Elon Musk ชี้แจงในการไต่สวนคดี Tesla ที่ระบุว่าเขาวางตัวผู้สืบทอดตำแหน่งซีอีโอ Tesla ไว้แล้ว ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเป็นซีอีโอ Twitter และต้องการหาคนมารับตำแหน่งนี้ในระยะยาวเช่นกัน
Musk บอกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่กับ Twitter ตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงหลังซื้อกิจการ เพื่อปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เมื่อเสร็จแล้ว เขาจะลดเวลาที่ใช้กับ Twitter ลง และหาคนอื่นมาบริหารแทน
ก่อนหน้านี้ Musk เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่สนใจตำแหน่งซีอีโอ แม้ตอนนี้นั่งเป็นซีอีโออยู่ 3 บริษัทก็ตาม
ที่มา - Business Insider
CNA สัมภาษณ์พนักงาน Twitter ทั้งอดีตพนักงานและพนักงานปัจจุบันรวม 10 คนถึงเหตุการณ์ที่ Elon Musk ปลดพนักงานออกครั้งใหญ่หลังจากขึ้นเป็นซีอีโอ
พนักงานที่ถูกปลดเผยว่าการปลดพนักงานของ Twitter ไม่เหมือนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่รายอื่น ๆ คือ ไม่มีการแจ้งอย่างชัดเจน ไม่มีการสื่อสารกันภายในองค์กร ไม่เหมือนการทำงานใน Twitter ที่ปกติให้คุณค่ากับความโปร่งใสและความเห็นใจกัน
Jane Manchun Wong นักวิจัยและพัฒนาแอปพลิเคชันโพสต์ลง Twitter หลังสังเกตเห็นโค้ดที่บ่งบอกว่า Twitter กำลังพัฒนาระบบเข้ารหัสจากปลายทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) ในฟีเจอร์ส่งข้อความ Direct Message ของ Twitter บน Android ซึ่งต่อมา Elon Musk ได้ตอบกลับทวิตของ Wong ด้วยอิโมจิขยิบตาซึ่งก็ช่วยยืนยันว่ากำลังพัฒนาระบบอยู่จริง
ก่อนหน้านี้ ก่อนที่ Musk จะเสนอดีลซื้อกิจการ Twitter ก็ได้พูดไว้ว่า Direct Message ของ Twitter ควรจะมีระบบ end-to-end แบบเดียวกับแอปแชท Signal เพื่อป้องกันการแฮ็กข้อความ
จริง ๆ แล้ว Twitter เคยทดลองการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในปี 2018 แต่ฟีเจอร์นี้ก็ไม่ได้เปิดให้ใช้โดยทั่วไป
สำหรับข่าว Twitter รายวันประจำวันนี้ เป็นข้อมูลว่าซีอีโอ Elon Musk ได้ส่งอีเมลหาพนักงานทั้งหมดช่วงประมาณเที่ยงคืน โดยบอกว่าจากนี้วัฒนธรรมองค์กรคือการทำงานหนักดุเดือด (extremely hardcore) หากใครไม่สามารถรับได้ก็ให้ลาออกไป
รายละเอียดอีเมลฉบับเต็มที่ The Verge ได้รับมามีดังนี้
จากนี้ไปเพื่อสร้าง Twitter 2.0 ให้ประสบความสำเร็จ ท่ามกลางการแข่งขันที่มากขึ้นในโลก เราต้องมีการทำงานที่หนักดุเดือด นั่นแปลว่าจะมีการทำงานต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมงภายใต้ความกดดันสูง ซึ่งต้องการความสามารถในการทำงานอย่างมาก
Platformer รายงานพนักงานของ Twitter หลายรายถูกไล่ออกเพราะวิจารณ์หรือล้อเลียน Elon Musk ทั้งผ่านทาง Slack ของบริษัทและทั้งที่โต้แย้งและถกเถียงกับ Musk บน Twitter
ตัวอย่างเช่น Nick Morgan อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์หัวหน้าทีม Twitter Service โพสต์รูปภาพที่แคปจากอีเมลที่บริษัทส่งมาตอนกลางคืนว่าเขาถูกปลดออกโดยมีผลทันที เพราะมีพฤติกรรมที่ละเมิดนโยบายบริษัท เขาโพสต์ใน Twitter ว่าเขาเชื่อว่าตัวเองถูกไล่ออกเพราะไม่ได้แสดงความจงรักภักดีเต็มร้อยใน Slack (“not showing 100% loyalty in slack.”)
ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีข่าวว่า Omnicom เอเยนซี่โฆษณารายใหญ่ของโลก แนะนำลูกค้าให้หยุดลงโฆษณา Twitter ชั่วคราว
คราวนี้มีข่าวจากเว็บสายโฆษณาดิจิทัล Digiday อ้างว่าเห็นเอกสารของเอเยนซียักษ์ใหญ่อีกรายคือ GroupM ที่ออกคำแนะนำแบบเดียวกันให้ลูกค้า ด้วยเหตุผลเดียวกันคือการลาออกของผู้บริหารระดับสูงจำนวนมาก, ปัญหาที่เกิดจาก Twitter Blue ไม่มีการยืนยันตัวตนทำให้แบรนด์เสี่ยงเสียหาย และโอกาสที่ Twitter ไม่สามารถทำตามข้อตกลงที่คุยไว้กับ FTC ได้เพราะคนหายไปหมดแล้ว
Elon Musk เผยว่าได้ไล่วิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า Eric Frohnhoefer ออก โดยเหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันอาทิตย์จากที่ Musk ได้ทวิตขอโทษผู้ใช้งาน Twitter เหตุแอปพลิเคชันทำงานช้าในหลายประเทศเนื่องจากปัญหาเรื่องการดึงข้อมูลการให้บริการ และ Frohnhoefer ก็ได้โควททวิตของ Musk ไปว่าในฐานะที่ตัวเองดูแล Twitter บน Android มาราว 6 ปี สิ่งที่ Musk พูดเป็นสิ่งที่ผิด จนทำให้เกิดการโต้แย้งกันไปมาหลายทวิตและหลายชั่วโมง
ในเธรดที่ถกเถียงกัน Musk ยังตั้งคำถามว่า Twitter บน Android ทำงานช้ามาก แล้ว Frohnhoefer ได้พยายามแก้ไขอะไรบ้าง ส่วนทางฝั่ง Frohnhoefer เมื่อมีผู้ถามว่าทำไมไม่ไปคุยกันส่วนตัว เขากลับตอบว่า Musk ต่างหากที่ควรจะตั้งคำถามกับเขาส่วนตัวโดยใช้ Slack หรือ Email
Elon Musk สั่งให้พนักงานยกเลิกฟีเจอร์แสดงอุปกรณ์ที่ใช้เล่น Twitter ซึ่งแสดงข้อความอย่าง “Twitter for iPhone” “Twitter for Android” เพราะบอกว่าเป็นการใช้พื้นที่หน้าจออย่างสิ้นเปลืองและไม่รู้ว่าจะมีทำไมตั้งแต่แรก นอกจากนี้ Musk ยังให้พนักงานยกเลิกฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ไม่ได้สำคัญและจำเป็นอะไร (microservices)
การยกเลิกฟีเจอร์นี้อาจจะดีต่อบริษัทสมาร์ทโฟน Android ทั้งหลายที่มักจะถูกจับได้ว่าพนักงานใช้ iPhone เพื่อโพสต์โปรโมทแบรนด์ลงใน Twitter อย่างกรณี Huawei ที่ทวิตอวยพรปีใหม่เมื่อสิ้นปี 2018 แต่ดันใช้ iPhone ทวิตจนพนักงานถูกลดขั้นเพราะถือว่าสร้างความเสียหายให้กับบริษัท
CNBC อ้างแหล่งข่าวระบุว่า บริษัท SpaceX ของ Elon Musk ได้ซื้อแพ็คเกจเพื่อทำแคมเปญโฆษณาขนาดใหญ่บน Twitter ที่ Musk ก็เป็นซีอีโอด้วยเช่นกัน เพื่อโฆษณาบริการอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ในประเทศออสเตรเลียและสเปน โดยได้ซื้อไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
แหล่งข่าวระบุว่าแคมเปญโฆษณานี้ถูกเรียกว่า Twitter “takeover” เพราะหมายความว่าบริษัทจะต้องจ่ายเงินซื้อพื้นที่โฆษณากว่า 250,000 เหรียญ เพื่อให้แสดงโฆษณาบนไทม์ไลน์หลักของ Twitter เต็มวัน เอกสารภายในบริษัท SpaceX ที่ CNBC ได้มายังระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้ใช้เงินกว่า 160,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับแคมเปญนี้แล้ว
