อันนี้ไม่แน่ใจว่าตัว tablet ที่จะเอามาใช้เป็นตัวไหนนะครับ แต่เรื่องทำตกนี่คิดกันมาตั้งแต่สมัย OLPC ครับ ทำให้ตัวหุ้มภายนอกเป็นยางทั้งหมด และการออกแบบต้องผ่าน drop test สมัยที่อินเทลเสนอ atom ครั้งแรกๆ เน็ตบุ๊กของอินเทลสำหรับการศึกษาก็ต้องผ่าน drop test ครับ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นความสูง 1 เมตรตามความสูงของเด็ก รวมถึงความทนทานอื่นๆ เช่น spill resistant
ก็เลยมองว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วทำไมไม่ทำ pdf ขึ้นมาแจกเลยล่ะ เอาหนังสือเรียนมาทำเป็น pdf แจกก็ได้แต่อันนี้ก็ไม่ทราบว่ากลุ่มคนที่ต้องพิมพ์หนังสือเรียนให้อยู่แล้วเค้าจะมองว่าเสียผลประโยชน์หรือเปล่า
ถ้ามองในแง่การนำนวัตกรรมมาใช้งาน มองในแง่เทคโนโลยีอย่างเดียวมันก็ดีนะครับ เด็กๆ ก็จะไม่ต้องหิ้วหนังสือหนักๆ แล้วก็สามารถใช้เรียนทางไกลได้ แต่เด็กๆ อาจจะห่วงเล่นมากกว่าห่วงเรียนก็ได้ การนำเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องท้องถิ่นก็สามารถทำได้ง่ายคนที่อยากจะทำก็ใช้งบน้อยจากแต่ก่อนที่ต้องทำก็ต้องพิมพ์มาหลายๆ เล่ม ซึ่งก็อาจให้ชมรมต่างๆ ทำ pdf มาช่วยสอนเด็กก็ได้เช่นชมรมอนุรักษ์ภาษาพื้นบ้าน(สมมติ) ก็สามารถทำ pdf สอนภาษาพื้นบ้านให้กับเด็กได้ ไม่ต้องทำหนังสือแจกเยอะๆ
เมื่อมองมาบ้านเรา มีแต่นโยบายแต่ไม่มีพูดถึงระบบอะไรเลย? เลยรู้สึกว่ามันจะ work เหรอ แถม internet บ้านเรายังไม่ครอบคลุมพื้นที่ได้มากเหมือนเกาหลีใต้เลยด้วย
รบ.เพิ่งเข้าห้องทำงานได้ไม่ถึงเดือนเลยนะครับ คุณจะบอกว่าโครงการต้องพร้อมแล้วให้ประชาชนได้ลองใช้เลยได้อย่างไร? มันไม่ make sense ตรงนี้นี่แหละ บอกแล้วให้รอดูผลงานจริงดีกว่า ไม่ดีก็ค่อยด่าไม่สาย
เรื่อง infrastructure อันนี้ก็อย่างที่บอกไป สำหรับประเทศเราๆ ต้องมีเป้าหลักก่อน แล้วระบบ ecosystem เสริมค่อยตามมาครับ มันถีังจะของบง่าย อย่างตัวอย่างข้างล่างเช่นเรื่องบางโรงเรียนไม่มีไฟฟ้าใช้ แล้วแจก pc ให้ คำถามคือเราควรจะรอให้ทุกโรงเรียนมีไฟฟ้าใช้ก่อนค่อยแจก pc ทีเดียว ซึ่งเป็นเมื่อไรก็ไม่รู้เพราะปกติไม่มีเป้าหมายว่าจะให้มีไฟฟ้าใช้ไปทำอะไร หรือแจกไปเลย แล้วสำรวจว่าโรงเรียนไหนยังขาดก็จัดงบปรับปรุงเพิ่มเติม?
ถ้ายังไม่เข้าใจก็เอาง่ายๆเรื่อง ไฟฟ้า กับ PC ที่คุณยกมา การที่จะไปแจก PC ให้ รร.ที่ไม่มีไฟฟ้าไม่มีใครเค้าทำกันหรอกครับ เค้าก็แจกกันเฉพาะพื้นที่ๆมีไฟฟ้าก่อน ไล่ไปเรื่อยๆไฟฟ้ามา PC ไป
พอเขียนมาถึงจุดๆนี้ผมก็นึกถึงกรณีของ HP ที่กำหนดสเป็ค HW ก่อนแล้วค่อยทำ Web OS ถึงแม้กรณี Tablet เพื่อการศึกษานี้จะไม่ได้ซับซ้อนเท่ากับ OS แต่มันก็ควรเอาไปเป็นกรณีศึกษาในการวางแผนทำโครงการเช่นเดียวกันครับ
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากผู้รับผิดชอบที่ท่านเรียก เนื่องจากโครงการนี้เพิ่งคิดได้ตอน Tablet กำลังเป็นที่นิยม
จึงยังไม่ได้มีศึกษาและยังไม่ได้มีการสรุปอย่างแน่ชัดเป็นขั้นตอนแต่อย่างใด (รอรัฐมนตรีท่านปรับปรุงต่อเติมห้องทำงานให้แล้วเสร็จ) ภายใน 1 ปี น่าจะเห็นความคืบหน้าตามลำดับครับ
โปรดใช้วิจารณญานในการรับชมและฟังด้วย เผื่อจะเป็นเทคนิคการหาเสียง
ผมค่อนข้างจะเชื่อตามนี้่หมือนกันนะ โดยเฉพาะช่วงหาเสียง แต่พอได้เป็นรัฐบาลแล้ว คราวนี้คงต้องพยายามทำให้มันเป็นจริงให้ได้ ไม่งั้นก็ไม่เกิดผลงาน ชาวบ้าน/ฝ่ายค้าน รุมถล่ม
ที่เป็นห่วงคือ เนื้อหา และระบบรองรับอื่นๆ ได้คิดกันไว้หรือปล่าว tablet โดยตัวมันเองลุ่นๆ ไม่ได้มีประโยชน์โดยตรงกับเด็กเท่าไหร่ มันต้องมีเนื้อหาที่เหมาะสมด้วย
เพราะงั้น tablet ต้องแจกแน่ๆ แต่อยากฟังต่อไปว่า แนวทางพัฒนาเนื้อหา และการบำรุงรักษา จะออกมาแนวไหน สุดท้ายแล้ว เนื้อหาที่พัฒนาให้จะมีคุณภาพแค่ไหน ใช้จริงแล้วเป็นอย่างไร ติดตามผลมาปรับปรุงแก้ไขต่อไปหรือปล่าว หรือแค่เอาเงินปั้นเป็น tablet แล้วทิ้งเล่นๆ พอให้ได้ชื่อว่าทำตามสัญญาแล้ว แล้วก็ไปหวังหาเสียงอีกสมัย
ผมคิดว่ามันจะต้องมีระบบด้วยครับ เช่นว่าจะให้เด็ก download pdf หนังสือเรียนได้จากไหน จะทำเป็นเครื่อง server แล้วให้เด็กที่มี tablet สามารถต่อเข้าไปโหลดได้เลยหรือเปล่า แล้วถ้ามีการบ้านขึ้นมาจะสามารถทำจาก tablet ส่งไปให้ครูได้เลยหรือเปล่า เพราะเหมือนได้ยินมาว่ามีคนขอให้แจก tablet ให้ครูด้วย
แล้วการติดตามผลการใช้งานจะติดตามผลกันอย่างไร? ถ้าเทียบเป็น KPI แล้ว อะไรคือตัวชี้วัด? ดูว่าเด็กโหลด pdf หนังสือเรียนไปอ่านกันเยอะแค่ไหน?
ตามข่าวคือแจกเด็กป.1เป็นการทดลองที่เสียภาษีเปล่าๆ อยากหาเสียงก็หาไปไม่ว่าแต่อย่าเอาเงินภาษีชาวบ้านเข้าตัว ป.1อ่านหนังสือยังไม่แตกเลย จิ้มจอทะลุแน่ๆครับ ถ้าป.4ขึ้นยังพูดกันรู้เรื่อง แต่มีไปก็เท่านั้น ซอฟต์แวร์การศึกษาภาษาไทยมีรองรับหรือยัง ทำไมไม่ซื้อPcให้มันครบทุกโรงเรียนไม่ต้องมานั่งแย่งกันดีกว่าหรือเปล่าใช้งานได้เยอะกว่าด้วย อย่าสักแต่ทำว่านำสมัยตามต่างประเทศเขาทันอายคนอื่นเขา
คือตอนนี้เราก็ต้องเสียภาษีเปล่า ๆ อยู่แล้วละครับ จากโครงการเรียนฟรีไง ต้องแจกหนังสือเด็ก คิดง่าย ๆ ซื้อหนังสือแจกเด็กเนี่ย 12ปี ป1-ม6 คุณคิดว่าเงินที่ใช้มากกว่า 8000บาท หรือเปล่า แค่คิดว่าเอาแทปเล็ตมาแจกแทนหนังสืออย่างเดียว ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มละครับ .pdf ทำครั้งเดียว แจกฟรีตลอดไป
เข้าใจผิดไปมังครับ หนังสือตอนนี้ใช้ยืมเรียนนะครับ ไม้ได้แจกทุกปี เมื่อจบปีการศึกษา นักเรียนจะต้องนำมาคืนให้ทางโรงเรียน เพื่อให้รุ่นน้องใช้ต่อ ส่วนค่าหนังสือเด็ก ป1. ค่าใช้จ่ายรู้สึกจะไม่ถึง 500 บาทต่อคนด้วยซ้ำ
500*12ปี 6000บาท บริหารจัดการดีดี แทบเล็ตคุ้มกว่าครับ
เพราะดูอินเตอร์เน็ตได้ เล่นเกมได้ ส่งเมลได้ ครูติดตามเด็กได้ จิปาถะ
ทดลองดูสักปีก็รู้ครับว่ามันคุ้มมั้ย สำหรับผม ฟันธงไปเรียบร้อยแล้วว่าคุ้ม
และก็ใช้เิงินส่วนเดียวกับนโยบายเรียนฟรีเนี่ยแหละ ถ้าไม่พอก็เพิ่มงบเข้าไป
ถ้ารัฐบาลไหน ทำเรื่องแค่นี้ไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องเลือกอีกครับ
500*12 = 6000 บาท ถ้าราคาหนังสือแบบนี้ Tablet คุ้มมากครับ แต่ขอโทษครับ Tablet ยี่ห้อไหนอยู่ได้ถึง 12 ปีมั่งครับ ผมจะไปซื้อมาใช้เลยครับ เด็กป.1 ปากกายังจับกันไม่ค่อยจะคล่องเลยครับ จับ tablet พลาดตกพื้นทีเดียวก็จบแล้วครับ อันนึงไม่ใช่เบาๆนะครับ แล้วถ้าเกิดมันพังล่ะครับจะเอาไปซ่อมที่ไหน แหล่งโหลด pdf ละมีรึยัง ผมว่าเอาเงินไปปรับปรุงหนังสือเรียนให้ดีกว่าเดิมเถอะครับ ทุกวันนี้เด็ก ม.ปลาย ต้องซื้อหนังสือเล่มแพงๆมาอ่านเพิ่มกันหมดแล้ว เพราะของที่แจกถูกๆมันไม่ได้มีโจทย์ยากๆให้ทำ ถึงมีให้ ครูที่ รร. ก็เฉลยไม่ได้ นี่ละครับปัญหาการศึกษาไทย มันไม่อยู่ที่tabletครับ
อันนี้ไม่แน่ใจว่าตัว tablet ที่จะเอามาใช้เป็นตัวไหนนะครับ แต่เรื่องทำตกนี่คิดกันมาตั้งแต่สมัย OLPC ครับ ทำให้ตัวหุ้มภายนอกเป็นยางทั้งหมด และการออกแบบต้องผ่าน drop test สมัยที่อินเทลเสนอ atom ครั้งแรกๆ เน็ตบุ๊กของอินเทลสำหรับการศึกษาก็ต้องผ่าน drop test ครับ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นความสูง 1 เมตรตามความสูงของเด็ก รวมถึงความทนทานอื่นๆ เช่น spill resistant
ส่วนเรื่องพัง อันนี้เป็นปัญหาเดียวกับหนังสือในทุกวันนี้ครับ การเลือก tablet หรือหนังสือต้องถามคำถามข้อนี้ทั้งคู่ เพราะการเรียนฟรีที่ผ่านๆ มาก็มีปัญหาหนังสือขาด ถูกน้ำ และเสียหายด้วยสาเหตุอื่นๆ เหมือนกัน ณ วันนี้เองปัญหานี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีเด็กที่ต้องใช้หนังสือต่อจากรุ่นพี่แล้วต้องทนใช้หนังสือเสียหายอยู่ทุกวัน
