Tags:

คือว่าผมได้ศึกษาชีวิตของคนที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จหลายคน ในจำนวนนั้นมีบางคนที่
ประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยที่ไม่ได้มีการศึกษาระดับปริญญามาค้ำจุน กลับกัน คนที่มีการศึกษาสูงๆ
ระดับปริญญาเอก โท ตรีทั้งหลาย กลับต้องกลายไปเป็นลูกจ้างของพวกเขา ดูอย่างประวัติของ
- ไมเคิลเดลล์
- สตีฟจอปส์
- บิลเกตส์
- โทมัส เอดิสัน
ฯลฯ

ล้วนเรียนไม่จบปริญญาแต่ประสบความสำเร็จและรวยกันทั้งนั้น ผมเลยชักสงสัยว่าโลกยุคที่เราอยู่ตอนนี้
ปริญญาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องไขว่คว้ามาให้ได้เพื่อจะประสบความสำเร็จรึเปล่า มันจำเป็นต่อความสำเร็จ
แค่ไหนในโลกยุคปัจจุบัน และอะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ แม้จะไม่ได้มีการศึกษาในระบบสูงๆ

Get latest news from Blognone
By: l2aelba
iPhoneAndroid
on 6 December 2010 - 16:45 #238253
l2aelba's picture

แล้วคุณคิดว่าเปอร์เซ็นคนเรียนจบปริญญา กับคนที่ไม่จบ กลุ่มไหนประสบความสำเร็จมากกว่าละครับ ?

ลองคนประวัติคนดังๆรวยๆเก่งๆ ดูส่วนมากจะมากกว่าหนึ่งใบทั้งนั้น

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 18:02 #238274 Reply to:238253
DesertWasabi's picture

@l2aelba แล้วคุณคิดว่าเปอร์เซ็นคนเรียนจบปริญญา กับคนที่ไม่จบ กลุ่มไหนประสบความสำเร็จมากกว่าละครับ ?

ก็ถ้าวัดกันที่จำนวนผลตอบแทนที่ได้รับ คนที่ไม่จบ ได้รับผลตอบแทนมากกว่าคนที่เรียนจบหลายคนรวมกันครับ คุณก็ลองนั่งนึกดู ว่าต้องใช้ผลตอบแทนของคนที่เรียนจบกี่คน กว่าจะรวมกันเท่ากับคนที่เรียนไม่จบที่ผมยกมา

@l2aelba ลองคนประวัติคนดังๆรวยๆเก่งๆ ดูส่วนมากจะมากกว่าหนึ่งใบทั้งนั้น

ก็ผมค้นอยู่นี่ไงครับ ถึงได้เจอว่าบางคนไม่มีปริญญาเลย หรือไม่ก็มาเรียนเอาตอนหลัง หลังจากประสบความสำเร็จไปมากเเล้ว หรืออย่างในประเทศไทยเองอย่างเช่น คุณตัน โออิชิ ก็ออกไปทำงานตั้งแต่อายุ 17 โดยบอกพ่อว่าไม่เรียนแล้ว จะขอทำงานเลย หรือเจ้าของโรงงานเบเกอรี่ผึ้งน้อยที่เชียงใหม่ ก็ไม่ได้เรียนสูงแต่ร่ำรวยเป็นร้อยล้าน และเพราะผมค้นนี่แหละครับ ผมถึงได้เจอข้อสังเกตที่ทำให้ผมสงสัยไง

By: Bank14
ContributorAndroidRed HatWindows
on 6 December 2010 - 18:45 #238296 Reply to:238274

ดูนี้ครับ http://www.oknation.net/blog/PickIdea/2010/08/03/entry-1

อาจเป็นเพราะเรากำลังตามคนอื่นอยู่ เห็นเขาทำกันเราก็ทำ เรียนเพื่อเอาความรู้ดีกว่าครับ อย่าเรียนเพื่อกระดาษหนึ่งใบเลย

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 21:42 #238339 Reply to:238296
DesertWasabi's picture

ขอบคุณมากครับ ได้ข้อคิดดีๆ หลายข้อเลยครับ

By: l2aelba
iPhoneAndroid
on 7 December 2010 - 00:19 #238392 Reply to:238274
l2aelba's picture

ผมว่าอยู่ที่ไทย เรียนให้จบไปเหอะครับ ถ้าอยู่เมืองนอกจบแค่ปวช. ก็ว่าไปอย่าง.... ในมุมมองของผมมันอยู่ที่ประเทศแต่ละประเทศด้วยละครับ อย่างเมืองไทยนี้ถึงขั้นเลือกมหาลัยด้วยซ้ำ (สลด...)

By: tontpong
Contributor
on 7 December 2010 - 07:22 #238441 Reply to:238392

ถ้าขุดนั่นคิดนี่คุ้ยนู่น คุยๆ กะใคร แล้วก้อยัง blank ก้อเรียนไปพลางๆ
ระหว่างอยู่มหาลัย อาจเหนอาจรุไรมั่กขึ้น.. เปิดหูเปิดตากว้างๆ เอาไว้

แต่ถ้ามีไรๆ ในหัวแล้ว.. จะออกมาลุยให้เตมที่ ก้อไม่น่าจะผิดอันใดนะ

By: RYUTAZA
Contributor
on 7 December 2010 - 23:08 #238754 Reply to:238392

+1 fact!

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 8 December 2010 - 00:21 #238787 Reply to:238754
DesertWasabi's picture

fact! ของใคร....???

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 15 December 2010 - 21:22 #241643 Reply to:238392
EThaiZone's picture

ถูกต้อง บางธนาคารใครเข้าไปสมัครงาน
แยกใบสมัครสองกองเลย กองหนึ่งมหาลัยดัง กองดังมหาลัยด๋อย
แยกกันแบบนี้จริงๆ เป็นมาตรฐานเลย แล้วผู้จัดการถึงค่อยคัดอีกที


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: Thaina
Windows
on 6 December 2010 - 16:57 #238255

จริงๆแล้ว
คนที่เรียนปริญญา
ไม่ควรเปนคนที่มุ่งหวังว่าจะรวยครับ

มหาวิทยาลัย หรือ Academy ในสมัยก่อนคือพื้นที่ที่จะค้นหาความรู้ขั้นสูง และความรู้ขั้นพื้นฐานของพื้นฐาน
ไม่ใช่ความรู้ที่จะได้ใช้ในปัจจุบัน แต่เปนความรู้ที่จะมีคนที่เก่งแต่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต จะมาหยิบไปใช้
แต่ด้วยภาพลักษณ์ว่าคนที่เรียนมหาวิทยาลัยได้มักจะเปนคนฉลาด คนบางคนที่เรียนรู้เรื่องราวในมหาวิทยาลัยแล้ว มีไอเดียที่จะเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ ก็ก้าวออกมาแล้วโดดเด่นกว่าใคร
ทำให้มหาวิทยาลัยเริ่มมีภาพลักษณ์ และแปรสภาพ เปนโรงงานผลิตฟันเฟืองให้สังคม จนปัจจุบันกลายเปนเรื่องที่ทุกคนเชื่อฝังหัวว่า ทุกคนที่มีฐานะปานกลางต้องเข้ามหาวิทยาลัย
ทั้งที่จริงๆมันผิดจุดประสงค์ตั้งเดิม

ซึ่งมันเปนความคิดที่มักง่ายและเปนภาพลักษณ์ที่ไม่เข้าท่า ทำให้แม้แต่คนที่แค่อยากจะเปนคนงานคุมเครื่องจักรธรรมดา คิดไปว่าต้องเข้ามหาวิทยาลัยต้านเครื่องกลแล้วจะออกมาเปนเมพ
ทั้งที่จริงๆวิศวะเครื่องกลมีอะไรอีกมากมายที่ไม่ได้เกี่ยวกับการใช้มัน และพอจบออกมาก็แพ้พวกอาชีวะที่มีประสบการณ์การใช้เครื่องจักรเข้มข้นมากกว่า
หรือแม้แต่บางคนที่เข้าคณะวิศวะคอมเพราะเชื่อว่าจำเปนต่อการกลับบ้านนอกไปเปิดร้านเน็ต ก็เปนความเข้าใจผิดที่น่าเศร้า

ถ้าให้พูดกันตรงๆอีกอย่างคือสังคมที่มักง่ายและไม่ได้รู้อะไรเลยเชื่อเอาเองว่า ทุกคนต้องเข้ามหาวิทยาลัย การได้ทำงานสบายๆ เงินเดือนสูงๆ คือทุกอย่างของชีวิต และไม่ส่งเสริมให้คนมีความเปนตัวของตัวเอง ได้เข้าใจผิดไปว่ามหาวิทยาลัยคือเครื่องจักรปั๊มช็อกโกแลตให้ออกมาเปนรูปร่างสวยงามเจริญตาแก่สังคมได้ และยัดเยียดให้คนเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุ 18 ซึ่งในเวลานั้นเรามักจะยังไม่รู้ว่าจริงๆเราอยากเปนอะไร
ส่วนหนึ่งเปนเพราะการแนะแนวในช่วงมัธยมและการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ยังไม่เข้มข้นพอ ยัดแต่ความรู้ไร้สาระที่ 1 วิชา มีคนที่ได้เอาไปใช้ไม่ถึง 10% แทนที่จะปลูกฝังความคิดว่าคนเรามีความแตกต่างและต้องค้นพบตัวตนของตัวเองแต่เนิ่น

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 17:45 #238272 Reply to:238255
DesertWasabi's picture

+1 อธิบายได้เห็นภาพชัดเจนดีเหมือนกันครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ

By: Bank14
ContributorAndroidRed HatWindows
on 6 December 2010 - 18:47 #238299 Reply to:238255

+1 ตอน 18 ผมก็ยังงงอยู่ว่าอยากเป็นไร เด็ก ๆ เคยฝันเป็นนักบอลทีมชาติ ฮา ๆ อายจัง

By: bow_der_kleine
WriterAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 19:12 #238302 Reply to:238255
bow_der_kleine's picture

+1

By: 0xffeeddaa on 6 December 2010 - 21:31 #238335 Reply to:238255

+1 ฮะ เรียบเรียงได้ถูกใจมากฮะ

By: lilybluecat
iPhoneWindowsIn Love
on 7 December 2010 - 12:48 #238538 Reply to:238255
lilybluecat's picture

บางทีเด็กหลายๆคนคิดได้ แต่ว่า ถูกผู้ปกครองตีกรอบให้เด็กหลายๆคนเหล่านั้นครับ

เพราะผมเชื่อว่ามีคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองอยู่มาก แต่ไม่สามารถปล่อย หรือกล้าที่จะแสดงออกมา

By: iMenn
ContributorAndroid
on 7 December 2010 - 23:56 #238770 Reply to:238255
iMenn's picture

ชอบมากครับ

ส่วนตัวคิดว่า อ.แนะแนวเป็นคนที่สร้างประเทศในยุคต่อไปจริงๆ

คนเก่งๆ ของประเทศควรได้มีโอกาศทำงานแนะแนว น่าจะเปิดโลกทรรศน์ของเด็กๆ อีกมาก

By: mp3wizard
iPhone
on 8 December 2010 - 11:02 #238900 Reply to:238770

แต่ทำไมอ. แนะแนว ไม่เคยบอกว่า อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพโคตรรวยเลยอ่ะครับ อิอิ เสียใจ