Business Insider ได้พูดคุยกับผู้ใช้บัญชี Jesus Christ (@jesus) ที่สวมบทบาทเป็นพระเยซูและโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ เจ้าของบัญชีเปิดเผยว่า ได้เปิดบัญชีนี้มาตั้งแต่ปี 2006 และพยายามจะยืนยันตัวตนบัญชีมานาน จนมาถึงช่วงที่ Elon Musk เข้าเป็นซีอีโอของ Twitter และเปลี่ยนระบบบริการ Twitter Blue เขาจึงได้สมัครบริการและได้รับเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าในที่สุด
เขาเผยว่า เหตุผลที่สมัคร Twitter Blue ก็เพื่อแสดงว่าระบบใหม่ไม่ได้มีความสมเหตุสมผลเลย และไม่ได้ยืนยันตัวตนผู้ใช้ได้จริง ๆ เพราะแน่นอนว่าเขาต้องไม่ใช่พระเยซูตัวจริงอยู่แล้ว
มีรายงานว่า Twitter ได้ปลดพนักงานรอบใหม่เพิ่มเติมในวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยกระทบพนักงานสัญญาจ้าง (Contractor) ประมาณ 4,400-5,500 คน โดยไม่มีการแจ้งพนักงานกลุ่มนี้ล่วงหน้า พวกเขาพบว่าไม่สามารถใช้งานอีเมลหรือล็อกอินเข้าระบบภายในได้
พนักงานกลุ่มสัญญาจ้างที่กระทบมีทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มดูแลตรวจสอบเนื้อหาและวิศวกรรม แต่ก็มีฝ่ายอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งการปลดพนักงานรอบนี้เป็นคนละกลุ่มกับพนักงานประจำ 50% ที่ปลดออกไปก่อนหน้า
เว็บไซต์ข่าว Platformer ให้ข้อมูลเบื้องหลังการซื้อกิจการ Twitter ของ Elon Musk ที่ปลดพนักงานเกินครึ่งบริษัท ว่าไม่มีการวางแผนใดๆ ทำให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรเกิดคือ ไม่มีใครใช้งานบัญชี @Twitter บัญชีอย่างเป็นทางการของบริษัทได้
บัญชี @Twitter โพสต์ข้อความครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2022 แถมเป็นการโพสต์มีมตลกซะด้วย หลังจากนั้นเมื่อทีมบริหารของ Elon เข้ามาดูแลต่อ ก็ไม่มีใครเข้าถึงบัญชีนี้เพื่อโพสต์สื่อสารกับชาวโลกในฐานะบริษัทเองได้เลย ตามข่าวบอกว่าทีมของ Elon เข้าถึงบัญชีได้แล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ @Twitter ก็ยังไม่มีการโพสต์ใดๆ เพิ่มเติม
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Elon Musk ใช้เวลาราว 20 นาทีเพื่อพูดคุยสื่อสารกับพนักงานของ Twitter ทั้งหมดโดยตรงเป็นครั้งแรก โดยเนื้อหาในการพูดครั้งนี้มีทั้งเรื่องสถานะของบริษัทที่ต้องการเงินอย่างมากเพื่อไม่ให้บริษัทเข้าไปสู่จุดเสี่ยงที่จะล้มละลาย รวมถึงไอเดียการเปลี่ยน Twitter ให้เป็นธนาคารออนไลน์