lewcpe.com, @wasonliw
เจ้าของนโยบายเขาบอกว่า Tablet ที่จะแจกให้กับเด็ก ป.1 นั้น จะเลือกผู้ผลิตราคาถูกจากจีน หรืออินเดีย เพื่อให้ได้ในราคาเครื่องละประมาณ 1,000-2,000 บาท นะครับ เลยไม่ค่อยมั่นใจว่ามันจะทำอะไรได้ขนาดไหน
โครงการแจกคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กนั้นจะใช้โรงงานจากจีนมาตลอดครับ (สมัย OLPC คนที่ได้ไปคือ Quanta) ราคาเป้าหมายคือ 100 ดอลาร์หรือ 3,000 บาท ในสมัยนั้นเป็น "โน้ตบุ๊ก" ซึ่งมี BOM cost สูงกว่า tablet เพราะอุปกรณ์เยอะ ทั้งคีย์บอร์ด ข้อพับ ฯลฯ ก็ยังสามารถใส่ "ยาง" เพื่อหุ้มส่วนต่างๆ ให้ผ่านการทดสอบทั้งการตกกระแทกและกันน้ำได้บ้าง
มี note เรื่องที่ผมควรให้ข้อมูลไว้คือ
lewcpe.com, @wasonliw
นั่นสินะ tablet เข้าไปก็เจอแต่เมนูภาษาอังกฤษแล้ว แล้วเด็กจะอ่านรู้เรื่องหรือเปล่า? แต่มันอาจจะไม่ยากอะไรก็ได้มั้งส่วนมากเมนูมันจะเป็นสัญลักษณ์ภาพอยู่แล้ว ไม่เคยเล่นเลยไม่รู้
มีแต่พวกสักแต่จะค้านรี่เข้ามาถล่มฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองแฮะ
ขอโทษครับเลิกพฤตืกรรมอย่างนี้เถอะครับ น่าเบื่อมาก มีเหตุผลอะไรที่คุณไม่เห็นด้วยกรุณาบรรยายเป็นตัวอักษรให้เป็นเหตุเป็นผลบ้างเถอะครับ จะบอกว่าที่ผมโพล์ข้อความลงไปนะข้อไหนมันบิดเบือนจากความเป็นจริงหรือปล่าวก็ได้
โดนแต่เช้าว่า สักแต่จะค้านบ้างละ เดี๋ยวก็จะมีประเภท ใช้อะไรคิด, โลกทัศน์คับแคบ, ย้ายมาจากกะลาไหน
บอกตัวเองก่อนเถอะครับ คำว่า "พฤติกรรมแบบนี้" น่ะ ผมก็เบื่อ พอมีเรื่องนี้ทีไรจะเอาเหตุผลเดิมๆ มาพ่นซ้ำๆ มีคนอธิบายไปแล้วว่าเหตุผลนี้ใช้ไม่ได้ก็ไม่รับรู้รับฟัง สักแต่จะทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้ได้ นโยบายมีเหตุผลยังไงไม่รู้ไม่สนข้าจะด่าอย่างเดียว
พูดไปเป็นหน้าๆก็ไม่เห็นจะฟังจะเข้าใจ เอาแต่เผยแพร่ชุดความคิดเดิมๆ คำพูดเดิมๆ อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่เห็นจะมีเหตุผลมาหัก หลงติดกับภาพโรแมนติกของตัวเองอย่างเดียว
คิดว่ายกเอาคุณความดีของตัวเองมาข่มคนอื่นนั่นคือไม่ต้องใช้เหตุผลอื่นใดแล้วรึไร?
เหตุผลสนับสนุนน่ะฟังไม่ขึ้นหรอก มีข้อบกพร่องเยอะมาก ก็ไม่เห็นคนอยากได้จะฟังเลย
ถ้าไม่ฟังคงย้อนไม่ได้หรอกครับว่าเหตุผลที่ค้านมามันผิดตรงไหนบ้าง
แล้วกัน คุณไถนา ใครมาตัดสินว่าคุณถูกเขาผิดละเนีย เหตุผลคัดง้างเขาก็ไม่เห็นมี
เห็นแต่คุณไถนาเองนะเอาแต่ด่าอย่างเดียวตั้งแต่เริ่มเลย ถ้าให้ดีก็อธิบายมาทีว่าเขาผิดยังไง
คนอื่นเขาจะได้รู้ด้วย
มีคนเยอะแยะที่พูดไม่ใช่แค่ผมคนเดียว เพราะตรรกะแบบนี้มันเป็น default อยู่แล้วว่าคนทั่วไปเขาก็คิดออกมา และคนที่สนับสนุนเขาก็ออกมาให้เหตุผลแย้งกันไปหมดแล้ว ตลอดมาผมก็แค่รวมมาย้อนตอบเวลาที่มีใครบ่นขึ้นมา
แต่ก็ไม่เห็นจะรับฟังหรือแย้งด้วยเหตุผล โดยเฉพาะบางคนที่ถึงกับอ้างความดีที่ตนเองกระทำมาข่มให้คนอื่นห้ามเถียง
คุณไถนา คุณอาแต่ประดิษประดอยคำพูดโดยไม่ยกเหตุผลอะไรมาอ้าง ว่าคุณไถนาคิดไม่ตรงกับ คุณ xpress ยังไง
โผล่ขึ้นมา 2 โพสท์คุณแรกก็หาว่าสักแต่จะค้านแล้วไร้เหตผลมาก ผมว่าคุณตั้งใจที่จะหาเรื่องด่าเพื่อนสมาชิกนะครับ
ส่วนไอ้โครงการนี้มันมีทั้งคนสนับสนุน และคนที่ไม่เห็นด้วยไม่ใช่น้อยนะครับ ผมว่าคุณไม่เคยฟังคนที่ไม่เห็นด้วยเลยตะหาก เอาแต่คิดว่าที่คุณสนับสนุนนะถูกต้องที่สุด
มีหลายคนในบอร์ดก็บ่นมาว่า คุณไม่เคยรับฟังความคิดคนอื่นเลย ผมว่านะจะจริงวะ
ก็เพราะที่เขาพูดมันเป็นคำพูดเก่าๆ เดิมๆ ที่ผมซัดไปหลายรอบแล้ว มีคนอธิบายอยู่ตลอดว่าความคิดแบบนี้มันไม่ถูกยังไง ก็ยังจะใช้อยู่นั่น
ฝ่ายที่สนับสนุน เขาก็มีเหตุผลสนับสนุน และคอยให้เหตุผลแย้งมาตลอดว่าเหตุผลของฝ่ายคัดค้านมันไม่ได้เรื่องอย่างไรบ้าง แต่ฝ่ายคัดค้านไม่เคยรับฟังเลยว่าเหตุผลของตัวเองมันใช้ไม่ได้ ไม่เคยแก้ไขจุดอ่อน แต่ยกมาซ้ำๆเหมือนเดิมตลอดเวลา ผมก็รู้แล้วว่าพวกคุณเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด ไม่รู้จะพูดซ้ำซากไปทำไมอีกหลายรอบ
ถ้าอยากรู้เหตุผลจริงๆก็ลองไปดูกระทู้เก่าๆดีกว่า คนอื่นเขาให้เหตุผลหมดแล้ว ไม่เคยเถียง มีแต่มาพูดซ้ำๆในกระทู้ใหม่ คนเถียงก็ต้องยกเหตุผลเดิมมาเถียง แล้วก็เงียบ แล้วก็ทำเหมือนเดิมในกระทู้ใหม่ ผมเองก็เบื่อเป็น
ป.ล. โควต้าผมหมดแล้วครับ อยากจะซัดอะไรผมข้างเดียวก็ตามสบาย ผมต้องรอถึงพรุ่งนี้
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นมันตัวคุณ
คุณ Thina กับ popinterior ถูกจำกัดเหลือวันละสองคอมเมนต์จากการไม่สุภาพต่อกันในกรณีนี้นะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่าเค้าก็ว่าตามที่นักการเมืองออกมาพูดเองนะครับ คุณตามข่าวบ้างหรือเปล่าครับ
ตรงที่มีแสง
ยังเป็นแค่แนวทางอยู่ครับ เห็นว่าตอนนี้เค้าจะจัดให้มีโรงเรียนต้นแบบทดลองใช้ tablet ก่อน ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าโรงเรียนใดจะได้เป็นโรงเรียนต้นแบบบ้าง แต่ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นโรงเรียนในกทมฯ กับบางจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัยตั้ง เพราะรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ว่าจะให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบเนื้อหาที่จะใส่เข้าไปใน tablet ครับ
แนวนโยบายอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพราะยังต้องศึกษาข้อมูลกันอีกเยอะ ก็งงๆ เหมือนกันว่าตอนเขียนนโยบายนี่เขียนเฉพาะหัวข้อหรือเปล่า เนื้อในถึงได้คลุมเครือขนาดนี้ ก็หวังว่าคงไม่พลิกเหมือนนโยบาย 300 บาท แค่พริ้วจากคำว่าค่าแรง เป็นคำว่ารายได้นี่ความหมายคนละเรื่องเดียวกันเลย แถมมีติดติ่งหน่อยนึงด้วยว่าตามผลิตภาพของแรงงาน ผมยังสงสัยว่าจะเอาเกณฑ์ใดมาวัดว่าแรงงานคนไหนมีผลิตภาพหรือไม่ อย่างไร??? แล้วถ้าหากนายจ้างบอกว่าแรงงานคนนั้นๆ ไม่มีผลิตภาพ หรือผลิตภาพไม่ถึงเกณฑ์ของเค้า ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับรายได้ถึง 300 ใช่หรือไม่ ยังมีเรื่องของสวัสดิการต่างๆ ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ฯลฯ ที่สามารถจะเหมารวมเป็นรายได้ ได้เช่นกัน ถ้าบวกทั้งหมดนี้ก็แทบจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติใดๆ เลย
แต่ก็งงอยู่ว่าทำไมไม่ใช่กระทรวงศึกษาธิการ ทำไมต้องให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเหมือนว่ากระทรวงศึกษาฯ เป็นผู้ที่กำหนดเนื้อหาที่เด็กต้องเรียนเองนี่? ถ้ามหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้รับผิดชอบแล้วในจังหวัดที่มีหลายมหาวิทยาลัยจะทำอย่างไร? อย่างในกทม.เองก็มีทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตร, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฯลฯ หรือจะแบ่งว่าโรงเรียนนี้อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยอะไรก็อิงตามมหาวิทยาลัยนั้น? แล้วถ้าเนื้อหาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กเรียนล่ะ? หรือถ้าเนื้อหาจากที่นี่ดีกว่า เด็กอ่านแล้วรู้เรื่องกว่าจะไปขอโหลดได้ไหม
ทำไมไม่ให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบเอาเนื้อหาที่เด็กต้องเรียนอยู่แล้วทำเป็น pdf ให้เด็กอ่าน?