By: planktons
AndroidWindows
on 8 December 2010 - 00:21 #238786 Reply to:238255
planktons's picture

+1 อธิบายได้ดีครับ ตอนจบมัธยมปลาย ผมก็ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไรด้วยซ้ำ 555+

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 15 December 2010 - 21:27 #241646 Reply to:238255
EThaiZone's picture

ถูกต้องเลยครับ สังคมมันสร้างให้คนคิดแบบนั้น นึกถึงที่ดูโอชินตะกี้ที่ลูกชายบอกอยากเข้าร่วมทหารคามิคาเซ่ เพราะโดนสื่อเป่าหัวในเรื่องอุดมการณ์ ผมว่าสังคมตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน มันกลายเป็นวัฒนธรรมเรื่องคนจบป.ตรี

ตอนนี้ผมยังพยายามพูดกับน้องผมเรื่อยๆ ว่าให้ค้นหาฝันของตัวเองให้เจอ แล้วมุ่งไปหามัน ดีกว่าเรียนจบแล้วไม่รู้จะทำอะไร


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: blackdemon
Windows PhoneAndroid
on 6 December 2010 - 17:22 #238265
blackdemon's picture

มันจำเป็นต่อความสำเร็จ แค่ไหนในโลกยุคปัจจุบัน

จำเป็นมาก คุณลองไปสมัครงานที่ไหนก็ได้ถ้าไม่มีตั๋วเบิกทางพวกนี้ เค้าจะรู้ได้ไงว่ารับคุณมาแล้วจะทำงานให้เค้าได้

และอะไรที่ทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ แม้จะไม่ได้มีการศึกษาในระบบสูงๆ

เพราะคนพวกนั้นมักจะทำอะไรได้ดีอยู่เสมอ เมื่อวันหนึ่งเค้าชั่งใจแล้วว่าสิ่งที่เค้าทำอยู่มันยิ่งใหญ่กว่าการศึกษา แล้วก็เลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าก็เท่านั้น

ปล. ผมเดาว่าคุณทำงานแล้ว เรื่องพื้นฐานของสังคมและโลกง่ายๆ แบบนี้ทำไมยังไม่เข้าใจล่ะท่าน?

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 17:41 #238269 Reply to:238265
DesertWasabi's picture

@blackdemon เพราะคนพวกนั้นมักจะทำอะไรได้ดีอยู่เสมอ

เอ่อ.... ได้ดีอยู่เสมอนี่ ผมว่าอาจจะไม่ใช่นะครับ ถ้าคุณหมายความคำว่า "ทำอะไรได้ดีอยู่เสมอ" หมายถึงการที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย ทำแล้วดีเลย สำเร็จเลย หรือรู้เลยว่าจะทำอย่างไรให้ได้ดี งั้นทำไม โทมัส เอดิสันที่ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าให้เราใช้กัน ก่อนจะสำเร็จถึงได้ล้มเหลวในการสร้างหลอดไฟเป็น 10,000 กว่าครั้งล่ะครับ? ทำไมไม่ทำหลอดไฟครั้งแรก ก็ทำได้ดีเลย?

@blackdemon จำเป็นมาก

@blackdemon สิ่งที่เค้าทำอยู่มันยิ่งใหญ่กว่าการศึกษา แล้วก็เลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าก็เท่านั้น

ผมว่าคำพูดคุณดูค้านกันนะ ถ้าคุณบอกว่ามันจำเป็น แต่พวกเขาไม่ได้มีสิ่งที่คุณบอกว่ามันจำเป็นแต่กลับประสบความสำเร็จ งั้นสิ่งที่คุณว่าจำเป็น มันก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ? ผมเข้าใจความหมายคุณถูกมั้ย?

By: blackdemon
Windows PhoneAndroid
on 6 December 2010 - 18:47 #238300 Reply to:238269
blackdemon's picture

โอเคงั้น เพิ่มเติมใหม่

จำเป็นมาก สำหรับบุคลลธรรมดาๆ(แบบผมที่ไม่ได้เก่งกาจอย่างพวกเค้า)
ไม่จำเป็นสำหรับบุคคลบางจำพวก ที่มีพลังขับเคลื่อนโลก,มีความรู้และจินตนาการแบบคิดตามไม่ทันอย่างพวกเค้า

สั้นๆแค่นี้ล่ะครับ
ถ้าท่านคิดว่า "เราก็ทำได้นี่นา.. แค่นี้เอง" หรือมี "อะไรสักอย่างที่จิตนาการอยู่ในหัวแล้วเป็นนวัฒตกรรมใหม่ๆ" และ"ทำออกมาได้สำเร็จ" ท่านก็คงไม่ต้องการการศึกษาพวกนี้หรอกมั้งครับ

By: mementototem
ContributorJusci's WriterAndroidWindows
on 6 December 2010 - 18:03 #238275
mementototem's picture

เพราะเขาเห็น และคิดต่างจากที่คนทั่วไปเขาคิดกัน แล้วเขาทำสิ่งที่เขาคิดว่ามันต้อง "เข้าท่า" "ไปได้สวย" เขาเชื่อมั่นว่ามันจะประสบความสำเร็จ และมานะพยายามที่จะทำสิ่งนั้น ๆ

ถึงพวกเขาจะไม่มีใบปริญญา แต่พวกเขาก็ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำอย่างดีนะครับ ไม่ใช่ว่า ทำมั่ว ๆ ชุ่ย ๆ ตามยถากรรมสักหน่อยนี่ครับ


Jusci - Google Plus - Twitter

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 18:15 #238280 Reply to:238275
DesertWasabi's picture

@mementototem ถึงพวกเขาจะไม่มีใบปริญญา แต่พวกเขาก็ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำอย่างดีนะครับ ไม่ใช่ว่า ทำมั่ว ๆ ชุ่ย ๆ ตามยถากรรมสักหน่อยนี่ครับ

อืมมม ประโยคนี้เห็นด้วยครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

By: PowerBerry
Android
on 6 December 2010 - 18:13 #238278

ความขาดแคลนเป็นแรงผลักดันที่ดีที่สุด แต่การจะประสบความสำเร็จไม่ใช่ขยันหรือตั้งใจอย่างเดียวมันต้องมีโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมด้วย

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 18:16 #238281 Reply to:238278
DesertWasabi's picture

+1 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 6 December 2010 - 18:15 #238279
tekkasit's picture
  • เป็นใบรับประกัน แสดงว่าคุณมี discipline ระดับหนึ่ง คุณพาตัวเองออกจากโรงงานปั๊มช็อคโกเลตได้ รักษาเกรดได้ดีพอควร ไม่โดนเค้าเขี่ยทิ้งออกมาก่อน ยิ่งถ้าคุณได้ถึงขั้นเกียรตินิยมได้ แสดงว่าคุณต้องมีวินัยมาก บริหารเวลา บริหารตัวเองได้ดี

อีกในมุมของผู้ประกอบการ อาจจะคิดว่า ขนาดคุณยังบริหารตัวคุณเองให้มีศักยภาพพอจนเรียนจบไม่ได้ แล้วคุณจะดูแลกิจการเค้าได้อย่างไร

  • เป็นตั๋วในการสมัครเข้าทำงานในบริษัททั่วๆไป (ตั๋วพวกนี้มีอายุไม่เกินปี-สองปี ถ้าคุณจบมาแล้วไม่ทำงานต่อ นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ตอนสมัครทำงาน จะซวยมาก)
  • เรียนรู้ระบบวิธีการคิด (หรือจะเรียกว่าไปถูกล้างสมอง ก็ว่ากันไป) แบบที่ตลาดเค้าคิดกัน
  • ไปหาเพื่อนฝูง ไปหา connection

ผมชอบคำหนึ่ง คือ การไปศึกษาตามหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัย (นับที่หลักสูตรที่เป็นที่ต้องการของตลาด) จนจบได้ จะทำให้โดยเฉลี่ยคุณจะมีงานทำ มีรายได้ เลี้ยงตัวเองได้

แต่ถ้าคุณไม่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายความคุณชีวิตจะอับโชค ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดนคำสาปชั่วนิรันดร์ มันยังมีการเรียนสายวิชาชีพฯ หรือ คุณต้องมีวินัยมากหน่อย เพื่อทำให้คุณมีรายได้

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 18:19 #238282 Reply to:238279
DesertWasabi's picture

@tekkasit ผมชอบคำหนึ่ง คือ การไปศึกษาตามหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัย (นับที่หลักสูตรที่เป็นที่ต้องการของตลาด) จนจบได้ จะทำให้โดยเฉลี่ยคุณจะมีงานทำ มีรายได้ เลี้ยงตัวเองได้

แต่ถ้าคุณไม่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายความคุณชีวิตจะอับโชค ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดนคำสาปชั่วนิรันดร์ มันยังมีการเรียนสายวิชาชีพฯ หรือ คุณต้องมีวินัยมากหน่อย เพื่อทำให้คุณมีรายได้

+1 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 6 December 2010 - 18:20 #238285 Reply to:238279
tekkasit's picture

แก้ไม่ทันอ่ะ

แต่ถ้าคุณไปนับคนที่ได้ัรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉลี่ย (mean) ผมเชื่อว่ารายได้ต่อหัวต่ำกว่า

สำหรับผม ผมว่าถ้าผมมีลูก ผมก็จะพยายามให้เค้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เพราะอะไร ก็เพราะ:

  • เป็นใบรับประกัน แสดงว่าคุณมี discipline ระดับหนึ่ง คุณพาตัวเองออกจากโรงงานปั๊มช็อคโกเลตได้ รักษาเกรดได้ดีพอควร ไม่โดนเค้าเขี่ยทิ้งออกมาก่อน ยิ่งถ้าคุณได้ถึงขั้นเกียรตินิยมได้ แสดงว่าคุณต้องมีวินัยมาก บริหารเวลา บริหารตัวเองได้ดี

อีกในมุมของผู้ประกอบการ อาจจะคิดว่า ขนาดคุณยังบริหารตัวคุณเองให้มีศักยภาพพอจนเรียนจบไม่ได้ แล้วคุณจะดูแลกิจการเค้าได้อย่างไร

  • เป็นตั๋วในการสมัครเข้าทำงานในบริษัททั่วๆไป (ตั๋วพวกนี้มีอายุไม่เกินปี-สองปี ถ้าคุณจบมาแล้วไม่ทำงานต่อ นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ตอนสมัครทำงาน จะซวยมาก)
  • เรียนรู้ระบบวิธีการคิด (หรือจะเรียกว่าไปถูกล้างสมอง ก็ว่ากันไป) แบบที่ตลาดเค้าคิดกัน
  • ไปหาเพื่อนฝูง ไปหา connection
  • การไปศึกษาหลักสูตรที่เป็นที่ต้องการของตลาด ตามหลักสูตรในระดับมหาวิทยาลัย จนจบได้ จะทำให้โดยเฉลี่ยคุณจะมีงานทำ มีรายได้ เลี้ยงตัวเองได้ แต่ไม่ได้รับประกันว่าทุกๆคนที่เรียนจบมาแล้วจะประสบความสำเร็จไปเสียทุกคน

แต่ถ้าคุณไม่ได้รับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ได้หมายความคุณชีวิตจะอับโชค ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดนคำสาปชั่วนิรันดร์ มันยังมีการเรียนสายวิชาชีพฯ หรือ คุณต้องมีวินัยมากหน่อย เพื่อทำให้คุณมีรายได้ คุณต้องรู้จักคนเยอะๆ เชื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสในการทำงาน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ถ้าคุณไม่รู้จักใครเลย งานที่ไหนมันจะพุ่งมาหาคุณ?!?