ไม่กี่วันมานี้เราเห็นข่าวสารพัดการเปลี่ยนแปลงของ Twitter ที่คิดปุ๊บทำปั๊บ หลายอย่างเป็นข่าวที่ชัดเจนว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงและหาเงินเข้าบริษัทให้ได้มากขึ้น เช่น การปลดพนักงานจำนวนมาก, การสั่งทีมวิศวกรให้ลดค่าใช้จ่าย infrastructure ให้ได้ปีละ 1 พันล้านดอลลาร์, การปรับราคา Twitter Blue (แต่กลายเป็นว่าสูญเสียรายได้โฆษณาแล้วตอนนี้ดันขาดทุนกว่าเดิม), การออกไอเดียเก็บเงินผู้ใช้งานทุกคน ซึ่ง Musk ระบุว่าที่ต้องทำเช่นนี้เพราะรายได้ Twitter จากค่าโฆษณาลดลงไปมาก
เว็บไซต์ The Verge อ้างว่าได้รับเอกสารภายในของ Omnicom Media Group เอเยนซี่โฆษณารายใหญ่ของโลก แนะนำให้ลูกค้าหยุดลงโฆษณาใน Twitter ชั่วคราว เพราะมีปัญหาเรื่องความเสี่ยงที่แบรนด์จะมีภาพลักษณ์เสียหาย (Brand Safety)
ในบันทึกระบุถึงการปลดทีมดูแลด้าน trust and safety, การลาออกของผู้บริหารระดับสูงจำนวนมาก และบัญชีปลอมที่ได้ Verified Account สร้างความสับสนในวงกว้าง ทำให้เกิดความเสี่ยงว่าแบรนด์จะเสียหาย
Omnicom บอกให้แบรนด์รอดูว่า Twitter จะสามารถนำความปลอดภัยของแบรนด์กลับมาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้น่าจะทำได้ยากเพราะแทบไม่มีคนดูแลด้านนี้เหลือแล้ว
หนึ่งในปัญหาล่าสุดของโลก Twitter ตอนนี้คือการเปิดบริการ Twitter Blue ในราคา 8 ดอลลาร์ที่ทำให้ใครก็สามารถโชว์เครื่องหมายถูกสีฟ้าตามหลังชื่อบัญชีของตัวเองได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องรอขั้นตอนยืนยันตัวตนแบบแต่ก่อนให้เสียเวลา ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องให้คนสวมรอยเป็นคนอื่นได้เนียนๆ ง่ายขึ้นด้วยการจ่ายเงิน และยากที่ผู้ใช้ทั่วไปจะแยกออกว่าบัญชีที่มีเครื่องหมายนี้คือคนดังตัวจริง หรือเป็นบัญชีสำนักข่าว, บัญชีหน่วยงานรัฐ ของจริงหรือไม่
Tumblr ประกาศขายเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าเพื่อแสดงตัวว่าเป็น "คนสำคัญ" (Important Blue Internet Checkmarks) โดยระบุว่าใช้ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากการแปะหลังชื่อตัวเองในระบบ Tumblr ให้ดูว่าสำคัญ ในราคา 7.99 ดอลลาร์ (แถมบอกด้วยว่าราคาถูกกว่า "ที่อื่น" นะ)
ถ้าแปะป้ายในโลกออนไลน์แล้วยังไม่พอใจ อยากเป็นคนสำคัญในโลกจริงๆ ด้วย Tumblr ยังขายสติ๊กเกอร์ติ๊กถูกในราคา 3 ดอลลาร์ และเข็มกลัดติ๊กถูกในราคา 6 ดอลลาร์ด้วย
ผู้บริหารระดับสูงของ Twitter ลาออกกันชุดใหญ่เมื่อคืนนี้ เท่าที่มีข่าวรายงานผ่านสื่อมีอย่างน้อย 5 คน ได้แก่
Bloomberg ได้รับอีเมลที่ Elon Musk สื่อสารไปยังพนักงาน Twitter ทุกคนอย่างเป็นทางการอีเมลแรก โดยบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นเรื่องยากสำหรับ Twitter ในเวลานี้ เนื่องจากรายได้หลักของ Twitter มาจากโฆษณา
