ผมพึ่งจบการศึกษาด้าน IT ตอนนี้อยู่ในช่วงหางาน
ด้วยความที่ผมตั้งใจเรียน ทำให้เกรดผมค่อนข้างดี และก็มีใจรักทางด้านนี้ด้วย
ตอนนี้ ผมมี 3 ที่ที่ชอบ คือ Bombardier, Smartconsulting, Mitutoyo และไปสัมภาษณ์มาครบแล้ว
ใจจริงผมอยากทำที่ Bombardier ที่สุด เพราะได้ฝึกภาษา เนื้องานก็โอเค เป็น Tester ค่าตอบแทน สวัสดิการก็ดี แต่มีปัญหาว่าเขาจะคัด candidate โดยจะทราบผลสิ้นเดือน
รองลงมาก็อยากทำที่ Mitutoyo เป็นบริษัทญี่ปุ่น ได้ฝึกภาษาเหมือนกัน เนื้องานก็โอเค ทำ System Admin อาจไม่ท้าทายมาก แต่ก็เหมือนเติบโตไปกับองกรค์ ค่าตอบแทนก็ดี แต่สวัสดิการอาจไม่ดีเท่า bombadier เขาบอกผมว่าจะทราบผลอาทิตย์หน้า
ส่วน Smartconsulting อาทิตย์หน้าเขาจะนัดผมไปคุยกะหัวหน้างานแล้ว ค่าตอบแทนน้อยที่สุด สวัสดิการเป้นรองสองบริษัทข้างบน เป็นบริษัทไม่ใหญ่ แต่ด้านเนื้องานถือว่าน่าสนใจมาก โดยเป็นการทำ Consult ให้ ERP ครับ
ปัญหาคือ ที่ ๆ ผมอยากทำที่สุด ดันบอกผลท้ายสุด ผมก็กังวลว่าถ้ารอถึงสิ้นเดือน แล้วมันเกิดไม่ได้หละ? โอกาสของบริษัทก่อนหน้านี้ก็หายไปเลย
ด้วยความที่ยังใหม่ ผมก็ไม่กล้าเลือกเยอะ แต่ก็อยากทำงานให้มีความสุข มีความก้าวหน้าในชีวิต มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตผมเลย
อย่างงี้ผมควรทำอย่างไรดีครับ
มีอีกเรื่องที่อยากสอบถามคือ เมื่อสัมภาษณ์กับหัวหน้างานเรียบร้อย ถ้าเขาพอใจ เขาก็จะให้เราเซ็นสัญญาเลยใช่ไหมครับ แล้วเราสามารถขอเวลาตัดสินใจจากเขาได้ไหมครับ มันจะน่าเกลียดหรือป่าวครับ
ขอบคุณครับ
ถามตัวเองว่า 'อยากทำอะไร' ก่อนครับ เท่าที่ผมอ่านมา job มันคนละทางกันเลย (tester, consult, admin) คือ ถ้าเริ่มไปสายนึงแล้ว พอจะเปลี่ยนสายมันต้องมีการเสียอะไรไปประมาณนึงนะ (เช่นเงินเดือนอาจจะลด)
ผมว่าถ้าตอบคำถามข้อนี้ได้ก็ไม่ยากแล้วล่ะครับ
คือผมชอบเรียนรู้อะครับ แต่ถ้าให้เลือกตามลำดับก็น่าจะ
1. network
2. consult
3. tester
จริง ๆ สูสีกันมากเลยนะครับ แต่ถ้าให้จินตนาการถึงลักษณะการทำงานแล้วได้ฟิล น่าจะคำตอบนี้
ขอตอบแบบคนทำงานมาแล้วประมาณนึงนะครับ (ไม่นานหรอก)
คือ ทำงานแบบไหนก็ได้เรียนรู้ทั้งนั้นล่ะครับ และ เอาเข้าจริง ๆ เขาจ้างคุณไปทำงานไม่ใช่ไปเรียน (แต่เขาต้องให้คุณเรียนเพื่อพัฒนาทักษะ) คืออย่าหวังว่าทำงานแล้วจะไดัเรียนรู้ครับ เอาเข้าจริง ๆ ทักษะ/ความรู้ที่ได้ใช้น่ะน้อยกว่าสมัยเรียนเยอะ!
