลดน้ำหนักที่เครื่องบินจะต้องบรรทุกได้เล็กน้อย แต่ที่จริงแล้วได้ผลมากในเที่ยวบินระยะไกล ข้อมูลของสายการบินเผยว่า ระยะเที่ยวบินโตเกียวไปยังยิวยอร์ก น้ำหนักของเสื้อผ้าที่ลดลงทุก 1 กิโลกรัมจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.75 กิโลกรัม

ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เผยว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าญี่ปุ่นแล้ว 1.9 ล้านคน นับเป็นเกือบ 70% ของช่วงก่อนโควิด-19 การให้บริการยืมเสื้อผ้าจึงน่าจะได้ผลเพราะน่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการจำนวนมากและน่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว Sumitoma ยังคาดว่าบริการนี้จะช่วยการลดปริมาณเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งและลดปัญหาเรื่อง Fast Fashion ได้ด้วย

ที่มา – Simple Flying

เพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Japan Airlines ให้บริการยืมเสื้อผ้า ผู้โดยสารไม่ต้องถือกระเป๋าหนัก ลดการปล่อยคาร์บอนฯ first appeared on Brand Inside.

เอาแล้ว! Unilever แบรนด์ดังระดับโลก ถูกขึ้นบัญชีรายชื่อว่าเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนสงครามในยูเครน

Brand Inside - 7 July 2023 - 15:58

Unilever ติดบัญชีรายชื่อ สปอนเซอร์สงคราม

The National Agency on Corruption Prevention (NACP) ประกาศเพิ่มรายชื่อแบรนด์ดังที่ถือเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ในการสนับสนุนสงครามในยูเครน เมื่อสำรวจรายชื่อแบรนด์ภายใต้ร่มใหญ่อย่าง Unilever นั้นถือว่ามีแบรนด์มหาศาลราว 400 แบรนด์วางจำหน่ายสินค้าทั่วโลก ตัวอย่างแบรนด์ เช่น Dove, OMO, Cif, Rexona, Magnum, AXE, Lifebuoy, Vaseline, Cornetto, Knore, Sunsilk, Timotei, CLEAR และอีกเพียบ

เว็บไซต์ระบุว่าแบรนด์ Unilever นั้นจ่ายภาษีให้กับสหพันธรัฐรัสเซีย ถือว่าสนับสนุนประเทศผู้บุกรุกยูเครน สนับสนุนเศรษฐกิจรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งเป็นการสนับสนุนให้ทำสงครามกับยูเครนไปในตัว พนักงานของ Unilever อยู่ในรัสเซียกว่า 3,000 คน รายได้ของ Unilever นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่รัสเซียบุกโจมตียูเครนเต็มรูปแบบเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา

Unilever Sponsors of War

ผลงานการสร้างรายได้ของ Unilever ในรัสเซีย มีดังนี้

กำไรของ Unilever ในรัสเซียเพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 56 ล้านยูโรหรือประมาณ 2.14 พันล้านบาทในปี 2021 เพิ่มเป็นกว่า 108 ล้านยูโรหรือประมาณ 4.13 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา มีอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นราว 91%

ขณะที่ผลกำไรจาก LLC Unilever Rus ยังเพิ่มทุนจากเดิม 2.53 หมื่นล้านรูเบิลหรือประมาณ 9.78 พันล้านบาทในปี 2021 เป็น 3.45 หมื่นล้านรูเบิลหรือประมาณ 1.33 หมื่นล้านบาทในปี 2022 ด้วย เพิ่มขึ้น 37% โดยบริษัท Unilever Rus LLC ต้องจ่ายภาษีให้รัสเซียในปี 2022 สูงถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.76 พันล้านบาท

ก่อนหน้านี้ Unilever เคยประกาศหลังรัสเซียบุกยูเครนเต็มรูปแบบว่า จะระงับการนำเข้าและส่งออกสินค้าไปยังรัสเซีย รวมถึงระงับการใช้จ่ายเงินเกี่ยวกับสื่อโฆษณาทั้งหมดด้วย ซึ่งทาง NACP หรือหน่วยงานป้องกันการคอร์รัปชันในยูเครนยืนยันว่า Unilever ก็ยังคงทำธุรกิจในรัสเซียเช่นเดิม เท่ากับว่า Unilever เป็นผู้สนับสนุนประเทศที่บุกรุกยูเครน จึงถูกจัดให้อยู่ในลิสต์รายชื่อบริษัทที่สนับสนุนสงคราม หรือเป็นสปอนเซอร์ระหว่างประเทศที่สนับสนุนสงคราม

ขณะที่เว็บไซต์ Leave Russia ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษอย่าง Unilever ไว้ว่า เป็นเจ้าขององค์กรในรัส 8 แห่งด้วยกัน มีทั้งโรงงานผลิตมาร์การีนหรือเนยเทียม โรงงานซอส โรงงานบรรจุชาและโรงงานผลิตเครื่องสำอางและน้ำหอมใน St. Petersburg โรงงานอาหารและไอศครีมใน Tula และโรงงานทำไอศครีมใน Novosibirsk และ Omsk แม้แต่บริษัทที่ผลิต Magnum และ Cornetto ก็ยังคงขายไอศครีมในรัสเซียต่อไปแม้รัสเซียจะบุกยูเครนก็ตาม

ขณะที่เว็บไซต์ War & Sanctions ระบุว่า แบรนด์ Unilever เป็นบริษัทที่มีตลาดอยู่ในสหรัฐอเมริกาขนาดใหญ่ที่สุด ยอดขายรวม 1.21 หมื่นล้านยูโรหรือประมาณ 4.26 แสนล้านบาท ในอินเดีย 6.9 พันล้านยูโร อังกฤษ 2.5 พันล้านยูโร แบ่งเป็นสัดส่วน ดังนี้ ในเอเชียแปซิฟิกและแอฟริกาอยู่ที่ 46% ของรายได้รวม ในอเมริกา 35% ในยุโรป 19%

Unilever Sponsors of War

มีบริษัทอะไรติดบัญชีสปอนเซอร์สงครามบ้าง?

นอกจาก Unilever ที่เป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษแล้ว ยังมีอีกหลายบริษัทด้วยกัน โดยเว็บไซต์ War & Sanctions ระบุรายชื่อประเทศที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ในการทำสงคราม ดังนี้ จีน กรีซ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี อังกฤK ออสเตรีย เบลเยียม เอสโตเนีย เยอรมนี ฮังการี อินเดีย

รายชื่อบริษัทที่คุ้นเคย อาทิ Unilever, Great Wall Motor, Xiaomi, Yves Rocher, METRO, P&G หรือ Procter & Gamble ฯลฯ

เงื่อนไขใดที่ทำให้องค์กรเอกชน ติดลิสต์สปอนเซอร์สงคราม?

