ปลดล็อกครั้งใหญ่! Twitter เริ่มทดสอบให้ทวีตได้ 280 ตัวอักษรแล้ว

FaceBlog - 27 September 2017 - 07:00
Twitter ประกาศการทดสอบครั้งสำคัญ โดยผู้ใช้ในกลุ่มจำกัดที่ถูกเลือกจะสามารถทวีตได้สูงสุดถึง 280 อักษรแล้ว จากเดิมที่จำกัดอยู่ที่ 140 ตัวอักษร ซึ่งหากได้ผลดีก็เตรียมขยายผลกับผู้ใช้ทั่วไปต่อไป โอเค จบเนื้อหาข่าวแล้ว แต่เราจะอธิบายเพิ่มเติมว่าเหตุใด Twitter จึงยอมขยายข้อจำกัดนี้เสียที ซึ่งเหตุผลเขาบอกว่า… Twitter ทำการศึกษาแล้วพบว่า ทวีตที่เป็นภาษาอังกฤษนั้น 9% ใช้ตัวอักษรเต็มโควต้า 140 ตัวอักษร นั่นแปลว่าหากปลดล็อกเงื่อนไขนี้ ก็จะทำให้ทวีตถึง 9% ทวีตได้ยาวขึ้น และนั่นก็เป็นจำนวนที่สูง ในภาษาญี่ปุ่น มีข้อความเพียง 0.4% ที่ใช้โควต้าเต็ม 140 ตัวอักษร เนื่องจากรูปแบบภาษาที่ตัวอักษรหนึ่งตัวเป็นคำมากกว่า ในกลุ่มทดสอบนี้ จึงไม่มีภาษา จีน เกาหลี และญี่ปุ่น รวมอยู่ด้วย…

คำใหม่! พิมพ์คำว่า หายไวๆ ใน Facebook ก็มีเอฟเฟกต์น่ารักๆ

FaceBlog - 26 September 2017 - 14:02
ไม่นานมานี้เราเคยรวบรวมคำที่พิมพ์แล้วจะมีเอฟเฟกต์ฟรุ้งฟริ้งใน Facebook รอบนี้เจอมาอีกแล้วคือถ้าพิมพ์คำว่า หายไวๆ จะขึ้นเอฟเฟกต์แบบนี้ ภาษาอังกฤษไม่แน่ใจว่าคำอะไรต้องรอดูอีกที แต่คำนี้น่าจะยังเล่นได้ในวงจำกัดมากๆ เพราะเราเองก็ยังเล่นไม่ได้ แต่ใครเล่นได้ก็ลองดูนะ…

ลอกไลน์? Facebook ก็มีปุ่มสแกน QR Code กะเค้าเหมือนกัน

FaceBlog - 26 September 2017 - 13:01
อาจจะลอกไลน์หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Facebook ก็มีปุ่มสแกนคิวอาร์โค้ดแบบนี้ สแกนแล้วจะไปหน้าโปรไฟล์ของคนนั้นๆ มีปุ่ม My code ด้วย เซฟเก็บได้ เอ๊ะมันช่างเหมือน LINE เสียจริงๆ แต่เค้าอาจจะไม่ได้ลอกกันก็ได้ ถถถ…

รวมคำที่พิมพ์ใน Facebook แล้วกดแล้วจะได้เอฟเฟกต์ฟรุ้งฟริ้งกลับมา

FaceBlog - 21 September 2017 - 17:14
เคยเสนอไปแล้วว่าถ้าพิมพ์ จุ๊บๆ หรือ Harry Potter ใน Facebook แล้วมันจะมีเอฟเฟกต์ฟรุ้งฟริ้งขึ้นกะคำที่เราพิมพ์ (แต่ Harry Potter เล่นไม่ได้แล้วนะ) ตอนนี้ไปเจอมา 2 คำคือ RAD (ไม่ใช่คำว่าแรด แต่มาจาก Radical, cool) ซึ่งถ้าพิมพ์ไทยคือ ปังสุด จะได้พายุไลก์ถล่มในฟีด Congratulations หรือ congrats (ต้องมี s ต่อท้ายนาจา) ถ้าภาษาไทยก็คือ ขอแสดงความยินดี ก็จะได้ลูกโป่งกุ๊งกิ๊งลอยมา ซึ่งบางคำก็จะเห็นเอฟเฟกต์แค่ในคอม บางคนอาจจะไม่เห็นเอฟเฟกต์ใดๆ เลย ก็ว่ากันไป ก็ลองไปทดลองเล่นก็ไม่เสียหาย ถ้าเจออะไรอีกจะมาบอกใหม่นะ…

รถยนต์ไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง

Energy Thai - 10 September 2017 - 17:39

รถยนต์ไฟฟ้า รองจากเรื่องราคา เรื่องการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้งวิ่งได้ไกลเท่าไร ควรเป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) แน่นอน อย่างน้อยต้องมีความมั่นใจว่า รถไฟฟ้าใช้งานสามารถวิ่งไปเส้นทางไหนได้บ้างที่มีสถานีชาร์จไฟฟ้า
EV แทบทุกคัน ยกเว้น Tesla และ Bolt เจ้าของรถต้องวางแผนการเดินทางเอง แต่ Tesla จะวางแผนให้ว่าควรใช้เส้นทางไหนดี พักที่ไหน มีเวลาพักระหว่างทางเท่าไร

พอดูตารางเปรียบเทียบรู้สึกได้ว่า Chevrolet Bolt, Tesla S 100D ดูมีความคุ้มค่าต่อราคาอยู่นะครับ โดย Bolt นำโด่งมากถ้าเทียบ ราคาต่อระยะทางประจุไฟ

2017 EV Comparison: Price, Distance per One-Charge

ว่าแต่ราคา TESLA Model X ซื้อ BMW i3 ได้ถึง 3 คันเลยทีเดียว เข้าไทยก็ทะลุสิบล้านครับผม !!!

source: www.fleetcarma.com

The post รถยนต์ไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง appeared first on EnergyThai.

รถยนต์ไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง

Energy Thai - 10 September 2017 - 17:39

รถยนต์ไฟฟ้า รองจากเรื่องราคา เรื่องการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้งวิ่งได้ไกลเท่าไร ควรเป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) แน่นอน อย่างน้อยต้องมีความมั่นใจว่า รถไฟฟ้าใช้งานสามารถวิ่งไปเส้นทางไหนได้บ้างที่มีสถานีชาร์จไฟฟ้า
EV แทบทุกคัน ยกเว้น Tesla และ Bolt เจ้าของรถต้องวางแผนการเดินทางเอง แต่ Tesla จะวางแผนให้ว่าควรใช้เส้นทางไหนดี พักที่ไหน มีเวลาพักระหว่างทางเท่าไร

พอดูตารางเปรียบเทียบรู้สึกได้ว่า Chevrolet Bolt, Tesla S 100D ดูมีความคุ้มค่าต่อราคาอยู่นะครับ โดย Bolt นำโด่งมากถ้าเทียบ ราคาต่อระยะทางประจุไฟ

2017 EV Comparison: Price, Distance per One-Charge

ว่าแต่ราคา TESLA Model X ซื้อ BMW i3 ได้ถึง 3 คันเลยทีเดียว เข้าไทยก็ทะลุสิบล้านครับผม !!!

source: www.fleetcarma.com

The post รถยนต์ไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง appeared first on EnergyThai.

รถไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง

Energy Thai - 10 September 2017 - 17:39

รองจากเรื่องราคา เรื่องการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้งวิ่งได้ไกลเท่าไร ควรเป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) แน่นอน อย่างน้อยต้องมีความมั่นใจว่า รถไฟฟ้าใช้งานสามารถวิ่งไปเส้นทางไหนได้บ้างที่มีสถานีชาร์จไฟฟ้า
EV แทบทุกคัน ยกเว้น Tesla เจ้าของรถต้องวางแผนการเดินทางเอง แต่ Tesla จะวางแผนให้ว่าควรใช้เส้นทางไหนดี พักที่ไหน มีเวลาพักระหว่างทางเท่าไร

พอดูตารางเปรียบเทียบรู้สึกได้ว่า Chevrolet Bolt, Tesla S 100D ดูมีความคุ้มค่าต่อราคาอยู่นะครับ

2017 EV Comparison: Price, Distance per One-Charge

TESLA Model X ซื้อ BMW i3 ได้ถึง 3 คัน!!!

source: www.fleetcarma.com

The post รถไฟฟ้า-ราคาและระยะทางในการชาร์จไฟฟ้าต่อ 1 ครั้ง appeared first on EnergyThai.

เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3

Energy Thai - 7 September 2017 - 02:50

Nissan Leaf เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 6 กย นี้กับระยะวิ่งที่ขยายได้ถึง 400 กม. ทำให้วงการรถยนต์ไฟฟ้าของโลกเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง เพราะ LEAF วางตัวเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพียว (BEV) ที่มีราคาจับต้องได้มากที่สุด (ยอดขาย Leaf 280,000 คันในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกในส่วนของรถไฟฟ้า ในขณะที่ Tesla มียอดขายทุกรุ่นรวมกันประมาณ 100,000 คัน) อย่างไรก็ตาม Tesla Model 3 ที่เปิดให้จับจองก็โด่งดังมากเช่นกันและมียอดจองแบบมัดจำแล้วเป็นจำนวนถึง 300,000 คัน จนทำให้ Elom Musk ต้องพิจารณาแผนการก่อสร้างโรงงานอีกครั้ง

Nissan Leaf

เปรียบเทียบความสามารถในการผลิดทั้ง Nissan และ Tesla

Nissan สร้างความมั่นใจใน mass production car ได้มากกว่า

Tesla Model 3 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Tesla ที่เป็น Mass Production Car ในขณะที่ Nissan มีความเชียวชาญในการผลิต Mass Production car มายาวนานแล้ว Leaf ประกาศว่าจะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือน ตุลาคม 2017 และขายในทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรป ในเดือนมกราคม 2018 เรียกว่าเปิดตัวปุ๊ปก็ใช้เวลาไม่นานในการส่งมอบซึ่งก็เหมือนรถยนต์ทั่วไปนั่นเอง

ในขณะที่ Tesla เองโรงงานสำหรับผลิตแบบ Mass Production นั้นยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ Know How การผลิตนั้นยังไม่ชัดเจนเหมือน Nissan แต่ก็ยังสามารถขายฝันได้เป็นปีสไตล์อเมริกันสตาร์ทอัพ ข่าวการล่าช้าของการผลิตยังมีมาเรื่อยๆ และทาง tesla ก็ออกมาตอบโต้ว่าการก่อสร้างยังเป็นไปตามแผนอยู่ และล่าสุดสายการผลิตอาจมีการล่าช้าออกไปอีกเพราะสหภาพแรงงานมีทั้งประท้วงและกดดัน Tesla ว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสมและเหมือนนรก และ Suppier เจ้าสำคัญซึ่งเป็นบริษัทเยอรมันก็มีการประท้วงเกิดขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ คนที่จองยังอาจจะได้รถช้าถึงปลายปี 2018

Tesla Model 3

Tesla Model 3

เปรียบเทียบราคา Nissan Leaf และ Tesla Model 3

LEAF ถูกกว่า Model 3 (ถูกลงจากโมเดลก่อน) และ Model 3 สเป็คเหนือกว่า Leaf ดังนี้

  • Tesla Model 3 เริ่มต้นที่ $36,200 แบ็ตเตอรี่ standard 60kWh วิ่งได้ 220 ไมล์ (EPA)
    option Enhanced Autopilot (+$5,000)
    option Full Self-Driving Capability (+ $3,000)
    option long-range battery (+$9,000) 85kWh วิ่งได้ 310 ไมล์
    option Premium interior (+5,000)
    option ล้อ 19 นิ้ว คันในรูปด้านบน (+$1,500)
  • Nissan Leaf เริ่มต้นที่ $29,990 แบ็ตเตอรี่ standard 40kWh วิ่งได้ 150 ไมล์ (EPA)
    (บริษัทแจ้งว่า วิ่งได้ 400km หรือ 235 ไมล์ ในการทดสอบ Japanese JC08 test และ 380km Europe’s NEDC)
    ราคาในญี่ปุ่นประมาณ 9.5 แสนบาท
    มาพร้อม ProPILOT Assist
    Single Pedal Driving with e-Pedal
    Apple Car Play หรือ Android Auto™
    option long-range battery 60kWh ( ราคายังไม่ออก )

Nissan Leaf

เปรียบเทียบลักษณะใช้งาน Nissan Leaf และ Tesla Model 3

– Tesla Model 3 มีแรงม้าประมาณ 258bhp แต่ Leaf มี 148bhp สมรรถนะ Tesla เหนือกว่าเข้าขั้นสปอร์ต ( 0-60 mph 5.6 วินาที ทำให้ผดส.ขนลุกได้) แต่สมรรถนะของ Leaf ก็ไม่ได้แย่ ( 0-60 mph ใช้เวลา 7.9 วินาทีของ Leaf ยังดีกว่ารถญี่ปุ่นขนาดกลางเครื่อง 2.0 แทบทุกคันในขณะนี้)

