ในอนาคตข้างหน้า เพลงแบบเสียง 5.1 มีโอกาสได้รับความนิยมแทนที่เพลงแบบเสียง 2.1 ไหมครับ เพราะผมคิดว่า เพลงแบบเสียง 2.1 เริ่มตันๆ ยังไงก็ไม่รู้ เพราะฟังแล้ว ให้อารมณ์อยู่ในห้องอัด ผมจึงคิดว่า ถ้ามีเพลงแบบเสียง 5.1 ออกมาแล้ว คงให้อารมณ์อยู่ในสถานการณ์จริงครับ
ไม่น่านะครับ อย่างแรกคือมันเกินจำเป็นไปหน่อย คนที่ตั้งลำโพง 5.1 อย่างถูกต้องมีไม่มาก คนใช้หูฟังนี่แทบไม่ต้องพูดถึงเลย อีกอย่างคือเวลาเราฟังเพลง แม้แต่คอนเสิร์ตก็ตาม โดยมากเสียงจะถูกแยกแค่ซ้ายกับขวา ไม่จำเป็นต้องจำแนกเสียงหน้า-หลังนัก (เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่กลางวงดนตรี ประเภทกลองอยู่หลังซ้าย เบสอยู่หลังขวา นักร้องยืนอยู่หน้า กีต้าร์เยื้องขวาอีก)
ถ้า 5.1 หมายถึงเสียง 5 ทิศทางน่ะนะครับ ถ้าไม่ใช่ผมหน้าแตกสนิทแน่ - -" ไม่ค่อยเชี่ยวเรื่องนี้ด้วย
คำตอบอาจอยู่ในคำถามแล้วก็ได้ครับ
ปกติคนฟังเพลง สถานการณ์จริง ยืนฟังไม่ใช่กลางวงแน่ๆ
ไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นเลย ครับ 2.1 ยังพัฒนาได้อีก มิติหรือความสมจริงของเสียงขึ้นกับ bitrate มากกว่า
แม้แต่ตลาดเพลงออนไลน์ (Mp3) ยังสามารถพัฒนา ไปขายเพลงระดับ Studio Master (24 bit) หรือแบบ HiFi (36bit) ได้อีก
(แบบที่ตลาด VCD--> DVD --> BD--> 4Kmaster)
แม้แต่การ Rip CD เพลงฟังแบบ lossless (16bit) บางครั้งเสียงยังแพ้เพลงที่ดาวน์โหลดจาก iTuneStore เพราะทางต้นสังกัดเพลงบีบอัดจากไฟล์ Master โดยตรง
มิติของเสียงความสมจริงต่างๆขึ้นบิทไฟล์ + player + อุปกรณ์ที่ใช้ฟัง มากกว่าครับ
จำนวน bitrate ที่สูงจะเก็บรายละเอียดเสียงสูงได้ดีขึ้นเป็นธรรมดา แต่มิติหรือความสมจริง อยู่ที่ลำโพงและชนิดแอมป์ครับ (Class) พวกนี้เกี่ยวข้องกับ dynamic range และช่วงความถี่ตอบสนองของลำโพง ที่เขาออกแบบมาครับ
จริงเหรอครับ เคยเทียบแบบ blind test ไหมครับ
bitrate ในทฤษฎีสุ่มมันเกี่ยวข้องกับแบนด์วิธครับ ไม่เกี่ยวกับมิติเสียงอะไรหรอกครับ หลักๆมันอยู่ที่ลำโพงและแอมป์จริงๆ
ผมว่าลำโพงมันไม่ใช่ของที่ consumer เค้าจะเล่นกันหรอกครับ ค่าปลั้กก็ล่อไปเจ็ดพันแล้ว กรองไฟเป็นหมื่น ลำโพงอีกครึ่งแสน แอมป์อีกหกหมื่น
แล้วในเมื่อลำโพงไม่ใช่ของที่ consumer จะเล่นกันแต่เป็นแค่กลุ่ม audio mania แค่ไม่กี่คน
มันจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนตลาด 2.1 --> 5.1 ได้ยังไงครับ