แต่ถ้าชอบเรียนรู้ก็เรียงตามนี้ก็เหมาะสมดีครับ
ผมเห็นต่างหน่อยนึงตรงที่ความรู้ที่ได้ใช้จะน้อยกว่าสมัยเรียนจริงหรอ? มันน่าจะ Advance กว่าไม่ใช่หรอครับ เท่าที่ทราบมา
ความรู้ที่ได้ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน บริษัท และตัวคุณด้วยครับ
ประสบการณ์การทำงานของทุกคนย่อมต่างกันครับ
ที่ผมเคยทำมา
งานราชการ -เงินเดือนต่ำมาก เวลาว่างมาก โอกาสอยู่ตรงนั้น
งานเอกชน - บ เล็ก เงินดีขึ้นมานิดนึง งานหนักมาก ต้องทำทุกอย่าง สนุก ได้ความรู้ ได้ประสบการณ์
งานเอกชน - บ มหาชน เงินดี งานไม่หนักมาก มีคนช่วยเยอะ แต่ความรับผิดชอบสูง ห้ามพลาด มีการเมือง
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณด้วยครับ
+1 เยอะๆเลย
สรุปได้ชัดเจน เห็นภาพ และตรงมากๆๆ
คือ ตอนเรียน คุณเรียนกว้างๆ แต่ตอนทำงานจะไม่ค่อยได้ทำกว้าง ๆ เท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่จะเจาะ
แต่ถ้าทำงานบ.เล็ก ๆ จะได้เจอกว้าง ๆ ซึ่งก็จะไม่ได้เจาะลงลึก ๆ
แนะนำจากประสบการณ์เมื่อหลายปีก่อน ก้อไปสัมภาททิ้งไว้หลายที่ ก็เลือกอันที่เราคิดว่าดีและเร็วที่สุดไว้ก่อนครับ
ตอนนั้นเลือกไปทำที่ BEA ยุคนั้นก่อนที่จะถูก Oracle acquire ไปนะคับ แต่พอ IBM เรียกมาผมก็ลาออก(หลังทำไปได้ 1 เดือน) เหตุผลง่ายๆครับ เงินเดือนเยอะกว่า และในตลาดเด็กจบใหม่ตอนนั้น คนทีไม่ได้อยู่ในวงการจริงๆก็ไม่มีใครรู้จีก BEA เท่าไหร่ ทั้งที่สองที่นี้สัมภาทไปพร้อมๆกัน แต่ IBM บอกผลที่หลัง และมีอีกหลายที่ที่ได้แต่ก็ปฏิเสธไป
สรุป เลือกอันที่เราได้ชัวร์ๆและเรายอมรับกับสิ่งที่เขาตอบแทนมาให้ได้ครับ เพราะบางครั้งไอที่ว่า ชัวร์ๆอาจจะไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ ผมว่าเป็นสิทธิ์คนมนุษย์เงินเดือน ที่จะสามารถเลือกงานได้ถ้าคุณมีความสามารถครับ
คือผมไม่รู้จะบอกเขาอย่างไงเวลาออกอะครับ พอมีทริคไหมครับ หรือข้ออ้างเจ๋ง ๆ อะครับ 555
ปกติผมจะบอกตามตรงครับ ที่ใหม่ให้เยอะกว่า หรือถ้าคิดว่ามันน่าเกลียดไปก็บอกชอบงานที่ใหม่มากกว่า เพราะผมว่าถ้าโกหกไปว่าจะกลับบ้านนอก หรือจะไปบวช แต่ไปเจออีกทีที่บริษัทคู่แข่งหรือบริษัทที่ต้องประสานงานกันเขาจะเสียความรู้สึกมากกว่านี้
ถ้าได้ของที่ไหนก่อนก็เข้าไปทำก่อนเลยครับ อย่าหวังน้ำบ่อหน้า
ถ้า บ ที่ชอบ OK มาทีหลัง ก็ออกลาออกได้ครับ
เพราะยังไงคุณก็ติดโปรอยู่แล้ว ถือว่ายังไม่ได้เป็นพนักงานเต็มตัว
ส่วนเรื่องลาออกไม่ต้องกังวลหรอกครับ ที่ว่าต้องแจ้งก่อน 30 วัน ขู่ทั้งนั้น
HR ที่ผมซี้ด้วยเค้าเคยพูดให้ฟังคำนึงว่า
"ส่วนใหญ่มีแต่กฏหมายคุ้มครองลูกจ้าง กฏหมายคุ้มครองนายจ้างไม่ค่อยมีหรอก"
ถ้าคุณจะลาออกซะอย่าง ใครก็ห้ามคุณไม่ได้
แต่ก็แนะนำให้ "แยกจากกันด้วยดี" จะดีกว่านะคับ
ให้เหตุผลไปหน่อยว่าทำไมยังไง
เพราะงานด้าน IT บางทีมันก็มีการทำงานรวมๆกันของหลายบริษัท
เดี๋ยวจะมาเจอกันแล้วมันจะรู้สึกไม่ดีน่ะคับ
แล้วก็แนะนำ จขกท ว่าเลือกงานที่กำลังจะได้สองอันแรกดูคับ (ตัดช้อยให้เหลือสองตัว)
ว่าชอบที่ไหนมากกว่า ดูการเดินทางด้วยคับว่า สดวกที่ไหนกว่า เพราะบางทีเป็นปัจจัยที่สำคัญเหมือนกันในการทำงาน
แล้วพอบริษัทที่สาม เรียกมา ก็เปรียบเทียบกับ ที่เราเลือกทำในสองที่แรก
ว่าเราอยากเปลี่ยนรึป่าว ถ้าอยากก็คุยกับที่ๆเราทำอยู่บอกเหตุผลให้ดูดีหน่อย
หรือบางทีอาจจะไม่อยากย้ายเพราะถูกใจที่แรกแล้วก็ได้
ผมพบว่า HR ของหลาย ๆ บริษัท โดยเฉพาะในวงการเดียวกัน รู้จักกันครับ ดังนั้นถ้าเกิดทำอะไรงามหน้าเอาไว้ก่อนได้งานอาจจะเกิดปัญหาในภายหลังได้
แต่ก็นะ ถ้าอยากลาออกจริง ๆ ไม่มีปัญหาหรอกครับ เด็กจบใหม่ไม่ได้หากันลำบากนักหรอก อิอิ
+1 "ถ้าอยากลาออกจริง ๆ ไม่มีปัญหาหรอกครับ เด็กจบใหม่ไม่ได้หากันลำบากนักหรอก"
มันไม่ติดเรื่องสัญญาหรอครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ด้วย
ถ้าออกในระหว่างโปรไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะคุณยังไม่ได้เป็นผ่านการประเมินให้เป็นพนักงานเต็มตัว
คนที่ผมรู้จักทั้ง เพื่อน พี่ น้อง หลายคนก็ทำแบบนี้
แค่บอกหัวหน้างานคุณก่อน เมื่อได้ทำสัญญากับ บ ใหม่แน่นอนแล้ว
จากนั้นก็แจ้ง HR เรื่องวันที่จะออกก็จบครับ
หลายคนไม่มีสิทธิ์เลือกเหมือนคุณ บางคนแค่มีงานทำก็ดีถมเถ ตกงานก็เยอะแยะ โลกนี้ไม่มีอะไรมั่นคงหรอก มันมีแค่ให้คุณลองใช้ชีวิตให้คุ้ม คำตอบคุณมีอยู่แล้วเพียงแต่คุณต้องการฟังคำตอบคนอื่นก็เท่านั้น
+77
Jusci - Google Plus - Twitter
คมกริบ โดนใจผมสุด ๆ +1000
ตอนผมจบใหม่ไม่มีให้เลือกเลย T T
ส่ง Resume ไป 10 บริษัท
เรียกมาแค่บริษัทเดียว (แล้วก็เซ็นต์สัญญาเลย..)