– Model 3 มาในสไตล์รถซีดานคุถภาพดีวิ่ง motorway ได้ดี Leaf เป็นรถแฮชแบ็กญี่ปุ่นที่ต้องการให้ใช้ในชีวิตประจำวันในเมืองได้ดี

– การตกแต่งภายใน Tesla model 3 ดูแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปด้วยหน้าจอแนวนอนขนาดใหญ่เตะตา และมีความเรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวีย ส่วนภายในของ Leaf จะเป็นการนำความทันสมัยมาใส่ในสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทำโดยวิศวกรซึ่งรู้จักตลาดดีกว่า

tesla model 3 interior

2018 Nissan Leaf interior

เปรียบเทียบเทคโนโลยี Nissan Leaf และ Tesla Model 3

Nissan Leaf ติดตั้งระบบ ProPilot system ซึ่งสามารถเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถรักษาระยะวิ่งกึ่งกลางเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance มาให้แล้ว หยุดและออกวิ่งเองได้ตามการจราจร มีระบบคันเร่งแบบใหม่ล่าสุด e-Pedal เมื่อปล่อยคันเร่งจะเป็นการ brake Re-Generate แบบประสิทธิภาพสูง

Tesla Model 3 มี sensor ติดตั้งมาแล้ว แต่ถ้าจะเพิ่มการเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถวิ่งในเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance (แบบ Leaf) จะต้องจ่ายเพิ่ม option Auto Pilot ด้วยราคาถึง $5000 แต่อย่างไรก็ตาม Auto Pilot gen 2 จะเหนือกว่าตรงเปลี่ยนเลนเองได้และผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว

ในอนาคตทั้งสองค่ายมีแผนจะอัพเดทระบบอัตโนมัติเช่นกัน โดยทาง Tesla มีเทคโนโลยีการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในขณะที่ Leaf มีการประสานกับระบบการบริหารพลังงานบ้านเรือนมาด้วยอย่างชัดเจน

สื่ออื่นๆ เปรียบเทียบ Nissan Leaf กับ Tesla Model 3 อย่างไรบ้าง ?

Stuff.tv ให้ Leaf เหนือกว่า Model3
torque news บอกว่าเปรียบเทียบไม่ได้ เป็นรถที่คนละระดับราคาเกินไป
Fortune บอกว่า Leaf คือ affordable Tesla model 3
Business Insider บอกว่า Leaf 2018 นั้นแข่งขันกับ Model 3 ได้ แต่น่าจะเปิดตัวมาช้าไปซะแล้ว

The post เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3 appeared first on EnergyThai.

เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3

Energy Thai - 7 September 2017 - 02:50

Nissan Leaf เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 6 กย นี้กับระยะวิ่งที่ขยายได้ถึง 400 กม. ทำให้วงการรถยนต์ไฟฟ้าของโลกเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง เพราะ LEAF วางตัวเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพียว (BEV) ที่มีราคาจับต้องได้มากที่สุด (ยอดขาย Leaf 280,000 คันในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกในส่วนของรถไฟฟ้า ในขณะที่ Tesla มียอดขายทุกรุ่นรวมกันประมาณ 100,000 คัน) อย่างไรก็ตาม Tesla Model 3 ที่เปิดให้จับจองก็โด่งดังมากเช่นกันและมียอดจองแบบมัดจำแล้วเป็นจำนวนถึง 300,000 คัน จนทำให้ Elom Musk ต้องพิจารณาแผนการก่อสร้างโรงงานอีกครั้ง

Nissan Leaf

เปรียบเทียบความสามารถในการผลิดทั้ง Nissan และ Tesla

Nissan สร้างความมั่นใจใน mass production car ได้มากกว่า

Tesla Model 3 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Tesla ที่เป็น Mass Production Car ในขณะที่ Nissan มีความเชียวชาญในการผลิต Mass Production car มายาวนานแล้ว Leaf ประกาศว่าจะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือน ตุลาคม 2017 และขายในทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรป ในเดือนมกราคม 2018 เรียกว่าเปิดตัวปุ๊ปก็ใช้เวลาไม่นานในการส่งมอบซึ่งก็เหมือนรถยนต์ทั่วไปนั่นเอง

ในขณะที่ Tesla เองโรงงานสำหรับผลิตแบบ Mass Production นั้นยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ Know How การผลิตนั้นยังไม่ชัดเจนเหมือน Nissan แต่ก็ยังสามารถขายฝันได้เป็นปีสไตล์อเมริกันสตาร์ทอัพ ข่าวการล่าช้าของการผลิตยังมีมาเรื่อยๆ และทาง tesla ก็ออกมาตอบโต้ว่าการก่อสร้างยังเป็นไปตามแผนอยู่ และล่าสุดสายการผลิตอาจมีการล่าช้าออกไปอีกเพราะสหภาพแรงงานมีทั้งประท้วงและกดดัน Tesla ว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสมและเหมือนนรก และ Suppier เจ้าสำคัญซึ่งเป็นบริษัทเยอรมันก็มีการประท้วงเกิดขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ คนที่จองยังอาจจะได้รถช้าถึงปลายปี 2018

Tesla Model 3

Tesla Model 3

เปรียบเทียบราคา Nissan Leaf และ Tesla Model 3

LEAF ถูกกว่า Model 3 (ถูกลงจากโมเดลก่อน) และ Model 3 สเป็คเหนือกว่า Leaf ดังนี้

  • Tesla Model 3 เริ่มต้นที่ $36,200 แบ็ตเตอรี่ standard 60kWh วิ่งได้ 220 ไมล์ (EPA)
    option Enhanced Autopilot (+$5,000)
    option Full Self-Driving Capability (+ $3,000)
    option long-range battery (+$9,000) 85kWh วิ่งได้ 310 ไมล์
    option Premium interior (+5,000)
    option ล้อ 19 นิ้ว คันในรูปด้านบน (+$1,500)
  • Nissan Leaf เริ่มต้นที่ $29,990 แบ็ตเตอรี่ standard 40kWh วิ่งได้ 150 ไมล์ (EPA)
    (บริษัทแจ้งว่า วิ่งได้ 400km หรือ 235 ไมล์ ในการทดสอบ Japanese JC08 test และ 380km Europe’s NEDC)
    ราคาในญี่ปุ่นประมาณ 9.5 แสนบาท
    มาพร้อม ProPILOT Assist
    Single Pedal Driving with e-Pedal
    Apple Car Play หรือ Android Auto™
    option long-range battery 60kWh ( ราคายังไม่ออก )

Nissan Leaf

เปรียบเทียบลักษณะใช้งาน Nissan Leaf และ Tesla Model 3

– Tesla Model 3 มีแรงม้าประมาณ 258bhp แต่ Leaf มี 148bhp สมรรถนะ Tesla เหนือกว่าเข้าขั้นสปอร์ต ( 0-60 mph 5.6 วินาที ทำให้ผดส.ขนลุกได้) แต่สมรรถนะของ Leaf ก็ไม่ได้แย่ ( 0-60 mph ใช้เวลา 7.9 วินาทีของ Leaf ยังดีกว่ารถญี่ปุ่นขนาดกลางเครื่อง 2.0 แทบทุกคันในขณะนี้)

– Model 3 มาในสไตล์รถซีดานคุถภาพดีวิ่ง motorway ได้ดี Leaf เป็นรถแฮชแบ็กญี่ปุ่นที่ต้องการให้ใช้ในชีวิตประจำวันในเมืองได้ดี

– การตกแต่งภายใน Tesla model 3 ดูแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปด้วยหน้าจอแนวนอนขนาดใหญ่เตะตา และมีความเรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวีย ส่วนภายในของ Leaf จะเป็นการนำความทันสมัยมาใส่ในสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทำโดยวิศวกรซึ่งรู้จักตลาดดีกว่า

tesla model 3 interior

2018 Nissan Leaf interior

เปรียบเทียบเทคโนโลยี Nissan Leaf และ Tesla Model 3

Nissan Leaf ติดตั้งระบบ ProPilot system ซึ่งสามารถเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถรักษาระยะวิ่งกึ่งกลางเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance มาให้แล้ว หยุดและออกวิ่งเองได้ตามการจราจร มีระบบคันเร่งแบบใหม่ล่าสุด e-Pedal เมื่อปล่อยคันเร่งจะเป็นการ brake Re-Generate แบบประสิทธิภาพสูง

Tesla Model 3 มี sensor ติดตั้งมาแล้ว แต่ถ้าจะเพิ่มการเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถวิ่งในเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance (แบบ Leaf) จะต้องจ่ายเพิ่ม option Auto Pilot ด้วยราคาถึง $5000 แต่อย่างไรก็ตาม Auto Pilot gen 2 จะเหนือกว่าตรงเปลี่ยนเลนเองได้และผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว

ในอนาคตทั้งสองค่ายมีแผนจะอัพเดทระบบอัตโนมัติเช่นกัน โดยทาง Tesla มีเทคโนโลยีการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในขณะที่ Leaf มีการประสานกับระบบการบริหารพลังงานบ้านเรือนมาด้วยอย่างชัดเจน

สื่ออื่นๆ เปรียบเทียบ Nissan Leaf กับ Tesla Model 3 อย่างไรบ้าง ?

Stuff.tv ให้ Leaf เหนือกว่า Model3
torque news บอกว่าเปรียบเทียบไม่ได้ เป็นรถที่คนละระดับราคาเกินไป
Fortune บอกว่า Leaf คือ affordable Tesla model 3
Business Insider บอกว่า Leaf 2018 นั้นแข่งขันกับ Model 3 ได้ แต่น่าจะเปิดตัวมาช้าไปซะแล้ว

The post เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3 appeared first on EnergyThai.

เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3

Energy Thai - 7 September 2017 - 02:50

Nissan Leaf เพิ่งเปิดตัวในวันที่ 6 กย นี้กับระยะวิ่งที่ขยายได้ถึง 400 กม. ทำให้วงการรถยนต์ไฟฟ้าของโลกเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง เพราะ LEAF วางตัวเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพียว (BEV) ที่มีราคาจับต้องได้มากที่สุด (ยอดขาย Leaf 280,000 คันในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกในส่วนของรถไฟฟ้า ในขณะที่ Tesla มียอดขายทุกรุ่นรวมกันประมาณ 100,000 คัน) อย่างไรก็ตาม Tesla Model 3 ที่เปิดให้จับจองก็โด่งดังมากเช่นกันและมียอดจองแบบมัดจำแล้วเป็นจำนวนถึง 300,000 คัน จนทำให้ Elom Musk ต้องพิจารณาแผนการก่อสร้างโรงงานอีกครั้ง

Nissan Leaf เปรียบเทียบความสามารถในการผลิดทั้ง Nissan และ Tesla

Nissan สร้างความมั่นใจใน mass production car ได้มากกว่า

Tesla Model 3 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Tesla ที่เป็น Mass Production Car ในขณะที่ Nissan มีความเชียวชาญในการผลิต Mass Production car มายาวนานแล้ว Leaf ประกาศว่าจะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือน ตุลาคม 2017 และขายในทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรป ในเดือนมกราคม 2018 เรียกว่าเปิดตัวปุ๊ปก็ใช้เวลาไม่นานในการส่งมอบซึ่งก็เหมือนรถยนต์ทั่วไปนั่นเอง

ในขณะที่ Tesla เองโรงงานสำหรับผลิตแบบ Mass Production นั้นยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ Know How การผลิตนั้นยังไม่ชัดเจนเหมือน Nissan แต่ก็ยังสามารถขายฝันได้เป็นปีสไตล์อเมริกันสตาร์ทอัพ ข่าวการล่าช้าของการผลิตยังมีมาเรื่อยๆ และทาง tesla ก็ออกมาตอบโต้ว่าการก่อสร้างยังเป็นไปตามแผนอยู่ และล่าสุดสายการผลิตอาจมีการล่าช้าออกไปอีกเพราะสหภาพแรงงานมีทั้งประท้วงและกดดัน Tesla ว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสมและเหมือนนรก และ Suppier เจ้าสำคัญซึ่งเป็นบริษัทเยอรมันก็มีการประท้วงเกิดขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ คนที่จองยังอาจจะได้รถช้าถึงปลายปี 2018