แล้วถ้าอย่างนั้นในอนาคตถ้าขยายไปต่างจังหวัด จังหวัดที่ไม่มีมหาวิทยาลัยก็แย่สิ หรือจะต้องไปโหลดข้อมูลจากมหาวิทยาลัยในจังหวัดที่อยู่ใกล้ที่สุด ถ้างั้นมหาวิทยาลัยก็ต้องทำโครงข่ายให้เด็กโหลดได้ทางอินเตอร์เนตอีก
ส่วนเรื่องค่าแรงที่มีการวัดผลิตภาพ ผมคิดว่าตามโรงงาน ตามที่ทำงานต่างๆ คงมีการวัดกันอยู่แล้วล่ะ
ตอนแรกที่ได้ฟังข่าวที่ว่า ผมก็คิดทันทีว่าคงจะมีการแบ่ง zone กันดูแล คำถามที่เกิดทันทีเหมือนกันก็คือ ถ้าหากต่างคนต่างดูแล แสดงว่าเนื้อหาของแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันแน่นอน ประสิทธิผลที่ได้รับก็คงไม่เท่าเทียมกัน แตกต่างไปตามเงื่อนไขต่างๆ โดยเฉพาะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเนื้อหาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
ที่สงสัยอีกอย่างก็คือ ถ้าเนื้อหาไม่ได้มาจากกระทรวงศึกษาธิการ แล้วมันจะเอามาใช้สอนกันในห้องได้หรือเปล่า? หรือว่ามันจะเป็นแค่เนื้อหาเสริมการเรียนเท่านั้น
เคยคิดว่าไหนๆ ก็แจกเป็น tablet มาแล้วก็ให้เด็กทำการบ้านส่งครูผ่านทางอีเมล์เลยสิ ชั่ว แต่ถ้าเนื้อหาไม่ได้เป็นเนื้อหาที่กระทรวงศึกษาธิการยอมรับ ทำอย่างนี้มันก็เปล่าประโยชน์หน่ะสิ? เพราะว่าถ้าเข้าใจไม่ผิดเค้าจะมีหน่วยงานที่มาตรวจการเรียนการสอนของครู ซึ่งครูก็ต้องเก็บเอกสารการเรียนการสอน, งานที่ให้เด็กทำไว้เป็นหลักฐานให้ตรวจด้วย เพื่อให้เค้าเช็คว่าสอนอะไรไปบ้าง หรือจริงๆ มันก็ทำได้ไม่ต้องสนว่าเนื้อหาการเรียนจะตรงกับเนื้อหาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้หรือเปล่า
ที่จริงยังคิดไปอีกว่า ชม.ศิลปะก็อาจจะให้เด็กไปวาดรูปนอกห้องเรียนได้เลยแล้วก็ส่งภาพให้ครูทางอีเมล์ มันก็ดูน่าสนุกดี
ผมคิดว่ากระทรวงศึกษาก็คงจะกำหนดหัวข้อ ให้ผลิตเนื้อหาในกรอบ ป.1 - ป.3 ควรจะเรียนอะไร ประมาณนั้น แต่รายละเอียดของเนื้อหาก็จะกำหนดเอง
บางทีมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอย่างเช่นเรื่องของท้องถิ่น ของบางอย่างมันออกมาจากส่วนกลางไม่ได้ วัฒนธรรมที่ต่างกัน ผมคิดว่าการแบ่งโซนมันก็เป็นเนื้อหาที่ดี
บางทีอาจจะมีการกำหนดเนื้อหาส่วนหนึ่งที่มันต้องเรียนแน่นอนทุกที่ อย่างวิทย์ หรือเลข มาจากกระทรวง แต่อื่นๆให้ไปกำหนดกันเอง ก็ได้
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดปกติกระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดอยู่แล้วว่าโรงเรียนจะสอนอะไรบ้าง อันนี้ผมเข้าใจเอาเองจากปัญหาข้อสอบเอนทรานซ์ที่ถามปัญหาแปลกๆ เช่นต้องใช้ผ้าสีอะไรปูโต๊ะ ดร.คนที่มาตอบเหมือนได้เคยพูดว่ากระทรวงได้กำหนดไว้แล้วว่าโรงเรียนต้องสอนอะไรเช่นพละศึกษาต้องมีสอนเทนนิส ส่วนโรงเรียนจะสอนยังไงก็แล้วแต่
ก็เลยมองว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้วทำไมไม่ทำ pdf ขึ้นมาแจกเลยล่ะ เอาหนังสือเรียนมาทำเป็น pdf แจกก็ได้แต่อันนี้ก็ไม่ทราบว่ากลุ่มคนที่ต้องพิมพ์หนังสือเรียนให้อยู่แล้วเค้าจะมองว่าเสียผลประโยชน์หรือเปล่า
ถ้ามองในแง่การนำนวัตกรรมมาใช้งาน มองในแง่เทคโนโลยีอย่างเดียวมันก็ดีนะครับ เด็กๆ ก็จะไม่ต้องหิ้วหนังสือหนักๆ แล้วก็สามารถใช้เรียนทางไกลได้ แต่เด็กๆ อาจจะห่วงเล่นมากกว่าห่วงเรียนก็ได้ การนำเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องท้องถิ่นก็สามารถทำได้ง่ายคนที่อยากจะทำก็ใช้งบน้อยจากแต่ก่อนที่ต้องทำก็ต้องพิมพ์มาหลายๆ เล่ม ซึ่งก็อาจให้ชมรมต่างๆ ทำ pdf มาช่วยสอนเด็กก็ได้เช่นชมรมอนุรักษ์ภาษาพื้นบ้าน(สมมติ) ก็สามารถทำ pdf สอนภาษาพื้นบ้านให้กับเด็กได้ ไม่ต้องทำหนังสือแจกเยอะๆ
แต่ผมยังติดใจอยู่ข้อนึงว่ามันน่าจะมีการวางระบบก่อนที่จะนำ hardware มาใช้นะ อย่างเกาหลีใต้ที่จะแจก tablet ให้เด็กประถมใช้เหมือนกัน ก็ยังมีวางแผนไว้ว่าในปี 2015 หนังสือเรียนทั้งหมดจะถูกแปลงไปอยู่บน cloud เด็กนักเรียนสามารถเข้าไปโหลดมาได้ แถม internet ของเกาหลีใต้ก็ครอบคลุมไปได้เกือบทุกที่แล้วจึงไม่ค่อยเป็นปัญหาในการเข้าถึงข้อมูล
เมื่อมองมาบ้านเรา มีแต่นโยบายแต่ไม่มีพูดถึงระบบอะไรเลย? เลยรู้สึกว่ามันจะ work เหรอ แถม internet บ้านเรายังไม่ครอบคลุมพื้นที่ได้มากเหมือนเกาหลีใต้เลยด้วย
เคยมีคนเปรียบเปรยว่าตามสถานที่ราชการที่เอาคอมพิวเตอร์มาใช้ สุดท้ายแล้วมันก็เอามาใช้แทนเครื่องพิมพ์ดีด ใช้แค่พิมพ์งานอย่างเดียว ซึ่งน่าเสียดายเพราะว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น แต่ที่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้นเป็นเพราะว่าไม่มีระบบอะไรที่จะนำไปใช้
ถ้าตามหลักการของ OLPC เดิมก็ต้องให้เด็กคนเดิมถือขึ้นไปเรียนป. 2 ต่อเลยครับ เพราะทาง OLPC ศึกษามาพบว่าการให้เด็กเป็นเจ้าของเครื่องนั้นมีข้อดีกว่าหลายๆ อย่าง เช่นเด็กมีเวลาเรียนรู้จากเครื่องจริงแก้ปัญหาครูที่โรงเรียนได้ไปแล้วหวงไม่ยอมใช้ รวมไปถึงว่าเครื่องจะเสียน้อยลงเพราะเด็กหวงเพราะเป็นของตัวเอง
แต่โครงการนี้เข้าใจว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ OLPC แล้ว ทางนั้นก็มองเราเป็นส่วนที่ล้มเหลวเนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมืองไปแล้ว รายละเอียดโครงการจริงๆ น่าจะใช้เวลาอีกมากว่า 1 ปี หลังโครงการทดลง
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คือให้เด็กถือไปเรียนป. 2 ต่อเลย บริษัทไหนที่ได้ประมูลไปก็น่าจะกินยาวเลยสิ หรือเค้าจะประมูลปีต่อปีหว่า? แต่น่าจะเป็นอย่างหลัง(มั๊ง)
อย่างนี้รัฐก็ต้องเสียเงินจัดหาให้ทุกปีสินะ แต่กับหนังสือเรียนไม่แน่ใจว่าตอนนี้แจกให้ฟรีหรือเปล่า แจก tablet ฟรีกับแจกหนังสือฟรีค่าใช้จ่ายอันไหนจะสูงกว่ากันเนี่ย?