1) มาจากต่างประเทศ ไม่ใช่รัสเซีย
2) เป็นธุรกิจระหว่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีเขตอำนาจศาลที่หลากหลาย
3) มีการให้ความช่วยเหลือทางอ้อม เช่น การจ่ายภาษี ตลอดจนการจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบให้ หรือเป็นส่วนหนึ่งของโฆษณาชวนเชื่อหรือร่วมรณรงค์ในการเคลื่อนไหว
4) ไม่มีการแถลงเพื่อแสดงเจตจำนงอย่างเป็นทางการว่าจะออกจากตลาดรัสเซีย หรือทำในสิ่งตรงกันข้าม หรือแสดงให้เห็นว่าตัดสินใจที่จะยังอยู่ในรัสเซีย
5) แสดงให้เห็นว่ายังอยู่ในตลาดรัสเซียและมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งจากผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่มีรัสเซียบุกรุกยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ เช่น มีการลงทุนเพิ่มขึ้น หรือมีรายได้หรือผลกำไรที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่คู่แข่งทางตลาดไหลออกจากรัสเซียไปแล้ว เป็นต้น

จะทำอย่างไรให้หลุดจากลิสต์บริษัทที่สนับสนุนสงครามได้?

1) ออกจากตลาดรัสเซีย หรือ ยุติการทำธุรกิจกับรัสเซีย
2) ทำแผนการออกจากรัสเซียจริงจัง เป็นรูปธรรม ระบุวันที่จะออกจากรัสเซียให้ชัดเจน
3) ถ้ามีเหตุผลที่บริษัทไม่สามารถออกจากรัสเซียได้ เป็นเหตุสุดวิสัย เหนือการควบคุมของบริษัท ก็ต้องระงับกิจกรรเชิงพาณิชย์ในรัสเซีย อาจจะทำได้แค่เพียงรักษาสถานภาพในการคงอยู่ในรัสเซีย (หรือไม่แสดงให้เห็นว่าทำมาหากิน ทำกำไรในรัสเซียอยู่ เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าสนับสนุนการคงอยู่ของรัสเซียในสงครามบุกยูเครนทั้งทางตรงและทางอ้อม)

ที่มา – Nazk, Unilever, Leave Russia, Sanctions (1), (2), (3) 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post เอาแล้ว! Unilever แบรนด์ดังระดับโลก ถูกขึ้นบัญชีรายชื่อว่าเป็นแบรนด์ที่สนับสนุนสงครามในยูเครน first appeared on Brand Inside.

บทพิสูจน์ Top of Mind Brand กับบริการของ AIS Fibre เน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจได้ต่อเนื่อง

Brand Inside - 7 July 2023 - 15:55

อินเทอร์เน็ตคือบริการพื้นฐานไปแล้วสำหรับทุกวันนี้ หลายคนอาจไม่รู้ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอินเทอร์เน็ตบ้านเร็วที่สุด ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากการแข่งขันของผู้ให้บริการเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุดบนค่าบริการที่เหมาะสมเข้าถึงได้ หนึ่งในผู้บริการที่พัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือ AIS Fibre ที่เริ่มเข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2015 เมื่อบริการมือถือใช้ AIS บริการเน็ตบ้านก็ต้องใช้ AIS Fibre เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งาน

กระทั่งปี 2018 ที่ถือว่า AIS Fibre เริ่มต้นให้บริการแบบจริงจัง โดยขยายพื้นที่ให้บริการครบ 77 จังหวัด ในปี 2020 ผู้บริโภคทุกจังหวัดรู้จัก และมีโอกาสใช้บริการ สร้างการจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกใช้บริการ AIS Fibre เพราะมั่นใจได้ในคุณภาพ ทำให้เป้าหมายของ AIS Fibre คือการเป็น Top of Mind Brand

Service Excellence บริการที่ดีเยี่ยม เพื่อสร้างการจดจำ

เป้าหมายการเป็น Top of Mind Brand จะสร้างได้ต้องมีปัจจัยสำคัญคือ ต้องมีบริการที่ดีเยี่ยม ดังนั้น AIS Fibre จึงต้องพัฒนาบริการในทุกมิติให้ดีที่สุด เพื่อการเป็น Service Excellence และนำไปสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค

การจะมีบริการที่ยอดเยี่ยมได้ แสดงว่าสินค้าและบริการของ AIS Fibre ต้องมีคุณภาพที่ดีทั้งเรื่องความเร็ว ความเสถียร มีการพัฒนาทีมงานคุณภาพที่มาพร้อมระบบที่สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือ จุดขายที่ดีและสร้างความแตกต่างให้กับ AIS Fibre และผลักดันให้เป็น Top of Mind Brand ได้

นอกจากนี้ในเรื่องของเทคโนโลยี อุปกรณ์ คอนเทนต์ นวัตกรรมและรวมไปถึงโปรโมชั่นต่างๆ ต้องมีความโดดเด่น ดึงดูดใจ ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ AIS Fibre ตัดสินใจเลือกใช้บริการ หรือตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้บริการของ AIS Fibre เรียกว่าเป็น เน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจได้ ไปดูกันว่ามีอะไรที่ AIS Fibre สร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นบ้าง

ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้งาน

ความเร็ว ความแรง คือหัวใจสำคัญของอินเทอร์เน็ตบ้านยุคนี้ AIS Fibre นำเสนอแพ็กเกจเพื่อตอบสนองตามความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน ในระดับราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ทุกประเภทสามารถเลือกใช้งานได้ เช่น

  • 1 Gbps Every Room (Whole Home Fibre Solution) – ถือเป็นครั้งแรกในไทย กับเทคโนโลยีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ Gigabit ให้ทุกห้องสามารถเชื่อมต่อ WiFi ภายในบ้านด้วยสายเคเบิลใยแก้วโปร่งใส ที่ทำให้สายไฟเบอร์เรียบเนียบไปกับตัวบ้าน และยังส่งมอบความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดที่  1Gbps /1Gbps ในทุกห้อง
ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและยังเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี AIS Fibre จึงคัดสรรเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาให้บริการกับผู้บริโภคคนไทย เป็นครั้งแรก และหลายครั้งก็เป็นรายเดียวที่จัดเต็มให้ลูกค้าที่สนใจ สมกับเป็นเน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจ ประกอบด้วย