ขายของราคาสิบบาทให้คนแสนคน รวยกว่าขายของราคาแสนบาทให้คนแค่สิบกว่าคน
เรื่องมิติเสียงเกี่ยวกับบิทเรทหรือไม่ ผมว่าคุณคงหา AK100 มาฟังได้ไม่ยากอยู่แล้ว
ลองเทียบเพลงที่แถมมาในเครื่อง กับเพลง cd rip ได้เลยครับ
แค่เพิ่มเงินซื้อเพลง 24bit แค่ไม่กี่ร้อยบาท ถูกกว่าไปซื้อแอมป์แล้วนั่งเจ่าอยู่ในห้องตั้งเยอะ
จำนวน bit มากก็แค่การเก็บรายละเอียดได้กว้าง (wide dynamic range) และความเนียน (ลด quantization error) ทางแอมปลิจูดของสัญญาณ ส่วน bitrate ก็เกี่ยวกับช่วงกว้างของความถี่ (band width) ก็เท่านั้นเอง มันแค่แสดงให้เห็นถึงความใกล้เคียงหรือความเหมือนจริงกับแหล่งกำเนิดเสียงต้นทางเท่านั้น
แต่ประเด็นที่ผมอยากจะนำเสนอไม่ได้เกี่ยวกับตลาดว่าใครจะมาแทนใคร แต่เกี่ยวกับความเข้าใจที่ผิดเรื่องระบบเสียงหลายแชนแนลมากกว่า
ส่วนประเด็นเรื่องลำโพงหรือหูฟัง มันก็เป็นอุปกรณ์ที่สร้างเสียงจากการสั่นสะเทือนของไดอะแฟรมที่มีการจูนความถี่ธรรมชาติ ค่าการหน่วง หรือช่วงการตอบสนองความถี่ที่เหมาะกับลำโพงหรือหููฟังแต่ละตัว ดังนั้น คำพูดพรรณาของนักฟังทั้งหลาย เรืองความอิ่ม ความหวาน ความกว้าง ความชัด ความฟุ้ง ความมีมิติ ความพร่าของเสียงที่ได้ยินจึงสัมพันธ์โดยตรงกับลำโพงหรือหูฟัง รวมถึงคุณภาพของแหล่งสัญญาณ และบางคนบอกไปถึง class ของ amplifier เช่น class A ให้เสียงที่อิ่มกว่า ฉ่ำหวานกว่า โดยเฉพาะถ้าใช้วงจรที่ใช้หลอดสุญญากาศ ซึ่งผมไม่ได้เน้นว่าเครื่องขยายเสียงจะต้องแพง ต้องเป็นอุปกรณ์แยกชุด ลำโพงต้องแพง แอมป์จะต้องเป็นแอมป์ตัวใหญ่ หรือราคาแพง แต่จะเป็นวงจรขยายในเครื่องเล่นขนาดเล็กก็ยังได้เลย
ต่อให้คุณมีเครื่องเสียงหรือแหล่งกำเนิดเสียงสมจริง จะกี่บิตก็แล้วแต่ หรือเสียงจะดีขนาดไหน แต่ใช้หูฟังหรือลำโพงปกติก็ไม่สามารถถ่ายทอดรายละเอียดได้ดีหรอกครับ
คือพฤติกรรมการซื้อคนเค้าซื้อเป็นชุดๆ
user ปรกติ : อาจจะซื้อ Player ราคา 5000 + หูฟังราคา 3200
user กลางขึ้นมาหน่อย : อาจจะเล่น Player 12,000 + หูฟังราคา 12,000 , amp 5000
user hiend : DX100 25,000 + TH900 50,000 + Lisa 25,000
แต่สิ่งที่ทุกคนแชร์กันคือแค่ไฟล์ bit สูงขึ้นเสียงก็สมจริงขึ้น ไม่มีแบ่งแยกกำลังซื้อ
ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยเท่ากัน เสียงสมจริงขึ้นเหมือนกัน ไม่เกี่ยง channel