By: bow_der_kleine
WriterAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 19:14 #238304 Reply to:238279
bow_der_kleine's picture

+1

By: koalaz
ContributorAndroid
on 6 December 2010 - 18:19 #238283
koalaz's picture

คนเราจะประสพความสำเร็จ นั้น ไม่ได้ประกันด้วยใบปริญญาครับ

แต่ แน่นอน ความรู้ที่ได้จากในมหาวิทยาลัย ถ้าคุณ เอามาปรับใช้ได้ คุณก็มีโอกาสดีกว่าชาวบ้าน

หรือ จะกระดาษแผ่นเดียวนั่นแหละ ก็เป็นใบเบิกทางให้คุณด้วย สำคัญที่สุด คือคุณรู้เรอะเปล่าว่า บิล เกตต์ กับ สตี๊ฟ จ๊อบส์ ไม่ได้เป็นคนที่ เคยจน มาก่อน เรียกว่าตอนออกมานอนนีท อยู่ที่บ้านก็พอเกาะพ่อแม่กินได้ ระยะหนึ่ง

สำคัญที่สุดคือ คุณจะมีกิจการอะไรเป็นของตัวเอง คุณต้องมีทุนตั้งต้นครับ อันนี้ที่เหลือก็คือ คุณจะเอาทุนตั้งต้นนั้นไปใช้ยังไง ส่วนใหญ่ก็คงเอาไปลงกับการศึกษา(แล้วก็ออกมาเป็นลูกจ้างก่อน เพื่อต่อทุน) แต่บางคน ถ้าเขาคิดว่าเขาสามารถบริหารเงินทุนที่มีอยู่ได้ดี เห็นผลทันตาจะให้เขาไปลงทุนกับกิจการเลย ก็ได้

จุดหมายที่มี คือจุดเดียวกันน่ะแหละ แต่เส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายมีได้อีกหลายทาง (นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องการทำธุรกิจ ที่ไม่มีคำว่า ถูก หรือ ผิด อีกนะ)


Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ

By: tontpong
Contributor
on 7 December 2010 - 07:27 #238443 Reply to:238283

ทุน มีหลายแบบ .. ไม่ใช่มีแค่เงิน
ใครต้องจัดการทุน.. ก้อระวังนินึง

By: Bank14
ContributorAndroidRed HatWindows
on 6 December 2010 - 18:41 #238293

ผมว่าที่คนเหล่านี้เรียนไม่จบ เพราะเขาไม่รู้จะเรียนไปทำไม ก็ในเมื่อฝันเขามากกว่าใบปริญญาเสียอีก จินตนการสำคัญกว่าความรู้ สู้ออกมาทำสิ่งที่ตอ้งการไปเลยดีกว่า

By: koalaz
ContributorAndroid
on 6 December 2010 - 19:13 #238303
koalaz's picture

มันอยู่ที่การลงทุนครับ แต่ละคนมีวิธีลงทุนของตัวเอง ไม่อยากเรียนก็ไม่มีใครห้ามหรอกครับ


Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ

By: bow_der_kleine
WriterAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 19:26 #238311
bow_der_kleine's picture

การศึกษาไม่ทำให้คนดีขึ้น พอ ๆ กับไม่ทำให้คนประสบความสำเร็จมากขึ้น หรือทำให้คนฉลาดขึ้น การศึกษาทำให้คนรู้มากขึ้นต่างหากครับ

คนที่มีความรู้มากกว่าระบบการศึกษาจะให้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาตามระบบ

ผมคิดว่าบุคคลที่คุณยกมาเป็นตัวอย่างเป็นข้อยกเว้นที่มีคุณสมบัติร่วมกันคือ เขาเหล่านั้นเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสาขาวิชาที่เพิ่งเกิด ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคนนอกระบบ (การศึกษา) รู้มากว่าคนในระบบ เมื่อเทียบกับสาขาวิชาที่เกิดขึ้นนานแล้ว

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 6 December 2010 - 20:46 #238320 Reply to:238311
tekkasit's picture

+1 ใช่เลย โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย

คือในมุมกลับนะครับ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ และจะรับสมัครคนมาช่วยคุณ คุณจะไม่สกรีนคนเลยรึเปล่า จะมานั่งเฟ้นหาทีละคนหรือเปล่า หรือคุณจะสกรีนคนด้วยกระดาษแผ่นเดียวที่ว่านั่น ?!?

ส่วนใหญ่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิตการทำงาน กระดาษแผ่นนั้นสำคัญเป็นตั๋วผ่านทาง แต่ถ้าในการทำงานสูงขึ้นไป ช่องทางการแนะนำกลับเป็นวิธีกรองคนมากกว่านั่งดูกระดาษ เพราะทักษะหลายสิ่งที่จำเป็นในการทำงานระดับสูงไม่สามารถบอกได้ด้วยกระดาษพวกนั้น แต่ประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงาน กลับมีน้ำหนักมากกว่า

By: iMenn
ContributorAndroid
on 8 December 2010 - 00:10 #238777 Reply to:238311
iMenn's picture

ประเด็นในประโยคสุดท้ายเจ๋งมาก

ถ้าจะเป็นคนสร้างนวัตกรรมใหม่ของโลก บางทีการเรียนให้จบมหาวิทยาลัยอาจเสียเวลาเกินไป เพราะหลักสูตรและอาจารย์รู้น้อยเกินไป (ในสาขาใหม่นี้)

แต่แม้จะเป็นเช่นคนเหล่านี้ หากฝีมือและโอกาสไม่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม ชีวิตเค้าก็อาจจะยากลำบากกว่าคนจบมหาวิทยาลัยเสียอีกนะครับ

By: 9rockky
AndroidIn Love
on 6 December 2010 - 19:31 #238312

เพราะวิธีคิด วิสัยทัตน เขาเเต่ต่างจากคนอื่น

เเต่จะประสบความสำเร็จก็ต้องมีความรู้เรื่องนั้นๆพอสมควร

By: pae
AndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 19:32 #238313
pae's picture

มันไม่มีความสัมพันธ์กันครับ ขึ้นอยู่กับแนวคิดและหลักปฏิบัติ

By: TakeshiBoy on 6 December 2010 - 19:59 #238316
TakeshiBoy's picture

ผมคิดว่ามันน่าจะมีหลากหลายปัจจัยนะครับ เป็นคำตอบของคำถามสำหรับหัวข้อนี้

แต่โดยหลักๆน่าจะประกอบไปด้วย

  1. ความพยายาม
  2. โอกาส

ตามนี้ครับ ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้เด็ดขาด

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 6 December 2010 - 20:53 #238323 Reply to:238316
tekkasit's picture

ผมเชื่อว่า โอกาสจะเป็นประโยชน์เฉพาะกับคนที่พร้อมที่จะฉกฉวยโอกาสนั้นเท่านั้น

ถ้าคุณไม่มีศักยภาพหรือไม่มีความสามารถเพียงพอ ต่อให้ประตูบานนั้นเปิดอ้าตรงหน้า คุณอาจจะไม่เห็นหรือ ถ้าคุณเห็น คุณก็ไม่อาจแม้แต่จะเอื้อมมือไปแตะที่ลูกบิดประตูแห่งโอกาสนั้นด้วยซ้ำ

แต่จะเห็นว่ามันมีอยู่สองสิ่ง สิ่งที่เรียกว่า โอกาส สิ่งนี้เราควบคุมมันไม่ได้ บทมันจะมาก็มา บทมันจะไปก็ไป

แต่ตรงกันข้าม ความสามารถหรือศักยภาพของตัวเราเอง เป็นสิ่งที่อยู่ในกำมือของเรา เราสามารถควบคุมได้ พัฒนาได้ ทำมันให้ดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับเรา ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:56 #238529 Reply to:238323
DesertWasabi's picture

+1

By: BreMen
iPhoneWindows PhoneAndroid
on 15 December 2010 - 16:00 #241503 Reply to:238323
BreMen's picture

+10 ประโยคแรกโดนมากครับ :)

By: mr_tawan
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 6 December 2010 - 21:25 #238332
mr_tawan's picture

ปริญญาก็แค่กระดาษแผ่นนึง สิ่งที่ทำให้ประสพความสำเร็จคือสิ่งที่ได้ระหว่างกระบวนการที่ทำให้ได้มันมา และสิ่งนี้ไม่ได้จากการแค่ไปทำปริญญามาเท่านั้น (วิธีอื่นมีเยอะแยะ)

ถ้าหวังจะแค่พึ่งปริญญาเพื่อประสพความสำเร็จ ... คิดใหม่เถอะครับ (ไม่ได้บอกจขกท. แต่บอกหลาย ๆ คนที่คิดแบบนี้)

สิ่งที่ว่านี้คืออะไร ผมว่า คำตอบของหลาย ๆ คนก็คงไม่เหมือนกัน ก็ลองคิดดูเล่น ๆ ก็ได้ครับว่าสำหรับคุณมันคืออะไรนะ


  • 9tawan.net บล็อกส่วนตัวฮับ
By: loptar on 6 December 2010 - 21:27 #238333
loptar's picture

เป็นมนุษย์เงินเดือน เลี้ยงตัวเองได้เรื่อยๆ แต่โอกาสรวยน้อย ได้แค่พออยู่พอกิน
เป็นผู้ประกอบการ มีโอกาสรวยเละเทะได้ แต่โอกาสล้มเหลวยิ่งมากกว่า

อยู่ที่กล้าที่จะฝัน กล้าทำตามฝันมั้ย รับได้หรือไม่ถ้าไม่เป็นตามฝัน แล้วถ้าล้ม ยังมีแรงจะลุกได้อีกกี่ครั้ง

ผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จ ความรู้เป็นแค่ส่วนประกอบ สิ่งที่ต้องมีมากกว่าใครๆ คือต้องอึด ต้องแกร่ง ล้มแล้วลุกขึ้นได้ทุกครั้ง ไม่ยอมแพ้ง่าย

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 6 December 2010 - 21:40 #238338 Reply to:238333
DesertWasabi's picture

@loptar สิ่งที่ต้องมีมากกว่าใครๆ คือต้องอึด ต้องแกร่ง ล้มแล้วลุกขึ้นได้ทุกครั้ง ไม่ยอมแพ้ง่าย

เสริมครับ ผมว่าความอึด ความแกร่ง ไม่ยอมแพ้ และล้มเเล้วลุกขึ้นได้ทุกครั้ง น่าจะมีอยู่ในคนที่เล่นเกมส์แนวต่างๆ กันแทบทุกคนครับ :D เพราะว่าบางครั้งต้องสู้กับบอสไม่รู้กี่สิบรอบ เพียงเพื่อจะไปให้ถึงฉากจบเท่านั้น แต่พอกลับมาในชีวิตจริง หลายๆ คนเลือกที่จะยอมแพ้ เมื่อล้มเพียงไม่กี่ครั้ง ถ้าสู้ยิบตาในชีวิตจริงเป็นสิบๆ รอบเหมือนในเกมส์ก็คงดีครับ เป็นข้อสังเกตฝากไว้ครับ