Tesla Model 3 Tesla Model 3

เปรียบเทียบราคา Nissan Leaf และ Tesla Model 3

LEAF ถูกกว่า Model 3 (ถูกลงจากโมเดลก่อน) และ Model 3 สเป็คเหนือกว่า Leaf ดังนี้

  • Tesla Model 3 เริ่มต้นที่ $36,200 แบ็ตเตอรี่ standard 60kWh วิ่งได้ 220 ไมล์ (EPA)
    option Enhanced Autopilot (+$5,000)
    option Full Self-Driving Capability (+ $3,000)
    option long-range battery (+$9,000) 85kWh วิ่งได้ 310 ไมล์
    option Premium interior (+5,000)
    option ล้อ 19 นิ้ว คันในรูปด้านบน (+$1,500)
  • Nissan Leaf เริ่มต้นที่ $29,990 แบ็ตเตอรี่ standard 40kWh วิ่งได้ 150 ไมล์ (EPA)
    (บริษัทแจ้งว่า วิ่งได้ 400km หรือ 235 ไมล์ ในการทดสอบ Japanese JC08 test และ 380km Europe’s NEDC)
    ราคาในญี่ปุ่นประมาณ 9.5 แสนบาท
    มาพร้อม ProPILOT Assist
    Single Pedal Driving with e-Pedal
    Apple Car Play หรือ Android Auto™
    option long-range battery 60kWh ( ราคายังไม่ออก )

Nissan Leaf เปรียบเทียบลักษณะใช้งาน Nissan Leaf และ Tesla Model 3

– Tesla Model 3 มีแรงม้าประมาณ 258bhp แต่ Leaf มี 148bhp สมรรถนะ Tesla เหนือกว่าเข้าขั้นสปอร์ต ( 0-60 mph 5.6 วินาที ทำให้ผดส.ขนลุกได้) แต่สมรรถนะของ Leaf ก็ไม่ได้แย่ ( 0-60 mph ใช้เวลา 7.9 วินาทีของ Leaf ยังดีกว่ารถญี่ปุ่นขนาดกลางเครื่อง 2.0 แทบทุกคันในขณะนี้)

– Model 3 มาในสไตล์รถซีดานคุถภาพดีวิ่ง motorway ได้ดี Leaf เป็นรถแฮชแบ็กญี่ปุ่นที่ต้องการให้ใช้ในชีวิตประจำวันในเมืองได้ดี

– การตกแต่งภายใน Tesla model 3 ดูแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปด้วยหน้าจอแนวนอนขนาดใหญ่เตะตา และมีความเรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวีย ส่วนภายในของ Leaf จะเป็นการนำความทันสมัยมาใส่ในสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยอยู่และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทำโดยวิศวกรซึ่งรู้จักตลาดดีกว่า

tesla model 3 interior 2018 Nissan Leaf interior เปรียบเทียบเทคโนโลยี Nissan Leaf และ Tesla Model 3

Nissan Leaf ติดตั้งระบบ ProPilot system ซึ่งสามารถเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถรักษาระยะวิ่งกึ่งกลางเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance มาให้แล้ว หยุดและออกวิ่งเองได้ตามการจราจร มีระบบคันเร่งแบบใหม่ล่าสุด e-Pedal เมื่อปล่อยคันเร่งจะเป็นการ brake Re-Generate แบบประสิทธิภาพสูง

Tesla Model 3 มี sensor ติดตั้งมาแล้ว แต่ถ้าจะเพิ่มการเข้าจอดอัตโนมัติได้ สามารถวิ่งในเลนได้ จัดการความเร็วได้ มี Lane-guidance (แบบ Leaf) จะต้องจ่ายเพิ่ม option Auto Pilot ด้วยราคาถึง $5000 แต่อย่างไรก็ตาม Auto Pilot gen 2 จะเหนือกว่าตรงเปลี่ยนเลนเองได้และผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่งแล้ว

ในอนาคตทั้งสองค่ายมีแผนจะอัพเดทระบบอัตโนมัติเช่นกัน โดยทาง Tesla มีเทคโนโลยีการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นในขณะที่ Leaf มีการประสานกับระบบการบริหารพลังงานบ้านเรือนมาด้วยอย่างชัดเจน

สื่ออื่นๆ เปรียบเทียบ Nissan Leaf กับ Tesla Model 3 อย่างไรบ้าง ?

Stuff.tv ให้ Leaf เหนือกว่า Model3
torque news บอกว่าเปรียบเทียบไม่ได้ เป็นรถที่คนละระดับราคาเกินไป
Fortune บอกว่า Leaf คือ affordable Tesla model 3
Business Insider บอกว่า Leaf 2018 นั้นแข่งขันกับ Model 3 ได้ แต่น่าจะเปิดตัวมาช้าไปซะแล้ว

The post เทียบ Nissan Leaf 2018 และ Tesla Model 3 appeared first on EnergyThai.

จ่ายแค่ 799 บาท คุณก็ได้ใช้ทุกบริการของ True! แบบสุดคุ้ม

Freeware.in.th - 30 August 2017 - 15:03

ถ้าสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่างในการแข่งขันของบรรดา ISP ทั้งหลาย นั่นก็คือ ตอนนี้หลายๆเจ้าพยายามจะทำ Package แบบมัดแหนมรวมมิตรทุกบริการ แล้วทำราคามหาถูกจนน่าตกใจให้ลูกค้าทนไม่ไหวอยากจะมาใช้บริการ

ซึ่งนอกเหนือจากบริการด้าน Internet แล้ว บริการด้าน Content ก็เป็นอีกอันนึงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยั่วใจลูกค้ามาโดยตลอด เพราะนอกจากได้เน็ตแล้วยังได้ดูหนังอีกด้วย เออ สบายจะตายไป

ล่าสุดทาง True ก็จัดโปรที่เรียกได้ว่า หลายๆคนต้องร้อง เหยดดด ยาวๆ ตอนเห็นหน้าโฆษณา มันคือโปรนี้เลยครับ เน็ตแรงไม่อั้น ทั้งในบ้านและนอกบ้าน อย่างแรกเลย ในราคา 799 บาท คุณจะได้ใช้ True Super Fiber ความเร็ว 50/20 ในบ้าน

ส่วนนอกบ้าน ก็จะมี SIM True Move H 4G ที่มีความเร็ว 4Mbps พร้อมกับ True WIFI ทั่วประเทศให้ใช้อีกต่างหาก

ในแง่เน็ต 50/20 Mbps เนี่ย เอาเข้าจริงก็เป็นความเร็วกลางๆที่เพียงพอสำหรับครอบครัวนึงอยู่แล้วครับ แถมมี Upload มากถึง 20 Mbps การทำ Backup ขึ้น Cloud Network , การทำ Facebook Live หรือการอัพโหลดวีดีโอไปเก็บใน Youtube นี่ก็เหลือเฟืออยู่แล้ว

สำหรับ Sim True Move H 4Mbps .. ก็เป็น SIM ที่การันตีโดย User มากมายว่า ใช้งานเหลือเฟือสำหรับบุคคลในการออกไปใช้งานนอกบ้าน เพราะความเร็ว 4Mbps เนี่ย ทำให้เราดู Youtube 1080p ได้ลื่นแล้วนะครับ แถมยังมี True WIFI ที่ตอนนี้เป็นบริการ WIFI ครอบคลุมทั่วไทยที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าครบทุกห้างเลยแหละ

แต่แค่นี้มันยังน้อยไปครับ ถ้าคุณใช้ Package นี้ ยังมี Red Card ที่เป็นบริการอำนวยความสะดวก + ส่วนลดของ True กับร้านค้าทั่วประเทศให้อีกด้วย ถึงจะยังไม่ตัวท็อปเท่า Black Card แต่สิทธิประโยชน์ก็เยอะไม่แพ้กัน อยากรู้ว่าทำอะไรได้บ้าง ไปคลิกดูได้ที่นี่เลยครับ

รวมไปถึงพวกสิิทธิพิเศษ เช่น ค่าบริการ Router . ค่าติดตั้ง , ค่าแรกเข้า (เอาเข้าจริง ผมว่าพวกนี้ก็ไม่น่าเก็บกันแล้วนะ??? ) แถมยังได้เบอร์บ้าน True ที่โทรฟรี 50 นาทีต่อเดือนไปยังมือถือค่ายอื่นๆ อีกด้วย

ยังไม่หมดครับ ยังมี True Vision ให้คุุณดูอีก ซึ่งสำหรับ Package 790 บาทเนี่ย ตามปกติ จะได้บริการ TrueVisions ที่เป็นตัว Enjoy HD แต่ว่า ถ้าสมัครตอนนี้คุณจะได้รับการอัพเกรดให้ไปดู Smart Family HD ได้นาน 3 เดือนครับ ซึ่ง ไปดูรายละเอียดได้ที่นี่เลย เพราะรายการดีๆทั้งนั้น แถมมีบอลลีกดังๆ จากยุโรป อเมริกา และ Premier League ให้ดูอีกต่างหาก

ถ้าถามว่ามีอะไรเจ๋งๆบ้าง ก็มี FEAR The Walking Dead ที่เป็นเนื้อเรื่องจุดเริ่มต้นก่อน Walking Dead เนื้อเรื่องหลักจะเริ่มขึ้น

มี The Voice ของอเมริกาให้ดู พร้อม Reality Show อย่าง The Vet ที่เป็นการนำเสนอชีวิตจริงของสัตว์แพทย์ชื่อดังอย่าง ดร.คริส บราวน์ และ ดร.ลิซ่า ไชมส์  รับรองน้ำตาซึมจ๊ะ

ถ้าถามผม ซึ่งใช้บริการ True มาโดยตลอด ก็ต้องบอกว่า นี่เป็นโปรที่ทำให้คู่แข่งค่ายอื่นของ True หืดจับที่สุดแล้วโปรนึงแล้ว เพราะได้บริการของ True มากถึง 7 บริการในราคาแค่ 799 บาท ..

True Super Fiber / SIM Unlimited ความเร็ว 4Mbps / True WIFI ทั่วประเทศ / Red Card / TrueVisions / โทรศัพท์บ้าน  และ ปิดท้ายด้วย True ID แอปรวมมิตรความบันเทิงที่นอกจากมีหนังให้ดู ยังเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลได้ทุกอย่างแบบไร้จำกัดบน Cloud ของ True อีกด้วย จริงๆอยากให้ใครที่เป็นลูกค้าของ True ลองโหลด True ID ไปใช้กันดูครับ เข้าไปแล้วคุณจะกริ๊ด หนังดีๆ บอลเจ๋งๆ รายการทีวี มีให้ดูแบบ HD ในนี้เพียบเลยแล้วไม่ใช่หนังเก่าด้วย เป็นหนังแบบพึ่งออกจากโรงหมาดๆเลยนะครับ

จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นราคานี้ เมื่อก่อนจะได้แค่ Internet นะครับ ตอนนี้ได้บานเลย ใครที่เป็นลูกค้า True รีบอัพเกรด ใครที่ไม่ใช่ก็ลองพิจารณาดูได้ครับ

เชียร์มากจนคอแห้ง ไปกดดูรายละเอียดที่นี่เลยครับ http://trueonline.truecorp.co.th/product-service/super-fiber/entry/5349 ใครที่ใช้โปรเก่าๆอยู่รีบเช็คด่วนเลยนะครับ

ปล. SIM ทีได้มาจะเป็นเบอร์ใหม่ มีแต่ Data ไม่มีค่าโทร แต่สามารถเปิดโปรค่าโทรเข้าไปเพิ่มได้ครับ

ปล.2 รีบๆสมัครกัน หมดเขต 30 กันยายน 2017 นี้นะครับ เอ้าๆ รีบๆไปสิ

The post จ่ายแค่ 799 บาท คุณก็ได้ใช้ทุกบริการของ True! แบบสุดคุ้ม appeared first on Freeware.in.th.