ไม่มีความเห็นเรื่องการประมูลครับ ยังไม่มีข้อมูลใดๆ มาคุยด้วย
ส่วนเรื่องการจัดหาทุกปี "ถ้า OTPC ของไทยทำตามแนวทาง OLPC" ก็ใช่ครับ ต้องจัดหาทุกปี ส่วนตัวเลขนั้นก็ยังไม่มีออกมาว่าอันไหนแพงกว่า
lewcpe.com, @wasonliw
แจกน่ะ ผมเห็นด้วย แต่ไม่เห็นด้วยเลยที่แจก ป.1
แล้วจะแจก ควรจะเพิ่มข้อลงโทษสำหรับผู้เอาไป "ขาย - ซื้อ" ให้ลงโทษหนักที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่งั้นมีการขโมยเยอะแน่ แล้วจะเป็นอันตรายต่อตัวเด็กอีก
ปล.วันก่อนฟังแถลงนโยบาย
ฝ่ายค้านขึ้นมาพูด จำไม่ได้แล้วว่าใครจากพรรคไหน ไม่ได้ดูฟังอย่างเดียว พูดขึ้นมาใจความคร่าวๆว่า "แท็ปเล็ททำให้ขาดคุณธรรม จริยธรรม"
เอาเฉพาะ ปล. นะ
"หนังสือพิมพ์ทำให้ขาดคุณธรรม จริยธรรม"
"โทรทัศน์ทำให้ขาดคุณธรรม จริยธรรม"
"นักการเมืองทำให้ขาดคุณธรรม จริยธรรม"
เผ่นละ
ผมเข้าใจนะ ว่าทำไมต้องแจกเด็ก ป1 มันเป็นเรื่องความคุ้มถ้าจะแจก
คือ ถ้าแจก ป1-ม6 แจกทีเดียวใช้ได้ 12ปี แต่ถ้าเริ่มแจกจาก ม1 จะไ้ด้ใช้แ่ค่ 6ปี
วิธีการคิดของเขาคือ แจกให้เด็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือ ป1 ก็จะคุ้มที่สุด
แค่ผมก็เข้าใจนะ เรื่อง ป1 แจกเด็กไปมีปัญหาสารพัด ขโมย หาย ขาย เสีย (แต่เรื่องพวกนี้ แก้ไม่ยากนะ)
ทีนี้ จึงต้องทดลองไงครับ ว่าผลการแจกเป็นยังไง แล้วค่อยปรับแผนอีกที
ว่าแต่อายุการใช้งานมันถึง 12 ปีเลยเหรอ
ผมว่าไม่น่าอยู่ได้เกิน 5 ปีนะครับ เพราะเป็นเครื่องพกพาไม่ได้ตั้งอยู่กับที่โอกาสเสียหายสูงกว่าเยอะ แล้วแถมคนใช้เป็นเด็กอีก
ส่วนเรื่อง ขโมย หาย ขาย เสีย ผมกลับมองว่าแก้ยากครับ เค้าไม่ได้แจกเฉพาะเด็กบ้านรวยนะครับ
ตรงที่มีแสง
ผมว่าเกิน 2 ปีก็เรียกปาฎิหารย์แล้วครับ :-)
ข้างบนล้อเล่น คิดว่าจริง ๆ คงไม่ใช่เหตุผลนี้หรอก สื่อการสอนระดับประถมมันทำง่ายกว่า จำนวนน้อยกว่่า มากกว่า (เด็กประถมเรียนน้อยวิชากว่าเด็กมัธยมนิ)
เฉพาะตรงปล.เหมือนกัน แล้วสงสัยว่านโยบาลแต่ละรัฐบาลมีอันไหนส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมมั่งหว่า เรื่องแจก tablet แล้วขาดคุณธรรม จริยธรรมนี่มันไม่เกี่ยวกันเล้ยย
ในขณะที่ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเขาก็แจกแท็บเล็ทให้เด็กเหมือนกัน เพื่อที่จะให้มันใช้แทนหนังสือได้ ประเทศไทยกลับมีพวกผู้ใหญ่ถอยหลังลงคลองว่าเด็กก็อ่านหนังสือไป ให้โตก่อนค่อยใช้แท็บเล็ท
ในขณะที่แท็บแล็ท หาหนังสือได้ไม่จำกัด กลับคิดว่าแต่จะจำกัดให้เด็กอยู่แต่ในกองหนังสือที่มีแถวนั้น
โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
แล่วชอบพูดกันมากว่า เด็ก ป.1 ได้แท็บเล็ทไปก็ใช้ไม่เป็น ได้แต่เล่นเกม
เด็กป.1 ยังอ่านหนังสือไม่คล่องทุกคน ฉะนั้นก็คงไม่ต้องแจกหนังสือให้เด็กอ่านใช่มั้ยครับ?
แต่ผมเข้าห้องสมุด อ่านการ์ตูนวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ ป.1 อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะในนั้นมีศัพท์แปลกๆเกินวัย แต่มันก็ยังมีรูปประกอบพอถูไถ โตมา ป.2 ป.3 ก็หยิบมาอ่านซ้ำไปซ้ำมา จนอ่านเข้าใจ อ่านรู้เรื่องหมด บางคำก็เข้าใจเพราะมีภาพประกอบ
มีแล้วใช้ไม่หมดยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มีนะ และพอมีแล้ว ใช้เป็น อาจจะใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ก่อนที่ผู้ใหญ่จะคิดถึง มากกว่าผู้ใหญ่จะคิดได้ ซะอีก
สมัยที่เพื่อนผมที่ติดเกมแรกนาร็อค มันเล่นกันทุกวัน แต่มันก็ยังเตะบอลตอนเย็นอาทิตย์ละสองสามครั้ง เรื่องพรรค์นี้มันอยู่ที่ความชอบไม่ใช่อุปกรณ์
ในขณะที่หลายคนอยู่ในกะลาแคบๆของคำว่าเกม กลับไม่เคยคิดถึงเลยว่าของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาล มันก็เกมทั้งนั้น
แทนที่จะจัดเกมเสริมพัฒนาการให้มากๆ กลับเอาแต่กลัวว่าเด็กจะเล่นเกม
ถ้ากลัวว่าเด็กจะแปลกแยกคนเดียว ก็เอาเกมแบบ Multiplayer ที่เด็กเล่นด้วยกันได้มาใช้สิ
มิน่าผู้ใหญ่พวกนี้ชมชอบการให้เด็กตัดผมถูกระเบียบ ทรงประเภทกะลาครอบ
อันนี้เป็นความเห็น พญ.วรรณพักตร์ วิวัฒนวงศา จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น โรงพยาบาลเวชธานี
เด็กในช่วงวัยป.1 เด็กต้องฝึกในเรื่องของการเรียนรู้ การทำกิจกรรม แล้วก็ในเรื่องของสังคม เป็นวัยที่จะต้องค่อยๆ ฝึกในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์กัน การเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน การสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น การที่เด็กมานั่งทำงานกลุ่ม เรียนรู้ร่วมกัน เด็กได้พูดคุยกับคนอื่นดีกว่าให้เด็กใช้ในเรื่องเครื่องมือการสื่อสารเรียนรู้เรื่องการติดต่อผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ก เด็กก็จะขาดทักษะตรงนี้ การใช้แท็บเล็ตในการค้นคว้าหาข้อมูล ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านภาวะจิตใจของเด็ก เพราะจะทำให้เด็กเป็นคนที่ขาดความอดทน ต่อการรอคอย แต่ถ้าการสืบค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดเพื่อเรียนรู้ที่จะปูพื้นฐานความสามารถของเด็ก ก็จะส่งผลต่อพัฒนาการในเรื่องอารมณ์จิตใจ และความอดทนต่อการรอคอยได้มากกว่าการใช้ระบบทางอินเทอร์เน็ต เพราะจะทำให้เด็กติดกับการที่ทำอะไรต้องรีบเร่ง และรีบร้อนไปทุกอย่าง
อันนี้เป็นความเห็น รศ.พญ.นิตยา คชภักดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ สาขาพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก แห่งราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
กล่าวว่า ตนไม่สนับสนุนให้รัฐบาลแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนระดับชั้น ป.1 หรือทั้งช่วงชั้นที่ 1 (ชั้น ป.1-ป.3) เพราะพัฒนาการของเด็กยังไม่ถึง ทั้งทักษะการใช้ภาษาที่ยังไม่คล่อง และการพัฒนาของสมองที่ยังไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้เด็กไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร ทั้งนี้ เพราะเด็กในช่วงชั้นดังกล่าวต้องเรียนรู้จากการได้ปฏิบัติเป็นหลัก อาทิ การออกกำลังกาย และการได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าพัฒนาการของเด็กชั้น ป.4 น่าจะเป็นวัยที่เหมาะที่สุดในการได้รับแท็บเล็ต เพราะเป็นวัยที่กำลังเริ่มเรียนรู้ทักษะพื้นฐานได้บ้างแล้ว อาทิ อ่านเขียนคล่องแล้ว ซึ่งเด็กก็จะสนุกกับการเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนอีกด้วย
นี่เป็นความเห็นของผู้ใหญ่ที่ไม่ตรงกับที่คุณคิดแต่ตรงใจผมมาก คุณจัดผู้ใหญ่พวกนี้อยู่ประเภทไหนครับ
-เด็กๆควรเดินไปโรงเรียนเอง เพราะจะได้เป็นการออกกำลังกาย ร่างกายจะได้แข็งแรง ถ้าไม่อย่างนั้นอาจโตขี้นเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนแอได้ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางด้วยพาหนะต่างๆ ก็ควรเป็นบริการสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถสองแถว รถบัส เรือเมล์ ฯลฯ เพื่อเป็นการฝึกให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ให้หลีกเลี่ยงการนั่งรถยนต์ส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แปลกแยกจากสังคมได้
-เด็กๆไม่ควรดูโทรทัศน์ ทั้งรายการจากฟรีทีวี หรือสื่อวีดีโอ ดีวีดี ต่างๆ เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว เด็กจะขาดการโต้ตอบกับคนในสังคมจริง จะทำให้มีปัญหาในการสื่อสารกับบุคคลรอบข้าง รวมถึงรายการต่างๆ เนื้อหาที่ได้รับชม ก็ไม่ได้รับการกลั่นกรองที่ดีพอ โดยเฉพาะในแง่ศีลธรรม วัฒนธรรม อาจทำให้โดนกลืนกินทางวัฒนธรรม และจะมีผลต่อเด็กในระยะยาวได้ โดยเด็กไทยที่เห็น จะโตขึ้นเป็นคนไทย รูปร่างหน้าตาเป็นคนไทย แต่จิตใจ,วิธีคิด ไม่รู้ว่าเป็นคนชาติไหนกันแน่
-เด็กๆไม่ควร...... น่าจะได้หลายสิบข้ออยู่นะครับ
ประเด็นคือ เด็ก ป1. กับ Tablet นะครับ
ถ้าเป็นเด็กกับ TV ความคิดเห็นก็จะไม่ใช่อย่างนี้นะครับ อย่าเหมารวม
จัดอยู่ในกลุ่มจับแพะชนแกะครับ นี่เรื่องจริงเพราะการใช้ Tablet ไม่ได้หมายความว่าเด็กจะไม่ทำงานกลุ่ม ไม่ได้เรียนรู้ร่วมกัน ไม่มีการแบ่งปัน ไม่มีการพูดคุย
และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเล่น Tablet แล้วจะต้องใช้ Social Network แต่อย่างใด
เคยเห็นเด็กจับกลุ่มนั่งเล่น DS มั้ยครับ ที่ญี่ปุ่นมีอยู่ทั่วไป เด็กจะใช้อุปกรณ์เพื่อเล่นเกมด้วยกันเป็นเรื่องธรรมชาติมาก เกมญี่ปุ่นหลายเกมที่เน้นให้มีการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน
แต่พวกที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็จะไม่คิดถึง แล้วผมผิดรึเปล่าที่จะเรียกพวกพรรค์นี้ว่าอยู่แต่ในกะลา
เป็นอะไรที่มั่วนิ่มที่สุด ถ้ากลัวว่าเด็กจะใช้อะไร ก็ปิดโปรแกรมไปเป็นอย่างๆ ถ้ากลัวว่าจะเล่นแต่เกมก็จำกัดให้เล่นเฉพาะเกมบางประเภท ปิดไม่ให้เล่นในชั่วโมงเรียน แต่ผู้ใหญ่พรรค์นี้มีปัญญาแค่ คิดแต่จะไม่ต้องให้ใช้ซะเลย ผมจะเรียกว่าปัญญาดีมั้ยเนี่ย
มันไม่ผิดหรอกที่จะไม่รู้ ผมยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกมากมายในโลกนี้ แต่เมื่อไม่รู้แล้วยังจะมาถ่วงความเจริญไม่จบสิ้น อธิบายยังไงก็ไม่ยอมฟังเพราะตัวเองอยู่แต่ในโลกแคบๆ แต่หลงไปว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง เพราะมีประสบการณ์เยอะ น้ำเต็มแก้ว เรื่องที่ไม่เข้าใจคือเรื่องที่ไม่สำคัญ ไม่ยอมทำความเข้าใจ ผู้ใหญ่ประเภทนี้แหละที่เป็นตัวทำลายอนาคต
ความอดทนคือเรื่องที่จำเป็นแค่ไหน? บ่อยครั้งที่การพัฒนามันเกิดจากความไม่อดทน เพราะทนไม่ได้ถึงต้องพัฒนาอะไรบางอย่าง แล้วทำไมถึงต้องพยายามให้คนทุกคนในโลกมีความอดทนเหมือนๆกัน?