ครับ เค้าพูดถึง 5.1 กับ 2.1 กันตั้งแต่ต้นนี่ครับ ผมแย้งเรื่องความเข้าใจผิดของระบบเสียง และมิติที่คุณโยงกับบิต และ ปัจจุบันบิตมากกว่า 16 บิต bitrate 44 kHz (kbit/sec) ถือเป็น HD audio ซึ่งแสดงความเนียน (มีความผิดพลาดจากการแปลงกลับจาก digital เป็น analog ที่น้อยลง เพราะจำนวน amplitude step จากการ sampling and holdในสัญญาณ digital มีมากขึ้น)เท่านั้นเอง ไม่เชิงว่ามันทำให้สมจริง (Hi Fidelity)เพราะมันมีเรื่องลำโพงกับหูฟังและระบบเสียง ระบบขยายเสียง ระบบสายสัญญาณ มาเกี่ยวข้องอีกมายมาย
ลองอ่านบทความ What's the difference between high fidelity and high definition? ครับ และตรงความเห็นของคุณ Alice Wonder ข้างล่างบทความเขาตอบได้เห็นภาพชัดเจน
ส่วนเรื่องตลาดเพลง Studio master จะบูมเมื่อใหร่
ก็ขึ้นกับว่าตลาด iTune จะถดถอย เมื่อใหร่
ตลาด iTune ถดถอย--> Apple ต้องทำการ reboot ตลาด --> สร้างเครื่องเล่นเพลงที่รองรับ 24bit พร้อมกับขายเพลง StudioMaster online
ปัจจุบันมีเครื่องเล่นเพลงที่พยายามมาแทน iPodClassic ตัวนึงแล้ว http://www.astellnkern.com
( มันคือ IPoD Classic ที่ทัชหน้าจอได้ เล่น Hifi grade ได้)
แต่ขาดแรงหนุนคือไม่มี Store ขายเพลง MasterGrade ผมเชื่อว่าอนาคต Apple ไม่พลาดหมากตานี้แน่นอน
หาหูฟังที่มี sound stage กว้างๆก็พอแล้วครับ 5.1 ดูจะเกินไปหน่อย
หูฟัง 5.1 'แท้' มันก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นนะครับ บางตัวได้หน้าหลังจริง แต่ sound stage แคบมาก กลายเป็นว่าเสียงมาอู้อยู่ตรงกลางแทน (ดูหนัง) ส่วนถ้าเป็นหู 5.1 ปลอมๆที่ emulate เอานี่เสียงจะแย่มากครับ
เรื่องฟังเพลงนี่ต้องยกให้ stereo หล่ะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ไม่จำเป็นครับ ปัจจุบันลำโพงสองอันก็สร้างมิติเสียงได้ ถ้าวางในตำแหน่งที่ถูกต้อง
ไม่เชื่อลองใส่หูฟัง แล้วเปิดคลิปนี้ดูครับ http://youtu.be/pgeFdOayeaw
ขอบคุณครับสำหรับ link
ฟังไป หันซ้ายหันขวาไป นึกว่าใครมาคุยด้วย
ห้องดูทีวีที่บ้านติดระบบเสียง 5.1 แท้ๆ ไว้เหมือนกัน (วางลำโพงถูกด้วย) ดูหนังนี่ได้อารมณ์มากครับ อย่างกับดูในโรงเลย ฟังแล้วมีมิติ รู้สึกสมจริงกับตำแหน่งเสียงที่ปรากฏในภาพ เสียงจากด้านหลังก็ด้านหลังจริงๆ เช่นผีย่องมาจากด้านหลังเสียงก็มาจากด้านหลัง มันเหมาะกับหนังมาก
แต่พอเป็นงานเพลง โดยปกติแหล่งเสียงมันมีแค่จุดเดียวนี่สิ ระบบ 5.1 มันก็เลยอาจจะดูเกินความจำเป็นครับ