Look What You Made Me Do #LWYMMDVideo ของ Taylor Swift ทำสถิติใหม่ยอดวิววันแรกบน YouTube

FaceBlog - 29 August 2017 - 10:18
Taylor Swift ได้ปล่อย MV เพลงใหม่ล่าสุด Look What You Made Me Do และยังคงรักษาสถิติความเป็นศิลปินโลกโซเชียลมีเดียไว้ได้ โดย MV นี้ทำสถิติใหม่หลายอย่างเลยทีเดียว โดยสถิติของซิงเกิ้ล Look What You Made Me Do มีดังนี้ ถูกสตรีม 10,129,087 ในวันแรกที่เปิดตัวบน Spotify สูงสุดเท่าที่เคยมีมา 27 ล้านวิวบน YouTube ในเวลา 18 ชั่วโมง เร็วกว่าสถิติเดิมของ Taylor ที่ 20 ล้านวิวใน 24…

เกม Overwatch จะเปลี่ยน Ultimate Skill สำหรับตัวละคร Mercy

BaaGames - 25 August 2017 - 21:06
ใน Developer’s Update รอบล่าสุด ทางทีมพัฒนาได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับตัวละคร Mercy จากเกม Overwatch โดยสกิลอัลติเมตของ Mercy จะไม่ใช่ Resurrect ที่สามารถชุบชีวิตเพื่อนทีละหลาย ๆ คนแล้ว โดยสกิลใหม่ที่จะมาแทนที่มีชื่อว่า Valkyrie ที่จะเพิ่มความสามารถให้กับ Mercy ในทุกด้านเป็นระยะเวลา 20 วินาที มีรายละเอียดดังนี้ครับ Caduceus Staff (คทาที่เป็นอาวุธหลัก) ในขณะที่เปิดใช้ Valkyrie คทาจะใช้งานได้จากระยะไกลขึ้น และสามารถเล็งไปที่ตัวละครฝ่ายตรงข้ามเพื่อเพิ่มพลังโจมตีหรือช่วยฮีลเพื่อที่อยูใกล้กับตัวละครเป้าหมายได้ Caduceus Blaster (ปืนที่เป็นอาวุธรอง) ในขณะที่เปิดใช้ Valkyrieจะสามารถยิงได้ไม่จำกัด และเพิ่มความเร็วในการยิง Guardian Angel (สกิลบินตรงไปหาเพื่อน) ในขณะที่เปิดใช้… Continue Reading →

รีวิว Humax Quantum T3A .. Wireless Router AC1200 ที่ทาง True นำเข้ามาจำหน่าย

Freeware.in.th - 4 August 2017 - 15:20

ปัญหา Internet ช้าเนี่ย เป็นปัญหาโลกแตกที่ทาง ISP ทุกเจ้าต้องกุมขมับ เพราะปัจจัยในการทำให้เน็ตช้ามันเยอะมากๆ ยิ่งในยุคที่ Wireless LAN พล่านเต็มเมืองแบบนี้ ยิ่งควบคุมความเสถียรแทบไม่ได้ ทาง True เอง ก็มองเห็นว่าปัญหาเรื่อง WIFI ในบ้านคุณภาพไม่ดีเนี่ย มันลามมากขึ้นเรื่อยๆ

ทางออกอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้ทำกันได้ ก็คือ ไปหาซื้อ Wireless Router กำลังส่งดีๆ และมี Bandwidth เยอะๆ มาใช้งานกัน แต่ตอนนี้ Wireless Router มีขายสารพัดรุ่น สารพัดยี่ห้อ ไม่มีทางที่ True จะสามารถเทรนพนักงานเพื่อ Support ได้หรอก ทาง True จึงเปิดขายอุปกรณ์ Wireless Router ของตัวเอง เพื่อที่จะสามารถ Support ลูกค้าในส่วนนี้ขึ้นมาได้นั่นเองครับ

ซึ่งอุปกรณ์ที่ทาง True เลือกมาจัดจำหน่ายก็คือ HUMAX .. ยี่ห้อเดียวกับ Router ที่หลายๆคนใช้งานกันอยู่นั่นเองแหละครับ

โดยส่วนตัวผมว่า ก็เป็นแนวทางที่เรียกว่า ถูกต้องแล้วล่ะครับ เพราะจากประสบการณ์การแก้ปัญหาเน็ตช้าให้หลายสิบคนตลอดชีวิตการทำงานของผม ผมพบว่า เน็ตส่วนใหญ่จะพิกลพิการจากในบ้าน มากกว่าที่จะเป็นปัญหาบนเครือข่ายของผู้ให้บริการเอง

ดังนั้นเพื่อลดปัญหาในส่วนนี้ สำหรับลูกค้าที่ติด Internet ที่เป็นตัว Fiber ใหม่ๆ บางคนจะได้ Wireless Router ที่ที่เป็นมาตรฐาน Dual band หรือ WIFI AC กันอยู่แล้ว แต่สำหรับบางคน ที่

  • ติดตั้งมาตั้งแต่สมัยแรกๆ
  • ใช้งานเยอะเกินกว่า Wireless Router ที่ติดตั้งให้ตอนเริ่มต้นจะรับได้
  • อยากจะขยาย WIFI ให้ครอบคลุมบ้านมากขึ้น

กลุ่มเหล่านี้ก็จะสามารถซื้อหาเจ้า Wireless Router ตัวนี้จากทาง True ได้ในราคาพิเศษนี่แหละครับ

HUMAX QUANTUM T3A … เป็น Wireless Router มาตรฐาน AC1200 เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานตัวรองท็อปสำหรับโลก Wireless LAN ตอนนี้ (ตัวท็อปสุดก็คือ WIFI AC Wave 2 ครับ) เป็น Wireless Router ที่มีกำลังส่ง “กำลังดี” ติดตั้งง่าย ใช้งานไม่ค่อยยาก ลองมาดูรีวิวกันเลย

แกะกล่องออกมาก็เจอตัว Router นอนพับเสา อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ กางเสาขึ้นมาเลย เสาอากาศที่ให้มาเป็นเสาอากาศแบบ 5dBi ครับ จะมีกำลังส่งมากกว่าเสาของพวก Wireless Router ตัวเริ่มต้น เพราะพวกนั้นประมาณ 2dBi เท่านั้น

ด้านหลังจะมี Port ทั้งหมดที่ใช้ในการเชื่อมต่ออยู่ การนำไปติดตั้ง สามารถวางได้สองแบบ คือวางแนวนอนแบบในรูป

หรือติดตั้งฐาน เข้าไป เพื่อวางตั้งได้แบบนี้ครับ ในแง่ของการใช้งาน แบบไหน ก็ดูไม่ต่างกัน เพราะเสาอากาศสามารถปรับทิศทางได้หมด แต่ผมว่าวางตั้งจะระบายความร้อนได้ดีกว่า

นอกจากตัว Router แล้ว ในกล่องก็มี สาย LAN , Power Adapter แล้วก็ขาตั้งมาให้ครับ

ถ้าลงทะเบียนกับทาง HUMAX จะได้รับการประกันอุปกรณ์เป็นเวลาสองปีด้วยครับ

นอกจากใส่ LAN ได้ 4 Port แล้ว ด้านหลังจะมี USB Port ไว้เสียบ Flash drive เพื่อเปลี่ยน Wireless Router ตัวนี้ให้กลายเป็น File Server ได้ด้วยครับ

ดูข้างนอก ก็เรียกได้ว่า เหมือนๆกับ Wireless Router ที่เป็น WIFI AC ทั่วๆไป มาดู Firmware ข้างในว่ามันทำอะไรกันได้บ้างดีกว่า .. จริงๆมีหลายส่วนที่ผมชอบนะ อย่างแรกก็หน้า Login ครับ ส่วนใหญ่อุปกรณ์พวกนี้จะมี User + Password  แบบที่เดาง่ายมากๆ เช่น admin/admin หรือ admin/password อะไรแบบนี้

แต่ HUMAX ตัวนี้จะมี ชื่อ Login และ Password ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละรุ่นครับ ต้องพลิกหลังเครื่องดูเอา อย่างน้อยก็ทำให้คนอื่นที่อยากจะมา Hack คุณจากระยะไกลทำไม่ได้แล้วล่ะ

อย่างที่สองที่ผมคิดว่า ผู้ใช้งานทั่วไปน่าจะชอบก็คือ เมนูไทยครับ ในระบบจะมีตัวติดตั้งอย่างง่าย ก็คือ เลือกว่า Internet เป็นแบบไหน จากนั้นก็ตั้งชื่อ WIFI แล้วใส่ Key กดเซฟแล้วก็ใช้งานได้เลย

หรือถ้าเปรี้ยวอยากลองของ ก็เปลี่ยนมาเป็นโหมดขั้นสูงเพื่อดู ฟีเจอร์เชิงลึกก็ได้ครับ เป็นเมนูไทยเหมือนกัน

แต่เมนูไทยเนี่ยก็ทำผมปวดหัวได้เหมือนกัน อย่างในหน้า Operation Mode หรือ โหมดปฏิบัติงานเนี่ย มันอธิบายแต่ละโหมดไว้จนผมงงชะมัด สุดท้ายเลยเปลี่ยนเมนูกลับเป็นภาษาอังกฤษดีกว่า

เจ้า HUMAX ตัวนี้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้ 3 Mode ครับ

  1. Router Mode .. โหมดพื้นฐานที่เอาไว้ต่อเชื่อมเพื่อรับเน็ตจากที่อื่นแล้วมาสร้างวงเน็ตเวิร์คของตัวเองเพื่อใช้งาน
  2. Bridge Mode.. ซึ่งจริงๆมันก็คือ Access Point Mode นั่นแหละ ไม่รู้จะตั้งชื่อ Bridge Mode ให้งงทำไม เปลี่ยนตัวมันเองเป็น Access Point เพื่อขยายวง WIFI ให้ไกลขึ้น โดยใช้สาน LAN เชื่อมกับระบบเดิม
  3. Repeater Mode .. โหมด ที่ใช้สัญญาณไร้สาย ขยายวงเดิมให้กว้างขึ้นกว่าเดิมครับ

ทั้ง 3 Mode นั้น ผมคิดว่า โหมดที่ใช้งานบ่อยๆ ก็คือ 1 กับ 2 ครับ ส่วน 3 เนี่ย คนส่วนใหญ่จะเซ็ตไม่เป็นกัน

ความสามารถน่าสนใจอื่นๆก็ตามนี้ครับ เช่น สร้าง Guest Network ได้ ทำให้คนที่ใช้ Guest Network เล่น Internet ได้อย่างเดียว มองไม่เห็นอุปกรณ์ Network ที่สำคัญของเรา เช่นพวก กล้องวงจรปิด หรือ NAS อะไรแบบนี้

มีระบบ Mac Filtering .. มีอุปกรณ์อะไรแปลกๆมาเกาะเราสามารถ Block ไม่ให้เค้าเข้ามายุ่งใน Network เราได้ครับ

ตั้งกำลังส่งของ Wireless ได้ แต่ค่าพื้นฐานมันก็ 100% อยู่แล้วนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ ผมจะลดกำลังส่งลง หากอุปกรณ์ที่จะนำไปติดตั้งเนี่ย ใช้ในพื้นที่จำกัด แค่ในห้องๆเดียวอะไรแบบนี้ เพื่อลดปัญหาคลื่น WIFI ของเราไปกวนชาวบ้านครับ

สามารถตั้งเวลาเปิด/ปิด Wireless ได้ครับ เช่นคุณอาจจะไม่อยู่บ้านช่วงกลางวัน เพราะออกไปทำงาน เพื่อประหยัดพลังงาน + ป้องกันคนอื่นมายุ่ง ก็ปิดระบบ WIFI ไปซะเลย แต่ตัว Network แบบสาย ยังทำงานได้ปกตินะครับ

แล้วก็สามารถตั้งเวลา Restart ตัว Router ได้ครับ สำหรับคนที่กลัวว่า Router จะทำงานแล้วค้าง หรือทำงานแล้วไม่สดใหม่ อะไรแบบนี้ก็ตั้งเวลาได้เลยจะให้ Reset ตอนกี่โมง

หลังจากลองติดตั้งแล้วกด Test Speed แบบง่ายๆดู ก็สามารถดีดความเร็วทะลุ 200Mbps ได้ไม่ยากครับ คือพวก WIFI AC เนี่ย มันทำได้ง่ายๆอยู่แล้วนะ

แต่ Internet คุณต้องเกินด้วยนะ ล่าสุดอ่าน Status ใน Facebook มีคนมาบ่นว่า ซื้อ WIFI Router แบบ AC1200 มา แต่กด Test Speed ยังไงก็ไม่เกิน 50 .. ปรากฏว่าเช็ตไปเช็คมา พี่ท่านติดเน็ตแค่ 50Mbps .. ปัดโธ่ววว แล้วมันจะวิ่ง 200 ได้ยังไงเล้าาา

สรุปง่ายๆ ก็คือ มันเป้น Wireless Router มาตรฐาน WIFI AC1200 ที่เป้นมาตรฐานที่บ้านเราควรจะใช้กันได้แล้ว เซ็ตอัพง่ายเพราะเป็นภาษาไทยอีกต่างหาก และสามารถหาซื้อได้ที่ True Shop และ True Partner (เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ) ในราคาที่ถูกโคตรนั่นก็คือ 1,390 บาท ถ้าเซ็ตไม่เป็นก็บอกเจ้าหน้าที่ True ได้นะครับ

The post รีวิว Humax Quantum T3A .. Wireless Router AC1200 ที่ทาง True นำเข้ามาจำหน่าย appeared first on Freeware.in.th.