เพื่อการฝึกความอดทน ก็เลยปิดกั้นโอกาสที่เด็กจะได้ใช้ประโยชน์จากอะไรบางอย่าง นี่คือความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่รึเปล่า? ไม่มีปัญญาคิดวิธีการฝึกความอดทนที่ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว?
แล้วในขณะที่เด็กมีเรื่องที่ไม่รู้ ต้องพยายามขุดค้นข้อมูลจากห้องสมุดที่มีเนื้อหาจำกัด ถ้าเกิดว่ามันไม่มีในห้องสมุดตรงนั้นจะทำยังไง? ก็ปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปใช่หรือไม่? ปัญญาของผู้ใหญ่อย่างพวกคุณมีแค่นี้ใช่มั้ย? ทั้งที่ถ้ามีระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็หาอะไรก็ได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอ และก็ต้องใช้ความพยายามในการค่อยๆพิมพ์คีย์เวิร์ด หากูเกิล แม้จะต้องใช้น้อยกว่าก็ตาม
ผมหมดโควต้าไปเมื่อวานเลยไปสงบสติอารมณ์นานๆ แล้วมาอ่านสิ่งที่คุณทิ้งไว้ ที่ดูเหมือนจะมีความมั่นใจนักหนา ด้วยความคิดว่าคงจะมีความคิดดีๆ ต้องใช้สติปัญญาในการตอบ กลับพบว่าผมต้องมาทะลุจุดเดือดด้วยความสมเพชในความคิดในกะลา ขนาดว่านักวิชาการประเทศเรายังมีปัญญาคิดแค่นี้ พูดด้วยมายาคติ จินตนาการแล้วก็กลัวไปเองทั้งที่มันห่างไกลความจริง แถมมีแต่ปัญญาที่เห็นแก่ตัวและคับแคบ คิดแต่จะปิดกั้นไม่ให้เด็กได้รับประโยชน์เพราะความกลัวของตัวเอง
ปิดท้ายด้วยคำเดียว
คุณไม่รู้จัก เกมเสริมพัฒนาการเด็ก แน่นอน ดูจากแต่อย่างที่พูดออกมา คิดแต่ว่าแท็บเล็ทต้องมีตัวหนังสือ และก็สรุปเอาเองว่า ดังนั้นมันเหมาะกับเด็ก ป.4
ตรงข้่ามเลย อุปกรณ์แท็บเล็ทมันเน้นการไม่ใช้ตัวหนังสือ แต่ใช้ภาพ ไอค่อน รูปอนิเมชั่น มันสามารถแสดงภาพอะไรหลายๆอย่างได้มากกว่าตัวอักษร แม้แต่เด็กก็เล่น iPad ได้เพราะมันไม่เน้นการใช้ตัวหนังสือ การตอบสนองโดยตรงกับจอ ใช้นิ้วหรือปากกา จิ้ม ลาก ที่เข้าใจง่าย มันถึงได้เหมาะกับเด็กตั้งแต่ ป.1
การที่ความคิดแบบนี้ตรงใจคุณ แปลว่าคุณคับแคบและไม่รู้อะไรอีกมากมายในเรื่องนี้
หมดโควต้าหรือ โดนแบนเพราะมารยาทละครับ
ผมเข้าใจคุณแล้วละครับ คนพวกนี้ทำงานกับเด็กมาจะครึ่งชีวิตอยู่แล้ว คุณยังไม่รับฟังความคิดเห็นเขาเลย
ความรู้หน้า computer คุณคงน่าเชื่อถือมาก
ผมเคารพความคิดพวกนี้เพราะมาจากความเป็นห่วงเด็กๆและเยาวชน
ผู้ใหญ่พวกนี้ไม่เคยต่อต้านการแจก Tablet เขาไม่มีส่วนได้เสียด้วยซ้ำไปเพียงแต่เป็นห่วงเมื่อเอาเทคโนโลยีมาใช้ผิดที่ผิดเวลา
ความคิดพวกนี้บอกถึงความเป็นห่วงเด็ก คุณกลับมองว่าผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว
กลับกันความคิดเห็นของคุณบอกพยายามจะบอกว่า ถึงตัวข้าจะเด็กกว่าแต่ก็รู้ดีกว่าผู้ใหญ่
ตอนนี้ค่อนข้างเชื่อแล้วละครับว่าปล่อยให้เด็กอยู่แต่กับ computer มันจะก้าวร้าว เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลัก
โตขึ้นมีแต่จะทำให้สังคมแตกแยก
ชีวิตมีขั้นตอนของมันครับ เทียบกับผลไม้ที่โดนแดดทำให้สุกก่อนผลอื่นๆมันมักจะไม่อร่อย
อันนี้ถามเล่นๆครับ เครื่องคิดเลขมีมาตั้งนานแล้ว ทำไมยังสอนเด็กให้คิดเลขกันอยู่ครับ
เมื่อวานผมหมดโควต้า แต่วันนี้ผมพึ่งโดนลด ก็ทำให้โควต้าหมดเร็วไปอีกหนึ่ง
ทำงานกับเด็กมาทั้งชีวิต ก็จัดว่าอยู่ในกะลาเรื่องอุปกรณ์ไอทีอยู่ดีครับ คนๆนี้ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเรื่องแท็บเล็ท เข้าใจเรื่องแท็บเล็ทผิดๆ แล้วก็จินตนาการไปเอง
เขาพูดถูกในด้านที่เกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก แต่พูดผิดทุกอิย่างในเรื่องอุปกรณ์ นี่ก็เป็นกะลาเช่นกัน ที่คิดว่ารู้เรื่องนึงดี แล้วโยงเข้ากับอีกเรื่องนึงแบบผิดๆ แล้วคิดว่ามันจะกลายเป็นความคิดที่ถูกต้อง
ตรงข้าม โยงเรื่องที่ถูก บวกกับเรื่องที่ผิด Logic Gate มันก็บอกอยู่แล้วว่า T & F == F
ความเป็นห่วงที่ลอยออกมาจากความรู้ไม่จริงนี่แหละที่ทำลายอนาคตของเด็กไทยมาแล้วนักต่อนัก
ผมขอถามกลับง่ายๆว่า งั้นถ้าต้องการให้เด็กรู้จักคิดอะไรเอง ก็จะห้ามไม่ให้เด็กเปิดหนังสือเวลาจะค้นคว้าอะไร ว่างั้น?
ไม่เกี่ยวกันก็หาทางจะโยงให้ได้เนอะคนเรา
บทความส่วนหนึ่งผมคัดลอกมาจาก บทเสวนารามาธิบดีเพื่อสุขภาพเด็กไทยเรื่อง “มองรอบด้านเด็กไทยกับไอที” ในหัวข้อนโยบายแจกแท็บเล็ต (One Tablet Per Child) ของรัฐบาล เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็กอายุ 7-8 ขวบหรือไม่
มันจะไม่เกี่ยวได้ยังไงครับ
แล้วคุณเอาอะไรไปตัดสินครับว่าเขาไม่รู้เรื่อง IT เอะอะก็ "อยู่ในกะลา" ผมว่าคุณน่าจะทบทวนตัวเองหน่อยนะครับ จะดูถูกเย้ยหยันจ้าของบทความไปทำไมครับเลิกหมุนรอบตัวเองแล้วไปหมุนรอบคนอื่นบ้างเถอะครับ
ผมคิดว่าคุณมากกว่าที่น่าจะเลิกหมุนรอบกะลาแคบๆของตัวเอง คิดว่าโลกหมุนรอบกะลาของตัวเอง
ที่ผมกล้าตัดสินว่าเขาไม่รู้เรื่องเพราะสิ่งที่คุณคัดลอกมานั่นแหละ มันเป็นความคิดประเภท "ถ้ามี...แล้วจะต้อง" ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยผมถึงเรียกว่าจับแพะชนแกะ และการที่คุณมั่นใจนักหนานั่นแหละผมถึงเดือดขึ้นมาว่า สุดท้ายมันก็กะลาเดียวกัน ก็อวยกันเอง
ถ้าให้ผมไปพูดเรื่องพัฒนาการเด็ก ผมสู้ท่านแพทย์หญิงท่านนี้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าลงมือเข้ามาในฟิลดิ์ IT ที่ผมเข้าใจ แล้วเผยแพร่ความไม่รู้จริง ซ้ำอ้างตำแหน่งตัวเองเพื่อให้คนเชื่อถือ นั่นแหละที่น่าโมโห
จริงๆบางทีแพทย์หญิงท่านนี้อาจจะแค่แสดงความ "ห่วงใย" เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในตัวอุปกรณ์จริงๆ จินตภาพไปเอง และไม่ได้มีใครไปพยายามให้เธอเข้าใจแบบที่ผมเคยทำกับคุณ
แต่การที่คุณจับเอานักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านนึง เขียนให้ความเห็นอีกด้านนึง แล้วก็มาเหมาว่าความเห็นตรงนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง ก็แสดงถึงความคับแคบของคุณเองนั่นแหละ
ที่ผมอธิบายทุกสิ่งอย่างไป คุณเข้าใจอะไรบ้างรึเปล่าเถอะ
ป.ล. รู้สึกจะแก้บ่อยนะครับ
ผมเห็นตั้งแต่เมื่อวานว่ามันเปลี่ยนอยู่สองสามรอบ แต่ผมตอบไม่ได้เพราะโควต้าหมด
คุณหมอ พญ.วรรณพักตร์ วิวัฒนวงศา แกอายุ 30 ต้นๆเองนะครับ Tablet ไม่ใช่จะเข้าใจยากซะที่ไหนละครับ อย่าคิดว่าคุณรู้ซะคนเดียวซิ แพทย์เดี๋ยวนี้ผมว่ามีอุปกรณ์ IT มากกว่าคุณอีก
งานเสวนาระดับนี่เขามีข้อมูลมีการศึกษากันมาครับถึงมาเสวนากันได้ ไม่ใช่เอาไมค์มาจ่อปากแล้วหันหน้าหนีเพราะไมรู้จะตอบยังไง
จริงๆที่คุณเขียนออกมาไม่ได้ตรงเลยซักประเด็น เลี้ยวไปเลี้ยวมาบวกกับการถากถางคนอื่นที่คิดไม่ตรงกับคุณ มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
ประเด็นหลักๆคือ Tablet จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็กหรือปล่าว
คุณกลับมาอธิบายเรื่องแจก tablet ดีกว่าแจกคอมพิวเตอร์กองกลางยังไง
จะประหยัดงบโดยแจก Tablet ตัวเดียวแทนหนังสือ,ดินสอ,สมุด
พูดถึงสื่อการเรียนการสอนฯลฯ เรื่อง Tablet ใช้ง่ายยังไง
มันตอบโจทย์ที่ว่าTablet จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก ป1. ยังไง อย่างไร
ปล.โดนลดโควต้าเพราะมารยาทเหมือนที่ผมเตือนเอาไว้ใช้ไหมครับท่าทางจะโดนเป็นคนแรกๆเลยทีเดียว