อีกอย่างพอฟังเพลง ถ้าฟังคนเดียวผมมักจะใส่หูฟังตลอดครับ ชอบมากกว่าเปิดกับลำโพง เพราะเหมือนสัมผัสเพลงได้มากกว่า
ส่วนตัวขึ้นว่าตราบใดที่ 5.1 มันยังไม่สามารถเจาะตลาดหูฟังได้มันก็ถูกแทยที่ด้วย 2.1 ยากครับ
อีกอย่างที่เกิดอยากรู้ขึ้นมาคือ มันมี AV ที่เป็น 5.1 มั้ยครับ
AV ที่ไม่ใช่สายสัญญาณอ่ะครับ
ผมว่าเรื่องนี้ 4K TV น่าจะมีประโยชน์มากกว่าเสียง 5.1 นะ
ถ้าเป็นเทคนิคปัจจุบันที่ใช้ sound source สองจุดวางอยู่ข้าง ๆ หูเลยนี่ไม่ว่าจะกี่แชนแนลก้ไม่มีประโยชน์ครับ 555 สุดท้ายก็มีแค่ 2 แชนแนลที่จีรัง (มั้ง?)
งั้นกล้าบอกได้เลยว่าถ้าวงการ AV ยังไม่สนับสนุน 5.1 อย่างจริงจัง อนาคตที่จะกลายมาเป็น 5.1 คงยาก
#ทำหน้าจริงจัง
ยังไงเราก็มีแค่ 2 หูครับ หูฟังดีๆ ให้ตำแหน่งเสียงได้เหมือนรอบตัวแล้วครับ พวกหลายๆ ลำโพงมันดีตรงอยู่ได้หลายจุด และฟังได้หลายคนพร้อมกัน แต่หูฟังติดตัวไปตลอด อยู่ตรงไหนก็ได้รับเสียงในทิศทางที่เหมาะสมอยู่ดีแม้จะมีแค่ 2 ข้าง แต่ได้ทีละคนต่อหูฟังชุดนึง
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ถ้าแค่ฟังเพลง 2.1 ก็พอครับ เพลงที่ทำมาเป็น 5.1 (7.1) แท้ๆ น่าจะมีไม่มากนะครับ
แต่ถ้าพูดถึงระบบเสียง ผมว่า 5.1 กำลังจะกลายเป็นมาตรฐาน (เหมือน DVD แทนที่ VCD) วัดจากอะไร วัดจากเกมครับ เกมเดี๋ยวนี้ใช้ระบบเสียง 5.1 เกือบหมดแล้ว แม้แต่เกมออนไลน์ยังเป็นเสียง 5.1 เลย
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
มันคงแล้วแต่นะว่าเอาไปอะไร ถ้าฟังเพลงผมชอบ 2.0 มากกว่าแค่ลำโพงซ้ายขวาไม่ต้องมีซัฟวูฟเฟอร์ ยี่ห้อรุ่นดีๆ หน่อย ที่สุดแล้ว
เพลงปัจจุบันเป็น 2 แชนแนลนะครับ ที่เราวางเป็น 2.1 เนี่ยคือมันมีตัวแยกความถี่ (เรียกว่าอะไรดี ? คงไม่ใช่ Crossover Network มั้ง?) แยกเอาเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่าช่วง woofer ไปขับที่ sub-woofer แทน อะไรแบบนี้น่ะครับ
ส่วนเพลงแบบ 5.1 จริง ๆ ก็มีมานานแล้ว (เพลงไทยก็เคยมีออกมา ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) ก็น่าจะเห็นความนิยมนะครับว่ามันมากขนาดไหน
อีกอย่างคือ คุณกำลังสับสนระหว่าง เพลงที่อัดในสตูดิโอ กับเพลงที่อัดแบบสถานการสดแบบพวกเล่นคอนเสิร์ต สองแบบนี้มันไม่เหมือนกันเลยครับ ถึงจะอัดด้วยระบบไหนเพลงที่อัดในสตูดิโอก็จะยังเป็นเพลงที่อัดในสตูดิโอ มีเสียงเรียบร้อยราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้วอยู่ดี ในขณะที่เพลงแบบอัดกันสด ๆ เนี่ยยังไงมันก็ออกมาแบบเล่นสด (อธิบายไม่ถูก) ยกเว้นแต่บางแผ่นที่เอาภาพคอนเสิร์ตมาทับกับเสียงที่ทำใน studio :P