รีวิว ACER Swift3 .. โน๊ตบุ๊คที่ทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน

Freeware.in.th - 30 July 2017 - 23:56

เกริ่นหัวซะเว่อเลย .. ก็แน่สิครับ สอยตัวใหม่มาแล้วจะให้แบก Notebook ออกไปสองเครื่องทำไมก๊านนน ฮ่าๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพของมันก็ดีจริงและดีพอที่จะทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน แล้วแบกมันออกไปทำงานทั้ง งานด้าน Network และ งานเขียน นี่แหละครับ

Acer Swift เป็นซีรีส์ของ Ultrabook จาก Acer โดยที่มีรุ่น Swift 1 , 3 , 5 และ 7 .. ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ทาง Acer ประเทศไทยเลือกรุ่น Swift 3 , 5 และ Swift 7 แค่สามรุ่นเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้นครับ โดยที่ Acer Swift 7 ครองแชมป์ของการเป็น Notebook ที่บางที่สุดในโลกอยู่ [ไปอ่านรีวิว Acer Swift7 ได้ที่นี่เลย]

อ้าว แล้วถ้าผมมี Swift 7 แล้ว ผมจะไปสอย Swift 3 มาอีกทำไม??? จะบ้าเรอะ นี่ไม่นับว่ามี Macbook Pro กองอยู่ที่บ้าน พร้อม Predator G7 กับ Acer VX5 อีกนะ

คำตอบก็คือ แต่ละเครื่องสำหรับผม นั้นมีจุดยืนในการทำงานที่ไม่เหมือนกันครับ

Acer Predator G7 เป็นเครื่องหลักในบ้านทั้งทำงาน ทั้งเป็น Server จำลอง เพราะข้างในมี Virtual Server รันไว้เพียบ แถมเอาไว้ทำพวก Facebook Live ที่บ้าน  ทำได้ทุกอย่างแต่หนักสัส แบกไปไหนไม่ได้ เพราะหลังแทบหัก

Acer VX5 เป็นเครื่องกำลังสูง หน้าจอ 15 นิ้ว ที่มีประสิทธิภาพรองลงมา เน้น ทำงานด้าน Performance แบบพกพา เช่นไปทำ Facebook Live นอกสถานที่ แบกไปเล่นเกมยิง OverWatch ให้หัวร้อนเวลาไปบ้านเพื่อน

Acer Swift 7 เบา บางที่สุดในโลก แต่กลับกัน Port ในการใช้งาน ช่างน้อยมาก จะเอาไปทำงานก็ต้องพกเอา USB-C Adapter อันเขื่องไปด้วย แถมเวลาไปทำงานด้าน Network หัว LAN Adapter ที่เป็น USB-C มันหลุดง่ายมาก ผมเลยลำบากระดับนึงเวลาต้องยก Swift 7 ไปยืนทำงานหน้าตู้ Network

Macbook Pro เป็นอะไรที่กลางๆที่สุด ทำงาน Network ได้ ทำ Facebook Live ได้ Keyboard สำหรับงานเขียนดี แต่ Performace กลับอืดอาด และ เกมช่างห่วยแตก แถมงาน Network ของผมบางตัวเช่นระบบกล้องวงจรปิด ตัว Plugin ดันทำงานบน MacOS ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแบกเครื่องที่เป็น Windows ออกไปอยู่ดี

สรุปก็คือ ถึงแม้ผมจะมีเครื่องมากมาย แต่ผมกลับขาดอยู่เครื่องนึง นั่นก็คือ เครื่องที่เบาพอจะแบกไปกับสังขารของผมได้ เครื่องที่มี Port ในการทำงานมากพอที่จะใช้งานได้อย่างสะดวก เครื่องที่หน้าจอละเอียดและสวยพอจะทดแทนเครื่อง Mac และเหนือสิ่งอื่นใด Performance ต้องไม่น่าเกลียดและชักช้า จนทำให้ทำงานไม่ได้

มันเลยมาตกที่เจ้า Swift 3 นี่แหละครับ

หลายคนที่อ่านประโยคข้างบนมา ก็คงจะรู้สึกว่าผมแม่งโคตรน่าหมั่นไส้ชิปหาย เครื่องเมิงเยอะแยะ ยังจะเอาอะไรอีกฟระ แต่อยากให้มองว่า อุปกรณ์เหล่านี้คือเครื่องมือในการทำมาหาเลี้ยงชีพของผม ที่ถ้างานสะดุดนิดๆหน่อยๆ มันเกิดความเสียหายมากกว่านั่นแหละครับ

เอาล่ะ พล่ามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาซะเยอะแยะ มาเข้าเรื่อง Acer Swift 3 กันเลยดีกว่า เจ้า Swift 3 ตัวนี้เป็น Ultrabook ราคาเริ่มต้น คือประมาณ 22,900 เท่านั้นเอง แต่อัด Spec ดีๆมาเพียบจนผมตกใจ และอัพเกรดจาก Swift 3 รุ่นก่อน ที่ออกเมื่อปีที่แล้ว จนผมร้องโอ้โหว ไปหลายรอบมากตอนหยิบมันมาใช้งานและรีวิว

อย่างที่บอกว่าหน้าจอมันสวยงามน่าพอใจมาก Swift 3 เป็น Ultrabook ขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่ใช้หน้าจอ IPS ทำให้สีในการแสดงผล แถมหุ้มด้วยกระจกกอริลล่ากลาสอีกที เพื่อความแข็งแรง ผมว่าค่อนขัางโอเคมากๆ ถึงแม้จะไม่เท่า Retina Display ของ Macbook แต่ก็มองแล้วสบายตาไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด และดีกว่า Notebook ที่เป็นจอภาพแบบ TN Panel ของหลายๆยี่ห้อมากๆ

ตัว Keyboard เป็น Full Sized Keyboard แบบ 6 แถว โดยรวบเอาปุ่มลูกศรขึ้นลง ไปอยู่แถวเดีียวกับพวก Home / End / Page Up / Page Down ครับ ตัว Keyboard มีไฟ LED ปรับความสว่างได้้ทั้งหมด 3 ระดับ แต่ละปุ่มถูกออกแบบมาให้ห่างกันจนทำให้พิมพ์ค่อนข้างคล่องและไม่ไปเกี่ยวปุ่มตัวอื่นมาเวลาเรากดผิด เป็นหนึ่งใน Keyboard ที่ผมพิมพ์แล้วชอบมากอันนึงเลยล่ะครับ

ตัว Trackpad เป็น Multi-touch Trackpad ที่รองรับได้สูงสุด 5 นิ้ว ขนาดใหญ่ประมาณ 5 นิ้วเหมือนกัน เป็น Trackpad ที่รองรับตามมาตรฐาน Windows 10 ก็คือ ปรับแต่ง เรื่องของ ปุ่มในการกดได้หลายแบบ

บางคนชอบคลิกขวาด้วยการกด 2 นิ้วก็ทำได้ บางคนชอบคลิกขวาตรงโซนขวาล่างก็ทำได้

หรือ

บางคนอยากกดคลิกซ้ายด้วยการแตะเบาๆก็ได้ หรือจะให้กดจมลงไปเลยก็ได้

โดยส่วนตัวผมชอบ คลิกซ้ายด้วยการกดให้จมลงไป และ คลิกขวาด้วยการแตะสองนิ้ว ซึ่งวิธีนี้มันเป็นรูปแบบการใช้ Trackpad แบบเดียวกับบน Mac ซึ่งผมคุ้นชิ่นมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบมากบน Swift 3 เช่นกัน ตรงที่ผมไม่ต้องเปลี่ยน Mindset ในการควบคุม Trackpad ใหม่

แต่อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำ ความเร็ว ความลื่นไหลของ Trackpad บน Swift 3 นั้นก็ยังไม่เท่าของ Macbook Pro อยู่ดีนะครับ ผมเรียกว่าใกล้เคียงประมาณ 85% ละกัน

อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบมากบน Swift 3 ก็คือตัว Fingerprint Scanner ครับ ผมเคยใช้ Fingerprint Scanner บนเครื่อง Thinkpad มาก่อน ซึ่ง Fingerprint Scanner บนรุ่นเก่าๆนั้นจะเป็นแบบรูด แถมไม่ค่อยแม่นยำด้วย บางทีรูดซัก 2 ครั้งไม่ผ่าน ผมก็พิมพ์ Password แทนแล้ว แต่ Fingerprint Scanner บน Swift 3 เป็นแบบใหม่ที่ไม่ต้องรูด แต่ใช้แตะเอาเหมือนกับของพวก Smartphone สมัยใหม่ครับ นอกจากนั้นยังรองรับการใช้งาน Windows Hello ของ Microsoft ด้วย ความแม่นยำค่อนข้างดีมาก แค่แตะลงไปก็ Login เข้าเครื่องได้เลย ทำให้เร็วมากๆ ผมนี่อยากจะให้มี Fingerprint Scanner ซัก 2 อัน ด้านซ้าย กับ ด้านขวานะ มือไหนว่างจะได้จิ้มลงไปได้เลย ฮ่าๆ แต่โดยรวมผมถือว่า ความสะดวกของมันนี่ขั้นดีเลิศเลยล่ะครับ

อย่างที่บอกไปว่าเครื่องนี้มี Port ให้ใช้งานเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับ Swift 7 … (แต่น้ำหนักก็ต่างกันฟ้ากับเหวเลยนะครับ) สำหรับด้านซ้ายของตัวเครื่องก็จะเป็นช่องชาร์จไฟ / HDMI / USB-C แล้วก็ USB 3.1 อีก 2 ช่อง โดยที่ช่องนึงนั้นรองรับการชาร์จไฟออกให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้เปิดเครื่องอีกด้วย ปิดท้ายด้วย ช่องเสียบ หูฟัง / ไมโครโฟน แบบ 3.5 มม

ด้านขวา มีช่องเสียบ SDCard / ช่อง USB 2.0 เอาไว้เสียบกับ Mouse โดยเฉพาะ / ไฟแสดงสถานะการทำงาน / ไฟบอกสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ แล้วก็ช่องล็อคแบบ Kensington Lock ครับ

ใต้เครื่อง มีช่องพัดลมระบายอากาศขนาดใหญ่แล้วก็ ยางรองใต้เครื่องที่หนาประมาณ 1 มม. สำหรับ ด้านที่ใกล้ Keyboard แล้วก็ อีกด้านหนาประมาณ 2.5 มม.สำหรับด้านจอภาพ ซึ่งเวลากางออกมา ตัวเครื่องจะยกตูดนิดๆเพื่อให้ได้องศาในการพิมพ์ที่สบายมือมากขึ้น

ลำโพงใต้เครื่อง ตัวเล็กๆแบบนี้ แต่ดังมากนะครับ ดังจนตกใจเลยว่าเฮ้ยย นี่ใส่ลำโพงตัวไหนมาเนี่ย ทำไมดังขนาดนี้ ลำโพงนี้จะอยู่ด้านล่างข้างๆยางกันกระแทก โดยจะหันลงพื้นเพื่อให้สะท้อนโต๊ะแล้วขึ้นมาให้เราได้ยินครับ

ส่วนที่หนาที่สุดของเครื่องก็ประมาณ 1.5 เซนติเมตร เรียกได้ว่าไม่หนาเท่าไหร่ น้ำหนักก็ประมาณ 1.5 กิโลกรัม

สำหรับ Spec ของ Swift 3 ตัวนี้ ก็คือ Core i5-7200 ความเร็ว 2.5Ghz กับ แรม 8GB พร้อมกับ การ์ดจอ Intel 620 และ  SSD ขนาด 256GB แบบ NVMe ด้วยครับ

และการที่ทาง Acer เลือกใช้ SSD แบบ NVMe ของ Intel ทำให้พลังในการทำงานเร็วขึ้นมาก เพราะมันอ่านไฟล์ได้เร็วโคตรๆครับ เร็ว 1,373.95 MB ต่อวินาทีเลยนะครับ

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ เป็นแบบ 4 Cell ที่ทาง Acer เคลมว่าใช้งานได้ต่อเรื่อง 10 ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ผมว่าก็ไม่ถึงหรอก ผมลองใช้เองก็ประมาณ 5-6 ชั่วโมงนะครับ ก็กำลังดี ไม่ได้ขี่เหร่เกินไปนัก และอีกเรื่องที่ผมชอบก็คือ การ์ด WIFI แบบ AC Wave 2 ครับ ตอนนี้ทาง Acer พยายามใช้การ์ดตัวนี้เป็นหลักใน Notebook ทุกเครื่องผลก็คือความเร็วในการเชื่อมต่อของคุณจะได้ Bandwidth สูงสุดถึง 866Mbps แถมยังได้เทคโนโลยี MU-MIMO ใน Wireless AC Wave 2 อีกด้วย พวก Notebook แพงๆหลายๆรุ่นยังไม่ให้การ์ดดีขนาดนี้มาเลย

ปิดท้ายความดีงามของ Swift 3 ครับ นั่นก็คือ Power Adapter ที่เล็กและเบามากๆ คือ เบาอย่างกะที่ชาร์จมือถือ ทำให้ผมสามารถพกที่ชาร์จติดกระเป๋าไปได้โดยที่ไม่ต้องคิดมากกับขนาดและน้ำหนักเลยครับ เพราะทุกทีที่เจอใน Ultrabook ที่บางมากๆก็คือ มันบางเพราะเอาภาคแปลงไฟ ไปใส่ใน Power Adapter แทน ผลก็คือ เครื่องเบาก็จริง แต่ Adapter หนักชิปเป๋ง

โดยรวม ผมชอบอะไรใน Swift 3 บ้าง

  • หน้าจอ Full HD แบบ IPS
  • Fingerprint Scanner แบบดีมาก
  • Trackpad ที่ตอบสนองได้แม่นเกือบจะเท่า Macbook ในระดับ 85%
  • SSD แบบ NVMe ที่แรงโคตร
  • Port พื้นฐานสำหรับการใช้้งานครบถ้วน
  • Power Adapter ที่เบามากๆ

แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีเรื่องที่ไม่ชอบครับ และเรื่องที่ไม่ชอบเอามากๆก็อยู่บน Keyboard นี่แหละ

มันก็คือ ปุ่มลูกศรนี่แหละครับ การที่ Acer หดตัว Keyboard เหลือ 7 แถว แล้วรวบเอาลูกศร + Home / End ไปอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมกด Cursor ได้ยากมาก เรียกได้ว่า ใช้แล้วขัดใจถึงขั้นสุดเลย เพราะกดผิดโคตรจะบ่อยยยยย

อ้อ ผมรีวิวแบบวีดีโอไว้ในรายการล้ำหน้าโชว์ด้วย กดดูวีดีโอก็ได้นะครับ แต่เป็นแค่ Short รีวิวนะครับ

แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า มันเป็น Notebook ที่ครบเครื่อง ในราคาที่ถูกมาก 22,900 แต่อัดแน่นด้วย Spec ขนาดนี้ อ้อ แต่ราคานี้ไม่มี Windows Liccense มาด้วยนะครับ มันจะมีระบบปฏิบัติการ Endless OS ของ Linux ติดตั้งมาให้แทนครับ เอาเป็นว่า ใครที่กำลังมองหาเครื่อง Notebook สำหรับทำงานที่พกง่ายๆ แล้วจบทุกอย่างในตัวเดียว ผมเชียร์ Swift 3 สุดลิ่มทิมประตูเลยครับ

 

The post รีวิว ACER Swift3 .. โน๊ตบุ๊คที่ทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน appeared first on Freeware.in.th.