  • เทคโนโลยีคลื่นสัญญาณใหม่ 6GHz – ครั้งแรกในไทยกับเทคโนโลยีมาตรฐานสัญญาณไร้สายบนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz จะทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ในบ้านที่มีจำนวนมากมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ความเร็วแรงยังจัดได้แบบเต็มๆ AIS Fibre พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคตด้วยการเปิดตัว WiFi6E Router ที่สามารถรองรับคลื่นสัญญาณใหม่ 6GHz ที่ร่วมมือกับ Partner TP Link ผู้นำทางเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก
  • AI Router อัจฉริยะ – รายแรกและรายเดียวในไทย กับ AI-powered Smart Router ช่วยเร่งความเร็ว ลดค่า Latency มอบเครือข่าย WiFi อัจฉริยะในบ้าน ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งาน ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน ผ่านแพ็กเกจ Power 4 Advance 

ที่ผ่านมา AIS Fibre จัดเต็มเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาโดยตลอด เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่อื่นๆ และในอนาคตจะยังคงเน้นแนวทางนี้ต่อไป สำหรับสายเทคที่ชื่นชอบและอยากลองเทคโนโลยีล้ำๆ หรือว่าผู้ที่ใช้งานหนักหน่วง Heavy User ทั้งแบบใช้งานคนเดียวแต่จัดเต็มความแรงความเร็ว หรือครอบครัวขนาดใหญ่ใช้งานหลากหลายรูปแบบ ที่ AIS Fibre มีคำตอบให้แน่นอน

ยืนยันด้วยคุณภาพบริการ และรางวัลหนึ่งเดียวในไทย

อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การมีพนักงานให้บริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ให้บริการอย่างมืออาชีพด้วยความปลอดภัย มีการแจ้งแนวทางการปฏิบัติงานก่อนเริ่มงาน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าเริ่มงาน และทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดกับผู้บริโภค

และเพื่อเป็นการตอกย้ำการสร้างแบรนด์ เน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจ ที่มีการพัฒนาบริการมาโดยตลอด AIS Fibre ได้รับรางวัลที่ 1 ของผู้ให้บริการเน็ตบ้านแห่งปี รางวัล BROADBAND TELECOM COMPANY OF THE YEAR จากเวที Asian Telecom Awards 2023 

และรางวัล BRONZE STEVIE WINNER จากเวที The Asia-Pacific Stevie Awards 2023 สาขา Award for the Innovative Use of Technology in Customer Service – Telecommunications Industries โดย AIS Fibre เป็นผู้ให้บริการเน็ตบ้านรายเดียวในไทยที่ได้รับรางวัลในปีนี้ โดยเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของนวัตกรรมและการให้บริการที่ยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเน็ตบ้านไทย ยกระดับการให้บริการที่พร้อมดูแลแก้ไขปัญหาด้านการใช้งานใน 24 ชั่วโมง

ปิดท้ายด้วย เรื่องราวทั้งหมดต้องสื่อสารไปถึงผู้บริโภค เพื่อให้รับรู้ถึงความตั้งใจจริง โดยยังได้ ต่อ ธนภพ มาเป็นผู้เล่าเรื่องในฐานะที่เป็นผู้ใช้งานตัวจริง เพื่อสร้างความมั่นใจ ตอกย้ำการเป็นเน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจได้ต่อเนื่อง และสานต่อการเป็น Top of Mind Brand และยืนยันการเป็นผู้ให้บริการที่เร็วกว่า ดีกว่า และง่ายกว่า เพื่อลูกค้าทุกคน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post บทพิสูจน์ Top of Mind Brand กับบริการของ AIS Fibre เน็ตบ้านคุณภาพที่ทุกคนมั่นใจได้ต่อเนื่อง first appeared on Brand Inside.

แอบแซ่บดีไหม ถ้าเราถูกใจคนในออฟฟิศ – สำรวจมิติทางสังคมและอำนาจกับความสัมพันธ์ในที่ทำงาน

Brand Inside - 7 July 2023 - 15:44

การมีแฟนอย่างเปิดเผยในที่ทำงาน อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ละองค์กรอาจจะมีนโยบายเอาไว้อยู่แล้ว เช่น ต้องประกาศความสัมพันธ์ เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน 

แต่คำถามคือ แล้วความสัมพันธ์ประเภท นั่งหันหลังให้กัน ไม่คุย ไม่มองหน้า เดินสวนกันทำเหมือนไม่รู้จักกัน แต่เลิกงานแล้วไป “แอบแซ่บ” ไม่ว่า FWB, ONS กับคนในที่ทำงาน มันมีอะไรที่น่ากังวลบ้างไหม หรือทำได้แค่ไหน ในเมื่อไม่ได้ต้องการจะมีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง และไม่มีกฎห้าม?

เรื่องรักใคร่ในที่ทำงานไม่ใช่เรื่องใหม่

ผลการสำรวจในสหรัฐอเมริกาก็ชี้ว่า ความรักในที่ทำงานเพิ่มขึ้นกว่าเดิมในช่วงโควิด-19 แม้พนักงานจะแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย แล้วถ้าเจอกันทุกวันจะเหลืออะไร

ในปี 2022 ข้อมูลจาก Society for Human Resource Management (SHRM) ของสหรัฐอเมริกาเผยว่า ความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกในที่ทำงานเพิ่มขึ้นในช่วงการทำงานที่บ้าน โดย 1 ใน 3 ของชาวอเมริกัน 550 รายกล่าวว่า พวกเขาเริ่มและพัฒนาความสัมพันธ์ในช่วงโควิด-19 นับว่ามากกว่าช่วงก่อนโควิด 6%

แม้ว่าภาพลักษณ์และเสียงซุบซิบจากเพื่อนร่วมงานจะเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวและทำให้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ดูจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 75% กลับรู้สึกโอเคที่เพื่อนร่วมงานจะคบหากัน ยิ่งกว่านั้น ผู้ตอบแบบสำรวจครึ่งหนึ่งยังบอกว่าพวกเขาเคยถูกใจเพื่อนร่วมงานซะเอง

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะความใกล้ชิดในที่ทำงานมีมาตั้งแต่ 200 ปีที่แล้วในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและอาจมีมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ Amy Nicole Baker ศาตราจารย์ของ University of New Haven ผู้ศึกษาเรื่องความรักในที่ทำงานกล่าวว่า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ผู้ชายและผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศก็มีความสัมพันธ์ที่นักวิจารณ์สมัยนั้นเรียกว่าเป็น “พฤติกรรมที่ไม่มีชื่อเรียก”  

Baker ยังกล่าวว่า ความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่เริ่มต้นในช่วงก่อนโควิดยังคงพัฒนาต่อเนื่องมาในช่วงโควิดที่ต้องทำงานที่บ้านเพราะเป็นช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงน้อยกว่าและอยู่นอกสายตาของหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน แถมช่วงทำงานที่บ้าน บางคู่ยังไม่ได้ทำงานที่บ้านตัวเอง แต่เป็นบ้านของอีกคนแบบลับ ๆ ด้วยซ้ำไป

ความใกล้ชิดในที่ทำงานเป็นเรื่องต้องห้ามเสมอ?