ลองฟังแผ่นที่อัดกันแบบสด ๆ ดูนะครับ เพลงไทยก็พวก Crescendo ล่ะมั้ง ? ชุดแรก ๆ โหดมากวงนี้
ประโยชน์ของ Surround Sound แน่นอนว่ามันไม่ใช่ระบบที่ทำมาเพื่อแยกเสียง ทุ้ม กลาง แหลม และ sub woofer ที่ได้จากวงจร passive cross over network ธรรมดาแน่นอน แต่มันสามารถขับเสียงที่มาจากแหล่งต่างๆ หรือเครื่องดนตรีต่างชิ้นที่บันทึกมาคนละแทร็กได้ต่างหาก
ถ้าอย่างนั้น ... เรามิต้องใช้ลำโพงร้อยกว่าตัวเวลาจะฟังเพลงออเครสตร้าเหรอครับ ?
ระบบบันทึกเสียงสามารถบันทึกเสียงได้หลาย track แต่ไม่จำเป็นว่ามีแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ 100 แล้วต้องบันทึก 100 track แยกกันนะครับ จะ mix รวมกันเหลือ 2 แชนแนล แบบระบบ stereo หรือจะ mix รวมกันเหลือ 5 แชนแนลก็แล้วแต่ความต้องการครับ
ข้อมูลเรื่อง surround sound มีให้ศึกษาใน Wikipedia ครับ
คือ แล้วตกลงว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อะไรยังไงครับ
อ่านแล้วงง จู่ๆ ไปเปิดเรื่อง surround แล้วชงเอง กินเอง ยังไงครับ
รบกวนอธิบายได้ไหมว่าต้องการสื่ออะไร เข้าใจว่าผมหาใน Wiki ไม่ได้แน่นอนครับ
มีนะครับ Wikipedia เรื่อง surround sound เกี่ยวกับแชนแนลเสียงนี่แหละครับ ผมสื่อสารตรงประเด็นครับ ไม่ได้ชงเอง กินเอง ไม่ใช่แค่ wiki และในเว็บนะครับมีอีกหลายแหล่งความรู้อยู่รอบตัว
ขออภัยที่สื่อสารไม่ชัดเจนครับ
ผมอยากได้ความเห็นของคุณ suwatchai น่ะครับ
ความคิดเห็นผมคือไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่มองระบบเสียง 5.1 หรือระบบเสียงหลายแชนแนลเป็นเสียงที่แยกแชนแนลตามช่วงความถี่เสียงครับ ผมก็เสริมว่าอุปกรณ์ที่แยกความถี่เสียงที่ออกมาจากเอาท์พุตของเครื่องขยายเสียงแบบ passive ก็มีเช่น Crossover Network แบบ 2 ทาง หรือ 3 ทาง ที่ใช้อุปกรณ์พวกตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนำ แต่ระบบเสียงหลายแชนแนลมันไม่ใช่แบบนี้ และก็ไม่ใช่ระบบที่ปรับหรือกรองความถี่เสียงออกเป็นช่วง (band filter, low pass filter, high pass filter)แล้วขยายเสียงโดยเครื่องขยายคนละตัว แต่มันเป็นระบบที่แหล่งกำเนิดเสียงแยกกันอิสระจำนวนหลายแชนแนล ซึ่งขึ้นอยู่กับสื่อที่บันทึกว่าบันทึกมากี่ track