สมัคร True Super Speed Fiber ภายในเดือนสิงหา แถม อัพเกรด TrueVisions เป็น Smart Family HD

Freeware.in.th - 19 July 2017 - 15:44

เอิ่มม สำหรับแฟนๆรายการที่ติด True Vision หลายคน น่าจะคุ้ยเคยหน้าตาของผมในโฆษณา True Super Speed Fiber บน True Vision กันดี เดินไปไหนก็มีแต่คนทักว่า เห็นโฆษณาแล้วตกใจ โอ๊ยย อายจัง

 

อย่างไรก็ตาม Blog นี้ก็ขอประชาสัมพันธ์ให้สมกับที่ไปเล่นโฆษณาให้ True Super Speed Fiber ของเค้าหน่อยละกันครับ

[advertorial]

ใครที่เลือกแพ็กเกจแบบ bundle หรือรวม 3 บริการเข้าด้วยกัน อย่าง ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ และทรูมูฟ เอช จะได้บริการ TrueVisions ด้วยโดยแพ็กเกจที่ได้นั้นคือ Enjoy Pack ซึ่งช่องที่เราสามารถรับชมใน Enjoy Pack ก็จะมีดังต่อไปนี้แหละ

โดยที่เจ้า Enjoy Pack ก็มีทั้งหนัง ข่าว สารคดี และ กีฬาให้ดู “ระดับนึง” แหม่ ว่ากันตรงๆ มันเป็น Package เริ่มต้น  ก็จะไม่ค่อยมีของแรงๆ ใส่มาเท่าไหร่ แต่ก็มีของดีเยอะนะ เช่น Fox Channel สำหรับคอซีรีส์อเมริกา ที่ส่วนใหญ่ฉายวันเดียวกันเลย , True Select HD ช่องนี้สำหรับขาช้อปเลย ไม่ต้องออกไปเดินหา , ช่องข่าวเจ๋งๆ ก็มี Aljazeera , NHK World ส่วนช่องกีฬาเด็ดๆ ก็มี beIN Sports 4 ให้ดูกัน

แต่เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าทรู ทางทรูก็เลยจัดโปรอัพเกรดสำหรับใครก็ได้ที่ติด True Super Speed Fiber ใน Pack ใดก็ตามที่มันเป็น Enjoy Pack .. จะได้รับการอัพเกรดขึ้นเป็น Smart Family HD เป็นเวลา 3 เดือนครับ ซึ่งถ้าอยากจะอัพเกรดเป็น Smart Falimy HD ราคาจะอยู่ที่ 524 บาท … ก็แปลว่า เราได้ดู ทรูวิชั่นส์ ที่ Package ราคา 524 บาทฟรีเป็นเวลา 3 เดือนนั่นแหละครับ

ทีนี้ ไอ้การอัพเกรดมาดู Smart Family HD มันมีอะไรให้ดูบ้างล่ะเนี่ย มาดูกันครับ

ช่องที่ผมชอบมีหลายช่องมาก อย่างช่องหนัง ได้ดู FOX ได้ 2 ช่องเลยทั้ง FOX Action Moviesและ FOX Family Movies / ซีรีส์ KBS World / AMC / GEM / ช่องสารคดี Animal Planet / H2 / ช่องบันเทิง True X-Zyte HD / Lifetime HD / BBC Lifestyle / ช่องการ์ตูนก็ได้ดู Disney ครบทั้ง 3 ช่องเลย Disney Channel, Disney Junior, Disney XD / Cartoon Network / ช่องกีฬา ได้ดูทั้งบอลไทย บอลเทศ TrueSport HD2 / Golf Channel / beIN Sport 4

ผมว่าที่คุ้นเคยกับคนไทยมากที่สุดก็น่าจะเป็นช่อง True X-zyte HD ครับ รวมมิตรเกมโชว์มันส์ๆจากญี่ปุ่นและเกาหลี ที่สมัยก่อนฉาย TV Champion นั่นแหละ รายการที่น่าดูตอนนี้ก็มี Star King / ชิงแชมป์กูรูอาหารแดนกิมจิ / อาราชิโชว์ / ท่องแคว้นแดนน้ำพุร้อน / โกโกะริโกะ เกมกึ๋ย และ อื่นๆอีกเพียบ

สำหรับช่อง Fox Family Movies (227) ก็มีหนัง Big Titles เพียบครับ อย่างของเดือนนี้น่าจะเป็น Cars กับ Cars 2 จาก Pixar

Fear of the Walking Dead Season 3A เพิ่งจบครึ่งแรกไปไม่นานนี้เองเป็นซีรีส์ที่จะเราบอกว่า ก่อนซอมบี้ระบาดใน The Walking Dead มันเกิดอีท่าไหน ทำไมซอมบี้ถึงระบาดได้
รอดูภาคต่อเลย กันยายนนี้ กลับมาแน่ บอกเลยมันกว่าที่ผ่านๆมา ทางช่อง AMC (242)

Masterchef Australia Season 9 หนึ่งในรายการแข่งขันทำอาหารสุดดราม่าจากประเทศออสเตรเลีย ฉายทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 19.00 ทางช่อง Lifetime HD (339)

รายการ Reality Show จากพ่อครัวชื่อดังแต่โคตรปากเสีย อย่างกอร์ดอน แรมซี่ย์ ที่จะออกไปเยือนร้านอาหารที่ธุรกิจกำลังจะไปไม่รอดเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูและปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ ฉายทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 18.25 ทางช่อง BBC LifeStyle (353)

Tanked Season 7 .. สารคดีแบบ Reality Show ที่สองนักธุรกิจเจ้าของกิจการผลิตและจัดจำหน่ายตู้กระจกสำหรับเลี้ยงสัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จะพาไปดูว่าเค้าทำงานกับสัตว์น้ำขนาดต่างยังไงบ้าง
ฉายทุกวันพุธ เวลา 20.55 ทางช่อง Animal Planet (567)

Reality และ ดราม่า น้ำตาซึม ของ  ดร.คริส บราวน์ และ ดร.ลิซ่า ไชมส์ ผู้อุทิศตนให้กับการแลรักษาบรรดาสัตว์ที่เจ็บป่วย
ทุกวัน พุธ เวลา 21.00 น. ทางช่อง True Explore Wild (559)

ในส่วนของกีฬา ก็มี Match ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ครับ

ติดตามการป้องกันแชมป์ของ รอรี่ แมคอิลรอย และชมการดวลวงสวิงของโปรกอล์ฟชั้นนำในศึกกอล์ฟ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ รายการ “ดูไบ ดิวตี้ ฟรี ไอริช โอเพน”

มีฟุตบอล J 1 League และ J 2 League คู่ใหญ่ ให้ชมสดๆ ทุกสัปดาห์ ซึ่งลีกนี้ไม่มีให้ชมที่ไหนนอกจาก TrueVisions นะครับ

ก็ประมาณนี้แหละครับ ว่า ถ้าสมัคร True Super Speed Fiber ที่แถม Enjoy Pack จะได้รับการอัพเกรดเป็น Smart Family HD Pack เป็นเวลา 3 เดือนฟรีนะครับ ถ้าถูกใจก็ต่อไปยาวๆ เลย นี่คือคอนเท้นต์ดีๆ มันส์ๆ ที่ดูได้บนจอทีวี ส่วนใครที่เน้นดูบนจอมือถือ ทรูเค้าก็มีให้ดูผ่านแอปพลิเคชั่น True ID ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งถ้าใครสมัคร ทรู ซูเปอร์สปีด ไฟเบอร์ ไม่ว่าแพ็กเกจใด จะได้สิทธิ์ดูหนัง รายการทีวี กีฬา มิวสิควิดีโอ และความบันเทิงอีกมากมายผ่านแอปฯ ฟรี! 3 เดือน  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://trueonline.truecorp.co.th/customer/super-fiber/entry/5349

The post สมัคร True Super Speed Fiber ภายในเดือนสิงหา แถม อัพเกรด TrueVisions เป็น Smart Family HD appeared first on Freeware.in.th.

รีวิวเคสชาร์จ USAMS Power Bank สำหรับ iPhone7+ ที่โคตรบาง แถมแบตอย่างเยอะ

Freeware.in.th - 6 July 2017 - 00:34

ไปเจอเคสชาร์จตัวนึงขายอยู่ที่ Loft สาขา Paradise Park ครับ ดูราคาแล้วมันทะแม่งๆ มันจะใช่ราคานี้แน่หรอ เลยลองซื้อกลับมาดู เพราะมันเป็นเคสชาร์จสำหรับ iPhone7+ ที่มีความจุมากถึง 3,650 mAh  (ขนาด Battery ของ iPhone7+ ยังมีแค่ 2,900 mAh เอง) พอลองเอามาใส่เครื่องแล้วพบว่า เฮ้ย บางมาก ขนาดเหมาะมือ ไม่ได้ใหญ่เทอะทะอะไรเลยเอามารีวิวติด Blog ไว้ซักหน่อยครับ

พูดถึงเคสชาร์จ หลายๆคนที่เป็นแฟนของ Blog ผมก็น่าจะรู้ดีว่าผมเป็นสาวก iPhone และมีเคสปูด ที่เป็นเคสชาร์จของ iPhone6s มาก่อน แต่พอย้ายมาใช้เครื่องใหญ่ที่เป็น iPhone7+ ทาง Apple ไม่ยอมทำเคสปูดตัวใหญ่ออกมาให้ก็เลยไม่ได้ใช้ ซึ่งจะว่าไป Battery มันก็เยอะระดับนึงอยู่แล้วล่ะ แทบไม่ต้องใช้ก็ได้ และก็อย่างที่บอกว่า เดินไปเจอ + ราคาเร้าใจมาก เลยหยิบมาอันนึงครับ

เคสชาร์จของ USAMS ตัวนี้ทำในประเทศจีนครับ USAMS ก็มีสินค้าที่เป็น Mobile Accessories เยอะมากๆ น่าจะมีประสบการณ์ในการทำ Accessories มาอย่างยาวนานเลยล่ะ งานผลิตค่อนข้างดีทีเดียว ตัวเคสเป็นพลาสติกแบบ PC ผสมกับ TPU ที่ค่อนข้างแข็งแรงเลยทีเดียว แต่ลองจับๆผิววัสดุดูก็ไม่แน่ใจว่าใช้ไปนานๆ มันจะเหนียวหรือเปล่า

วิธีการใส่ iPhone เข้ากับตัวเคสนี้ก็มีสกรีนใส่เครื่องเอาไว้เลยล่ะ

ส่วนหัวชาร์จที่เป็น Lightning ค่อนข้างจะติดกับเคสมาก เลยทำให้เคสนี้ไม่ค่อยหนาครับ

พลิกมาด้านหลัง จะมีปุ่มกดเพื่อเช็คสถานะ Battery ครับ กดหนึ่งทีจะโชว์สถานะ กดค้างจะปล่อยไฟชาร์จเข้าเครื่อง กดค้างอีกทีก็หยุดชาร์จ จะไม่เหมือนกับเคสปูดของ Apple ที่เสียบปุ๊บชาร์จปั๊บนะครับ

พลิกมาดูด้านข้าง มีสกรีนโลโก้ของ USAMS ไว้ด้านขวาพร้อมกับปุ่ม Power ซึ่งกดปุ่มได้ง่ายเหมือนไม่ได้ใส่เคสอะไร

ปุ่ม Volumn ก็กดง่าย ส่วนปุ่ม Silent Mode นี่ต้องใช้เล็บแงะลงไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ยากเท่าไหร่