Amie Gordon ผู้ช่วยศาสตรจารย์ด้านจิตวิทยาของ University of Michigan กล่าวว่า สถานที่ทำงานเป็นแหล่งบ่มเพราะความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกได้เพราะเป็นพื้นที่ที่ทำให้เกิด 2 ปัจจัยสำคัญ คือ ความใกล้ชิดและความคุ้นเคย

ยิ่งเราเห็นอะไรหรือใครบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกคุ้นเคยมากเท่านั้น และความคุ้นเคยที่เกิดจากการเจอคน ๆ นึงซ้ำ ๆ ในทุกวัน ก็ทำให้เกิดความชอบหรือความพึงพอใจได้ สิ่งนี้เรียกว่า “Mere-exposure Effect” 

งานวิจัยในที่ทำงานก็ให้ผลแบบเดียวกัน ถ้ายิ่งได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกชอบหรือพึงพอใจในตัวคน ๆ นั้นโดยไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นรูปแบบการคบหากันหรือการเป็น Friend with Benefit กันเท่านั้น แม้แต่การที่หัวหน้ารู้สึกชื่นชอบพนักงานในทีมคนใดคนหนึ่งมากกว่าคนอื่น ๆ ก็มาจากความคุ้นเคยอย่างนี้ด้วย

อคติหรือความลำเอียงที่เกิดขึ้นไม่ได้จะต้องเกิดจากการเห็นหน้ากันเท่านั้น เกิดจากการพูดคุยผ่านทางอีเมล Zoom หรือ Slack บ่อย ๆ ก็ยังได้ และนี่ก็อธิบายได้อย่างดีว่าทำไมในช่วงทำงานที่บ้าน พนักงานหลายคนจึงสานต่อความสัมพันธ์กันได้ดี 

นอกจากนี้ การมีปัญหาร่วมกันในที่ทำงานอย่างงานหนัก หัวหน้าที่ท็อกซิก ก็ยิ่งทำให้คนสองคนใกล้ชิดกันจากการปรับทุกข์และระบายความในใจที่อึดอัดจากที่ทำงาน แถมยังให้ความรู้สึกว่าทั้ง 2 คนเป็นพวกเดียวกันที่เผชิญอุปสรรคเหมือน ๆ กัน

หากคิดหรือกำลังสานต่อความสัมพันธ์กับใครซักคนในออฟฟิศ ก็ขอให้คิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าทุกความสัมพันธ์ไม่ได้จบลงด้วยเสียงซุบซิบนินทาหรือเรื่องอื้อฉาวให้กลายเป็นจุดสนใจในหมู่เพื่อนร่วมงานและป้าแม่บ้านเสมอไป ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น Barack Obama และ Michelle Obama ที่เจอกันในบริษัทกฎหมายในตอนที่พวกเขาก้าวเข้าสู่วัยเลข 2

แถมยังมีข้อมูลว่าชาวอเมริกันอายุ 20-50 ปี ใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานมากกว่าเพื่อนในชีวิตจริงถึง 4 เท่า เลยไม่น่าแปลกใจที่ Mere-exposure Effect จะทำงานได้ดีกับเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องเจอหน้ากันเกือบทุกวัน

แอบแซ่บไม่ผิด แต่อย่าคิดชะล่าใจ

แม้ว่าการมีความสัมพันธ์รักใคร่ (หรือไม่รักก็แล้วแต่) กับเพื่อนที่ทำงานจะเป็นเรื่องที่สุดแสนจะปกติของมนุษย์แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่ต้องระมัดระวัง

อย่างแรกต้องรู้ก่อนยังไงการพัฒนาความสัมพันธ์เกินกว่าเพื่อนธรรมดากับคนในออฟฟิศก็มีความเสี่ยง ปัญหาที่ตามมาแน่ ๆ คือ ผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการขัดผลประโยชน์กัน (Conflict of Interest) อย่าลืมว่าเรายังต้องมีความสัมพันธ์กับคนอื่นในที่ทำงานนอกจากคนที่เราถูกใจ

การที่เราจะถูกใจใครเป็นพิเศษทำให้เกิดการตั้งคำถามจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้ว่าการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานมีอคติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ 

ความเคลือบแคลงใจจะมีมากขึ้นอีก ถ้าเกิดเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า อย่างถ้ามีคนรู้ว่าเรามีนอกมีในหัวหน้านอกเวลางาน แล้วเราดันทำงานได้ดี เป็นพนักงานยอดเยี่ยมก็จะเกิดคำถามขึ้นในใจคนอื่น ๆ ว่า ความสำเร็จนี้มาจากอะไรความสามารถจริงหรือจากการเป็น ‘คนโปรด’ กันแน่ ดังนั้น ถ้าจะถูกใจใครก็ภาวนาอย่าให้เป็นหัวหน้าหรือคนที่ประเมินผลงานเราโดยตรง และอย่าลืมว่าต่อให้หัวหน้าจะทำหน้าที่อย่างมืออาชีพแค่ไหน แต่ความอคติ (bias) คนเรามีได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว

สิ่งสำคัญที่ควรจะทำเมื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่ทำงานคือความโปร่งใสกับคนอื่น ๆ แม้จะเป็นเรื่องยากแต่ควรบอกให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังพัฒนาความสัมพันธ์กับใครเพราะจะช่วยลดความกระอักกระอ่วนและแสดงความจริงใจ เพราะแน่นอนว่าความลับไม่มีในโลก ถึงเราไม่บอก เพื่อน ๆ หรือป้าแม่บ้านก็จะรู้ได้เองในที่สุด ถึงตอนนั้นการกระทำของเราที่ผ่านมาก็จะกลายเป็นเรื่องน่าสงสัยและไม่น่าไว้ใจสำหรับเพื่อนร่วมงาน