แท็บเล็ทไม่ใช่ของที่เข้าใจยากแต่ที่พูดมาคือเข้าใจผิดแล้วจะให้ผมคิดยังไง ทั้งๆที่มันเข้าใจง่ายแต่กลับเข้าใจผิดได้มันก็แสดงถึงความคิดว่าไม่เข้าใจเลยชัดๆ
อย่าว่าแต่งานเสวนาอะไรเลย ขนาดแถลง GT200 ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา ยังจะเอารูปการ์ดจอมาขึ้นสไลด์ได้ ความจริงก็คือตำแหน่งมันไม่ได้แสดงถึงความรู้นอกเขตงานของตัวเองเลยซักนิดเดียว นักวิชาการที่ออกมาพูดอะไรผิดๆมีเยอะแยะ เอาแค่ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เรื่องการเมือง ออกมาพูดแล้วโดนถอนหงอกกันไปเยอะแยะ
และแม้จะมีอุปกรณ์ในมือเยอะก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คนที่มีไอแพด ไอโฟน ไอพอด แมคบุค พีซี ครบหมด ใช้มาหมด ก็ไม่ได้เก่งไปกว่าช่างซ่อมที่อาจจะพกแค่โทรศัพท์โนเกียเครื่องเดียว นี่ก็แสดงถึงปัญญาอันคับแคบของคุณอีกครั้ง
และจากสิ่งที่คุณพูดก็ชัดเจนว่าคุณเห็นว่าไม่มีเนื้อทั้งที่คำอธิบายมันอยู่โทนโท่ตรงนั้น กลับไปยกย่องเชิดชูจินตนาการของคนที่ได้ตำแหน่งแพทย์หญิง ว่า "แท็บเล็ทจะทำให้เกิด XXX แล้ว XXX จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็ก" ทั้งที่ไอ้ XXX นั่นคือจินตนาการที่ไม่ตรงกับความจริง แต่คุณเชื่อจินตนาการตรงนั้นสนิทใจ เลยปฏิเสธทุกอย่างที่ผมอธิบายออกมา ทั้งที่มันค้านความเชื่อไอ้ XXX ตรงนั้นไปแล้วดังนั้นไอ้ที่จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กมันก็ต้องหายไปด้วย
หรือต้องให้ผมสอนตรรกะศาสตร์คุณเรื่อง IF THEN ? เมื่อ Cause มันไม่เกี่ยวกับ Effect มันก็ลงที่ False แล้วประโยคต่อมามันก็ต้อง False ตามไปด้วย
สุดท้ายคุณก็เป็นแค่ผู้ใหญ่หัวเก่าที่ไม่เคยฟังแล้วทำความเข้าใจสิ่งที่คนเด็กกว่าพูดออกมา เป็นแค่พวกนักบวชในกะลาที่ออกมาชี้หน้าด่ากาลิเลโอว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก เพราะผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า ผู้ที่มีวุฒิสูงกว่า คนที่มีอาวุโส สอนตามๆกันมาแบบนั้น ใครมาพูดว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์คือเด็กก้าวร้าว
มันก็เท่านั้น
แถกันสีข้างเลือดออกซิกๆเลยที่เดียว
tablet ก็รู้ไมจริงเพราะยอมรับมาก่อน ว่าพูดเองเออเองเรื่องใช้ tablet เขียนหนังสือ
จิตวิทยาเด็กก็สู้คุณหมอไม่ได้ แถมไปลากเอา GT200 เข้ามาร่วมวงด้วยทำไม เกี่ยวอะไรกับ กาลิเลโอ
วิธีใช้เครื่องมือ IT ต่างๆก็ไม่ได้เกี่ยวกับการซ่อมแต่อย่างใด ช่างซ่อมก็ไม่ได้เขียน Program เก่งกว่าผู้ใช้แน่นอน
สุดท้ายก็เหมือนเดิม ไม่มีประเด็นเรื่อง Tablet กับเด็กแต่อย่างใด มีแต่บอกว่าคนอื่นคิดผิดหมดข้าฉลาดอยู่คนเดียว
ที่ก้าวร้าวนะ เป็นเรื่องของมารยาทในการพูดถึงคนอื่นครับ ไม่ได้เกี่ยวกับข้อคิดเห็นครับ
นานๆ ผมจะเห็นมีคนถกกับเขาคนนั้นจนต่อไม่ได้สักที หรือก่อนหน้านี้ก็มีบ้างแล้วผมไม่ทราบ
พอดีพึ่งจะพอมีเวลาว่างกลับมา อ่าน blognone
เป็นกำลังใจให้ฮะ :)
ส่วนประเด็นนี้
สำหรับผมไม่เห็นด้วยครับ ถ้า อุปกรณ์ยังทำได้แค่นี้ software ในการอ่านภาษาไทย การเขียน หากมันยังทดแทน หนังสือ
ที่จด note ลากเส้นเขียน อะไรไม่ได้เหมือนหนังสือ 100% และราคา คุณภาพความทนทาน ยังแค่นี้
ถ้าเอาจากราคาตามตลาด หาร 2 ตีซะไม่เกิน 5,000 ผมว่าสู้เอา ห้าพันนี่จ่ายค่าเทอม ซื้อเสื้อผ้า ให้นักเรียนทุกคนดีกว่า
ไปจ่ายค่าเทอม ลูกนี่เทอมๆ รัฐช่วย 300 หรือ 600 จำไม่ได้
จากค่าเทอมเสื้อผ้า ราว หมื่นกว่าบาท ไม่รู้จะให้มาทำไม
ส่วนถ้าผมจะซื้อให้ลูก(ว่าจะอยู่) คงซื้อให้ได้แค่เป็นของเล่น เพราะทุกวันนี้เขาใช้ mouse เป็นอยู่แล้ว (ลูกสาวผม 3 ขวบ) program เสริมใน com มันเยอะ อยู่แ้ล้ว
Ton-Or
+1 ครับ พูดได้ถูกต้องและมีเหตุผล สมเป็นคน IT ผมงงกันคน IT ที่ตรรกกะ แกว่ง ๆ เพิ่มเติมให้อีกนิด แทปเล็ต ง่ายครับ ลองไปหา ipad หรืก android มาใช้ดูแล้วจะเข้าใจเอง
ส่วนตัวผมมองว่าก่อนที่จะทำ Tablet ซึ่งเป็นตัว HW ควรทำ SW ให้มีใช้งานได้จริงก่อน เช่น E-book หรือ PDF หนังสือเรียนที่ประชนชาสามารถหามาใช้งานได้จริงๆ และอาจจะใช้โอกาสนี้เป็นแนวทางในการเก็บข้อมูลไปในตัวก่อนจะเริ่มลงทุนด้าน HW ที่จะแจก
ปอจุดลอจุด อ่าห์ ยกสองเริ่มแล้ว
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
เรื่อง ebook เคยตอบไปหลายที แค่ทางการซื้อ License หนังสือเรียนมาแจกเด็กโดยเฉพาะ ก็ได้ทุกเล่ม ทุกวิชาแล้วครับ ทุกวันนี้ต้องจัดซื้อแจกเด็กกันอยู่แล้ว แค่ซื้อ LC ไม่ได้แพงขึ้นอีกมากเท่าไรหรอก
อ้อ เผื่อบางท่านไม่ทราบ หนังสือที่พิมพ์ขายทุกเล่มในประเทศไทยผ่านโรงพิมพ์ปกติ ทำต้นฉบับด้วยระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นสิบปีแล้วนะครับ เลิกใช้ระบบเรียงพิมพ์มานานแล้ว แปลงมาเป็น pdf แจกง่ายนิดเดียว สำคัญตรงเรื่องมีคนจะยอมจ่ายหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
ผมไม่ได้พูดเรื่องทำได้หรือทำไม่ได้นี่ครับ มันรู็ๆอยู่แล้วว่าถ้าจะทำจริงๆมันทำได้แน่นอน แต่ถามว่าแจก Tablet ไปตอนนี้ไปจะเอาไปทำอะไรให้มันเข้ากับวัตถุประสงค์ของโครงการได้บ้างหรือไม่เพียงใด
ที่ผมพูดคือแค่ให้ทำระบบให้มันเสร็จก่อนค่อยแจก Tablet เพราะอย่างน้อยๆมีระบบไว้คนทั่วไปที่มี Tablet ส่วนตัวเองก็ยังสามารถใช้งานได้ ถือเป็น Beta Tester ไปในตัวแถมเก็บข้อมูลไปพัฒนาไปพลางๆได้อีกระหว่างทำพอระบบพร้อม มีคนใช้งาน(และใช้เป็น)ค่อยแจก Tablet ก็ไม่สาย
ประเด็นของผมคือถ้าไม่นับประชานิยม ทำไมต้องรีบแจก HW ทั้งๆที่ระบบยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง?
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
แล้วคุณรู้ได้ยังไงละครับ ว่าเขาจะไม่ทำอย่างที่คุณพูด ตะบี้ตะบันแจกแทปเลตอย่างเดียว
คุณคิดได้เขาก็คิดได้ แล้วก็รู้ปัญหาเดียวกับคุณนั้นแหละ เขาไม่ได้โง่
รอดูเขาทำงาน ถ้าสำเร็จจะเป็นการปฏิวัติการศึกษาไทยอีก 1 ผลงานใหญ่ที่คนจะพูดไปอีกนาน
ถ้าไม่สำเร็จ อีก 4 ปีก็ไม่ต้องเลือก เอวัง..
แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า เขาจะทำอย่างนั้น เขาจะไม่ตะบี้ตะบันแจกแทบเลทอย่างเดียว คุณรู้ได้อย่างไร
ถ้าทำผลงานห่วยๆออกมา ต้นทุนที่จ่ายไปมันเป็นของภาระใคร
การถามไถ่ตรวจสอบเป็นสิ่งจำเป็น รออย่างเดียวไม่ใช่วิธีการ
เอาง่ายๆคือถ้าจะแจก Tablet ภายใน 1-2 ปีโครงการที่ผมว่าตอนนี้ควรจะเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้งานได้แล้วล่ะครับ ลองคิดดูว่าการแจก Tablet ที่ไม่สามารถนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการได้มัน Make Sense ตรงไหน?
นโยบายก้าวหน้าดีผมยอมรับครับและไม่ได้มีเรื่องทางการเมืองมาเกี่ยวข้องอีก 4 ปีจะเปลี่ยนหรือจะอยู่ต่อผมก็ไม่แคร์อะไร แต่ถ้า Progress มันไม่เข้าท่าก็ควรพิจารณาให้รอบคอบ และแจงรายละเอียดให้ชัดเจนเสียด่อน
คือเข้าใจว่าหาเสียงไปแล้วต้องทำ แต่ถ้ารีบมากมันก็เจ๊งไม่เป็นท่าอย่างหลายๆโครงการในบ้านเราที่มีแต่ผักชีโรยหน้า ใช้งานจริงๆได้แค่ช่วงเห่อ
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
โครงการยังไม่ได้เริ่ม รายละเอียดยังไม่เห็น แล้วจะติล่วงหน้าไปก่อนเพื่ออะไรครับ?