By: จักรนันท์ on 6 December 2010 - 21:57 #238341 Reply to:238338

ยกเว้นคนเปิด Cheat เล่นครับ

ปล. ผมเห็นลูกๆ หลานๆ เพื่อนฝูงหลายๆ คนทำอย่างนั้น แล้วยังคุยแข่งกันได้ ซึ่งผมงงมาก ว่าเอาตรงไหนไปคุยแข่งกันนะ

By: mr_tawan
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 6 December 2010 - 22:01 #238342 Reply to:238341
mr_tawan's picture

คนเปิดบอทด้วยครับ อิอิ


  • 9tawan.net บล็อกส่วนตัวฮับ
By: kowito
Android
on 6 December 2010 - 23:54 #238380 Reply to:238342

เปิดบอทไม่นับ เห็นเพื่อนหลายคนเขียนโปรแกรมไม่เป็น เขียน Script โคตรเทพ

By: mementototem
ContributorJusci's WriterAndroidWindows
on 7 December 2010 - 09:44 #238478 Reply to:238380
mementototem's picture

ถ้าบอทแข่งกันผมก็ถือว่าเขาเก่งกันนะ แต่บอทแล้วไปข่มคนเล่นตามปกติผมว่า มันน่าเกลียด


Jusci - Google Plus - Twitter

By: lamunorp
Symbian
on 7 December 2010 - 12:24 #238533 Reply to:238338

เพราะชีวิตจริงมันไม่ใช่เกมส์ที่เราแพ้แล้วจะกลับไปอยู่ที่ตอนก่อนเข้าฉาก
การแพ้ในชีวิตจริงอาจต้องจ่ายราคาที่แพงกว่ามากมาย นั้นคือเวลา ความไววางใจ
และบางสิ่งบางอย่างที่มันไม่อาจย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้
เมื่อเปรียบเวลาในโลกแห่งนี้กับเกมส์ มันมีอะไรมากมายกว่าที่จะเข้าใจ

อยากประสบความสำเร็จมันประกอบไปด้วย
การรักในสิ่งที่ทำ
การทำอย่างขยันหมั่นเพียร ที่เรียกกันว่าการทำงานหนัก
จดจอในสิ่งที่ทำ ไม่วอกแวกไม่ลังเล ไม่ย่อท้อ
รู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ทบทวนในสิ่งที่ทำ
คนในโลกนี้รักในสิ่งที่ทำ ขยันทำ ตั้งใจทำ แต่วิธีการที่ทำไม่ถูกต้องมันก็ต้องล้มเหลว
ถ้าวิธีการที่เราทำมันได้ผลลัพธ์เดิมที่เราไม่ต้องการมันก็ต้องเปลียนวิธีทำใหม่
เหมือนที่โทมัส เอดิสันเปลียนวิธีทำหลอดไฟเป็นร้อยเป้นพันครั้ง

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 12:29 #238535 Reply to:238533
DesertWasabi's picture

+1 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ

By: xxxooo
Windows PhoneWindowsIn Love
on 6 December 2010 - 23:03 #238353

คนกลุ่มนั้นเค้ามองเห็นทางสำเร็จ และทางสำเร็จของคนกลุ่มนั้น พวกเขาเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องการ ปริญญา

และแน่นอนว่าคนกลุ่มนั้น หากเค้าเลือกจะเรียน (ย้ำนะครับ ว่าคนเหล่านั้น หลายคนเลือกที่จะไม่เรียน ไม่ใช่ไม่มีปัญญาเรียน) เค้าสามารถคว้าปริญญา มาได้ง่ายๆแน่นอน

ประเด็นคือ คนที่จะทำยังงี้ได้ เป็นชนกลุ่มน้อยของโลก หากคุณคิดว่า คุณเป็น 1 ใน ชนกลุ่มน้อยเหล่านั้น คุณก็ไม่จำเป็นจะต้องมี ปริญญา

By: stonefox on 6 December 2010 - 23:31 #238365

การได้ปริญญาเป็น การ Guarantee ความมีอยู่มีกินขั้นต่ำ หรือ ขั้นมาตรฐานครับ

แต่ความสำเร็จ (ทางการเงิน และอื่น ๆ) ไม่จำเป็นต้องใช้ปริญญาครับ มันไม่มีสูตรตายตัว แต่ละคนก็มีทางของตัวเองครับ อย่าไปเข้าใจผิดว่า คนไม่ได้เรียนอะไร จะต้องด้อยกว่า คนจบปริญญาเสมอไป

คนที่ไม่จบการศึกษาใด ๆ เลย Range ความสำเร็จและความล้มเหลวกว้างกว่า และไม่มีมาตรฐานขั้นต่ำให้พออุ่นใจครับ เลยมีลักษณะคือ ถ้าไม่ด้อยไปเลย ก็ดีไปเลย

ปริญญากับความสำเร็จ (เกินขั้นพื้นฐาน) เลยเป็นคนละเรื่องกัน

By: jirayu
ContributorWindows PhoneBlackberrySymbian
on 7 December 2010 - 00:03 #238386

ถ้าเอาสรุปง่ายๆ เพราะพวกเขาเป็นแค่ "บางคน" จริงๆ ยังไงล่ะครับ


By: lew
FounderJusci's WriterMEconomicsAndroid
on 7 December 2010 - 01:07 #238404
lew's picture

ผมเคยดูเรื่อง Crossing Over ตอนกล่าวต้อนรับคนเข้าเป็น citizen ของอเมริกาก็พูดไว้ดีครับ ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แต่สหรัฐฯ จะให้โอกาสทุกคน

การศึกษาก็เหมือนกันครับ มันแค่ทางเปิดโอกาส ถ้ามีโอกาสอื่นๆ ที่ดีกว่า รวมถึงกรณีที่เราไม่อยากใช้โอกาสที่ได้มาเช่นเรียนคอมแล้วพบว่าชอบศิลปะ ผมก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรที่จะเลือกเส้นทางอื่น

จุดหนึ่งที่คุณต้องตระหนักในคนที่คุณพูดถึงคือทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีเยี่ยมนะครับ แต่เขาเลือกจะไม่เรียนต่อจนได้รับปริญญาเท่านั้นเอง


lewcpe.com, @wasonliw

By: tunnnnnn
iPhoneSymbian
on 7 December 2010 - 06:25 #238436 Reply to:238404
tunnnnnn's picture

เห็นด้วยกับ "ท่าน lew"
และ ขอเสริมว่า "การศึกษา" และ "ความเก่ง และ รวย" ไม่ได้แปลผันตามกัน เสมอ
"การศึกษา" เป็นแค่ตัวสร้าง "โอกาส" ที่ดีขึ้น
และ "การที่จะ เก่ง และ รวย" ไม่ได้ใช้ แค่ "การศึกษา" เท่านั้น แต่ยังต้องใช้ "ไหวพริบ, ความสามารถในการเข้าสังคม และ ตรรกะวิธีการแก้ปัญหา ที่ถูกต้อง" ซึ่งตรงนี้ไม่มีสอน ในมหาลัยโดยตรง แต่ขึ้นอยู่ กับ "พื้นฐานครอบครัว และ ประสพการณ์ชีวิต" ของแต่ละบุคคล

แต่จะว่าไป ไม่อยาก ให้ เด็กๆรุ่นใหม่ คิดว่า "อยากรวย หรือ มีเงินเยอะ" เพราะ จริงๆ แล้ว การรู้จักพอ และ ไม่ยึดติด กับค่านิยมของสังคม มีสติ ทำชีวิตให้ลงตัว มีสุขภาพที่แข็งแรง ทำอะไรให้สังคมบ้าง ต่างหาก ที่ จะทำให้ ทุกคน สามารถ "ประสบความสำเร็จ" ในชีวิตได้...
.
.
.
.
.
"ประสบความสำเร็จ = พื้นฐานครอบครัว x ความสามารถไหวพริบส่วนบุคคล (ยกกำลังด้วย) การศึกษา"

By: tontpong
Contributor
on 7 December 2010 - 07:02 #238440 Reply to:238404

เสริมว่า.. นอกจาก 'ทุกคนเข้ามหาลัย แค่ออกก่อนเรียนจบ'
ทุกคนที่พูดถึงก้อได้ partner+โอกาส จากมหาลัยนั่นแหละ

ส่วนตัว..
ใช้กระดาษนั้นหนนึงตอนต่อโท ไม่ัได้หางานเลย งานมาหา

แต่มีลูกหลาน ก้อจะเข็นให้มันเข้ามหาลัย ได้เกรดไรไม่สน
ขอแค่ "นู๋เอ้ย รุจักคนไว้เยอะๆ สนอ่านไรอ่าน สนทำไรทำ"

เดวนี้ คนที่ส่งๆ งานให้ นอกจากคนที่ส่งให้ตั้งแต่สมัยเรียน
โดยมากก้อเพื่อนพ้องน้องพี่นี่ล่ะ ที่ส่งงานให้หรือรับช่วงไป
และหลังๆ นี้.. ก้อจะเปนคนรุจักของเค้าเหล่านั้นอีกต่อหนึ่ง

พอมีรุจักนอกคณะบ้าง แว้บไปเรียนกะสิงห้องสมุดเค้าบ่อย
มหาลัยเซฟค่าหนังสือให้แยะ (ยุคนั้นยังหาอ่านในเนตยาก)

ของให้ลองก้อมีเยอะ วันไหนไม่มีจ้อบ มักขลุกแลบยันปิด
ก้อมิได้เก่งร้อก เพราะที่อ่านๆ ลองๆ น่ะ ไม่ใช่ที่สอน/สอบ
แทนที่จะใช้เวลา.. ทำการบ้าน/หัดโจทย์/อ่านทวนอ่านล่วง
ส่วนมากหมดไปกะเรื่องนอกหลักสูตร เกรดเลยเรี่ยราดมั่ก

ไม่ได้จะบอกว่าเปนเรื่องดีไม่ดี.. แค่จะบอกเล่าเอาไว้เฉยๆ

By: Perl
ContributoriPhoneUbuntu
on 7 December 2010 - 01:22 #238408
Perl's picture

ตัวอย่างที่ยกมาแต่ละคน.. = =" สมัยก่อนทั้งนั้น..

ลองดูในสมัยนี้สิครับ มันก็ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนแล้ว
ทุกวันนี้คนเราแข่งกันขนาดไหน ก็คงรู้อยู่

ถึงคุณจะมองว่า ปริญญามันจะไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
แต่อย่างน้อย.. ปริญญานั้น คือใบเบิกทางขั้นแรกของการหางาน
(จะเป็นเจ้าของกิจการได้ก็ต้องมีทุน(เงิน+ประสบการ์ณ) ซึ่งไม่ใช้ทุกคน ที่จะมีทุนติดตัวมาได้ตั้งแต่เกิด
[ลำพังเปิดกิจการสมัยนี้ ไม่มีความรู้ด้านการตลาดหรือความเชี่ยวชาญในสายงานก็เจ๊งบ๊งอีก..])