โดยระบบเสียงหลายแชนแนลจะเรียกให้ถูกมันคือระบบ surround sound ที่คุณบอกว่าผมยกขึ้นมาทำไม ซึ่งแหล่งที่มาของเสียงจะมาจากที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจากแหล่งเดียวหรือผสมจากหลายแหล่งภายในหนึ่งแชนแนลหรือ track ก็ได้ โดยเสียงแต่ละแชนแนลจะแยกกันชัดเจน เช่นแยกเสียงนักร้อง เสียงเครื่องดนตรี เสียงเอฟเฟ็คต์ เสียงสังเคราะห์ อย่างนี้เป็นต้น
อ้อ ขอบคุณ และขออภัยด้วยครับ ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจแต่แรก
มาเข้าใจตรงนี้ครับ
ขอบคุณครับ
เรื่อง surround sound ผมพอจะทราบอยู่ครับ (เคยศึกษาเรื่อง 3D Audio API มาพอสมควร) พอดีผมดันอ่านแล้วคิดไปเองว่าุคุณหมายถึง 1 channel/1 part ก็เลยเข้าใจผิดลากไปโน่น
เทคนิคที่คุณว่ามันไม่ใช่ surround sound ที่หมายถึงการแยก channel ของเสียงเป็นหลาย channel (5.1/7.1/10.1/20.1) เพื่อที่จะบอกว่าเสียงมาจากตำแหน่งใดแล้วครับ มันคือ sound stage หรือเวทีของเสียง ที่จะบอกว่าเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นอยู่ตำแหน่งใด ใกล้หรือไกล ด้านหน้าหรือด้านข้างหรือด้านบน โดยไม่จำเป็นต้องแยก channel ของเสียงให้เยอะมากเหมือน surround sound
ส่วนอื่นๆเห็นด้วยครับว่า surround sound มีไว้เพื่อแยกตำแหน่งของเสียง ไม่ใช่ความถี่ของเสียง
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
จะว่าไป พูดถึง Surround ... อยากให้ลองคิดถึงตอนไปห้องซ้อมดนตรีครับ ทุกมุมห้องมีลำโพงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นวางอยู่ ข้างหน้ามีกลองชุด ซ้ายขวามีแอมป์เบส แอมป์กีตาร์ ข้างหลังมีแอมป์คียบอร์ด นักร้องต่อเข้า PA บลา ๆ (นี่บรรยายห้องซ้อม EQ Studio ที่แถวพระราม 4 55)
สมมติว่าถ้าเรา mix เสียงแบบตามห้องซ้อมแบบนี้เลยนะ สิ่งที่คุณจะได้ยินคือ ... กลองชุดอยู่ข้างหน้า กีตาร์-เบสอยู่ซ้ายขวา คีย์บอร์ดอยู่ข้างหลัง ส่วนนักร้องนี่มาจากทุกทิศทาง ... ถ้ามิกซ์แบบนี้ก็คงงงพิลึก (แน่นอนว่าคงไม่มีใครทำ...) ตอนเล่นก็รู้สึกดีนะ แต่พออัดมาฟังแล้วเซ็งอารมณ์ทุกที (จนกำลังคิดจะซื้อเครื่องอัด Surround มาใช้แทนแล้วเนี่ย) เพราะได้ยินแต่ไอ้เสียงมือกลองซาดิสม์อ่ะครับ