ส่วน บ อื่น.. เงียบกริบ
(ใน Resume มี Cert แนบอยู่ 3 ใบรวม CCNA ที่ควักเงินไปสอบเองด้วย..)
โห มีตั้ง3ใบ งานสมัยนี้ มันหายากขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย เหอๆ
สุโค่ยขนาดนี้ ผมงงจริง ๆ ว่าทำไมไม่ติดต่อมา
ผมขอนอกเรื่องนิด คุณ Perl เตรียมตัวสอบ CCNA ยังไงครับ ช่วยแนะนำด้วยครับ
ก็ที่ผมเตรียมตัวมามีดังนี้ครับ
หนังสือครับ.. อ่านอยู่ซัก 4 รอบ
(คือผมใช้วิธีอ่านไปเรื่อยๆ.. แต่ถ้าวันนี้อยุดพักแล้ววันต่อไปกลับมาอ่านต่อ ผมก็จะเริ่มจากการทวนของเดิมที่อ่านเมื่อวาน ก่อนมาเริ่มบทต่อไปครับ ส่วนอีก 2 รอบที่เหลือก็มาจากการทวนทำแล็ปและก็อ่านซ้ำแบบผ่านๆครับ)
โดยหนังสือก็เริ่มจาก..
(อันนี้ผมใช้เริ่มปูพื้นฐานตัวเองก่อนเลยตั้งแต่ OSI7 คืออะไร..)
อื่นๆก็..
ผมใช้เวลาศึกษาอยู่ราวครึ่งปีก่อนไปสอบหน่ะครับ เพราะผมจบบริหารคอมฯเฉยๆ ผมเลยต้องปูพื้น Network ใหม่ตั้งแต่ต้น ใช้เวลาอ่านในช่วงซัก 3-4 ทุ่ม ไปจนถึง ตี 5,6 โมงเช้า หน่ะครับ แต่ไม่เชิงอ่านทุกวัน วันไหนเบื่อก็อยุดทำอย่างอื่น (อยุดพักเป็นอาทิตย์ก็มี..) ผมใช้วิธี Print หนังสือเหล่านี้มาเข้าเล่มแล้วอ่านหน่ะครับ (แต่ของ อ.เอกสิทธ์ สั่ง Se-Ed เอา) เจออะไรมาน่าสนใจก็ Print มาใส่กระดาษให้หมด, วิธีคำนวน Subnet แบบลัด , P4S (เอาไว้อ่านเวลาไม่อยู่หน้าคอม), IPV6 , Router - Chasis Manual, เคล็ดลับสอบผ่านของฝรั่ง หรืออะไรที่ไม่เข้าใจก็เปิด Google หาๆแล้วก็ Print ครับ แล้วก็อ่านอยู่บ่อยๆครับ (บางเรื่องอ่านเฉยๆไม่เก็ต ก็เอามาเขียนเป็นแผนภูมิเป็นขั้นเป็นตอนใส่กระดาษ ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น) ช่วงหนึ่งที่ผมอ่านนี่ ถึงขั้นชนิดที่นอนหลับไปแล้วก็ยังฝันอยู่ว่ากำลังคำนวน Subnet อยู่เลยครับ (แต่ฝรั่งมันก็บอกนะว่า ถ้าอยากสอบผ่านก็จง กิน นอน ฝัน เป็นข้อสอบอยู่ตลอดเวลา..)
พวก Labsim,กับข้อสอบอย่าง P4S เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สอบผ่านได้ แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี
นั่นคือ อ่าน เพื่อเข้าใจ Concept ว่าลักษณะแบบนี้ ปัญหาแบบนี้ เราควรทำอย่างไร
เพราะข้อสอบของจริง กับบน Labsim ถึงแม้บางทีอาจจะเหมือนกัน แต่คำตอบไม่เหมือนกันครับ อาทิเช่น
บน P4S ให้โจทย์มาว่า VTP บน Switch ตัวนี้ มีค่า Priority เท่ากับ 8 ดังนั้น มันจึงเป็น VTP Server แต่ของจริง อาจจะถามมาเหมือนกับบน P4S เป๊ะ.. แต่ Priority เท่ากับ 6 ซึ่งคำตอบกลับกลายมาเป็นว่า Switch ตัวนี้ จะเป็น VTP Client แทน ดังนั้นถ้าหากตั้งใจจะลอกแล็บไปทำข้อสอบจริงเลย รับรองดับสนิทครับ (Lab นี่สำคัญครับ ถ้าอยากสอบผ่านก็ควรทำถูกให้หมด) ดังนั้น ความเข้าใจจึงเป็นเรื่องสำคัญครับ
Labsim นั้นมีไว้เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับเรา เวลาที่ไปสอบจริงๆ จะได้รู้สึกไม่เกร็งและสับสนครับ(เดี๋ยวจะลืมข้อสอบไปซะก่อน...)