ยุคสมัยนี้ คนที่ไม่มีศักยภาพไม่สูงพอ ก็จะไม่สามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้
นี่มันไม่ใช่ยุคบุกเบิกแล้วนะครับ ยิ่งคุณแสดงศักยภาพได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับการยอมรับในสังคมมากเท่านั้น
ลำพังแค่ขนเสื่อผืน หมอนใบ ไปหางานทำ อย่างเก่ง.. ได้งานใช้แรงงานครับ
(เช่นเดียวกับงาน IT สมัยนี้ ใช้หมอนไปสมัครไม่ได้ ก็ใช้ Cert อีก)

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 01:53 #238416 Reply to:238408
DesertWasabi's picture

ตัวอย่างที่ยกมาแต่ละคน.. = =" สมัยก่อนทั้งนั้น.. ลองดูในสมัยนี้สิครับ มันก็ไม่ได้เหมือนสมัยก่อนแล้ว

จะเป็นเจ้าของกิจการได้ก็ต้องมีทุน(เงิน+ประสบการ์ณ) ซึ่งไม่ใช้ทุกคน ที่จะมีทุนติดตัวมาได้ตั้งแต่เกิด

ก็จริงอยู่ครับที่ยกมา มันคนสมัยก่อน(ที่บางคนยังไม่ตายจากไป?) มันอาจจะดูเป็นเรื่องสมัยก่อนและดูเก่า แต่ความคิดที่ว่า "ต้องมีเงินทุนก่อน" หรือ "ต้องใช้เงินต่อเงิน" ก็ดูจะเป็นความคิดที่เก่าและเคยถูกต้องในสมัยเก่าๆ เหมือนกันครับ

ผมให้คุณลองนึกถึงใครบางคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์หนึ่งที่กำลังดังทั่วโลก พูดชื่อปุ้บ หาคนใช้อินเตอร์เน็ตที่ไม่รู้จักเว็บไซต์นี้ได้ยากมาก คุณก็ลองดูแล้วกัน ว่าอายุของเขาคนนั้นเท่าไหร่? บางทีคุณอาจจะคิดใหม่อีกรอบก็ได้ว่า สิ่งที่คุณว่ามันเป็นเรื่องของสมัยก่อนไม่เหมือนกับสมัยนี้ บางทีอาจจะยังคงเหมือนกันอยู่

ส่วนเรื่องทุน ถ้าคุณมีไอเดียแต่ไม่มีทุน ทำไมคุณไม่ลองออกไปหาคนที่จะลงทุนกับไอเดียของคุณดูละครับ?

By: narok119
ContributoriPhone
on 7 December 2010 - 07:49 #238445 Reply to:238416

ขอให้ความเห็นเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอย่างเดียวนะครับ

ผมขอยืนยันอัตราคนประสบความสำเร็จระหว่างคนที่มีปริญญา กับ คนไม่มีปริญญา ของสมัยนี้ กับ สมัยก่อน ว่ามันไม่เหมือนกันจริงๆครับ แม้มันอาจจะมี outlier ประเภทไม่เรียนแต่รวยเละเทะหลุดมาแบบสมัยก่อนบ้าง แต่จำนวนน้อยกว่าอย่างเป็นนัยยะสำคัญ และ เห็นได้ชัดแน่นอน

และคนที่คุณกำลังเอ่ยถึง (ไม่ว่าจะ Mark หรือ Bill gates) เขามีความสามารถระดับที่สอบเข้า Harvard ได้นะครับ ความสามารถระดับนั้นสามารถการันตีความ outlier ของเค้าได้แล้วครับ ว่าเค้าไม่ใช่มนุษย์เดินดินปกติทั่วๆไปแบบเราๆท่านๆแน่นอน แล้วเขาทั้งสองก็เลือกที่จะลาออกมาเพื่อทำในสิ่งที่เขาคิดว่ามีประโยชน์กับตัวเค้ามากกว่า ไม่ใช่ว่าเรียนไม่ไหวเลยลาออกมานะครับ

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:49 #238524 Reply to:238445
DesertWasabi's picture

ก็จริงครับ จำนวนแบบคนที่ผมยกมามันน้อย แต่ถ้านับรวมคนที่รวยแบบไม่ถึงระดับเขาด้วย (ระดับล้าน,สิบล้าน,ร้อยล้าน,พันล้าน) มันก็ยังมีเยอะอยู่พอสมควร เรื่องแบบนี้มันมีที่มาที่ไปครับ

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าพวกเขาก็มนุษย์เดินดินปกติทั่วๆ ไปแหละครับ เพียงแต่บริหารเวลาเป็น รู้ว่าชอบอะไร ต้องการทำอะไรในชีวิต มีเป้าหมายชัดเจน มีความกล้า ฯลฯ และ--ไม่ดูถูกสติปัญญาของตนเอง--- คนเราที่เกิดมามันก็เก่งระดับสุดยอดกันทุกคนแหละครับ อยู่ที่ว่าเราจะหาสิ่งที่เราเชี่ยวชาญและรักชอบที่จะทำเจอหรือไม่

คุณลองนึกดูสิครับ ก่อนคุณจะเกิดมา คุณชนะผู้อื่นมากี่ล้านแล้วเกิดมาได้ แต่พอเกิดมา หลายๆ คนกลับเชื่อคำพูดคนอื่นว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ได้หรือไม่ได้ เลยทำให้เราหยุดที่จะค้นหาศักยภาพของเราเอง แล้วก็กลายเป็นคนที่ได้แต่ยืนมองคนอื่นเหนือกว่า และหลงเชื่อไปว่าตัวเองคงเป็นแบบนั้นหรือได้สักเสี้ยวหนึ่งของเขาก็ไม่ได้ ถ้าคุณได้อยู่ "อีกด้านของโต๊ะ" คุณก็อาจจะมองพวกเขาว่าเก่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมองว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์เดินดินปกติทั่วๆ ไปก็ได้ ผมเห็นคุณ narok119 ชอบ iphone งั้นผมขอยกคำพูดของเจ้าของ iphone มาละกัน

@สตีฟ จ๊อปส์ "ชีวิตของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง"

By: narok119
ContributoriPhone
on 7 December 2010 - 14:00 #238564 Reply to:238524

ขอบคุณมากครับ อ่าน quote แล้วฮึกเหิมสุดๆเลยครับ

ผมก็แค่มาพูดในเชิงสถิติเท่านั้นครับ
มันไม่ใช่โลจิกประเภทว่าเข้ามหาวิทยาลัยได้ถือว่าเป็นคนเก่ง หรือ เข้าไม่ได้หรือไม่ได้เข้าแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ โท่งๆแบบนั้น

เพียงแต่ช่วง 20-30 ปี ที่ผ่านมานี้มันมีหลักค้ำประกันที่เกิดจากค่านิยมสังคมโลกอยู่อย่างหนึ่ง คือเด็กคนไหนหากสอบเข้ามหาวิทยาลัย(อันดับดีๆ)ได้ แล้วยังสามารถสำเร็จการศึกษาได้ก็แปลว่าพวกเขาเหล่านั้นมีคุณสมบัติเรื่องความรับผิดชอบ และ มันสมองที่อยู่ระดับเหนือกว่าคนส่วนใหญ่แน่นอน และด้วยวิธีคิดแบบนี้ โอกาสทางสังคมก็จะเปิดให้กับกลุ่มคนที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย(อันดับดีๆ)มากกว่า

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 14:09 #238569 Reply to:238564
DesertWasabi's picture

+1 ต่อไปเวลามอง iphone คงต้องนึกถึงคำพูดของเจ้าของเค้าด้วยนะครับเนี่ย :D

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 15 December 2010 - 21:31 #241648 Reply to:238569
EThaiZone's picture

หลุมพรางของศาสดาจ็อบเหรอครับ 555+

ผมว่าเจอ iPhone มันก็น่าตกจริงๆ นั้นแหละ ถ้ามีให้ฟรีสักเครื่อง


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: Perl
ContributoriPhoneUbuntu
on 7 December 2010 - 08:57 #238461 Reply to:238416
Perl's picture

ผมจบ ม เอกชนธรรมดาครับ ไอเดียตอนนี้ยังไม่มีครับ
และก็กำลังหาประสบการณ์จากการทำงานอยู่ครับ
ส่วนโครงการในอนาคต มีครับ แต่ไม่สามารถทำได้หากผมไร้ประสบการณ์และคู่ค้าครับ
ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังพยายามทำความรู้จักกับบุคคลคนต่างๆหลากหลายที่อยู่ในวงการอยู่ครับ

ผมพูดในฐานะของบุคคลธรรมดาหน่ะครับ
คือตอนผมจบมาใหม่ๆ หางานไม่ได้เลยครับ (แล้วประสบการณ์จะมาได้ยังไงละเนี่ย..)
ผมจึงพยายามอ่านหนังสือสอบ Cert มา เพื่อสมัครงาน ผลก็คือ ได้ทำบริษัทใหญ่
ใช้เวลาสมัครงานแค่ 1 อาทิตย์ครับ.. ดังนั้น กระดาษแผ่นหนึ่งยังไงก็มีค่าครับ โดยเฉพาะบ้านเรา
เพราะมันใช้วัดคุณสมบัติขั้นต่ำของผู้สมัครก่อนรับเข้าทำงานครับ ถ้าไม่มีอะไรเลย ยากที่จะรับครับ นอกจากใช้เส้น

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 12:42 #238537 Reply to:238461
DesertWasabi's picture

ผมจบ ม เอกชนธรรมดาครับ ไอเดียตอนนี้ยังไม่มีครับ และก็กำลังหาประสบการณ์จากการทำงานอยู่ครับ ส่วนโครงการในอนาคต มีครับ แต่ไม่สามารถทำได้หากผมไร้ประสบการณ์และคู่ค้าครับ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังพยายามทำความรู้จักกับบุคคลคนต่างๆหลากหลายที่อยู่ในวงการอยู่ครับ

+1

By: PaPaSEK
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 7 December 2010 - 01:21 #238410
PaPaSEK's picture

ผมแค่มาเขียนไว้ เผื่อมีน้องๆ มาอ่าน

คนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน เค้าเห็นว่าถ้าเรียนต่อไปก็คงไม่ได้อะไรมากกว่าที่เค้ารู้ในปัจจุบัน เค้าจึงออกมาคว้าฝัน และประสบความสำเร็จ

กลัวว่าจะมีน้องๆ จะเข้าใจผิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องไม่เรียนหนังสือ

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 01:35 #238412 Reply to:238410
DesertWasabi's picture

+1 การศึกษาขั้นพื้นฐานก็ยังคงจำเป็นอยู่ อ่านไม่ออก เขียนไม่ไ้ด้ คงไปต่อยอดความรู้อื่นๆ ได้ลำบาก

By: netfirms
iPhoneAndroidWindows
on 7 December 2010 - 08:54 #238458 Reply to:238410
netfirms's picture

เห็นด้วยอย่างมากมากเลยครับ

By: netfirms
iPhoneAndroidWindows
on 7 December 2010 - 09:08 #238455
netfirms's picture

วิธีการเรียนรู้ของคนแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

By: shikima
Windows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 09:11 #238466 Reply to:238455

ความรู้อยู่ในมือเราเองครับ

ทำแล้วผิดพลาด = ความรู้
ทำแล้วประสบความสำเร็จ = ความรู้

หอสมุดเดี๋ยวนี้เป็นที่
- นอน (แต่ไหนแต่ไร)
- เล่นเน็ต
- นัดเจอ
- กินข้าว (บางที่มีโรงอาหารในตัว)
- และอื่นๆ