ในแง่ความบาง เรียกได้ว่าหนากว่าตัว iPhone7+ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

วิธีใส่ก็ยัดตูดเข้าไปก่อนแล้วค่อยกดหัว ส่วนตอนถอด ก็ใช้นิ้วดันตรงเลนส์กล้องแล้วก็ค่อยๆกดมันออกมาครับ ถือว่าใส่ง่าย ถอดง่าย ไม่ได้ยากเย็นเหมือน Air Jacket

ปิดท้าย ก็คือ เจ้านี่ใช้ช่องชาร์จเป็น Lightning ครับ ถือว่าง่ายเลย เพราะว่าเคสชาร์จพวกนี้ สมัยก่อนจะเป็นหัว MicroUSB ซึ่งเราจะต้องมานั่งพกสายสองเส้น

หลังจากทดลองใช้มาได้ซักไม่กี่ชั่วโมง
ขอเล่าความรู้สึกคร่าวๆละกันนะครับ

อย่างแรกเลยก็น่าจะเป็นเรื่องสัมผัส ไม่ได้ใหญ่เทอะทะน่าเกลียดอะไร หนาขึ้นมาอีกนิด ยังจับถนัดอยู่ เลนส์กล้องและ Flash ก็ยังทำงานออกมาได้ปกติไม่ได้บังกล้องหรือแสงอะไร ในแง่น้ำหนักก็ถือว่าหนักมากขึ้นระดับนึงเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใส่กระเป๋ากางเกงหลวมๆ นี่มีดึงกางเกงหลุดตูดได้ สิ่งที่ชอบคือใช้สาย Ligjtning ชาร๋จได้ แต่สิ่งที่ไม่ชอบคือ เสียบสายชาร์จกับคอม แต่มองไม่เห็นอุปกรณ์นี่แหละ ตอนเสียบสายชาร์จ เหมือนมันจะชาร์จทั้งมือถือและเคสพร้อมๆกันเลย เรียกว่าแบ่งๆกันชาร์จ เลยน่าจะนานโคตรกว่าแบตจะเต็ม  โดยรวมแล้ว ผมเชื่อว่า Loft น่าจะติดราคาผิด เพราะขนาดในเว็บยัง 41.99$ เลย แต่ไหงมาโผล่ในราคา 520 บาทได้ สงสัยท่าทางจะพิมพ์เลขหนึ่งตกไปตัวนึงนะจ๊ะ ใครใจดีก็แจ้ง Loft หน่อย ใครใจร้ายก็ไปโกยกันเองละกันครับ

The post รีวิวเคสชาร์จ USAMS Power Bank สำหรับ iPhone7+ ที่โคตรบาง แถมแบตอย่างเยอะ appeared first on Freeware.in.th.

ประสบการณ์การใช้ TrueMoney Wallet ในการชำระค่าบริการต่างๆ + การได้ไปคุยกับผู้บริหาร TrueMoney

Freeware.in.th - 5 July 2017 - 17:52

ช่วงนี้ก็ได้มีโอกาสโดนลากไปคุยกับผู้บริหารจาก True ค่อนข้างบ่อย ก่อนหน้านั้นก็เป็น TrueMove H รอบนี้เป็น TrueMoney ครับ น่าจะเพราะผมเล่าเรื่องบริการของ True Money ไปเมื่อซักเดือนที่แล้ว งานนี้ผู้บริหารคึกคักเลยอยากเชิญ Blogger มาพูดคุยแล้วก็ขอข้อมูลจากทางฝั่ง Blogger เพื่อไปปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน TrueMoney Wallet ครับ

ผมว่าประเด็นแรกที่คนอ่าน Blog นี้สงสัยกันคือ พวก Blogger นี่มันเป็นใครกันหว่า ทำไมผู้บริหารถึงต้องมาคุยด้วย???

ก็ต้องบอกว่า พวกเราชาว Blogger ก็เป็นผู้ใช้งานเหมือนกันคนอ่านทุกท่านนี่แหละครับ อาจจะได้เปรียบตรงที่พวกผมที่เป็น IT Blogger จะมีประสบการณ์ที่ได้ใช้ของที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆบ่อยกว่าชาวบ้าน ประสบการณ์การใช้งานของพวกเราก็จะมีในแง่มุมแปลกๆที่ ผู้ใช้ทั่วไปอาจจะนึกไม่ถึง ซึ่งการได้มาพูดคุยกับผู้บริหารโดยตรงอาจจะทำให้เรานำเสนอแง่มุมของบริการแปลกๆใหม่ๆได้นั่นแหละครับ

ทีนี้ประเด็นการพูดคุยวันนั้นมันมีอะไรบ้างล่ะ??

งานนี้ก็มี Blogger + สื่อข่าวไอทีจำนวนมาก มากันประมาณ 30 กว่าคน ทั้ง ผม และ พี่หลามที่เป็นตัวแทนล้ำหน้าโชว์ , Droidsans , Flashfly , iPhondroid หรือแม้แต่คุณเอิ้นแห่ง IT24hr แกก็มาด้วยครับ ซึ่งประเด็นเรื่องของ TrueMoney มาเอามาพูดคุยกัน น่าจะเป็นประเด็นในเชิงสอบถามประสบการณ์การใช้งานการจ่ายเงินแบบ Cashless ที่ทุกคนเคยใช้มากันมากกว่าครับ

ก่อนเริ่มช่วงสอบถามทางผู้บริหารของ TrueMoney Wallet ก็เข้ามาแนะนำองค์กร + สิ่งที่ตอนนี้ทาง True กำลังทำอยู่ในภาคธุรกิจด้าน Digital Money ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง โดยที่มีผู้บริหารสองท่านมานั่งทานข้าวแล้วก็พูดตคุยกับพวกเราเหล่า Blogger ครับ นั่นคือ คุณปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ประธานคณะผุ้บริหารบริษัท ทรู มันนี่ จำกัด (ในเครือแอสเซนด์ กรุ๊ป) และ คุณอรุณ สุดเวหา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเพย์เม้นท์ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด

ซึ่งตอนนี้ปัญหาหลักๆที่ทาง TrueMoney  ประสบกันเยอะมากก็คือ บรรดาผู้ใช้เบอร์มือถือแบบเติมเงิน ยังคงเลือกเติมเงินด้วยวิธีแบบเก่า หรือที่เรียกว่ากดผ่าน USSD

ถ้านึกไม่ออก มันก็คือ ระบบกดเติมเงินผ่านหมายเลข *xxxx#อะไรเนี่ยและครับ ปัญหาก็คือ ลูกค้าใช้วิธีบันทึกตัวหมายเลข USSD เติมเงินกันเอาไว้ในเครื่อง แล้วก็ซื้อโปรผ่านระบบนี้กันอย่างเดียว เป็นปริมาณที่สูงมาก สูงถึง 90% ของลูกค้าแบบเติมเงินด้วยกัน

ซึ่งทาง True เองก็บอกว่า การที่ลูกค้ายัง USSD แบบเดิมๆเนี่ย มันจะทำให้ลูกค้าไม่มีโอกาสได้พบโปรใหม่ๆ พอจะส่ง SMS ไปแจ้งโปรใหม่ที่ถูกกว่า ลูกค้าก็มองว่าเป็น Spam พอจะทำการโฆษณาในช่องทางอื่น ก็กลายเป็นว่าทาง True มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พอต้นทุนเพิ่มก็ไม่สามารถทำโปรที่ราคาประหยัดกว่าเดิมให้ลูกค้าได้ ปัญหาวนเป็นงูกินหางอยู่แบบนี้

ทางฝั่ง Blogger ก็ยิงถามไปตรงๆเลยครับ อ้าว แล้วลุกค้าใช้โปรราคาแพงแบบนี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อทาง True กว่าเหรอ?

ทางผุ้บริหารแกก็ตอบตรงๆครับ แกบอกว่า มันดีก็จริง แต่ในเชิงประสบการณ์ผู้ใช้งานมันจะไม่ดีเลย และลูกค้าก็อาจจะพลาดโอกาสที่จะใช้บริการอื่นๆของทาง True ด้วย

ทีนี้ทาง True ก็มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ตัวแอป TrueMoney Wallet เป็นทางเลือกของผู้ใช้งานสายเติมเงิน พยายามทำให้ True Money สามารถชำระค่าใช้จ่ายได้หลายๆอย่าง รวมไปถึง การเติมเงินและการซื้อโปรผ่าน True Money Wallet เนี่ย จะมีโปรเฉพาะที่จำหน่ายในนี้เป็นราคาพิเศษ ที่ไปเติมโปรที่อื่นไม่ได้ รวมไปถึง การทำ Cashback เงินเมื่อจ่ายค่าบริการผ่าน TrueMoney Wallet

คือ ตอนผมอ่านสิทธิประโยชน์ของทาง TrueMoney Wallet เนี่ย ผมแม่งตาวาวเลยครับ คือ โปรก็ดี เติมเงินก็ Cashback จ่ายเงินซื้อของใน 7-11 ก็ได้ แถมพวกสิทธิ์แลกซื้อ หรือ เหรียญใน 7-11 ก็เก็บสะสมใน App ไปเลยทีเดียว ไม่ต้องมานั่งเก็บใบเสร็จหรือรอสติ๊กเกอร์อะไรพวกนี้แล้ว

แต่ทว่า….. ยอดผู้ใช้งานของลูกค้ากลุ่มเติมเงินนั้นก็ยังไม่ค่อยย้ายมาใช้กัน

การพูดคุยสอบถามกับ Blogger ก็จะเป็นเรื่องของประสบการณ์ในการใช้งาน Digital Money ของแต่ละคนว่ามี Lifestyle กันเป็นยังไงบ้าง

คนชงประเด็นบ่อยๆ น่าจะเป็นคุณลิ่ว แห่ง Blognone มากกว่า แกเองก็เป็นคนที่ใช้ True Money Wallet บ่อยมากๆ แล้วก็เวลามีเศษเหรียญในกระเป๋า แกก็มักจะไปหยอดตู้ของ True Money เพื่อโยนเข้ากระเป๋าเงินออนไลน์แกไปเลย ทางคุณลิ่วก็ Comment ไปว่า ระบบใบเสร็จของตู้ Kiosk ของ True Money น่าจะมีให้เลือกรับใบเสร็จทาง Email แทน เพราะว่าแกก็เกรงใจบางทีเดินไปหยอดตู้ True Money ห้าบาท สิบบาท ก็พิมพ์ใบเสร็จออกมาเลย ซึ่งแกบอกว่าเปลือง

ผมเองในฐานะที่เข้า 7-11 บ่อยๆ แล้วก็จ่ายเงินซื้อของใน 7-11 ผ่าน True Money Wallet ก็แจ้งปัญหาไปว่า บางทีไปจ่ายเงินที่ 7-11 แต่พนักงานยังงงๆ เวลาที่เราบอกว่าจะจ่ายด้วย True Money บางทีกดผิดๆถูกๆ กัน 4 รอบกว่าจะจ่ายได้ ซึ่งทางทีมผุ้บริหารก็บอกว่า ทางเราเทรนน้องพนักงานอยู่ตลอด แต่ว่าอาจจะรบกวนทางลูกค้าช่วยสอนน้องๆที่ยังเป็นมือใหม่ด้วย ซึ่งในหน้าจ่ายเงินก็ประโยคเอาไว้บอกน้องๆว่า ควรจะกดปุ่มอะไรเพื่อให้ชำระผ่าน True Money Wallet ได้

อีกเรื่องนึงที่ผมถามทางทีมผู้บริหารไปก็คือ ตอนนี้ทาง AIS จับมือกับ Samsung เอาบัตร Mastercard ใน mPay มาผูกกับ Samsung Pay ได้ ซึ่งทาง True Money wallet เองก็มีระบบที่ออกบัตร Mastercard ให้กับทางลูกค้าเหมือนกัน เป้นไปได้ไหม ที่จะทำให้เพิ่มบัตร Mastercard จากฝั่ง True Money เข้าไปใน Samsung Pay ได้ ซึ่งทางทีมผู้บริหารก็บอกว่า เรามีแผนไว้เรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่เดือนจะใช้ได้อย่างแน่นอนครับ

ในเชิงประเด็นเรื่อง คนกลุ่มเติมเงินยังไม่ค่อยย้ายมาที่ระบบ True Money Wallet ทางพี่หลามแกชงประเด็นนึงที่ค่อนข้างน่าสนใจว่า น่าจะเป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ได้รับรายได้เป็นรายวัน และพอใช้เพียงแค่นั้น น่าจะไม่ได้มีเงินก้อนสำหรับเติมเข้าไปในระบบเพื่อทิ้งๆเอาไว้ ถึงแม้ว่าอยากจะใช้ แต่รายได้ก็ไม่เอื้ออยู่ดี แถมโปรโมชั่นพวก Cashback เวลาคืนเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ คนกลุ่มนี้มีรายได้น้อยมากๆ เงินที่เติมเข้าไปในระบบแล้วได้ Cashback กลับมาก็น้อยมาก