รบ.เพิ่งเข้าห้องทำงานได้ไม่ถึงเดือนเลยนะครับ คุณจะบอกว่าโครงการต้องพร้อมแล้วให้ประชาชนได้ลองใช้เลยได้อย่างไร? มันไม่ make sense ตรงนี้นี่แหละ บอกแล้วให้รอดูผลงานจริงดีกว่า ไม่ดีก็ค่อยด่าไม่สาย
เรื่อง infrastructure อันนี้ก็อย่างที่บอกไป สำหรับประเทศเราๆ ต้องมีเป้าหลักก่อน แล้วระบบ ecosystem เสริมค่อยตามมาครับ มันถีังจะของบง่าย อย่างตัวอย่างข้างล่างเช่นเรื่องบางโรงเรียนไม่มีไฟฟ้าใช้ แล้วแจก pc ให้ คำถามคือเราควรจะรอให้ทุกโรงเรียนมีไฟฟ้าใช้ก่อนค่อยแจก pc ทีเดียว ซึ่งเป็นเมื่อไรก็ไม่รู้เพราะปกติไม่มีเป้าหมายว่าจะให้มีไฟฟ้าใช้ไปทำอะไร หรือแจกไปเลย แล้วสำรวจว่าโรงเรียนไหนยังขาดก็จัดงบปรับปรุงเพิ่มเติม?
มันมองได้สองแบบไงครับ รอให้พร้อมค่อยทำ ฟังดูดี แต่มันไม่มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน แล้วมันก็จะเหมือนเดิมๆที่ผ่านมา คือยังไม่พร้อม ก็เลยไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กับตั้งเป้าหลักไว้เลย แล้วค่อยเสริมส่วนที่ขาดเอา ตรงนี้จะเป็นแนวคิดเหมือนเอกชนครับ แล้วมันจะไปได้ไว คือที่พร้อมก็จะไม่ต้องเสียเวลารอที่ยังไม่พร้อมแต่ทำได้เลย และส่วนที่ไม่พร้อมก็จะถูกยกเป็นประเด็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขโดยทันที ดีกว่ารอให้พร้อมแบบไร้อนาึคตแบบเดิมๆนั่นเอง
อ่านข้อความผมใหม่ดูอีกทีครับ ผมบอกว่าก่อนที่จะแจก HW ทำไมไม่ทำ SW มารองรับก่อน? ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องทำให้เสร็จในวันนี้พรุ่งนี้ ข้อความที่คุณยกมามันบางส่วนที่เป็นการพูดให้เห็นภาพเฉยๆครับ
ถ้ายังไม่เข้าใจก็เอาง่ายๆเรื่อง ไฟฟ้า กับ PC ที่คุณยกมา การที่จะไปแจก PC ให้ รร.ที่ไม่มีไฟฟ้าไม่มีใครเค้าทำกันหรอกครับ เค้าก็แจกกันเฉพาะพื้นที่ๆมีไฟฟ้าก่อน ไล่ไปเรื่อยๆไฟฟ้ามา PC ไป
ถ้าเอามาเทียบเป็น Tablet ไม่มีเนื้อหาก็เหมือน PC ไม่มีไฟฟ้านั่นแหละครับ จะแจกไปทำไมถ้ามันใช้งานอะไรตามเป้าหมายไม่ได้ กลับกันผมไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่ารอให้ SW เสร็จก่อนค่อยแจก แถมพูดให้ชัดเจนอีกด้วยว่าควรเริ่มโครงการ SW ก่อน(ไม่ใช่ให้ SW เสร็จก่อนนะครับอ่านดีๆ)จะบางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้เพราะเรื่อง SW คนทั่วไปเค้ามี Tablet ยังพอนำไปใช้งานได้ แต่หากคุณแจก HW เลยไม่มี SW แล้วเค้าจะเอา Tablet ที่ว่าไปทำอะไร?
โลกนี้มันไม่ได้มีแค่ 2 ทางที่ว่าจะแจก HW เสร็จก่อนทำ SW หรือทำ SW เสร็จก่อนค่อยแจก HW ซึ่งทางที่ผมพูดคือทางที่อยู่ระหว่างสองทางนั้นคือ "เริ่ม" ทำ SW ไปบางส่วนให้พอใช้งานได้ไปก่อน แล้วค่อยแจก HW ทีหลังเมื่อมันสามารถนำไปใช้งานได้แล้ว
ปัจจุบันมีแต่พูดว่าจะแจก Tablet แต่ไม่เห็นแจงายละเอียกว่าเนื้อหาที่จะใช้ต้องหาอย่างไร? มันเปิดแค่ไหน?
ป.ล.ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจผมจะสรุปให้ฟังตรงนี้ว่าผมไม่ได้ติ เรื่องที่จะ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" (ผมสื่ออย่างชัดเจนมากๆๆๆๆ ว่ายังไงสักวันก็ต้องมี Tablet แน่นอน) แต่ที่ผมเห็นว่ามันไม่เข้าท่าก็คือลักษณะการดำเนินงานที่แจงมาตอนนี้มันลัดขั้นตอน และดูรีบเร่งในการทำมากเกินไป ไม่ว่าจะเพื่อสนองต่อเสียงมวลชนที่ไปให้สัญญาไว่ หรือด้านทางการเมืองก็ตาม (ส่วนที่คิดแต่ไม่อยากนำมาเป็นเหตุผลก็คือเรื่องผลประโยชน์ที่หาจาก HW ง่ายกว่า SW มาก)
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
HW มันก็ไม่ได้ทำเสร็จวันนี้พรุ่งนี้เหมือนกันครับ ไหนจะต้องกำหนดสเปค ดีลงาน หาโรงงาน เปิดประมูล ผลิต ทดสอบ ฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯลฯ ผมไม่เชื่อว่าปีการศึกษาหน้าจะพร้อม แต่ถ้ากำหนดได้แล้วก็คงมีการสร้างรุ่น prototype ให้ทดสอบ
แต่ถ้าไม่มีรุ่น Prototype จะให้ทดสอบกับอะไร?
ขนาดนโยบายยังกำหนดว่าจะเริ่มแจกปีหน้าโน่นเลยครับ คิดว่ามันจะเลื่อนเข้าหรือเลื่อนออก?
HW จะแจกเมื่อไหร่ผมก็ไม่แคร์อยู่แล้วครับ จะเลื่อนหรืออะไรก็ช่างประเด็นผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น แถมผมไม่ได้จะขัดอะไรกับโครงการนี้ด้วยเพราะเห็นว่าดีด้วยซ้ำไป
ที่ผมอยากเห็นคือการเน้นด้าน SW ควบคู่ไปกับ HW ซึ่งคงไม่มีใครจะเถียงว่ามันต้องมีทั้งสองอย่างถึงจะสนองวัตถุประสงค์ของโครงการได้ อย่างที่คุณว่า
แต่ที่เห็นๆตอนนี้คือพูดแต่เรื่อง HW อย่างเดียว ทั้งๆที่ SW เป็นส่วนที่สำคัญกว่าเสียด้วยซ้ำไป
ก็เข้าใจว่า HW มันจับต้องได้ประชาชนจะได้ Tablet มาเป็นอันๆย่อมรู้สึกดีกว่า ได้ใจมากกว่า แต่เรากำลังลืมส่วนสำคัญไปครับทั้งๆที่ ณ จุดๆนี้ SW ทำมาสามารถเริ่มใช้งานได้ทันทีเพราะบางบ้านใน กทม. มี Tablet กันอยู่แล้วบางส่วน แค่ทำเป็นไฟล์ PDF ก็หมดปัญหาเรื่อง OS ไปใครจะใช้ iPad หรือ SSGT ก็ตามสะดวก
คำถามของคุณ "ไม่มีรุ่น Prototype จะให้ทดสอบกับอะไร" มันก็มีคำตอบอยู่ในโพสเก่าๆของผมแล้วคือ Tablet บ้านไหนก็ใช้ทดสอบได้ การทดสอบบางส่วนจะใช้เครื่องไหนก็เหมือนกันเช่นพฤติกรรมผู้ใช้ ความสะดวกในห้องเรียน บลาๆๆ กลับกันถ้าหากไม่มี SW ก็จะเกิดคำถามที่มันแปลกกว่าเดิมคือ จะเอารุ่น Prototype ไปทดสอบกับอะไรเพราะระบบยังไม่มี ไม่เสร็จ ไม่พร้อมใช้งาน ถ้าหากเอา Prototype ไปทดสอบใช้งานได้ดี แล้วเกิดปรับปรุง SW ขึ้นมาล่ะ? RAM ไม่พอ CPU ไม่พอทำอย่างไร??
พอเขียนมาถึงจุดๆนี้ผมก็นึกถึงกรณีของ HP ที่กำหนดสเป็ค HW ก่อนแล้วค่อยทำ Web OS ถึงแม้กรณี Tablet เพื่อการศึกษานี้จะไม่ได้ซับซ้อนเท่ากับ OS แต่มันก็ควรเอาไปเป็นกรณีศึกษาในการวางแผนทำโครงการเช่นเดียวกันครับ
ป.ล.ขอฝากและรบกวนนิดนึงเวลาจะ Reply โพสผม คือผมติดนิสัยโพสไปแล้วชอบมาอ่านอีกทีแล้วแก้ไขเพิ่มเติมทำให้เวลามีคนมา Reply แล้วที่ผมพิมพ์ไว้มันไร้ค่าไปเลยแบบที่คุณ Thaina Reply ไปเมื่อกี้พิมพ์เพิ่มไปเกือบ 10 บรรทัด หายเกลี้ยง... รบกวนรอสัก 15-20 นาทีค่อย Reply นะครับ ถือว่าอ่านทำความเข้าใจหลายๆรอบก่อนไปในตัว :D
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
เหมือนประมาณว่าถ้ามีทำโครงการแจก Tablet(ซึ่งเน้น HW) กับทำโครงการพัฒนาเครือข่ายการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ (ซึ่งเน้น SW) รัฐควรจะทำโครงการที่สองก่อนใช่ไหม
ประมาณนั้นแหละครับ แต่ผมมองในรูปแบบที่ว่าโครงการทั้งสองที่คุณว่ามันคือโครงการเดียวกันแค่อยู่คนละมุม ซึ่งสุดท้ายก็ต้องพึ่งทั้งสองอันถึงจะไปรอดได้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งเท่าที่ดูตอนนี้ไม่มีแม้แต่การพูดถึงด้าน SW เลย(แน่ล่ะเพราะพูดไปชาวบ้านก็ไม่เห็นค่า มันจับต้องไม่ได้)ดังนั้นผมจึงอยากเห็นแผนด้าน SW ที่ควรจะทำควบคู่กันไปด้วยครับ
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
+1 เห็นด้วยครับ
ผมไม่เห็นรัฐพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย
มีแต่คนสนใจแต่เรื่อง HW
เวลาดูสาวชอบดูสาวขาวๆ Sex Sex เวลาดู Notebook ชอบแบบ"ถึกๆดำๆ"
Twitter : @Zerntrino
G+ : Zerntrino Plus
ผมมองว่าการแจกในรอบแรกครั้งนี้เป็น test run นี่ล่ะครับ
ส่วนว่าทำไมรีบแจก ... อาจจะเพราะเป็นการพยายามให้โปรเจคมันเกิดเป็นรูปเป็นร่างก่อน เวลาของบไปขยายสิ่งที่มันจำเป็นต้องใช้ภายหลังอาจจะง่ายขึ้น ... มันฟังดูประหลาดและเป็นเรื่องที่ไม่ควรสุด ๆ แต่สำหรับบ้านเราถ้าไม่มีอะไรไว้สร้างภาพ โปรเจคมันก็จะไม่เกิดครับ (จะให้เดิน Cable Internet ทั่วประเทศอย่างในยุโรปก่อนที่แจก Tablet เนี่ยมันคงไม่ได้ เพราะว่า Cable Internet มันคงจะไม่เกิดครับ 555)
แต่ผมเห็นด้วยว่าก่อนที่จะแจก Tablet หรือแม้กระทั่ง PC เราต้องมี Infrastructure ที่ใช้งานได้จริงก่อน ผมไม่รู้ว่าการสร้างสื่อการสอนแบบ Digital ตอนนี้มันมีพัฒนาการไปถึงไหนแล้ว ... แต่ก็คิดว่ามันยังไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก ผมคิดว่าเด็กรุ่นแรกๆ จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมายจากไอ้ Tablet เพราะการไม่มีโครงสร้างมารองรับนี่ล่ะครับ
ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้โปรแกรมที่คอย Track ว่านักเรียนแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่บน Android เนี่ยมันมีอยู่หรือยัง (โปรแกรมนี้สำคัญมากในห้องเรียนนะ ผมว่า 555) ผมล้อเล่นนะ จริง ๆ คือไม่แน่ใจว่ามีโปรแกรมห้องเรียนที่มันใช้งานได้จริงบน Android แล้วหรือยัง
จริง ๆ แ้ล้วแจก Notebook น่าจะคุ้มกว่า มีประโยชน์มากกว่า(และถูกกว่า)แต่ก็นั่นแหละ Tablet มันดูไฮโซมากกว่านี่นา !!