คนไทยต้องรักการอ่านมากกว่านี้อีกหลายเท่าเลย

By: netfirms
iPhoneAndroidWindows
on 7 December 2010 - 11:17 #238513 Reply to:238466
netfirms's picture

แฮ่ะๆ ตอนผมเรียนผมก็ชอบเข้าห้องสมุดไปหาความรู้อื่นๆนะ ผมรู้สึกว่าความรู้ทุกแขนงมันเชื่อมโยงกันหมด ส่วนที่คุณยกมามันก็มีอยู่จริงๆครับอิอิ

ป.ล. ผมขอแก้ไขคำตอบข้างบนนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าคอมเม้นผมมันไม่เคลียร์

By: wichate
Android
on 7 December 2010 - 09:05 #238464

ความสำเร็จ คืออะไรฮะ

แต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะ เรียนมาเพื่อเป็นลูกจ้างเขา บอกตรงๆว่ายังไงก็ไม่รวย
ถ้าเรียนสูงแล้วอย่าไปสมัครงานนะครับ มาทำธุรกิจเองดีกว่า

อิอิ. แต่บางคนไม่รวยก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกันนะฮะ แล้วแต่ว่าชอบแบบใหน

ปล.ผมคิดว่าการร่ำเรียน คือการเอาความรู้ที่คนอื่นรู้อยู่แล้ว มาสอนเราอีกที
มันยังไม่เจ๋งพอครับ
คนที่เก่งๆ คือคนที่มีความคิดความฝัน ในระดับที่สอนกันไม่ได้แล้ว เขาก็เลยเลือกที่จะไม่เรียนดีกว่า 55++

ดูอย่างผมซิ จบเกษตรมายังมาเป็นโปรแกรมเมอร์ได้เลย
แสดงว่าการจะเป็นโปรแกรมเมอร์เนี่ย ไม่ต้องเรียนก็ได้ อิอิ (ไม่ต้องเรียนในห้องเรียน แต่ต้องเรียนไปฟร้อมๆกับการใช้ชีวิตของเรา)

สุดท้ายนี้ผมคิดว่า
- ไมเคิลเดลล์
- สตีฟจอปส์
- บิลเกตส์
- โทมัส เอดิสัน

บุคคลเหล่านี้เขาเรียนนะครับ เรียนไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตของเขา
เรียนในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่ มหาวิทยาลัยใดๆในโลกจะสอนคนอย่างพวกเขาได้

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:31 #238520 Reply to:238464
DesertWasabi's picture

+1

By: narok119
ContributoriPhone
on 7 December 2010 - 14:23 #238573 Reply to:238464

+1 โดนครับโดน

By: supagarn
Android
on 7 December 2010 - 22:43 #238745 Reply to:238464
supagarn's picture

+1 ชอบมากเลยครับ เรียนไปพร้อมกับใช้ชีวิต

By: EThaiZone
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 15 December 2010 - 21:33 #241652 Reply to:238464
EThaiZone's picture

+1 มีหลายคนเรียนตามระบบการศึกษาแบบไร้ชีวิต เรียนไปงั้นๆ จบมางั้นๆ ใครถามจะทำอะไรต่อไปตอบว่า อะไรก็ได้ ทำไปงั้นๆ แล้วก็ใช้ชีวิตแบบงั้นๆ


มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB

By: Zatang
ContributoriPhoneAndroid
on 7 December 2010 - 10:07 #238483

เพราะความรู้ไม่ได้มีแค่ในมหาวิทยาลัย

หลายคนที่เรียนอยู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร คนเหล่านั้นเค้ารู้และเลือกที่จะมุ่งไปสิ่งที่เค้าอยากทำ ส่วนตัวผมเองก็ยังต้องเลือกเรียนให้รู้ไปก่อนแหละครับ

"ผมเลยชักสงสัยว่าโลกยุคที่เราอยู่ตอนนี้ ปริญญาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องไขว่คว้ามาให้ได้เพื่อจะประสบความสำเร็จรึเปล่า"
ปริญญาไม่จำเป็น แต่ที่จำเป็นคือความรู้ครับ


อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:30 #238519 Reply to:238483
DesertWasabi's picture

@Zatang ปริญญาไม่จำเป็น แต่ที่จำเป็นคือความรู้ครับ

ดูท่าจะจริงในยุคข้อมูลข่าวสารนี้ครับ

By: ZeroEngine
ContributorRed HatSUSEUbuntu
on 7 December 2010 - 11:16 #238511

"โอกาส"


[Blog ZeroEngine] [@ZeroEngines]

By: sarunw
Contributor
on 7 December 2010 - 11:50 #238525

ต้องถามก่อนว่าคุณมีจุดมุ่งหมายไหม เขาเหล่านั้นที่คุณยกมาเค้ามีจุดมุ่งหมายของเขาและทุ่มเทให้กับมันอย่างมาก (มากกว่า 4 ปีในรั้วมหาลัยของเราๆ ที่เรียนๆเล่นๆ) แน่นอนย่อมมีเรื่องของโอกาสและเวลามาเกี่ยวข้อง

แต่ผมคิดว่าคนเราต้องมีจุดมุ่งหมายก่อน ไม่ใช่ไหลไปตามกระแสสังคม จะเป็นลูกจ้างก็ได้ถ้าคุณรู้ว่ากำลังอยู่ตรงจุดไหนของการเดินทางของคุณ ซักวันเมื่อคุณถึงจุดมุ่งหมายของคุณ ผมว่านั้นมันก็คือความสำเร็จนะ มันไม่ได้วัดกันด้วยตัวเงินหนิ


My iOS apps
My blog

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:52 #238527 Reply to:238525
DesertWasabi's picture

+1

เสียดายที่ยังมีอีกหลายคนไหลตามกระแส แล้วไม่รู้ว่าจุดหมายของตัวเองคืออะไร เรื่องนี้ต้องช่วยกันครับ

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 7 December 2010 - 11:51 #238526
DesertWasabi's picture

ดูเหมือนว่า เรายังต้องทำงานกันอีกเยอะครับ

กว่าจะปลุกให้คนไทยหลายๆ คนรู้สึกตัวว่า เราไม่ได้ด้อยกว่าชาติอื่น นอกจากเราจะคิดไปเอง

By: lilybluecat
iPhoneWindowsIn Love
on 7 December 2010 - 12:51 #238539
lilybluecat's picture

ผมว่าการเข้าไปเรียนจนจบปริญญาออกมา ไม่ใช่เพื่อเข้าไปหาความรู้เพียงอย่างเดียว ได้อีกหลายๆอย่างมากมายที่ ไม่ใช่ความเก่ง และความรู้ ครับ

By: juliusds
AndroidUbuntuWindows
on 7 December 2010 - 13:15 #238551
juliusds's picture

ผมว่ามันได้สังคมด้วยนะครับ ถ้า มาร์คไม่เข้ามหาลัย จะมี facebook มั๊ย ถ้าบิลไม่เข้ามหาลัยจะมีเพื่อนแล้วทำ microsoft มั๊ย เค้าจะมีไอเดียดี ได้สังคม ดีๆ เพื่อนที่รู็ใจทำงานด้วยกันมั๊ย ผมว่ามันไม่ค่อยจำเป็นครับ แต่มันได้สังคม ไม่ว่้าจะดีหรือไม่ดี

By: kurosame
ContributoriPhone
on 7 December 2010 - 14:33 #238577
kurosame's picture

ลองมโนภาพว่าคุณอยู่บนเครื่องบินตกที่กำลังตกกลางทะเล ได้เรือชูชีพมาลอยอยู่กลางทะเล สมมุติว่าจุดมุ่งหมายคือคุณกำลังจะเดินทางไปอังกฤษ อันดับแรกคุณต้องรู้ว่าอังกฤษที่คุณอยากไปมันมีลักษณะอย่างไร เกาะทุกเกาะที่คุณแวะจะใช่เกาะที่คุณตามหารึเปล่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าอังกฤษที่คุณอยากไปเป็นอย่างไร รับรองว่าทั้งชีวิตคุณก็หาอังกฤษไม่เจอแน่ๆ

ความสำเร็จก็เหมือนกัน เราไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยถ้าไม่รู้จักกับมันก่อน ลองทำความรู้จักผ่านจินตนาการเราหนิหล่ะว่าอะไรคือความสำเร็จ เราทำแล้วเราได้อะไรที่อะไรหรือเราจะเสียอะไรที่คุ้มพอจะให้เราทำ

หลังจากนั้นคือการเดินทางจะตามมา คุณต้องรู้ว่าอังกฤษอยู่ไหน คุณอยู่ไหน อีกนานมั้ยกว่าจะถึง คุณจะไปยังไง แบบไหนที่จะไปถึงเร็วแล้วคุณต้องลงทุนอะไรบ้าง ฯลฯ

การจบปริญญาเรัยนสูงๆ ก็พอเทียบได้ว่าคุณพายเรือเป็น ไม่ได้รับรองว่าคุณจะไปถึงอังกฤษ เพราะคุณอาจจะพายวนไปวนมาอยู่แถวนั้น คนที่ไม่ได้เรียนจบก็อาจจะพายเรือเป็นเช่นกันแต่ถ้าเค้ารู้เป้าหมายเค้าก็ไปถึงที่หมายครับ


{$user} was not an Imposter

By: Seqzylin on 7 December 2010 - 14:43 #238579

เพราะคนเหล่านั้น กล้าครับ กล้าที่จะออกจากระบบเดิม ๆ กล้าที่จะคิดให้แตกต่าง
ยืนหยัดในความคิด พินิจพิสูจน์จนได้มา
แล้วเรามาถามตัวเองสิครับว่ากล้าใหมที่จะออกจากระบบเดิม ๆ
เราก็ยังเข็ญลูกหลานแบกกระเป๋าโตกว่าตัวไปเรียนตั้งแต่ "เตรียมอนุบาล"
เคี้ยวเข็ญให้ต้องเก่ง เก่งที่หนึ่ง ไม่ได้เล่นไม่ได้มีความรู้รอบตัวจริง ๆ
มันเลยขาดจินตนาการ สุดท้ายก็กลัว แล้วก็ดำเนินไปตามระบบเดิม ๆ

By: tekkasit
ContributorAndroidWindowsIn Love
on 7 December 2010 - 16:06 #238605
tekkasit's picture

เค้ามีจินตนาการ เค้าเกิดในยุคที่คลื่นลูกใหม่กำลังมา คลื่นที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ (they want to change the world) มีภาพของโลกที่เค้าเห็น (vision) มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการทำมันให้เป็นจริง (discipline) และเค้าเหล่านั้นที่คุณยกมาไม่ได้ทำงานประจำ!

