Tags:
Forums: 

ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ แนะองค์กรปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางไอที
รองรับแอพพลิชั่นที่หลากหลายอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย New Flash Portfolio: VSP F Series

ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ชูเทคโนโลยี All-flash และ Hybrid รวมกับซอฟต์แวร์ Automation ตอบสนองความต้องการธุรกิจ ชี้ความคุ้มค่าในการลงทุนช่วยองค์กรก้าวไปใช้งาน All-Flash ได้อย่างไร้ข้อจำกัด พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต
    ดร. มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด หรือ HDS เปิดเผยว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจได้ปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิตอล สอดคล้องกับความต้องการที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแบบทันท่วงทีที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นการผลักดันให้แผนกไอทีมุ่งเน้นที่จะปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีให้ทันสมัย ส่งผลให้บริษัทจำนวนมากทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่เริ่มหันไปใช้เทคโนโลยีระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Flash-based เพื่อช่วยให้ระบบไอทีตอบสนองได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเมื่อต้องการที่จะใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีแบบ All-flash หลายบริษัทจะเจอปัญหาที่ว่าจะย้ายมาใช้ flash ได้อย่างไรโดยที่จะไม่ให้งบประมาณทางด้านไอทีสูงจนเกินไป และเพื่อช่วยให้ลูกค้าแก้ปัญหานี้ ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ จึงประกาศแนวทางการแก้ปัญหาด้วย Hitachi Flash Portfolio ใหม่ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานสูง พร้อมให้บริการในรูปแบบ Automation มีความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งจะคุ้มราคามากกว่าระบบ disk-based technology แบบเก่า
    Hitachi Flash Portfolio จะประกอบด้วย ระบบจัดเก็บข้อมูลรุ่นใหม่แบบ All-flash และ Hybrid flash arrays รวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและขยายความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยระบบจัดเก็บข้อมูล All-flash Hitachi Virtual Storage Platform (VSP) F Series นี้จะเป็นการเพิ่มเติมความสามารถของ Hitachi VSP G series, โดยถือเป็น next-generation Flash Module ของ ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ที่มีเทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลแบบ  inline data compression (FMD DC2) และมีการเพิ่มความสามารถในเครื่องมือบริหารจัดการ Hitachi Automation Director และ Hitachi Data Center Analytics เพื่อเป็นการลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มประสิทธิผลให้กับทุกๆความจุของระบบจัดเก็บข้อมูล
    ฮิตาชิ ฯ ทุ่มลงทุนกับเทคโนโลยี next-generation flash เป็นเวลาหลายปี โดยจะเห็นได้จากกสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ Flash มากกว่า 350 ชิ้น ซึ่งมากกว่ารายอื่นๆ ในตลาดทั้งหมด นอกจากนี้ ฮิตาชิ ฯ ได้ตอบสนองความต้องการการใช้ Flash เทคโนโลยีของลูกค้าตั้งแต่ปี 2008 และยังเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตสินค้าและวัตถุดิบของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Enterprise Flash โดยได้มีการจัดส่งหน่วยความจุแบบ Flash ออกไปแล้วมากกว่า 250PB เพื่อสนับสนุนการใช้งานเทคโนโลยี Flash ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจที่สำคัญๆ