หลังจากนั้นก็ควรจะกำหนดขอบเขตและทำตัวเป็นมืออาชีพ พยายามรักษาคุณภาพการทำงานไว้ และจะรักและถูกใจกันมากแค่ไหนก็ไม่ควรแสดงออกในที่ทำงานเพราะจะทำให้คนอื่นอึดอัดใจจนถึงขนาดมีงานวิจัยบอกว่า คนที่เป็นพยานรักในที่ทำงานบ่อย ๆ จะรู้สึกพึงพอใจในงานของตัวเองลดลงจนถึงขนาดลาออก ดังนั้น มีความสัมพันธ์เกินกว่าเพื่อนได้ แต่ควรใส่ใจงานและคนรอบข้างให้ดีด้วย

ที่มา – BBC, HBR, SHRM

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post แอบแซ่บดีไหม ถ้าเราถูกใจคนในออฟฟิศ – สำรวจมิติทางสังคมและอำนาจกับความสัมพันธ์ในที่ทำงาน first appeared on Brand Inside.

วิธีปิดใช้งานโปรไฟล์ Threads

iPhonemod - 7 July 2023 - 15:33

ในตอนนี้ เรายังไม่สามารถลบบัญชีผู้ใช้ใน Threads ได้ แต่ […] More

The post วิธีปิดใช้งานโปรไฟล์ Threads appeared first on iMoD.

สื่อต่างชาติรายงาน หลังทิม พิธา โพสต์ทวิตเตอร์เชิญชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์ มาจัดคอนเสิร์ตที่ไทย

Brand Inside - 7 July 2023 - 13:54

ไทยได้พื้นที่สื่อต่างประเทศหลังพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคโพสต์ทวิตเตอร์เชิญชวน เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาจัดคอนเสิร์ต The Eras Tour ในประเทศไทยหลังนักร้องสาวประกาศทัวร์เพียง 2 ประเทศในเอเชียที่ญี่ปุ่นและสิงคโปร์
 

พิธาได้โควททวิตเตอร์ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ที่ประกาศเพิ่มรอบจัดคอนเสิร์ตในยุโรปพร้อมข้อความมีใจความว่า พิธาเองก็เป็นแฟนคลับตัวยงของสวิฟต์ ในขณะนี้ประเทศไทยได้กลับเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตยเต็มใบแล้วหลังจากสวิฟต์ต้องยกเลิกการจัดคอนเสิร์ต The Red Tour ไปในปี 2014 หลังเกิดการรัฐประหารขึ้น

พิธายังได้เชิญชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์มาประเทศไทยเพื่อจัดคอนเสิร์ต The Eras Tour ซึ่งกำลังจัดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะออกสู่ประเทศต่าง ๆ พร้อมกล่าวว่า ตนเองจะร้องเพลง Lavender Haze ซิงเกิ้ลใหม่จากอัลบั้มล่าสุดอย่าง Midnights ไปด้วยกัน

หลังจากที่ทวิตของพิธาได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วจนขณะนี้มียอดรีทวิตอยู่ที่ราว 1.2 แสนรีทวิตแล้ว ล่าสุด สื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศอย่าง Billboard ได้รายงานข่าวนี้เป็นที่เรียบร้อย รวมทั้งบัญชีทวิตเตอร์ข่าวบันเทิงชื่อดังอย่าง Pop Base และ Pop Crave ก็ได้รายงานข่าวนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

พิธาไม่ได้เป็นนักการเมืองหรือผู้นำประเทศเพียงคนเดียวที่ทวิตหาเทย์เลอร์ สวิฟต์เพื่อเชิญชวนมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศของตนเอง Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีของประเทศแคนาดาก็เพิ่งจะทวิตเชิญชวนเช่นเดียวกันหลังแคนาดาไม่มีรายชื่ออยู่ใน The Eras Tour ในต่างประเทศ รวมทั้งก่อนหน้านี้ Gabriel Boric ประธานาธิบดีของประเทศชิลีก็ได้เขียนจดหมายถึงนักร้องสาวเช่นเดียวกัน

แม้พิธาไม่ใช่บุคคลสาธารณะทางการเมืองคนเดียวที่เชิญชวนสวิฟต์ด้วยตนเอง แต่ยังหลายคนในประเทศไทยที่ไม่เห็นด้วยกับทวิตของพิธา มีทั้งการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะมาทวิตหานักร้องในช่วงที่การเมืองไทยยังอยู่ในจุดที่ไม่มั่นคง หลายคนมองว่าให้ใช้เวลาไปกับการเจรจากับส.ว. เพื่อรวมเสียงในวุฒิสภาให้ครบ 376 เสียงจะดีกว่า

ทั้งนี้ ทวิตของพิธาทำให้ประเทศไทยได้พื้นที่สื่อจากสำนักข่าวต่างประเทศ ได้เป็นที่รู้จักและเป็นพื้นที่ให้แสดงจุดยืนว่าประเทศไทยสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและกำลังฟื้นฟูประเทศเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง

นอกจากนี้ หากศิลปินระดับโลกอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์เข้ามาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยจะช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลด้วย ตัวอย่างเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สำนักข่าว Fortune อ้างผลสำรวจของบริษัทวิจัย Question Pro รายงานว่า คอนเสิร์ต The Eras Tour สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับธุรกิจท้องถิ่นมูลค่า 4.6 พันล้านเหรียญหรือราว 1.6 แสนล้านบาททั่วสหรัฐอเมริกา 

ผลสำรวจของ QuestionPro เผยว่า ผู้ชมคอนเสิร์ต The Eras Tour แต่ละคนโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เงิน 1,300 เหรียญหรือเกือบ 46,000 บาทไปกับค่าบัตรคอนเสิร์ต การเดินทาง และการแต่งกายไปคอนเสิร์ต

แม้แต่สิงคโปร์เองที่เป็นแหล่งจัดคอนเสิร์ต The Eras Tour ถึง 6 รอบและเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังมีนโยบายมุ่งสู่การเป็นแหล่งจัดคอนเสิร์ต (Concert Hub) ในภูมิภาคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากนักท่องเที่ยวชาติที่เดินทางเข้ามาชมคอนเสิร์ตจากจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง และยังสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวไปด้วยในตัว

ที่มา – Twitter Pita, People, Pop Base, Pop Crave, SCMP

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post สื่อต่างชาติรายงาน หลังทิม พิธา โพสต์ทวิตเตอร์เชิญชวนเทย์เลอร์ สวิฟต์ มาจัดคอนเสิร์ตที่ไทย first appeared on Brand Inside.

5 สิ่งหลักที่ แอป Threads แตกต่างจาก Twitter

iPhonemod - 7 July 2023 - 13:25

พาดู 5 สิ่งที่ แอป Threads แตกต่างจาก Twitter แม้ว่าการ […] More

The post 5 สิ่งหลักที่ แอป Threads แตกต่างจาก Twitter appeared first on iMoD.

ไตรมาส 3/2023 หุ้นไทยไปทางไหน FETCO ชี้นักลงทุนจับตาการเมืองไทยหวังเสถียรภาพ 

Brand Inside - 7 July 2023 - 13:12

ช่วงครึ่งปีแรก 2023 นี้ตลาดหุ้นไทยอย่าง SET Index แม้จะปรับตัวลดลง 9.9% แต่หลังจากนี้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้น ดังนั้นมาหาคำตอบกันว่า ไตรมาส 3 นี้ในตลาดทุนมีปัจจัยใดที่ต้องติดตาม และมีหุ้นกลุ่มใดที่น่าสนใจ?

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2023 ยังแกว่งผันผวนจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่มีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ​ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่างส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกดเงินเฟ้อฯ ให้ลงมาสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%

ขณะที่ในภาคเศรษฐกิจไทยมองว่ามีแนวโน้มจะฟื้นตัวและเติบโตจากภาคการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังเห็นอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของไทยออกมาต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโนบายลงได้ 

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปี 2023 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง  9.9% จนระดับ Valuation ในมิติของ Market Earning Yield Gap ที่ 4.11% ถือว่าลงมาในระดับท่ีใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย ในรอบ 12 ปี ทำให้ทิศทางเงินทุนมีโอกาสไหลกลับเข้ามา โดยทาง ASPS กำหนดเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,542 จุด ภายใต้กรอบว่า Market Earning Yield Gap 4.0%, อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0% และ EPS66F 91.8 บาท/หุ้น และหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ 1 ครั้งมองว่าเป้าหมายดัชนีจะอยู่ที่ 1,480 จุดซึ่งเป็นแนวรับทางพื้นฐาน

โดย ASPS แนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยชี้จุดทยอยสะสมหุ้น เมื่อ SET Index อยู่ในระดับต่ำกว่า 1,480 จุด โดยเลือกหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาลงลึก พร้อมกับมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ BEM, JMT, SCGP, SCB, IVL, ERW, III

ด้าน กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ตลาดทุนยังติดตามอย่างใกล้ชิดในประเด็นการเมืองในประเทศ โดยให้น้ำหนักกับเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่และนโยบายที่จะขับเคลื่อนเพื่อตอบโจทย์ที่รออยู่ข้างหน้า  

“ช่วงนี้ตลาดคงรอและดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในสิบวันข้างหน้าเป็นช่วงสำคัญช่วงที่หนึ่ง (การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของไทย) และจะมีช่วงถัดไปคือ ครม. และนโยบายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ที่แน่นอนคือตลาดชอบความแน่นอนและชอบเสถียรภาพ” กอบศักดิ์กล่าว

ขณะนี้มองว่าตลาดทุนยังชะลอการลงทุน โดยรอติดตามและให้ความสำคัญว่า นโยบายที่จะอยู่และไม่อยู่ในแนวทางของรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร และจะเอื้อต่อการขับเคลื่อนประเทศเพียงใด ซึ่งปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยที่อยู่ระดับ 1,500 จุด ถือว่าประคองตัวได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลใหม่ยังเป็นความหวังที่จะปลดล็อกข้อจำกัดต่างๆ ของไทย เพื่อให้ไทยสามารถสร้างเสน่ห์เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง 

ที่มา – ASPS, งานแถลงข่าวของ FETCO

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ไตรมาส 3/2023 หุ้นไทยไปทางไหน FETCO ชี้นักลงทุนจับตาการเมืองไทยหวังเสถียรภาพ  first appeared on Brand Inside.

DoorDash, Grubhub และ Uber ฟ้องร้องทางการนครนิวยอร์ก หลังออกกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำให้ไรเดอร์

Brand Inside - 7 July 2023 - 11:13

ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มส่งอาหารประกอบด้วย DoorDash, Grubhub และ Uber Eats ยื่นเรื่องฟ้องร้องทางการนครนิวยอร์ก หลังมีการออกกฎหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้กับไรเดอร์ส่งอาหารในระบบ โดยอ้างเหตุผลว่า กฎหมายฉบับนี้จะสร้างปัญหาให้กับไรเดอร์ และร้านอาหาร

Uber Eatsภาพจาก Shutterstock แพลตฟอร์มส่งอาหารฟ้องร้องเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ

สำนักข่าว CNN รายงานว่า DoorDash ร่วมกับ Grubhub ในการยื่นฟ้องร้องทางการนครนิวยอร์กเกี่ยวกับกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำให้ไรเดอร์ส่งอาหาร เช่นเดียวกับ Uber บริษัทแม่ Uber Eats ที่แยกยื่นออกมาฟ้องร้องกฎหมายฉบับดังกล่าว

ทั้ง 3 บริษัทอ้างเรื่องปัญหากฎหมายค่าแรงขั้นต่ำให้ไรเดอร์ส่งอาหารจะสร้างปัญหาให้กับไรเดอร์, ร้านอาหาร และลูกค้า แต่ยังย้ำว่าไม่ได้ต้องการต่อต้านการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้กับไรเดอร์ส่งอาหาร เพียงแต่กฎหมายฉบับนี้มีปัญหากับภาพรวมอุตสาหกรรมเท่านั้น

กฎหมายค่าแรงขั้นต่ำฉบับใหม่ของทางการนครนิวยอร์กริ่มบังคับใช้เดือน มิ.ย. 2023 โดยมีรายละเอียดว่า ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มส่งอาหาร ต้องจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้กับไรเดอร์ส่งอาหาร (ไม่รวมไรเดอร์ส่งสินค้าอุปโภคบริโภค) 17.96 ดอลลาร์สหรัฐ/ชม. หรือราว 633 บาท ไม่รวมทิป และเพิ่มเป็นราว 20 ดอลลาร์/ชม. ในเดือน เม.ย. 2025