ปล.ถึงแม้จะได้ Cert มาแล้ว แต่ยังไง การทบทวนก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ
ประกอบกับความรู้ใหม่ที่ต้องค้นหาอยู่ตลอดครับ เพราะในวงการนี้ ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ (ต่อปากท้อง)ซึ่งมันก็ไม่อยุดอยู่ที่ NA แน่ครับ หลังจากนี้ก้าวต่อไปก็คือ NP และ IE แต่ตรงนี้..
เราสามารถให้บริษัทควักกระเป๋าลงทุนต่อแทนเราได้ครับ.. -..-
มาด้านนี้ต้องใจรักล้วนๆครับ.. ถึงแม้จะโหดแค่ไหนก็ตาม..
ปล2.รู้สึกข้อสอบพึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนสิงหานะ ผมไปสอบมาตอนต้นกรกฏาพอดี ยังทันข้อสอบชุดเดิม ดังนั้นถ้าจะสอบก็ต้องหาข้อมูลให้เยอะกว่าเดิมหน่อย เพราะอาจจะมีคำถามบางข้อที่เราไม่เคยเจอมาก่อนผุดมาก็ได้
ขอบคุณครับ ละเอียดมาก
ขอบคุณมากครับ บอร์ดนี้อบอุ่นมากครับ
ผมซึ้งใจจริง ๆ
ก็เลือกรับงานที่ได้ก่อน และถ้าอันที่เราชอบที่สุดได้ ก็ไปขอลาออกจากที่แรก บอกว่ามันไม่ใช้ แล้วไปที่ใหม่ ง่ายดี ฮ่าๆๆๆ
บางครั้งที่เราคิดว่าชอบแต่ต่อมามันก็ไม่ใช่ บางครั้งอะไรที่เราคิดว่าใช่แต่ต่อมาเรากลับไม่ชอบ บางครั้งแค่ "คิดว่า" และใช้ความรู้สึกเข้าตัดสินก็คงไม่รู้ถ้ายังไม่ได้ทำ
ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวนิดนึง คือ สิ่งที่ผมชอบ พอทำไปแล้ว เจออุปสรรคนานัปการจนเกิดความกลัว จนท้ายที่สุด ผมก็คิดว่าผมไม่ชอบแล้วแหละ หารู้ไม่ว่าที่ผมไม่ชอบ เพราะว่าผมกลัว กลัวอุปสรรค กลัวล้มเหลว แต่พอตัวเองได้กลับมาคิดว่าไม่ชอบเพราะกลัวเนี่ยมันไม่สมเหตุสมผล ไม่ต่างอะไรกับเจ้าสาวที่กลัวฝนเลย (กรณีนี้ ผมเป็นเจ้าบ่าว) จากนั้น ผมเลยเข้าใจแล้วว่า อย่าให้ความกลัวมาเป็นเหตุผล(แก้ตัว)ในการไม่ชอบ ... ฝากไว้เผื่อเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในอนาคตครับ
My Blog
ขอบคุณครับ ที่มาแชร์กัน
ครับ ฟังแล้วได้กำลังใจมาก ขอบคุณครับ
วิธีเลือกที่ดีสำหรับผมคือ
เลือกสิ่งที่เราจะอยู่กับมันได้เสมอๆ ตลอดๆ ยาวๆ และเรามีใจที่จะศึกษาเพิ่มเติม
ผมก็มาสายโปรแกรมเมอร์ บริษัทที่ผมทำอยู่ไม่ค่อยได้ใช้เทคโนโลยีอะไร
ผมเป็นรุ่นบุกเบิกและพยายามหาอะไรใหม่ๆ มาให้บริษัทใช้เสมอ
ผมดีที่มีหัวหน้าคอยสนับสนุน โดยเราไปเสนอว่ามันดีกว่ายังไง เค้าก็ชอบ
ผมก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานก็คือ ผมชอบที่จะเรียนรู้ และแบ่งปันให้เพื่อนร่วมงาน
ยิ่งแบ่งปัน ความคิดของผมยิ่งได้รับการขัดเกลา
อยากได้อะไร ให้ขอตัวเองก่อน อย่ารอคนอื่น อย่าคิดว่าไปที่นั่นที่นี่ดีกว่าเพราะมีคนคอยให้ครับ
--
คือสื่ออะไรครับ? ผมงง
ยังดีนะครับมีให้เลือก ผมไม่มีให้เลือกเลย อยากจะเปลี่ยนงานจะแย่และอิอินอกเรื่อง
ก็บอกเขาไปได้นะครับว่าจะพร้อมทำงานกันเดือนหน้าเราก็รอผลทั้งสองที่ก่อนประมาณนั้นไม่ต้องรีบร้อนไปทำงานก็ได้นะ
เข้าใจว่าคุณจะจบปีหน้าใช่ไหมครับ ถ้าเป็นผม ตอนไปสัมภาษณ์บ. แรกๆ ก็จะไป เพื่อดูว่างานจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร คุยให้เคลียร์ แล้วก็บอกเค้าไปตรงๆ ว่า ขอตัดสินใจก่อนได้ไหม ขอให้คำตอบเดือนหน้าเพราะไปสมัครไว้หลายที่ ขอดูงานแต่ละที่ก่อน ถ้าเค้าโอเคก็ดีครับ แล้วพอตัดสินใจได้แล้วอย่าลืมบอกเค้าด้วย ไม่ใช่หายไปเฉยๆ