ในความเป็นจริงเวลาเราฟังดนตรีเนี่ย ถ้าเป็นในคอนเสิร์ต เราจะหันหน้าเข้าเวที และมีเสียงดนตรีมาจากข้างหน้า ไม่ใช่มาจากทุกทิศทาง (ไม่งั้นไอ้คนที่เล่นอยู่ข้างหลังเรามันคงเซ็งแย่) เราใช้ลำโพงสองตัวซ้ายขวาก็สามารถจำลองสถานการนี้ได้ใกล้เคียงมากอยู่แล้วครับ ใช้การวาง balance ดังเบาที่ไม่เท่ากันของเสียงสองข้างเพื่อวางตำแหน่งเครื่องดนตรี และลดความดังเบาในระดับที่เท่ากันเพื่อวางความใกล้-ไกล (หรือความลึก) ส่วนเรื่องสูงต่ำนี่ส่วนตัวผมพบว่าเสียงสูงจะรู้สึกว่ามันอยู่สูง และเสียงต่ำก็จะรู้สึกว่ามันอยู่ต่ำอยู่แล้ว ดังนั้นพอจับมาวางรวมกันก็น่าจะได้เป็นภาพ 3มิติคล้าย ๆ กับไอ้ทีวีสามมิติแล้วครับ (แต่เราไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษไง เพราะว่าหูเราอยู่คนที่และหันไปคนละด้านอยู่แล้ว ทำให้ได้ยินเสียงที่ต่างกัน)
เท่าที่เคยลองฟังส่วนใหญ่พวกคอนเสิร์ตเขาจะมิกซ์ให้เสียงที่อยู่ด้านหลังเราเป็นเสียงรีเวิร์ปกับคนดูน่ะครับ ผมว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่
ความใกล้ไกล ในระบบที่ลำโพงอยู่ห่างกันมาก เขาใช้การดีเลย์ของเสียงมาชดเชยการเดินทางของเสียงครับ ไม่ได้ใช้ความดังเบา
ถ้าในแง่ของการวางตำแหน่งก็ตามนั้นครับ (ที่จริงผมก็เกือบจะเขียนลงไปแต่กลัวว่าจะดีเทลล์เกิน)
ถ้าแง่ของการเรียบเรียง/การผสมเสียงนี่ใช้ความดังเบาของเสียงเพื่อสร้างมิติก็น่าจะถูกแล้วแหละ
ใช่แล้ว เนื้อของเสียงที่แท้จริงนั้น เป็นตัวดึงพลังช่องเสียงอย่างสมบูรณ์แบบครับ
การฟังเสียงให้ได้มิติเสียง ตามมาด้วย cost และพื้นที่ๆ รองรับเพียงพอครับ การวางตำแหน่งลำโพง จุดที่นั่ง ต้องได้มิติเสียงที่พอดี
ถ้า budget ไม่ถึง คุณก็ต้องฟัง 2.1 ไปนั่นละสมควรละครับ คุณก็คิดเอาว่า คนที่จะมีพื้นที่เพียงพอสำหรับจัดห้องนั่งฟังเพลง มันต้องมีเงินขนาดไหน เพราะคนอยู่หอพักหมดสิทธิ์ คนอยู่คอนโดแบบห้องเดียวก็หมดสิทธิ์ เพราะทุกอย่างยัดไปในห้องหมด มันไม่มี space พอ
คือ 5.1 มันเหมาะกับ concert น่ะครับ มันได้บรรยากาศ คือมีการพูดคุย มีการโต้ตอบ ถ้าเพลงในห้องอัดมันไม่ได้อารมครับ เขาเลยไม่ทำ ผมเองดู concert แล้วชอบมากเลยคือของ da endorphine (ชอบมาก)
ปล. ค.ห.ส.ต (เพื่อพูดอะไรผิด จะได้ไม่ผิด)
เป็นเรื่องจริง เพราะ concert มีแหล่งเสียงหลายอัน ทั้งเสียงนักร้องและคนดู แต่บันทึกเพลง อัดแค่ด้านหน้าเท่านั้นครับ
แต่ด้านอื่น (นอกจากด้านหน้า) ก็มีแต่เสียง reverb กับเสียงคนดูนะ ?
ก็ทำการเลือกเสียงที่ไม่จำเป็น (อัดในห้องส่ง) แล้ว mix ให้เป็นเสียงที่ต้องการครับ
ยังไงอ่ะครับ?
เช่น ตัดเสียงที่คนไม่ต้องการอย่างเสียงคนสั่งการ เป็นต้นครับ