Hitachi Virtual Storage Platform F Series
การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ของ Hitachi VSP Family จะประกอบด้วย VSP F400, F600 และ F800 โดยเป็นการรวมระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ All-flash เข้ากับซอฟต์แวร์อัตโนมัติ ซึ่งได้รับการการพิสูจน์ในประสิทธิภาพการทำงาน และความยืดหยุ่นมาแล้วในระบบจัดเก็บข้อมูล Hitachi VSP โดย VSP F series นั้น สามารถส่งมอบประสิทธิภาพที่ยากจะหาใครเปรียบเทียบได้ถึง 1.4ล้าน IOPS ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการในด้านแอพพลิเคชั่น รวมไปถึง มีระบบบีบอัดข้อมูลใหม่แบบ Inline ที่เรียกว่า FMD DC2 (flash modules) เพื่อเพิ่มประสิทธิผลของความจุข้อมูล โดยยังสามารถรักษาเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูล ให้น้อยกว่า 1 ms ได้ ถึงแม้จะเป็นการขยายความจุที่สูงสุดแล้วก็ตาม
VSP F Series เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ All-flash ที่ยืดหยุ่นที่สุดในกลุ่มระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเดียวกัน และให้การรับประกันความพร้อมใช้งานของข้อมูลถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ VSP F series นั้นจะมีระบบบริหารการทำสำเนาข้อมูลเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลอย่างสมบูรณ์แบบที่ง่ายต่อการใช้งาน สามารถเลือกการทำสำเนาข้อมูลได้ทั้งแบบ Synchronous และ Asynchronous นอกจากนี้ VSP F series สามารถขยายความจุได้ตั้งแต่ขนาด 12.8TB ถึง 448TB และ VSP F Series ยังให้บริการโซลูชั่นทางด้าน All-Flash ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆของ Hitachi ได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้ซอร์ฟแวร์การบริหารจัดการเดียวกัน
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น Hitachi VSP รุ่น G series ก็ยังได้รับการปรับปรุงจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี FMD DC2 เพื่อระยะเวลาการตอบสนองที่ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิผลของความจุ และมีผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่า
ระบบ Flash Module Drive รุ่นที่สอง ที่มาพร้อมกับระบบบีบอัดข้อมูล (FMD DC2)
เรียกได้ว่าหน่วยจัดเก็บข้อมูลหรือ Disk แบบ FMD DC2 นั้น เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของ VSP F Series โดยที่ FMD DC2 ได้รับสิทธิบัตรในการออกแบบเพื่อที่จะยกระดับในด้านของความเร็ว สถาปัตยกรรมแบบ Parallelized ช่วยให้สามารถส่งมอบ Write IOPS ได้ถึง 5 เท่า และ Read IOPS ได้ 3 เท่า เมื่อเทียบกับหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบบ SSDs นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Multi-queuing ที่สามารถจัดลำดับความสำคัญของ IO ให้เหนือกว่าการปฏิบัติงานพื้นฐาน (Background Operation) เพื่อลดระยะเวลาที่ใช้ในการส่งข้อมูล ถึงแม้จะอยู่ในขณะที่มีภาระงานที่สูงอยู่ก็ตาม ซึ่งหน่วยจัดเก็บข้อมูล FMD DC2 ในขณะนี้ มีความจุได้ถึง 6.4TB และมาพร้อมกับระบบบีบอัดข้อมูลแบบ inline compression
ยกระดับการทำงานด้วยซอร์ฟแวร์ Hitachi Automation Director
Hitachi Automation Director ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถ Provision ระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Flash ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถสั่งงานผ่าน Self Service Portal ทำให้ส่งมอบงานแอปพลิเคชั่นและการจัดสรรทรัพยากร ทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึง สามารถสร้าง Service templates ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อตอบสนองการทำงานแบบอัตโนมัติ

Hitachi Data Center Analytics ใหม่
เพื่อลดค่าใช้จ่าย ความซับซ้อน และเพิ่มความเร็วในการใช้งานแอปพลิเคชั่น Hitachi Data Center Analytics เป็นซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากที่สุดในอุตสาหกรรมไอที ลูกค้าสามารถใช้ซอฟต์แวร์นี้เป็นเครื่องมือที่จะวางกลยุทธ์การลงทุนเพื่อการใช้งาน Flash ผ่านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่หลากหลาย ด้วยการตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการทำงานอย่างละเอียดในระดับต่างๆ ซึ่งตัว Hitachi Data Center Analytics จะควบคุมดูแลอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลของทั้งฮิตาชิ และของระบบอื่นๆเพื่อที่จะได้บ่งชี้และแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวม รวมถึงทำให้การวางแผนด้านความจุข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ในธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มักจะมีความต้องการที่จะปรับปรุงเวลาในการตอบสนองของแอปพลิเคชั่นอยู่เสมอ รวมไปถึงความต้องการลดค่าใช้จ่ายของศูนย์ข้อมูล และเมื่อจำนวนลูกค้าที่ใช้งานแอปพลิเคชั่นเพิ่มมากขึ้น ความท้าทายในประสิทธิภาพและความพร้อมใช้งานของตัวแอปพลิเคชั่นก็เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งประสบการณ์ของเราในด้านการสร้างความเปลี่ยนแปลงใน ด้านไอที สามารถยืนยันได้ว่าเทคโนโลยีระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Flash ภายใต้แนวคิด Software Defined Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ จะทำให้ลูกค้าได้รับความคล่องตัว มีระบบการทำแบบ Automation ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงาน และความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานและธุรกิจได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต” ดร. มารุต กล่าวทิ้งท้าย

Get latest news from Blognone