ซึ่งเราพูดคุยกันในประเด็นนี้ค่อนข้างเยอะ โดยรวมอาจจะยังไม่มีข้อสรุปตายตัวในเชิงการให้บริการ แต่ว่าทางผู้บริหารทั้งสองท่านเองก็ได้รับทราบแง่มุมที่พวกเรา Blogger แชร์กันในตลอด 2 ชั่วโมงของการพูดคุย (จริงๆมีประเด็นเยอะกว่านี้มากครับ มีลงลึกในระดับการ Optimize App ให้มันทำงานเร็ว ตอบสนองเร็วเลยทีเดียว ซึ่งผมมองว่าอาจจะ Geek ไปหน่อย เอาแค่ประเด็นเรื่องการใช้งานก็พอ)

ทีนี้ผมขอเล่าประสบการณ์ในการใช้งาน TrueMoney Wallet App บ้างละกันครับ

ตัวผมเองเริ่มใช้มาได้ประมาณเกือบๆ หนึ่งปีแล้ว สาเหตุที่เลือกใช้ก็เพราะว่า 7-11 เป็นร้านค้าเดียวในละแวกบ้านผมที่อยู่ในรัศมีเดินไปถึง ซึ่งเวลาผมไปซื้อของใน 7-11 เนี่ย ผมก็ซื้อของในปริมาณที่เยอะมาก อารมณ์เหมือนเข้า Super Market แบบเล็กๆอ่ะครับ ขนม น้ำ นม ขนมปัง มาม่า เรียกได้ว่าเข้าหนึ่งครั้งมีเสียเงินประมาณ 300-400 บาท ปัญหาที่เจอหลักๆจะมีสองเรื่อง

  1. เงินสดไม่พอ
  2. เงินทอนท่วม

ซึ่งไอ้สองปัญหาเนี่ย มันก็สร้างความหงุดหงิดให้ผมระดับน่ารำคาญเลยล่ะ อารมณ์เหมือนเดินมาคิดเงิน แล้วอ้าว เงินไม่พอ แต่โอ้โห ข้างหลังต่อคิวกันเพียบเลย จะเดินออกไปกดตังค์ ก็เสียเวลาเยอะมาก

สุดท้ายไปเจอโฆษณาที่โปรโมทว่า TrueMoney จ่ายเงินใน 7-11 ได้นะ เลยสมัครแล้วผูกบัญชีไปแบบไม่คิดชีวิตเลย เติมเงินทิ้งไว้ 1,000 นึง เผื่อเดินเข้า 7-11 ก็จ่ายได้เลย โคตรเท่ อารมณ์เหมือนคนกิน Star Bucks ก็จ่ายเงินด้วยแอป Star Bucks … แต่ของเราจ่ายค่า 7-11 ฮ่าๆ

ปิดท้ายอีกนิด ก็คือ ปัญหาที่เหล่า Blogger ให้ข้อสรุปค่อนข้างตรงกันเกี่ยวกับเรื่องของระบบ Cashless ในบ้านเราก็คือ บริการรับชำระเงิน ยังไปไม่ถึงทุกห้างร้าน ทุกคน ทุกที่ ทุกแห่งจริงๆ เพราะปัจจุบันเอาแค่บัตร BTS กับ MRT มันยังจ่ายร่วมกันไม่ได้เลย คนกลุ่มชนชั้นกลางหรือคนที่มีรายได้น้อย ยังไม่กล้าเอาเงินมาใส่ไว้ในระบบเพราะ การรับจ่ายเงินมันยังมีข้อจำกัด ถ้ามันเป็นเหมือนประเทศญีุ่่นที่กระเป๋าเงิน Digital ของเราสามารถจ่ายตรงไหนก็ได้เนี่ย มันจะทำให้คนกล้าใช้บริการตรงนี้มากขึ้น ซึ่งผมเองก็ช่วยผลักดันแค่ได้ว่า ให้ความรู้คนเรื่องระบบเงิน Digital เยอะๆ จะยี่ห้อไหนก็ได้ ถนัดยี่ห้อไหนก็ใช้ไปเหอะ แต่ถ้าคนกลุ่มนี้ใช้เยอะๆ ผมว่ามันจะมีแรงกระเพื่อมให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นครับ

โปรโมทปิดท้าย Blog

ทางทีมงาน True Money ก็ฝากเอาโปรโมชั่นมาแจกครับ เป็นโปรเด็ดๆสำหรับคนใช้งานโทรศัพท์มือถือกับแอป TrueMoney Wallet นะครับ

  1. รับฟรีทันทีทรูมูฟ เอช อินเตอร์เน็ต 500 MB เต็มสปีดแบบรายครั้ง (เฉพาะลูกค้าทรูมูฟ เอช ระบบเติมเงิน) ในราคา 15 บาท โดยสมัครและรับสิทธิ์​ง่ายๆ ได้ที่นี่ http://d.truemoney.com/pr500MB จากนั้น ดาวโหลดแอปทรุมันนี่ วอลเล็ท และซื้อแพ็คเกจอินเตอร์เน็ตแพ็คใดก็ได้ครั้งแรกผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท รับเงินคืนเข้า วอลเล็ท 100% จำกัดเงินคืนสูงสุด 20 บาททุกแพ็คเกจ สิทธิพิเศษตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 60
  2. สิทธิพิเศษเพิ่มเติมลูกค้าสามารถเลือกแพ็คเกจทั้งแบบรายครั้งหรือบุฟเฟ่ต์เน็ตไม่อั้น หลากหลายครบทุกสไตล์ ทุกแพ็คลดเพิ่มอีก 7% (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ช่องทางสำหรับเติมเงิน (Truemoney Wallet ) สะดวกมากยิ่งขึ้น ผ่าน 7-eleven , ATM/ Internet Banking/ Mobile Banking ฟรีค่าธรรมเนียม โดยเริ่มต้นการเติมเงินที่ 100 บาท ( ยกเว้น ตู้เติมเงิน ) ครบ คุ้ม ง่าย เติมได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://ext.truemoney.com/pro/vas/new/

 

The post ประสบการณ์การใช้ TrueMoney Wallet ในการชำระค่าบริการต่างๆ + การได้ไปคุยกับผู้บริหาร TrueMoney appeared first on Freeware.in.th.

Board Game ใน iOS/Android ลดราคาถึง 5 ก.ค. 2560

BaaGames - 3 July 2017 - 20:27
ตอนนี้ Board Game ใน iOS/Android หลายเกมกำลังลดราคาเหลือ 34-35 บาท ตัวอย่างเกมที่น่าสนใจ เช่น Small World 2 (iOS, Android) Pandemic (iOS, Android) Ticket to Ride (iOS, Android) Splender (iOS, Android) หลายเกมสามารถเล่นออนไลน์แข่งกับเพื่อนได้ด้วย การลดราคาจะมีถึงวันที่ 5 ก.ค. นี้ ใครสนใจเกมไหนควรรีบกดก่อนหมดเวลาครับ

รีวิวเคสมือถือ Peel Superthin .. เคสโคตรบางที่ให้เราสัมผัสการใช้งาน iPhone แบบไม่กลัวแผลถลอก

Freeware.in.th - 27 June 2017 - 18:46

ผมเองก็ใช้เคส iPhone มามากมายมหาศาลครับ เรียกได้ว่า ซื้อเดือนละ 1-2 เคส เลย เพราะจะว่าไปการใช้ iPhone เนี่ย มันโคตรน่าเบื่อ เพราะใช้อยู่แค่บอดี้นี้มานานหลายปีเหลือเกิน ดังนั้นกิจกรรมเดียวที่จะทำให้หายเบื่อได้ก็คือ หาเคสเปลี่ยนไปเรื่อยๆเนี่ยแหละ

แต่!!

สำหรับคนที่ใช้งาน iPhone เนี่ย จริงๆแล้ว สิ่งที่ต้องการที่สุดก็คือ การที่เราไม่ต้องใส่เคสเลยต่างหากครับ ผมเชื่อว่า สาวก iPhone หลายคน จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่จะใช้ iPhone แบบไม่ใส่เคส แล้วเราก็ท้ามฤตยูว่า เราจะสามารถใช้เครื่องได้อย่างปลอดภัยโดยที่ไม่ตก ไม่ร่วง ไม่เป็นรอยได้หรือเปล่า (แน่ล่ะ มันเป็นเหมือนรัสเซี่ยนรูเล็ต ใจถึงก็ยาวไป ส่วนใหญ่ก็ร่วงจอแตก ฮ่าๆ)

นั่นแหละ สุดท้ายเราก็ทำกันได้อยู่ไม่กี่วัน ต้องรีบกลับมาใส่เคส เพราะคิดในใจว่า การทำสิ่งเหล่านี้ช่างหาญกล้าท้าความตาย (ให้กับ iPhone ของเรา) เสียนี่กระไร

หลายคนจึงแสวงหา เคสผอมบางมาใส่ iPhone เพื่อที่จะทำให้เครื่องของเรานั้นใกล้เคียงสภาพดั้งเดิมที่สุดใช่ไหมล่ะครับ

พอดีไปเจอเคส iPhone มาตัวนึงที่เพื่อนคนนึงสั่งมาขาย เป็นเคสยี่ห้อ Peel ที่บาง 0.35 มม ครับ แถมยังมีสีที่แมทช์กับสีของ iPhone ครบทุกสีแม้แต่สี JetBlack อีกด้วย เลยขอซื้อจากเพื่อนมาตัวนึง

จริงๆ เพราะมันเป็นเคส ผมว่าไม่ต้องรีวิวอะไรมากหรอก แกะกล่องให้ดูหน้าตา แล้วเล่าความรู้สึกตอนจับสัมผัสแล้วก็การใช้งานก็น่าจะพอแล้ว

แกะกล่องออกมา ก็เจอเคสกับ คู่มือบอกว่า ให้พลิกไปอีกข้างเพื่ออ่านขั้นตอนการใช้งาน

ขั้นตอนการใส่ก็คือ เสียบตูดเครื่องเข้ามาก่อน แล้วค่อยๆ เก็บมุมบน ซ้ายและขวา จบข่าว กลับบ้านนอน!!

อย่างแรกเลย เอาเรื่องของความเป็น Jet Black ของ iPhone7 ก่อน หลายคนเองก็ซื้อ iPhone7 สี Jet Black เพราะชอบความดำที่สะท้อนแสงของมันใช่ไหมครับ ใช้แล้วมันโคตรพรีเมี่ยม โคตรเด่น โคตรเท่ เพราะไม่มีมือถือรุ่นไหนทำสีนี้ออกมาได้ (ปล. ตอนนี้ก็มากันหลายรุ่นแล้วล่ะ) ถ้าใส่เคส เราก็จะไม่เห็นสี Jet Black ดังนั้น Peel ก็เลยทำเคสสี Jet Black ออกมาด้วย เพื่อให้เราได้โชว์ความเป็น Jet Black แบบนิดหน่อยก็ยังดี

เพื่อป้องกันความ Jet Black หม่นหมอง เค้าก็เลยมีฟิล์มปิดกันรอยมาให้ก่อนด้วย ใครอยากจะถนอมไว้อีกหน่อยก็ไม่ต้องแกะก็ได้นะครับ

สภาพตัวเคสแบบยังไม่แกะฟิล์ม แค่จับนิดๆหน่อยๆ ก็มีรอยนิ้วมือแล้วนะเนี่ย

พลิกดูความบางกันบ้าง จริงอย่างที่เค้าว่า ที่หนาเพียงแค่ 0.35 มม คือมันบางจริงๆ แต่สัมผัสที่จับไม่ได้ดูนุ่มนิ่มอะไรนะครับ ค่อนข้างอยู่ตัว ใส่กับ iPhone แล้ว ไม่ได้เสียรูปทรงอะไร พอดีเครื่องเป๊ะ

พอแกะพลาสติกออกแล้วเอาใส่เครื่อง iPhone7 Plus แบบ Black เฉยๆ ของผม ก็เปลี่ยนให้เครื่องกลายเป็น Jet Black ได้นะเนี่ย

สรุปความรู้สึกในการใช้งาน
  • Peel เป็นเคสที่บางมาก ทำให้คุณใช้ iPhone ด้วยความรู้สึกเหมือน “ไม่ใส่เคส” ได้ใกล้เคียงที่สุดแล้ว
  • แต่มันกันแค่รอยขีดข่วน ไม่สามารถกันกระแทกได้นะครับ
  • ราคา 24.99$ ไปลองดูรายละเอียดได้ที่ https://buypeel.com/products/super-thin-iphone-7-case?variant=29716430727
  • ไม่ถึงกับคุ้มราคา แต่ก็ช่วยทำให้เครื่องปลอดภัยจากรอยขีดข่วนช่วงที่เราอยากจะใช้เคสบางๆครับ

The post รีวิวเคสมือถือ Peel Superthin .. เคสโคตรบางที่ให้เราสัมผัสการใช้งาน iPhone แบบไม่กลัวแผลถลอก appeared first on Freeware.in.th.

Pages