By: panther
ContributorAndroidUbuntuWindows
on 7 December 2010 - 16:44 #238617
panther's picture

พวกที่ว่ามาเค้าเก่ง(มาก)ครับ คือเข้าเรียนได้ แต่ไม่ยอมเสียเวลาเรียนจนจบ ออกมาทำงานแล้วถึงรวย(มาก) ไม่ใช่ว่าเรียนไม่จบแล้วถึงเก่งแล้วรวย ถ้าจะเอาแบบคนที่ว่าต้องเก่งมากๆ ก่อนครับอย่างแรก ไม่ใช่เรียนไม่จบก่อน

ส่วนตัวผมมองคนที่เรียนจบ แล้วประสบความสำเร็จดีกว่า หรืออย่างน้อยๆ ก็คนที่ค้นพบอะไรระหว่างเรียน
เช่น ถ้าปรินกับเพจไม่เรียนเอกก็คงไม่มีมีกูเกิล หรือจะ youtube หรือแม้แต่ LLVM อะไรพวกนั้น

By: sathdr
iPhoneAndroidSymbian
on 7 December 2010 - 16:47 #238620
sathdr's picture

ถ้ามีไอเดีย รู้ว่าจะทำอะไร ต้องทำยังไงให้ชีวิตประสบความสำเร็จ ไม่ต้องเรียนก็ได้ครับ

แต่ถ้าชีวิตไม่มีอะไร อย่างน้อยไปเรียนให้จบก็น่าจะดีกว่านะครับ

คนเรียนไม่จบปริญญา แล้วยังต้องทำงานหนัก ยากจน มีอีกเยอะครับ

By: Fzo
ContributorAndroid
on 7 December 2010 - 17:03 #238627
Fzo's picture

+1000000000000000

ไม่มีอะไรจะพูดครับ ผมขอยกให้เป็นกระทู้แห่งปีครับ ได้อะไรๆ เยอะเลยทีเดียว ขอบคุณ จขกท. และทุกคอมเม้นต์


WE ARE THE 99%

By: dafty
AndroidWindowsIn Love
on 7 December 2010 - 17:47 #238640

100 คนคิด
10 คนทำ
1 คนสำเร็จ

ใช้ได้เสมอกับทุกคน ไม่ได้สำคัญว่าจะเรียนสูงหรือไม่...

By: nblue
Android
on 7 December 2010 - 23:15 #238759
nblue's picture

ของอย่างงี้ไม่ได้อยู่ที่เรียน หรือไม่เรียน มันอยู่ที่คน

เรื่องเรียน ถ้ามีโอกาส ก็เรียนเพื่อเอาความรู้ให้มากที่สุด ไม่ได้เรียนเพื่อเอาปริญญาอย่างเดียว สำหรับเราแล้วการเรียนถือในสถาบันฯว่าเป็นการย่นระยะเวลาที่จะต้องใช้ในการหาประสพการณ์ ความรู้ต่างๆ เพราะมีคนที่เขาเป็นแล้ว เก่งแล้ว มาถ่ายถอดให้ถึงที่ ถ้าเรียนอย่างตั้งใจก็จะได้พื้นฐานความรู้ที่แน่น ออกมาเจออะไรในการทำงานจะได้ไม่เหวอ และถ้าจะให้ดีเข้าไปใหญ่ตอนเรียนอยู่ก็ทำงานเสริมในเรื่องที่สนใจไปด้วย เป็นการเพิ่มประสพการณ์ชีวิต(และเงินในกระเป๋า)

แต่สำหรับคนที่กล่าวถึงมา หลายๆคนก็เข้ามหาลัยเพื่อเรียน แต่ที่ออกมากลางคันเพราะมองเห็นโอกาส ซึ่งพอออกมาแล้วเขาก็ทำโอกาสนั้นให้เป็นความสำเร็จได้จริงๆ แต่มันก็ต้องมีคนที่ทำอย่างพวกเขาแต่ไม่ประสพความสำเร็จ เราก็อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อกัน เลยนึกว่าคนที่ทำอย่างนี้สำเร็จไปซะหมด(ทฤษฎีถูกหวย ถูกทีคนรู้ทั้งตำบล ถูกกินปิดเงียบไม่บอกใคร) เพราะงั้นถ้าเห็นโอกาสแล้วคิดว่าทำได้ ก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่าถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิดจะทำไงต่อ ถ้ากล้าได้กล้าเสียก็ลุยเลย แต่ถ้ายังลังเล งงๆ ต้นทุนทางชีวิตและสังคมยังไม่แข็งแรง จะเลือกทางที่ปลอดภัยกว่าก็คงไม่มีใครว่าอะไร

By: prabhas
AndroidSymbian
on 7 December 2010 - 23:32 #238760
prabhas's picture

อ่านความเห็นกระทู้นี้แล้วน่าสนใจ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าเป็นคนแก่ และสนใจการศึกษามาก
ผมรู้สึกว่าการศีกษา "มหาลัย" ก็เริ่มเพี้ยนไปเหมือนกัน
แต่ก็ยังมีส่วนดีเยอะ มาดูว่า เรียนอุดมศึกษาได้อะไร
ในวัยรุ่น เราต้องการ "ชุมชน" ที่โตไปด้วยกัน "สังคม" ที่เราจะโตได้อย่างมีคุณภาพ
-- ทำงานเลยแทนที่จะเรียนก็ดี ถ้าได้สังคมอย่างนั้น
การประกอบอาชีพต้องใช้ความรู้ เรียนแค่จากโรงเรียน ไม่เพียงพอ
โดยเฉพาะ งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
-- เรียนเองก็ได้ แต่มีครู มีเพื่อนดี ง่ายกว่า 10 เท่า
ออกมาทำงานเลยแต่อายุน้อย โลกจะแคบมาก เพราะในที่ทำงาน เราต้องทำงาน
โดยมีเป้าแคบ ๆ ทำตามความฝันยาก ไม่มีเวลา "เล่น" ซึ่งสำคัญมาก
-- ในงานบางอย่าง สามารถเรียนรู้ได้มากอย่างที่โรงเรียนไม่มี
ถ้าเรายังอายุน้อย มีแต่ความฝัน ยังหาทางทำให้เป็นจริงได้ยาก สังคมไม่ค่อยเปิดช่อง
-- แต่ถ้าฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตัวเองได้จะแข็งแกร่ง
การเรียนจริง ๆ เป็นการฝึกให้เรา "รู้จักคิด" ไม่ใช่แต่เรื่องวิชาการ
-- ถ้าต้องเรียนในโลกจริงจะโหดร้ายกว่ามาก ขึ้นอยู่กับว่าเจอกัลยาณมิตรหรือไม่

ในความรู้สึกของผม "มหาลัย" หรือโรงเรียนใด ๆ (เช่น อาชีวะ ด้วย) เป็นที่ฝึก
"อบรม" บ่ม ทั้งนิสัยและบุคลิกภาพ ในช่วงที่มนุษย์มีความเติบโตทางสติปัญญาสูงสุด
ถ้าจะออกมาฝึกด้วยตนเองในโลกจริงย่อมเป็นเรื่องดี แต่จะประสบดวามสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะ "ตัวช่วย" มีน้อย

จะเรียนสูงเท่าไร ขึ้นอยู่กับว่าจะทำอะไรกิน ความรู้ท่วมหัวไม่แน่ว่าจะเอาตัวรอด
แต่ถ้าอยากสร้าง ของไฮเทค ต้องใช้ความรู้เยอะ
ถ้าจะสร้างความฝันอันยิ่งใหญ่ ก็ต้องมีพลังความคิด และวินัยที่จะทำให้เป็นจริง

By: susie888 on 8 December 2010 - 01:41 #238799

จบ หลาย ปรญ แปลว่า เรียนเยอะ
จบ ปเอก แปลว่า ตั้งใจเรียน
จบ เกรดดี แปลว่า ตั้งใจเรียน

มีเงินเยอะ แปลว่า รวย
ทำงานอย่างสร้างสรรค์ และมีผลงานดี แปลว่าเก่ง

ทำไมถึงคิดว่า เรียนเยอะ เรียนเก่ง แล้วแปลว่ารวย หรือเก่ง? มันคนละอย่างกันเลยนะ

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 8 December 2010 - 13:02 #238940 Reply to:238799
DesertWasabi's picture

ทำไมถึงคิดว่า เรียนเยอะ เรียนเก่ง แล้วแปลว่ารวย หรือเก่ง? มันคนละอย่างกันเลยนะ

สงสัยเพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ไปโรงเีรียน เรียนให้เก่ง จบมาจะได้มีผลตอบแทนเยอะๆ จากการมีงานดีๆ ทำละมั้งครับ พอเราเห็นคนเรียนเยอะ เรียนเก่ง สมองของเราเลยตอบรับเฉพาะหน้าไปแบบทันที ว่าคนๆ นี้ต้องรวยและเก่งแน่ๆ ทั้งที่ความเป็นจริง มันอาจจะเป็นอีกเรื่องก็ได้

By: onimaru
SymbianWindows
on 8 December 2010 - 06:46 #238816

การเรียนไม่จบของคนดัง ๆ รวย ๆ ทั้งหลายเป็นแค่ 1 ในหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน เหมือน ๆ กับดื่มเหล้ายี่ห้อเดียวกัน ขับรถยี่ห้อเดียวกัน ดูดบุหรี่ยี่ห้อเดียวกัน ไม่ได้เป็นสาเหตุแห่งความร่ำรวยของคนเหล่านี้แต่อย่างใด microsoft/facebook/apple อาจจะมีผู้ก่อตั้งที่เรียนไม่จบ แต่ไอเดียและผลิตภัณท์ของคนเหล่านี้มันถูกที่ ถูกเวลา และถูกใจ อีกอย่างคนเรียนจบไม่ได้แปลว่ามีความรู้ความสามารถมากกว่าคนที่เรียนไม่จบหรือไม่ได้เรียน

By: wasbones
iPhoneWindows
on 8 December 2010 - 06:46 #238817
wasbones's picture

Bill Gates ถึงแม้เขาจะพักการเรียนรู้ในมหาลัย.. แต่เขาก็ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่เขาสนใจเลย.. จนถึงปัจจุบันนี้..

By: cwt
AndroidRed Hat
on 8 December 2010 - 09:23 #238854

งานที่ผมทำมาเกือบทุกแห่งแทบจะไม่สนเกรดหรือใบปริญญาเลย อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มทำงานหาเงินตั้งแต่อยู่มัธยมแล้ว จบมหาวิทยาลัยมาก็มีประสบการณ์ในการทำงานแล้วอย่างน้อย 6 ปี ซึ่งเป็นการทำงานในบริษัทเอกชนถึง 3 ปีกว่า นอกนั้นก็ freelance + อาสาสมัคร

ใบปริญญามีประโยชน์กับผมจริงๆ คือตอนที่ขอ employment pass ที่สิงคโปร์ครับ

แต่ตอนนี้ผมก็มีปริญญาตรี 2 ใบละ กำลังหาเรื่องเอาตรีใบที่ 3 ปริญญาโทยังไม่คิด (เคยคิด แต่ยังไม่เจอปริญญาโทสาขาที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ต่อชีวิต) ดังนั้นถ้าถามว่าปริญญาตรีมีประโยชน์มั้ย ผมว่ามันก็มีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้มี effect อะไรมากมายกับชีวิต(ของผมเอง) แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตใครก็ชีวิตมัน เอามาเป็นแบบอย่างได้แค่แนวทาง ส่วนการปฏิบัติ และจะเลือกทางเดินต่อไปยังไงก็ต้องค้นหาตัวเองให้พบ แล้วลุยไปตามความฝันของตัวเองให้ดีที่สุด

ปล. อย่าสับสนระหว่างคนที่เรียนไม่จบปริญญาตรี(ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน) กับคนที่ไม่ต้องการได้ปริญญาตรีนะครับ(ไม่เห็นว่าการมีปริญญาตรีเป็นเรื่องจำเป็น) แนวคิดของคนสองประเภทนี้ต่างกันครับ