แต่ถ้าเค้าไม่ยอม อันนี้ก็คงต้องบอกตัดไปเลยครับ เพราะเรื่องแค่นี้ยังมีปัญหา อนาคตมันจะมีปัญหามาอีกเยอะ, แน่นอนว่าการบอกไปตรงๆ ว่าคุณสมัครหลายที่ "อาจจะ" ทำให้เสียคะแนนไปบ้าง แต่ผมคิดว่า HR เข้าใจครับ คนเพิ่งจบใหม่ (ยังไม่จบด้วยซ้ำ) ก็ต้องขอทางเลือกบ้าง
และถึงแม้ว่า ถ้าลุ้นบ. สุดท้าย แล้วไม่ได้เลย คุณก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะจบครับ, อันนี้เป็นกรณ๊ที่คุณจบปีหน้านะครับ ถ้าจบแล้ว และกำลังว่างงาน อันนี้อีกเรื่องนึง
ส่วนตัวผมเอง ก่อนจบ ช่วงนี้นี่แหละ บ. มา recruit ที่ม. เยอะอยู่ แต่ผมก็สมัครไปที่เดียว แล้วก็ได้ ทำไปถึงช่วงจะพ้นโปร ไม่ชอบ ก็ออก ไปทำต่อที่อื่น, ทำไปทำมา ไม่ชอบอีกก็ออก จนกว่าจะเจอที่ชอบ, อาจจะเสียเวลาทั้งเค้า ทั้งเรา แต่ก็จะได้รู้ว่าชอบจริงๆ ไหม ไม่ใช่แค่สัมภาษณ์ คุยกันไม่กี่ชั่วโมง :D
iPAtS
ถ้าหมายถึงตามเกณฑ์คือปีหน้าครับ แต่พอดีผมจบ 3ปีครึ่ง ก็คือจบแล้วนั้นแหละครับ หน่วยกิตครบแล้ว เหลือรอรับปริญญาสิ้นปีหน้า
วันนี้ผมก็พึ่งไปสัมภาษณ์มาอีกที่ ก็ทำอย่างที่คุณบอกอะครับ ขอเวลาเขาตัดสินใจ จากทีแรกที่มีท่าทีอยากรับผม คุยกันออกรสเลย ก็กลายเป็นว่า เขาตัดบทเฉย ๆ แล้วบอกว่า "เรามีผู้สมัครอีกหลายคนรอสัมภาษณ์ ขอบคุณที่สละเวลามาครับ" สงสัยเขาคงไม่แคร์หละครับ ผมจ๋อยเลย
ก็ถือว่าเรียนรู้ไว้เป็นประสบการณ์นะครับ โลกของจริงกับโลกในอุดมคติมันต่างกัน
นอกจากคุณจะเก่งขั้นเทพยอดเซียนมาเองเลย หรือเส้นใหญ่แน่นปึ้ก เค้าถึงจะง้อคุณ
แล้วยิ่งไปพูดว่าขอเวลาตัดสินใจเพราะสมัครไว้หลายที่อย่างนี้เป็นผมไม่ทำครับ
เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ บ ที่ไปสมัคร
ตอนผมไปคุยผมจะถามเรื่องลักษณะงาน เงินเดือน โบนัส ผลตอบแทน เวลาทำงาน ให้เครียร์ครับ
ถ้าเรารับได้ก็ตอบโอเคเลย ถ้ารับไม่ได้ก็เซย์โน
ขอบคุณครับ ถือเป็นประสบการณ์ละกัน --'
ผมว่าคนสัมภาษณ์ไม่มีสปิริตมากกว่าครับ แต่มันก็สิทธิ์ของเค้าครับ เค้ามีคนมาสมัครหลายคน เราก็มีไปสมัครหลายที่ ก็แฟร์ๆ
iPAtS
ในมุมมองผมว่าสปิริตไม่เกี่ยวครับ ตอนไปสัมภาษณ์นั่นคือเราต้องไปง้อเขา เขาไม่จำเป็นต้องมีสปิริตกับเราก็ได้ครับง่ายๆคือเขาไม่จำเป็นต้องง้อ แต่พอ HR ตัดสินใจเลือกเราแล้ว เราถึงพอจะทำแบบนั้นได้ครับเพราะถือเป็นช่วงของการต่อรอง
อันนี้คงต้องแล้วแต่คนแล้วหล่ะครับ ว่าเรามีความสามารถให้เค้ามาง้อเราไปช่วยเค้า หรือเราต้องไปง้อขอเค้าทำงาน
iPAtS
หลักการโดยทั่วไปคือซื้อถูกขายแพง คุณมีค่าเป็นแค่สินค้าตัวหนึ่ง ถ้าคุณเก่งคุณต้องทำงานทำเงินให้บริษัทได้มากกว่าค่าจ้างหลายเท่า มีสินค้ามากมายให้เลือกในตลาดครับ มุมของเจ้าของกิจการไม่ควรคิดง้อลูกจ้างเท่าใดนักเพราะจะทำให้เสียการต่อรองครับ มันเป็นแค่เกมส์เท่านั้นหากคุณคิดว่าต้องง้อให้คุณมาทำงานด้วยผมจะจ้างคุณมาเพื่อกดดันผมทีหลังทำไมครับ ผู้จ้างมีสิทธิ์เลือกมากมายกว่าผู้ถูกจ้างนักหากไม่ค้ากำไรเกินไป ยอมจ่ายมากหน่อยได้คนดีที่ไม่เรื่องมากแน่นอน
ถามตัวคุณดีกว่าไหม ว่าจะทำอะไรให้กับบริษัทที่คุณจะไปอยู่แต่ล่ะที่ได้บ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจครับ
หลายครั้งที่ผมรับพนักงานเข้ามานั้น ความต้องการของพวกเค้ามากมาย เงินเดือน สวัสดิการ แต่ไม่มีซักคนที่รู้ว่าตนเองมีศักยภาพ พอที่จะได้รับสิ่งที่ตนนั้นต้องการรึปล่าว บางคิดว่าตนเองนั้นเทพสุดๆพอรับมาทำจริงๆก็งั้นๆแถมทำงานยังเทียบไม่ได้กับเด็กจบ ปวช ปวส ที่ทำอยู่ก่อนเลย
ขอให้โชคดีได้ทำงานกับ บ ที่เหมาะกับตนเองครับ
ขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ เป็นมุมมองที่ดีมากเลย ถามก่อนว่าเราให้อะไรองค์กร ก่อนถามว่าองค์กรให้อะไรเรา
ในสายตาของนายจ้าง เค้าไม่ต้องการคนที่เอาเด็กจบใหม่แต่ต้องแต่จัมป์ ทำงานแต่ล่ะที่ไม่ถึงสองปี เพราะแค่เวลาแค่ปี-สองปี เด็กมันยังไม่ถึงขั้นที่เปล่งประกายออกมาเลย น่าเศร้า แต่เด็กปัจจุบันที่ทำงานที่แรก อยู่กันแค่สองถึงสามปีเป็นส่วนใหญ่
อย่าโกหกตัวเอง จงหาตัวเองให้ได้ ว่าตัวเองชอบ/รักที่จะทำสิ่งใด (นอกจากเงิน,สวัสดิการ,วันหยุด,โบนัส,การอบรมแบบเต็มรูปแบบ,การไปอบรมต่างประเทศ) พอใจที่จะอยู่ตรงนั้นอีกห้าปี สิบปี และทำในสิ่งที่รัก
"เพราะแค่เวลาแค่ปี-สองปี เด็กมันยังไม่ถึงขั้นที่เปล่งประกายออกมาเลย"
- ยังไม่ถึงขั้นกับยังไม่เจอนี่ต่างกันนะครับ :)
คือผมว่า เด็กจบใหม่ เข้าทำงานแค่ปี-สองปี แล้ว สิ่งที่เค้า contribute ยังไม่มากกว่าสิ่งที่เค้าได้เรียนรู้จากบริษัทครับ โดยเฉพาะในแง่ professionalism, methodology, การทำงานเป็นทีม
ไม่ว่าจะเลือกอะไรก็ตาม เมื่อได้งานแล้วไม่ใช่เราเข้าเส้นชัยแต่เราเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก
อยากจะฝากไว้อีกนิดว่างานประจำเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ทางเลือกของเรามีเยอะลองศึกษาดูครับ
{$user} was not an Imposter
จากที่เคยเป็นคนสัมภาษณ์ครับ (อันนี้คงแล้วแต่แต่ละบริษัทนะ วัฒนธรรมองค์กรไม่เหมือนกัน)
แล้วดูที่อะไรใน Resume ละครับ
แบบว่าอยากรู้นิดๆเป็นวิทยาทาน เผื่ออาจจะได้จบใหม่อีกครั้ง 55+
คือก่อนหน้านี้แต่ก่อนผมเคยส่งไปหลายบริษัทหน่ะครับ แต่ไม่มีใครโทรเรียกไปสัมพากษ์เลยครับ (ผมเองก็กะเตรียมความรู้ไว้เต็มที่ คิดในใจว่าถ้าได้สัมพากษ์แล้วก็จะยิงโป้งเดียวจอด เพราะผมอยากได้ประสบการณ์การทำงานในสายอาชีพนี้เป็นอย่างมาก แต่โอกาสที่จะได้เข้ามาคุยซักนิดยังไม่มีเลย T T )
...จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีงานทำแล้วก็ยังไม่มีคนโทรมาเลย T T ชีวิตรันทด ซิกๆ..
(แต่อันที่จริงแล้ว มีโทรมาแค่ บ เดียวครับ แล้วก็ได้งานที่นี่หล่ะ ฮา.. ส่วนที่เหลือไม่มีครับ ส่งไปซัก 10 บ นี่หล่ะ..)
อันนี้ไม่ยาก ดูราคา ก่อนครับ ถ้าฐานเงินเดือนสูงอยู่แล้วก็ไม่เรียกให้เมื่อยหรอกครับ
Resume ผมดูหลักๆก็แค่ว่า เคยผ่านงานตำแหน่งไหนมาบ้าง มีประสบการณ์อะไรบ้าง เพื่อเอาไว้ถามเจาะรายละเอียดตอนสัมภาษณ์ครับ
คือถ้ามีประสบการณ์แล้ว ถ้าในด้าน Technical ก็คงจะดูว่า
ส่วนที่เหลือก็คงจะเป็นด้านลักษณะนิสัย และภาษาอังกฤษครับ
"ถ้ามีอินเตอร์เน็ตผมจะตอบได้เลย"อันนี้เคยเจอเหมือนกัน แต่ผมว่าก็พอไปได้นะ อย่างน้อยก็รู้ว่าจะหายังไง เพราะเวลาทำงานจริงก็หาจาก อินเทอเน็ตเป็นหลัก
ถ้าให้คำถามว่า ลองอธิบายความแตกต่างระหว่าง Abstract class กับ Interface Class ใน C# หน่อยครับ พร้อมกับลองเสนอ idea ด้วยว่าเมื่อไหร่ควรจะใช้ตัวไหน
แล้วเจอคำตอบว่า
"ถ้ามี Internet ผมจะตอบได้ครับ" หรือ "อันนี้ผมไม่ค่อยรู้ทฤษฎีครับ แต่เขียนได้"
แบบนี้สมควรรับเข้าทำงานมั้ย -_-'
จริงๆคำถามข้างบนเนี่ย Screen คนที่บอกว่าเขียน C# เป็นทิ้งไปได้ 60% ;)
+1 ครับ
ผมแบ่งความรู้ด้าน Programming เป็น 2 ประเภทคือ ความรู้ที่ใช้คิดหาแนวทาง กับ ความรู้ที่ไม่จำเป็นต้องจำ