แต่การจ่ายค่าแรงราย ชม. โดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มส่งอาหาร มีการบังคับว่า ต้องจ่ายให้ไรเดอร์ส่งอาหารเมื่อพวกเขามีการเข้าใช้งานในระบบ และพร้อมรับออร์เดอร์ แม้พวกเขาจะไม่มีการส่งอาหารก็ตาม ทำให้บริษัททั้งสามมองว่ากฎหมายฉบับนี้มีปัญหา

ทางการนครนิวยอร์ก แจ้งว่า ไรเดอร์ส่งอาหารสามารถทำเงินได้ราว 7.09 ดอลลาร์/ชม. และมีไรเดอร์ส่งอาหารอยู่กว่า 60,000 คน ในเมือง ซึ่ง Eric Adams นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก มองว่า การการันตีรายได้ให้ไรเดอร์ส่งอาหารช่วยให้พวกเขา และครอบครัว สามารถดำรงชีวิตได้ดีขึ้น และช่วยร้านอาหารเก่าแก่เติบโตเช่นกัน

อ้างอิง // CNN

หมายเหตุ: Brand Inside เป็นเว็บไซต์ในเครือ LINE MAN Wongnai

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post DoorDash, Grubhub และ Uber ฟ้องร้องทางการนครนิวยอร์ก หลังออกกฎหมายค่าแรงขั้นต่ำให้ไรเดอร์ first appeared on Brand Inside.

ลือ! iPhone 15 Pro Max ราคาแพงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า!

iPhonemod - 7 July 2023 - 11:01

ลือ! iPhone 15 Pro Max อาจจะราคาแพงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า […] More

The post ลือ! iPhone 15 Pro Max ราคาแพงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า! appeared first on iMoD.

ส่องฟีเจอร์ใหม่ที่จะมีบน iOS 17 เวอร์ชันเบต้า 3!

MacThai - 7 July 2023 - 10:00

iOS 17 เวอร์ชันเบต้าแรกได้เปิดตัวหลังจากอีเวนต์ WWDC เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนได้จบไป จากนั้นอีกสองสัปดาห์ถัดมาที่ 21 มิถุนายน ก็มีเวอร์ชันเบต้า 2 ออกมาให้นักพัฒนาทดลองอีก แล้วก็มาจนถึงเวอร์ชันเบต้า 3 ในตอนนี้!

Apple Music now has a dedicated song credits section in iOS 17

ซึ่งเวอร์ชันเบต้า 2 มีการอัปเดต AirDrop และแอปตั้งค่า ไปจนถึงฟังก์ชัน Crossfade ใน Apple Music ในเวอร์ชันเบต้าที่ 3 ก็จะมีการเพิ่มข้อมูลเครดิตเพลงที่ลึกขึ้นให้กับ Apple Music เช่นกัน

อย่างที่แอปเปิลเคยบอกไว้ในงาน WWDC ว่าจะมีทั้งข้อมูลของโปรดิวซ์เซอร์ ศิลปิน นักแต่งเพลง และอื่น ๆ ตามมาด้วย

ส่วนแอป Messages ก็จะมีการปรับแต่งเล็กน้อยเช่นกัน คือไอคอนปุ่ม “Photos” เพื่อแสดงรูปภาพล่าสุด จากเดิมที่จะเป็นเพียงแค่ไอคอนแบบรูปร่างอย่างเดียว

นอกจากนี้ iOS 17 เบต้า 3 ยังมีการเพิ่มเมนู “What’s new” ไปหน้าโฮมด้วย โดยอินเทอร์เฟซจะปรับแต่งให้มีความหลากสีมากขึ้นได้

มาถึงแอปตั้งค่า เมนู “Depth Control”  จะมีปุ่มสลับเป็นของตัวเองในตัวเลือก “Preserve Settings” เพราะก่อนหน้านี้ถูกรวมไปกับ หมวด Creative Controls นั่นเอง

ส่วนอื่น ๆ ที่อยากเห็นบน iOS 17 เวอร์ชันเบต้า 3 มีอะไรอีกบ้าง คอมเมนต์มาคุยกันได้ครับ

ที่มา – 9To5Mac

The post ส่องฟีเจอร์ใหม่ที่จะมีบน iOS 17 เวอร์ชันเบต้า 3! appeared first on Macthai.com.

SK Bioscience เครือบริษัทยาเกาหลีใต้ร่วมมือกับองค์การเภสัช เตรียมเปิดโรงงานยาในไทย

Brand Inside - 6 July 2023 - 22:11

เครือ SK จะมาเปิดโรงงานยาในไทย ร่วมกับองค์การเภสัช

SK Bioscience เครือบริษัทยายักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่าได้ทำความตกลงทางธุรกิจกับองค์การเภสัชของไทยเพื่อพัฒนาการผลิตวัคซีนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตวัคซีนในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ภายใต้ความตกลงดังกล่าว SK Bioscience และองค์การเภสัชกรรมของไทยจะร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบต้านโรคระบาดใหม่ให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาวและทำให้มีศักยภาพในการผลิตวัคซีนได้ ซึ่งความพยายามดังกล่าวจะขยายไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภายหลัง โดยจะเริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีแรกในการผลิตวัคซีนจากเซลส์เพาะเลี้ยงจากบริษัท SkyCellflu เพื่อให้เกิดการผลิตในไทย

GPO-SK Bioscience

ด้าน Ahn Jae Yong ซีอีโอของ SK Bioscience ระบุ การร่วมมือกันดังกล่าว คือแรงหนุนจากเทคโนโลยีของ SK Bioscience และโครงสร้างพื้นฐานขององค์การเภสัช ตลอดจนแรงสนับสนุนจากหลากสถาบันของทั้งสองประเทศ จะส่งผลให้วงการสาธารณสุขประสบความสำเร็จได้ด้วยการเป็นหุ้นส่วนในระดับโลก

องค์การเภสัชเองก็ก่อตั้งโดยรัฐบาลไทยเพื่อผลิตยาและจัดหายาให้ไทย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐที่ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์จากองค์การเภสัชอย่างน้อย 60% ซึ่งความตกลงนี้ถือเป็นความสำเร็จแรกของโครงการจาก SK Bioscience ซึ่งเรียกว่าโครงการ “Glocalization” ที่มีเป้าหมายก่อตั้งขึ้นเพื่อถ่ายทอดงานวิจัย และพัฒนาศักยภาพและผลิตภัณฑ์ให้แก่ประเทศที่ยังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตวัคซีน

ความร่วมมือดังกล่าวระหว่าง SK Bioscience และองค์การเภสัช จะช่วยขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนให้แก่ไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ แพทย์หญิงมิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าว

ที่มา – Korea Herald, SK Bioscience

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post SK Bioscience เครือบริษัทยาเกาหลีใต้ร่วมมือกับองค์การเภสัช เตรียมเปิดโรงงานยาในไทย first appeared on Brand Inside.

ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้เกี่ยวข้อง STARK รวม 10 รายต่อ DSI และ ปปง.

Brand Inside - 6 July 2023 - 18:57

ช่วงสายวันนี้ (6 ก.ค. 2023) สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK กรรมการ อดีตกรรมการ และอดีตผู้บริหารของ STARK รวม 10 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) 

กรณีตกแต่งงบการเงินของ STARK เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง และทำให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) 

stark

ทั้งนี้ ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคลดังต่อไปนี้ 

(1) บริษัท STARK

(2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ 

(3) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ 

(4) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี 

(5) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 

(6) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม 

(7) บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) 

(8) บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI) 

(9) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด และ 

(10) บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 

ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ว่า บุคคลข้างต้นได้ร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ ทำบัญชีไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ในบัญชีหรือเอกสารของ STARK และบริษัทย่อย ในปี 2564 – 2565 เพื่อลวงบุคคลใด ๆ 

อีกทั้ง STARK มีการเปิดเผยในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน โดยเปิดเผยงบการเงินที่เชื่อได้ว่ามีการตกแต่งงบการเงินดังกล่าว รวมทั้งปกปิดข้อความจริงในข้อมูลในส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแบบแสดงรายการข้อมูลสำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ STARK ว่าได้มีการเข้าลงทุนในบริษัท LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc แล้ว ทั้งที่ยัง

เข้าลงทุนในกิจการดังกล่าวไม่เสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ ปรากฏว่าหลังจากที่ STARK ได้รับเงินหุ้นกู้และเงินเพิ่มทุน พบการโอนเงินออกจาก STARK และบริษัทย่อยไปยังบริษัทหรือบุคคลอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับการตกแต่งงบการเงินด้วย

การกระทำของบุคคลรวม 10 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 312 และมาตรา 281/2 วรรค 2 ประกอบมาตรา 89/7 และมาตรา 89/7 ประกอบมาตรา 89/24 มาตรา 278 มาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 มาตรา 306 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แล้วแต่กรณี) 

ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 10 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ข้างต้น ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นอกจากกรณีที่กล่าวโทษในครั้งนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีข้อสงสัยในเรื่องการทุจริต โดยจะประสานความร่วมมือกับ DSI ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีการเปิดเผยให้ทราบต่อไป 

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ

ที่มา ก.ล.ต.

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้เกี่ยวข้อง STARK รวม 10 รายต่อ DSI และ ปปง. first appeared on Brand Inside.

ซอสพริกศรีราชาราคาพุ่งบน eBay ขวดละกว่า 2,000 บาท หลังพริกขาดแคลนหนัก ผลิตไม่ทันขาย

Brand Inside - 6 July 2023 - 18:22

ของที่ไม่น่าจะแพงขึ้นก็แพง อะไรก็เป็นไปได้เมื่อซอสพริกศรีราชาราคาพุ่งถึงหลักพันบน eBay ในสหรัฐอเมริกาเพราะพริกขาดแคลนมา 2 ปีจนผลิตไม่ได้

ล่าสุด มีผู้นำซอสพริกไปขายบน eBay ในราคาสูงเป็นหลักพัน โดยราคาซอสศรีราชาขนาด 17 ออนซ์บน eBay เริ่มต้นตั้งแต่ราคา 39.98 ดอลลาร์หรือประมาณ 1,250 บาท ส่วนราคาบน Amazon ยิ่งพุ่งสูงกว่าอีก เมื่อมีผู้ขายซอสศรีราชา 2 ขวดในราคา 124 ดอลลาร์ หรือตกขวดละประมาณ 2,100 บาทจากปกติที่ราคาราว 175 บาทเท่านั้น 

นอกจากนี้ ผู้ขายรายหนึ่งบน eBay วางขายซอสพริกศรีราชาขนาด 28 ออนซ์ ในราคาเกือบ 70 ดอลลาร์หรือราว  2,400 บาทต่อขวด ยังมีผู้ขายรายหนึ่งขายซอสศรีราชาแบบเหมา 15 ขวดในราคาราว 33,600 บาท 

Huy Fong Foods บริษัทผู้ผลิตซอสศรีราชาได้ประกาศให้ผู้บริโภครู้ถึงสถานการณ์ขาดแคลนพริกจากแหล่งเพาะปลูกในเม็กซิโก นิวเม็กซิโก และเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนียในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ก่อนที่จะประกาศว่าสถานการณ์แย่ลงจนทำให้บริษัทไม่สามารถผลิตสินค้าบางชนิดอย่างซอสพริกกระเทียม (Chili Garlic) ซอสพริกซัมบัล (Sambal Oelek) และสินค้าเด่นอย่างซอสพริกศรีราชา (Sriracha Hot Chili Sauce) ได้เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว 

บริษัทผู้ผลิตเปิดเผยกับ CNN ว่า ได้เริ่มกลับมาผลิตซอสอีกครั้งในช่วงเดือนกันยายนของปีที่แล้ว แต่วัตถุดิบก็ยังมีจำกัดและยังกระทบต่อกำลังการผลิตสินค้าที่ยังผลิตได้น้อย ปัจจุบัน บริษัทก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าปริมาณพริกที่นำมาเป็นวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นเป็นปกติได้เมื่อไร

ซอสศรีราชาในสหรัฐอเมริกาเป็นคนละบริษัทกับซอสพริกศรีราชาในประเทศไทย โดยผู้ผลิต Huy Fong Foods เริ่มผลิตในปี 1980 โดยผู้มีเชื้อสายเวียดนามที่มีชื่อว่า David Tran ก่อนที่แบรนด์จะเติบโตจนวางขายหน้าร้านค้าปลีกชั้นนำอย่าง Target และ Whole Food และเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มลูกค้าจนทำให้ราคาพุ่งแรงบน eBay ในปัจจุบัน 

ที่มา – Gizmodo, CNN

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ซอสพริกศรีราชาราคาพุ่งบน eBay ขวดละกว่า 2,000 บาท หลังพริกขาดแคลนหนัก ผลิตไม่ทันขาย first appeared on Brand Inside.

Pages