By: ketting
Android
on 8 December 2010 - 14:02 #238961

มันอยู่ที่ความตั้งใจและความอดออมครับ อดีดแม่ยายผม จบแค่ป.4 แต่มีรายได้ต่อเดือนสูงกว่ากรรมการบริษัทที่มีปริญญาการันตีหลายคนครับ เขาไม่มีรถขับหรอกครับ บ้านก็ไม่หรู แต่มีทั้งเงินสด หุ้น ธุรกิจส่วนตัว และ ธุรกิจหุ้นส่วน ที่สำคัญลูกค้าเขาแต่ละคนมีแต่พวกเจ้าของกิจการด้วยกันครับ

เดี๋ยวนี้ผมลาออกจากงานเงินเดือนสูงๆ มาทำงานที่มีเวลาเหลือเยอะๆ เพื่อศึกษา PHP โดยเฉพาะ

มันเป็นแผนเกษียญก่อนอายุ 40 ให้ได้

By: DesertWasabi
iPhoneWindows PhoneAndroidUbuntu
on 8 December 2010 - 14:08 #238963 Reply to:238961
DesertWasabi's picture

+1 น่าสนใจครับ

By: holyddog on 8 December 2010 - 15:25 #238984
holyddog's picture

ได้แง่คิดดีๆเยอะเลยครับ จริงๆเรื่องพวกนี้ผมว่าคนที่ทำงานแล้วน่าจะมีคำตอบกันดีอยู่แล้วครับ หลายๆคำตอบก็ไปในแนวเดียวกัน

สุดท้ายเราเรียนกันมาแทบตายแต่ชีวิตทำงานจริงสิ่งสำคัญมันไม่ใช่แค่ปริญญา มันอยู่ที่ว่าคุณเอาสิ่งที่เรียนมาใช้กับงานที่ทำได้มากแค่ไหน

ปริญญามันก็เหมือนใบรับรองที่บอกว่าเราผ่านมาตรฐานทั่วไปแล้ว แต่จะดีแค่ไหน หรือจะเป็นที่ต้องการของตลาดรึเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่อยมาวัดกันที่คุณภาพ

และบางคนก็สามารถสร้างตัวเองให้มีคุณภาพมากพอที่จะไม่ต้องพึ่งพาใบรับรอง ก็เป็นที่ต้องการของโลกได้

แต่ที่น่าห่วงจริงๆ น่าจะเป็นเยาวชนไทยมากกว่า เพราะไม่ว่ายุคไหนๆก็ยังเห็นการเรียนที่แบบตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว หลักสูตรว่าไงก็ต้องว่างั้น พลิกแพลงไม่เป็น เอามาใช้จริงไม่ได้ อาจารย์ถูกเสมอ ไม่กล้าถามไม่กล้าคิดต่างจากอาจารย์

ถูกสอนมาให้ให้ความสำคัญกับ คะแนน เกรด หรือใบปริญญา คนเก่งต้องเป็นหมอ เป็นวิศวะ สรุปคือเรียนเพื่อสอบ ไม่ได้เรียนเพื่อให้รู้จักการประยุกต์ใช้

ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น ผมจะไม่เรียนพิเศษ แต่เอาเวลามาเล่นให้เต็มที่ หัดเขียนโปรแกรมสนุกๆ หรือทำงานพิเศษอะไรก็ได้ ดีกว่าที่เลิกเรียนแล้วต้องไปเรียนพิเศษทุกวันเพราะมัวแต่ฝันถึง "ใบปริญญา"

By: bushido
Android
on 8 December 2010 - 16:16 #239002

ยกตัวอย่าง บิลเกตส์ น่ะครับ
คุณไม่น่าจะมองเพียงว่าเขาเรียนไม่จบน่ะครับ เพราะตอนที่เขาเรียน เขาเรียนที่ harvard มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลก นั้นหมายถึง เขาไม่ได้โง่จนเรียนไม่จบ เขาสามารถเรียนต่อไปเอาปริญญาเอก ก็ยังได้ แต่เขาเห็นว่าการออกมาทำสิ่งที่เขาทำนั้นดีกว่า เรียนไปก็ไม่ได้เพิ่มความเก่งให้กับเขา เพราะเขาก็เก่งอยู่แล้ว หนังสือก็หาอ่านเองได้ ไม่ต้องมีคนสอน แล้วลองย้อนมามองดูเราน่ะครับ ว่าเราขนาดนั้นไหม ถ้ายังไม่ขนาดนั้น ก็เรียนให้มันจบไปเหอะครับ

By: bushido
Android
on 8 December 2010 - 16:24 #239008 Reply to:239002

ขอเพิ่มเติมอีกนิด เพื่อข้อมูลไม่ครับ

ปีหนึ่งหนึ่ง คนไทยที่เขาระดับ ป.ตรี ที่นี้ (harvard) ได้ รวมทั้งหมด มีแค่เลขหลักเดียว โดยส่วนมากจะเป็นเด็กทุนคิง

By: SnowBEE
AndroidWindows
on 8 December 2010 - 16:51 #239018

ทำไมบางคนที่เรียนไม่จบปริญญา ถึงได้เก่งและรวย?

การได้รับปริญญา คือการเรียนรู้ตามมาตฐาน การเรียนรู้มีมากมายหลายแบบหลายวีธีสำหรับแต่ละคนให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน

เก่ง เก่งในที่นี้หมายถึงอะไร บางคนในชีวิตไม่เคยทำประโยชน์ให้ใครเลยนอกจากคนในครอบครัว แต่อีกคนช่วยเหลือคนอื่นเยอะแยะมากมายทั้งที่มีคนบอกว่าเค้าไม่เก่งไม่ฉลาด แถมยังจน คนนี้ผมว่าเค้าเก่งครับ

รวย รวยกับปริญญาไม่ควรเอามาเปรียบเทียบกัน รวยความรู้กับรวยเงินมันต่างกัน

By: ultimateohm
ContributorAndroidRed HatWindows
on 8 December 2010 - 22:10 #239102
ultimateohm's picture

แต่คนบางคนที่จบปริญญา ก็เก่งและรวย เช่น Jeff Bezos, Larry Page, Sergey Brin แสดงว่า จบหรือไม่จบปริญญา ไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในเรื่องของเก่งและรวย น่าจะมีตัวแปรหรือปัจจัยอื่นที่เก่งและรวย แบบมีและไม่มีปริญญา มีเหมือนกัน

พูดถึงเอดิสันเลยนึกถึงคำพูดของคู่ปรับ Nikola Tesla

“If Edison had a needle to find in a haystack, he would proceed at once with the diligence of the bee to examine straw after straw until he found the object of his search. I was a sorry witness of such doings, knowing that a little theory and calculation would have saved him ninety per cent of his labor.”


aka ohmohm

By: Fourpoint
Windows PhoneAndroidSymbian
on 15 December 2010 - 21:41 #241657

ตัวอย่างทีี่จขกท.ยกมา หลายคนเก่งในระบบมากๆอยู่แล้วนะครับ อย่างบิล เกต ก็เก่งมากชนิดเคยพนันกับเพื่อนว่าจะไม่เข้าเรียนวิชา economicเลย และจะอ่านหนังสือก่อนสอบแค่สองสัปดาห์จะเอา A มาให้ดู แล้วแกก็ทำได้จริงๆ(อ่านจาก the road ahead เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว)

นั่นแปลว่าศักยภาพของบิล เกต เก่งมากๆพอที่จะเรียนจบได้เกียรตินิยมก็ว่าได้ แต่พบลู่ทางในการทำธุรกิจก่อนใคร เลยรีบลาออกมาสานต่อธุรกิจ ไม่ใช่ว่าบิล เกต เรียนไม่เก่งจนเีรียนไม่จบแต่มาประสบความสำเร็จนะครับ ต้องแยกประเด็น

หรือคนก่อตั้ง google ทั้งสองคน ไม่ยอมส่งวิทยานิพนธ์ทำphd เพื่อเอางานวิจัยนั้นมาเปิดบ.แทน จะบอกว่าสองคนนี้ไม่เก่งพอที่จะได้ ดร.หรือเปล่าล่ะครับ?

ส่วนคนที่ไม่เก่งในระบบเลย(หมายถึงเรียนไม่เก่ง) แต่ประสบความสำเร็จมันก็มี แต่เขาก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เพื่อที่จะได้ค้นพบสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ และกว่าจะได้มีโอกาสแสดงศักยภาพออกมาก็ต้องเหนื่อยแน่นอน เจ้าสัวดังๆจบป.4หลายคนกว่าจะมาได้ขนาดนี้ เขาก็ต้องทุ่มเทไม่แพ้การขยันเรียนนั่นแหละ และมีแค่ไม่กี่คนที่จะประสบความสำเร็จด้วย

เอาเป็นว่าถ้าคุณมีความสามารถ เก่งในระบบได้ดีอยู่แล้ว แต่พบเห็นลู่ทาง โอกาส ก็ไม่ต้องเสียเวลาเรียนแล้วล่ะ แต่ถ้ายังเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป ที่ยังไม่เห็นลู่ทางได้แบบบิล เกต ก็พยายามเรียนให้จบ เกรดดีๆ เป็นพื้นฐานปูทางไปสู่อนาคตได้่มากกว่าครับ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วถ้ามีปริญญา อย่างน้อยก็มีโอกาสในการเข้าถึงงานดีๆมากกว่าไร้ปริญญา เก็บประสบการณ์ รอจังหวะชีวิต แล้วก็ไปได้

ลุยสู่ฝันไปด้วยความพร้อม อย่างน้อยก็น่าจะส่งเสริมโอกาสได้ดีกว่าไม่มีพื้นฐานเลย จริงไหม?

By: Devman on 16 December 2010 - 00:12 #241736

ผมเรียนไม่จบ ป.ตรีครับ จบแค่ ปวส

ปัจจุบันมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ทำงานที่บ้านเป็นหลัก ออกไป service บ้างบางวัน

เมียไม่ต้องทำงาน เลี้ยงลูกอยู่บ้าน กับทำบัญชีให้

การที่ไม่มีปริญญา ทำให้ต้องมองหาทางเดินชีวิตที่เหมาะกับตัวเอง

ทำอย่างไรจะได้เงินเพิ่มขึ้นๆ ตามชีวิตที่โต ขึ้น

สุดท้ายได้ทางออก ตามความถนัดตัวเอง

ทำเว็บ ทำ โฮสติ้งกันไป

บัตรเครดิตสมัครไม่ผ่าน ใช้แต่เงินสด มีก็ใช้ ไม่มีก็ ไม่ใช้ครับ

อีกหลายๆคนเขาไม่สามารถเข้าทำงานด้วยวุฒิได้ แต่เลือกทำธุรกิจส่วนตัว

คนขายก๋วยเตี๋ยวชายสี่ รายได้วันนึงเป็นพันบาทนะครับ(อาจหลายพัน) (แล้วคุณทำงานได้วันล่่ะเท่าไหร่)

ปริญญาตรีไม่มี มีแต่ปริญญาชีวิตครับ

เดินทางเท่าที่เรามีให้เดิน

ชีวิตของคนอื่น มันไม่ใช้ชีวิตของเราครับ เอามาเทียบกันไมไ่ด้ หาตัวเองให้เจอดีที่สุด อย่าลืมฝันของตัวเองด้วย