ส่วนตัวผมเคยแต่เป็นคนโดนสัมภาษณ์ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมหลายบริษัทจึงใส่ใจในเรื่อง Syntax มากกว่าจะถามปัญหาเกี่ยวกับ Logic (เพราะถาม Syntax แล้วผมตอบไม่ได้น่ะครับ :p )
Syntax นี่กรองคนมั่วนิ่มครับ ที่โวกันเห็นหางว่าว ว่าเป็นนี่เป็นนั่นและเป็นโน่น เอาแค่ว่าคุณมีประสบการณ์แค่ไหนกับภาษาที่ว่า ไม่ใช่ Hello, World ได้แล้วก็จับยัดมาใน Resume รู้ไหมว่ามันมีหลักการอย่างไรกัน อะไรทำนองนี้ครับ
เรื่องหลักการผมว่าโอเคนะ แต่ Syntax นี่ผมว่ามันฝึกกันได้เร็วนะครับ เรื่องทฤษฎีนี่ผมว่าสำคัญกว่านะเพราะถ้าวัฒนธรรมการเขียนโค้ดไม่เหมือนกันก็ทำงานด้วยกันได้ยาก เช่น ถ้ามีเด็กใหม่คนนึงไม่รู้จัก OOP เขาไม่รู้ข้อเสียของคำสั่ง goto หรือตัวแปร global คิดว่าไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย ไม่รู้ OOP ก็ทำงานเสร็จเหมือนกัน เขาก็เขียนไปให้งานเสร็จโดยใช้ goto กับตัวแปร global วิ่งพันกันมึนไปหมด สุดท้ายพอเด็กคนนั้นออกไป คนที่จะลำบากคือคนที่เขียนโค้ดต่อน่ะครับ
Syntax หัดกันได้เร็วครับ ปรกติผมอยากศึกษาภาษาอะไรก็แค่ซื้อหนังสือ XXX in A Nutshell สักอาทิตย์นึงก็พอเข้าใจภาษานั้น ๆ แล้ว (แต่ควรมีพื้นฐานในภาษาใกล้เคียงกันก่อนนะ)
ผมมีตระกูลขาวคาดแดงอิฐอยู่เกือบสิบเล่มแล้วครับ
จริงๆแล้วเรื่องการส่ง Resume อย่างบริษัทผมเค้าจะมี HR คอย Screen ให้ทีนึงก่อนว่ามี Skill ตรงกับตำแหน่งที่ต้องการรึเปล่า รวมถึงพวก Prerequisite ที่ตั้งไว้ ถ้าไม่ตรง เค้าก็จะไม่ส่งมาให้ครับ
ทีนี้ ถ้ามี Resume อยู่ยี่สิบ HR เค้าจะหยิบใบไหนมาก่อนมาหลัง อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ผมเดาว่าเค้าคงดู Skill ที่ตรงกับที่ต้องการเป็นหลัก
ผมเคยได้ยินว่าการเขียน resume ไม่ควรยึดติดกับรูปแบบของคนอื่น มันบ่งบอกตัวเราเองอะครับ พูดง่าย ๆ ก็คือ ผมใช้วิธีเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดูว่าเขาต้องการดูอะไรของเรา แล้ว resume เด็กจบใหม่กับคนทำงานแล้วไม่เหมือนกัน ของผมมีหน้าเดียวเอง แต่เนื้อ ๆ เลย อะไรไม่สำคัญตัดทิ้ง เอาการศึกษาขึ้นก่อนเลยเพราะเกรดดี ต่อด้วย skill ตามด้วย activities พวกข้อมูลส่วนตัวก็ใส่เฉพาะที่จำเป็นอะครับ แล้วคุณเชื่อไหมว่า HR เขาดู resume เฉลี่ยต่อคนแค่ 1 นาทีเองเองนะ --'
เห็นด้วยครับ เอาเนื้อๆเน้นๆ ประสบการณ์เป็นอะไร ทำโปรเจคจบอะไรมา ทำอะไรได้บ้าง
ไอ้พวกนิสัยใจคอ งานอดิเรกนี่ ไม่เคยสนใจอ่านจาก resume เลย
ของผมมี Education ,Personal Information(แค่เชื้อชาติ อายุ ส่วนสูง),Employment,Ability,Works & Experience ตามลำดับ แค่นี้หล่ะ = ="
ส่วน Template การจัดวาง เอามาจากเว็บนอก แต่เนื้อหาทำเองหมด มี Eng,Thai อย่างละ 2 หน้า อะไรที่เยิ่นเย้อลดออกหมด
ปล.แต่ยังไงก็ขอบคุณที่มาช่วยๆกันแชร์ครับ เผื่ออาจเป็นประโยชน์ให้กับใครอีกหลายคนครับผม ฮา...
ผมเคยเป็นคนสัมภาษณ์อยู่พักนึงเหมือนกันครับ แต่เป็นสัมภาษณ์แบบ pre-screening มากกว่า (ผมไม่ตัดสินใจว่าใครจะอยู่ใครจะไป) ส่วนใหญ่ที่ผมเจอคือให้ทำเทสต์ก่อน ถ้าทำเทสต์ไม่ผ่าน (ข้อสอบห้าข้อ เขียนโปรแกรมหมด) ก็ปล่อยกลับบ้านเลย... โหดมั้ย :-)
หลายๆที่ก็แบบนั้นครับ ผมมาสาย Engineer เคยเจอที่หนึ่ง..
เป็น Cisco Silver พอเข้าห้องเย็นปุ๊ป โยน Tesking ให้ปึกหนึ่ง
(ข้างในเป็นข้อสอบ CCNA นะหล่ะครับ) พร้อมคำถามสังคม,จิตวิทยาและคณิตตบท้ายอีกนิดหน่อย..