เขายังพูดถึงการเข้าทำงานของพนักงาน โดยบอกว่าพนักงานทั้งหมดจะเข้าทำงานในสำนักงาน อย่างน้อย 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากพนักงานต้องการทำงานแบบรีโมทจะต้องได้รับการอนุมัติจากเขาเป็นกรณีไป เขาบอกว่าทางข้างหน้าของ Twitter ต้องการการทำงานที่หนักจึงจะผ่านไปได้
สุดท้ายเขาบอกว่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สิ่งที่ Twitter จะให้ความสำคัญคือการตรวจจับบัญชีบอตและสแปมแบบ Verified
มีบัญชีที่ได้รับการยืนยันตัวตนปลอมเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หลังจากที่ Elon Musk ได้ปรับบริการ Twitter Blue ใหม่ทำให้ผู้ใช้สามารถสมัครสมาชิกได้ในราคา 8 ดอลลาร์ต่อเดือนและจะได้รับการยืนยันตัวตนเป็นเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าหลังชื่อบัญชี จากเดิมที่จะมีแค่เจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักข่าวและผู้มีชื่อเสียงเท่านั้นที่จะมีเครื่องหมายยืนยันตัวตน
ล่าสุดบัญชีที่ใช้ Twitter Blue ปลอมเป็นนักบาสเก็ตบอล LeBron James และทวิตว่าได้ออกจากทีม Los Angeles Lakers เพื่อย้ายไปอยู่ทีมอื่นแล้ว นักบาสคนอื่น ๆ ก็มีบัญชีปลอมเช่นกันอย่าง Aroldis Chapman และ Connor McDavid
เมื่อวานนี้ Twitter เริ่มแสดงป้ายคำว่า "Official" อยู่ใต้ชื่อผู้ใช้ (username) เพิ่มเติมจากเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าของเดิม (เท่ากับว่ามีติ๊กถูกสองอันในหน้า Profile)
อย่างไรก็ตาม ป้าย Official อันใหม่มีตัวตนอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนถูกนำออกไป และ Elon Musk ได้ตอบข้อความของ @MKBHD ยูทูบเบอร์คนดังว่า "เขาเป็นคนฆ่ามันเอง" (I just killed it)
Musk ยังโพสต์ข้อความอธิบายเพิ่มเติมว่าเราจะได้เห็น Twitter ลองทำอะไรแปลกๆ อีกหลายอย่าง เพื่อดูว่าอะไรเวิร์คและไม่เวิร์คในระยะยาว (คนจริงเทสต์บนโปรดักชั่น)
อัพเดตข่าว Twitter ประจำวัน เว็บไซต์ Platformer รายงานข้อมูลโดยอ้างแหล่งข่าวภายในบริษัทว่า Elon Musk มีไอเดีย "เก็บเงิน" ผู้ใช้งาน Twitter ทั้งหมด 100%
ข้อมูลของ Platformer บอกว่าแพ็กเกจ Twitter Blue ของเดิมมียอดสมาชิกเพียง 100,000 รายเท่านั้น ในขณะที่แพ็กเกจ Blue แบบใหม่ของ Musk แพงขึ้นกว่าเดิม 37.5% และผู้ใช้ทั่วไปยังไม่เห็นประโยชน์จับต้องได้ว่าจะจ่ายเงินไปทำไม
The Verge ได้รับเอกสารภายในของ Twitter สำหรับฝ่ายขายเพื่อนำไปเสนอต่อผู้ลงโฆษณาระบุว่า แพลตฟอร์มมีจำนวนผู้ใช้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลัง Elon Musk เข้าเป็นซีอีโอ รวมทั้งจำนวนผู้ใช้ที่สร้างรายได้ (monetizable daily user - mDAU) ก็เพิ่มขึ้นถึง 20% (ไม่ระบุว่าเทียบกับช่วงเวลาใด) หรือ 15 ล้านราย ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดใหญ่ของ Twitter ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้ใช้มากขึ้นแต่ผู้ซื้อโฆษณากลับลดลง ก่อนหน้านี้ Musk เผยว่ารายได้ของ Twitter ลดลงอย่างมากเพราะ “กลุ่มนักเคลื่อนไหวได้กดดันผู้ลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม” หลังจากมีรายงานว่าโพสต์เหยียดเชื้อชาติและแสดงความเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Twitter ปฏิเสธหลังจากนั้นว่าเป็นแค่การปั่น (trolling campaign) เท่านั้น
Elon Musk เคยพูดเอาไว้ว่าการที่ Twitter แบน Donald Trump เป็นเรื่องผิดพลาด และอยากแก้ไขเรื่องนี้ หลังจากเขาเป็นเจ้าของ Twitter เรียบร้อย สิ่งแรกที่ทำก็ปลดผู้บริหารที่รับผิดชอบเรื่องการแบน Trump ทันที ทำให้เกิดกระแสเก็งกันว่าเขาจะปลดแบนให้ Trump ในเร็วๆ นี้
แต่สิ่งที่ Musk ประกาศว่าจะทำคือตั้งคณะกรรมการพิจารณาเนื้อหามาตัดสินใจเรื่องการแบน (ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้ง แค่ประกาศว่าจะตั้ง) โดยเขายังยืนยันว่านโยบายเรื่องการควบคุมเนื้อหาของ Twitter ยังใช้ของเดิมไปก่อน
Elon Musk ประกาศเปลี่ยนนโยบาย Twitter เรื่องการระงับบัญชีว่าบัญชีใดก็ตามที่ปลอมเป็นบุคคลอื่นโดยไม่มีการชี้แจงไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงแค่การล้อเลียนจะถูกระงับบัญชีอย่างถาวร และหากบัญชีที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้วมีการเปลี่ยนชื่อ Twitter จะระงับการแสดงเครื่องหมายถูก (verified checkmark)ชั่วคราว
เหตุการณ์เกิดขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้ Musk เผยว่าจะให้ผู้ใช้สามารถใช้ระบบยืนยันตัวตน Twitter Blue ในราคา 8 เหรียญสหรัฐฯ จึงมีผู้ที่มีบัญชียืนยันตัวตนอยู่แล้วรวมถึงนักแสดงตลก Kathy Griffin และ Sarah Silverman เปลี่ยนชื่อบัญชีเป็น Elon Musk เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบบยืนยันตัวตนไม่ได้ตรวจสอบจริง ๆ ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชี ทำให้ทั้ง 2 บัญชีนี้ถูกล็อคและระงับชั่วคราว
Bloomberg รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าพนักงานของ Twitter ที่ถูกปลดออกจำนวนหนึ่ง (dozens ก็น่าจะหลักหลายสิบคน) ถูกเรียกตัวกลับไปทำงานใหม่อีกครั้ง โดยบริษัทให้เหตุผลว่า "มีความผิดพลาดในการปลดคน" (mistake)
พนักงานบางส่วนถูกปลดไปแล้ว แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่แผนงานพัฒนาฟีเจอร์ของ Elon Musk ทำให้หัวหน้างานต้องเรียกตัวกลับ เพราะพนักงานกลุ่มนี้มีประสบการณ์หรือทักษะที่จำเป็นต่อฟีเจอร์เหล่านี้
ข้อมูลก่อนหน้านี้จากอีเมลภายใน Twitter ระบุว่าบริษัทปลดพนักงานไปราว 3,700 คน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งหมด