จบใหม่อย่างผม ใบ้แดรกครับ T T
นั่งสอบ 1 ชม+พูดคุยอีก 2 ชม = 3 ชม (ถามแม้กระทั่งพ่อแม่ทำงานอะไร..)
พอเสร็จแล้วก็เดินออกมาอย่าง Failๆ พร้อมกับความมั่นใจจบใหม่ที่หายไปอีกเป็นกอง..
หลังจากนั้น ผมจึงกลับบ้านมานั่งอ่านหนังสือสอบ Cert อยู่ครึ่งปี (มีงบอยู่ก้อนเดียวยังไงก็ต้องผ่าน)แล้วก็มาหาสมัครงานใหม่นี่หล่ะครับ แต่ที่ใหม่ที่ผมทำนี่เป็น Gold ไม่มีไรมากแค่สัมพากษ์ปากเปล่ากับหัวหน้า Engineer ตอบคำถามความรู้นิดๆหน่อย เสร็จปุ๊ป.. เซ็นต์เลย = ="
ผมก็เคยคล้าย ๆ กันครับ แต่ไม่น่าหินเท่าของคุณ Perl แต่เขาเทสเยอะมากครับ ให้ทำเทส personal กับ logic ผ่านคอมฯก่อน ต่อมาก็โยนข้อสอบ Eng, Network, IQ ให้ บอกว่าทำให้เสร็จภายใน 2 ชม. อ๋อเลยครับ แต่ตัวข้อสอบไม่ Technical เจาะลึกมากนัก สุดท้ายมี HR 2 คน+IT manager 1 คน มาสัมภาษณ์ผม สรุปสุดท้าย ไม่เรียกครับ 555
เขียนอย่างไงหรอครับ ใส่กระดาษหรือรันคอมฯ เลย แล้วเทสภาษาอะไรหรอครับ
กระดาษครับ โจทย์ทั้งหมดเลือกได้ว่าจะใช้ C++ หรือ Java (แล้วแต่ถนัด) แต่ส่วนใหญ่แล้วคนใช้ Java จะโดนโจทย์หลอกครับ ... เพราะจะมัวแต่นั่งคิดว่าจะใช้ API ตัวไหนดี ทั้ง ๆ จริง ๆ เค้าให้เขียนเองครับ 555
ผมแถมให้อีกอัน อันนี้คือโดนทดสอบเอง ข้อสอบเขียน 33 ข้อเวลา 1 ชม. .. เฉลี่ยข้อละไม่ถึง 2 นาที โจทย์เกี่ยวกับทฤษฎี (เช่น oop) ,syntax ของ C++ แล้วก็เป็นทดสอบเขียนโปรแกรมเล็ก ๆ ผมปั่นหูตูบเลยครับ 555 สุดท้ายเว้นไว้ข้อนึงเพราะว่าเค้าใช้ศัพท์ที่ไม่คุ้น แต่สุดท้ายก็กลับมาแก้ตัวตอนสัมภาษณ์ครับ (เค้าถามว่าข้อนี้ทำไมถึงเว้นไว้)
แล้วไม่กลัวประเภทตรงกันข้ามมั่งหรอครับ พวกที่ตอนเรียนไม่เคยทำงานกลุ่มเอง แต่มีหน้าที่พรีเซ้น จนมีสกิลพรีเซ้นระดับเทพ พูดเก่งมาก ขายตัวเองเก่งมาก แต่จริงๆไม่เคยทำอะไรเองเลย
ผมว่าคนทำเองรู้ดีที่สุดครับ แต่บางทีคนพร๊เซนเก่ง ๆ มันก็แถเนียนอะนะ ไหวพริบมันสอนกันไม่ได้ซะด้วย เอิ๊ก ๆ
ใช่ครับ ทำเองรู้ดีที่สุด แต่อาจไม่มีสกิลด้านการพรีเซ้นเลย ทำงานเก่งมากแต่เรียบเรียงคำพูดไม่เก่ง ผมว่าเสียโอกาสนะถ้าจะคัดคนออกเพราะแค่การพูด
ทำเป็นแต่พูดไม่ได้มันแค่ข้ออ้างของคนรู้ไม่จริงครับ
ป.ล. ผมเคยคิดแบบเดียวกับคุณแต่พอโตขึ้นถึงรู้ว่าตอนนั้นผมยังเก่งไม่พอที่จะเรียบเรียงเรื่องยากๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้แบบง่ายๆ
คนสัมภาษณ์สุดท้ายก็ต้องลุ้นเอาครับ เพราะว่าสัมภาษณ์กันแค่ 1 ชม. คนที่พูดจาฉะฉาน Present ดี ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่รู้ในงานตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคงมีบางส่วนที่พูดเก่งแต่ทำจริงไม่ได้เรื่อง ตรงนั้นก็เอาช่วง Probation มาใช้ได้ครับ ทดลองงาน ถ้าไม่ work ก็ไม่ให้ผ่าน
คนมีสิทธิ์เลือกก็ทุกข์ เพราะไม่รู้จะเลือกที่ไหนดี คนไม่มีสิทธิ์เลือกทุกข์ยี่งกว่า เพราะไม่มีที่ไหนเลือก เฮ้อ หาความพอดีลำบากจัง
บางทีมันเป็นเรื่องของโอกาสด้วยครับ ตอนจบเดือนแรกผมก็แทบไม่มีเลย พึ่งมาเยอะตอนช่วงนี้
ยินดีต้อนรับเจ้าของกระทู้เข้าสู่ "ระบบ" ครับ
ขอบคุณครับ ทำไงได้ คงต้องเข้าระบบก่อน ปีกกล้าขาแข็งค่อยออก 555
สงสัยยังไม่มีคนมา tag ภาพ