ยังไม่รู้ spec ของ tablet เลย
สมัยไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเคยมีนโยบาย ๑ อำเภอ ๑ ทุนเรียนดี ส่งเด็กบ้านนอกไปเรียนต่อต่างประเทศ ตอนนั้นชาวบ้านก็ฮือฮามาก ประชานิยมเข้าถึงหัวใจคนรากหญ้าแล้ว เด็กบ้านจนๆ ถ้าเรียนดีก็มีสิทธิ์เรียนเมืองนอกเมืองนา รอบแรกดูเหมือนจะส่งไป ๙๐๐คน เวลาผ่านไป เด็กไทยขอกลับบ้านกว่าร้อย เหตุเพราะเรียนไม่ไหว ไม่มีการปรับพื้นฐานให้เด็กก่อนส่งไปเรียน มาตรฐานการคัดเลือกเด็กค่อนข้างต่ำ ยังไม่นับข้อครหาที่มาของเด็กบางคนที่เป็นลูกหัวคะแนน เมื่อเด็กไม่มีความพร้อม การส่งเด็กไปอยู่ต่างประเทศก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งเด็กไปเที่ยวนอกนั่นล่ะครับ ประสิทธิผลมันจึงไม่เกิด
มาวันนี้ชาวบ้านร้องฮาอีกแล้ว ลูกฉันจะได้แทบเล็ด ตัวฉันจะได้ค่าแรงวันละ ๓๐๐ เอ้าเฮ.. ผมจะรอดูว่าท้ายสุดจะฮือ หรือจะฮา :)
เหลืออีก ๘๐๐ ที่ได้เรียนอยู่ ค่าแรงวันวันละ ๓๐๐ ก็คงมีมีบริษัทส่วนหนึ่งที่จ่ายไม่ไหว ก็ดูว่าจะมีกี่ %
เรื่องรายละเอียดหลัก คงต้องรอแผนที่ชัดเจนกว่านี้
แต่ประเด็นที่จะอภิปรายกัน ผมว่าน่าจะเลิกยกข้อเสียเล็กๆน้อยๆ หรือพูดถึงส่วนเสริมของระบบที่มันก็มีตั้งนานกันได้แล้ว ฟังบางท่านพูดซ้ำๆซาำกๆ เหมือนสมัยสธ.แจก pc ให้ทุกโรงเรียนว่า บางโรงเรียนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เลยไม่ควรแจกมันทุกโรงเรียนซะงั้น(?)
ปัญหาข้อติดขัดเล็กน้อย สมควรเอามาพูดจริงครับ แต่เอามาพูดในเชิงเสนอทางแก้ไข ไม่ใช่พูดเพื่อปรักปรำ หรือติ เพื่อให้ยกเลิกโครงการไปเสียหมด
อย่่างสิ่งที่หลายคนกังวล เช่นเรือ่ง ecosyetem ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่าย เครื่องแม่ข่าย หรือความรู้ของผู้สอน อันนี้เป็นเรื่องปกติที่ควรจะมีอยู่ใน solution อยู่แล้ว โรงเรียนไหนไม่พร้อม ก็ต้องทำให้พร้อม จัดงบปรับปรุงเสียสิ ถ้าไม่มีแล้วแค่แจกอย่างเดียว ค่อยมาด่าทีหลังก็ไม่สายนะครับ ผมจะช่วยด่าด้วย ยิ่งระบบการจัดเก็บหรือกลัวการขโมย ก็ต้องถามว่า ทุกวันนี้ครุภัณฑ์ในโรงเรียนแพงกว่า tablet ตั้งเยอะเขาดูแลรักษายังไงล่ะ? คำตอบง่ายๆแค่ลองไปดูโรงเรียนเก่าของคุณครับ
เรื่องเนื้อหาหรือวิชาการ ก็บอกไปแล้วว่าหนังสือเรียนสมัยนี้ทำต้นฉบับด้วยคอมพิวเตอร์กันเป็นสิบปีแล้ว จะดัดแปลงมาใช้ง่ายนิดเดียว แค่จ่ายค่า license หรือจะเป็นด้านวิชาการ ก็มีหน่วยงานคอยด้วยตรวจสอบเนื้อหาบทเรียนประจำอยู่แล้ว ไม่เห็นคุณกังวลบ้างเลย ว่าลูกคุณจะโง่กว่าเด็กโรงเรียนอื่น เพราะเนื้อหาวิชาการไม่เข้มข้นพอ?
แล้วยิ่งเขาให้มหาลัยดูแลยิ่งดีใหญ่ เพราะมหาลัยโดยเฉพาะมหาลัยภูมิภาคน่ะ จำต้องเข้าถึงวัฒนธรรม และความแตกต่างกันของคนในพื้นที่อยู่แล้ว เนื้อหาหลักก็มาจากส่วนกลางไป ส่วนเสริมมาจากม.ในพื้นที่ ยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้วล่ะครับ
หรือจะเป็นเรื่องการพัฒนาการของเด็ก ก็ต้องลองมองตปท. หรือแม้แต่โรงเรียนอนุบาลไฮโซในเมืองไทย เขาก็ให้เด็กใช้ tablet(ที่เห็นมีทั้ง ipad และ tabletจีนสั่งทำพิเศษอันนี้เห็นจากเพื่อนร่วมงานเล่าให้ฟัง)ให้เด็กใช้เสริมการเรียนรู้กันนานแล้ว เขาใช้เพื่อเสริมครับ ไม่ใช่เอามาแทน การอ่านหนังสือเรียน การคัดลายมือ หรือการออกกำลังกายสักหน่อย เสริมเพื่อให้เข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ไ้ด้พัฒนาทักษะอีกหลายๆอย่างเพิ่มเติม
ะยกตัวอย่างเปรียบเปรยว่า สมัยก่อนคุณต้องเขียนรายงานด้วยลายมือ ต้องไปต่อคิวยืมหนังสือห้องสมุดเพื่อลอกเนื้อหาซ้ำๆกันส่งครูบ้างไหม? แล้วจะต้องห้ามไม่ให้เด็กสมัยนี้ใช้ word processing พิมพ์งาน ใช้ google เข้าเวบบทความทางวิชาการ โดยอ้างว่าสมัยฉันไม่เห็นต้องใช้กระนั้นหรือ?(เรื่องการลอก ตัดแปะ เป็นคนละเรื่องกัน ป้องกันได้และไม่ใช่ปัญหาใหญ่จนต้องมาห้ามการใช้google)
เรื่อง spec ก็ต้องรอดูกันไป แต่ที่เคยเห็นและได้ยิน ก็มีโรงเรียนอนุบาลบางที่เขาสั่งทำแบบทนทาน สำหรับให้เด็กใช้โดยเฉพาะกันอยู่แล้ว โดยที่ต้นทุนไม่สูงมากด้วย(ไม่ได้เอาเครื่องแรงๆไว้เล่นเกม 3D กันอยู่แล้ว)ไม่ต้องกังวลไปกับสิ่งที่ยังไม่เห็น
อ้ออยากจะขำนักวิชาการหรือผู้ปกครองบางท่าน มาพูดออกทีวีว่าไม่เหมาะที่จะแจกเด็ก แต่ไปเห็นข่าวซุบซิบก่อนหน้านั้นว่าซื้อ ipad ให้ลุกเล่นตั้งแต่อยู่อนุบาล เพราะตั้งใจจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก(เฉพาะลูกตัวเองเท่านั้น ลูกชาวบ้านคนอื่นห้ามมาเทียบ?!?!?!) ลองถามตัวเองดูก็แล้วกันครับ ว่าคุณจะให้ลูกหลานคุณได้จับเทคโนโลยีเมื่อใด ผมเชื่อว่าทุกวันนี้คุณให้ลูกหรือหลานคุณได้ลองจับ pc เล่นเกมเสริมการศึกษา หรือแม้แต่เล่น ipad กันตั้งแต่เล็กๆมากมายหลายคนแล้ว แล้วทำไมคุณจะกีดกันไม่อยากให้ลูกคนอื่นได้มีโอกาสเข้าถึงบ้าง?
เรื่องการเมืองทีไรยาวทุกที อำนาจบริหารอยู่ในมือเค้าแล้วก็ปล่อยให้เค้าทำไปเถอะครับ อยากแจกอะไรก็แจก เดี๋ยวมันไม่เวิร์คก็ย้อนกลับเข้าตัวเค้าเองแหละ แค่เรื่อง 300, 15000 จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่ายังไม่รู้
มันก็จริงที่ว่าปล่อยเขาทำไป แต่คุณลองย้อนดูนะครับ เงินภาษีต้องใช้ให้คุ้มค่าคนเสียภาษีทุกคนมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นไม่ใช่ปล่อยให้นักการเมืองไม่ว่าจากไหนพรรคไหนเอาเงินเราๆท่านๆไปใช้ นักการเมืองต้องรับใช้เราคนเสียภาษี เงินเดือนเขายังมากกว่าเราอีกทั้งๆที่เราเลือกพวกเขาเข้าไป ไม่ใช่ว่าพรรคไหนอยากทำไรประชาชนรอผลอย่างเดียว เสียค่าโง่ทางด่วน ค่าโง่ต่างๆมากมายก็เงินภาษีคนหาเช้ากินค่ำ การคิดแบบก้าวกระโดดก็ดีครับไม่ได้ห้ามแต่ขอคิดแล้วทำแบบจริงๆจังๆ อย่างมีHw แต่softwareไม่ได้ บุคคลากรหรือครูผู้สอนไม่ได้หนุ่มๆสาวๆทุกคน มีการอบรมการใช้หรือยัง ผมขอแค่นี้เองคงไม่ยากหรอกครับ แค่ทำให้พร้อมไม่ใช่รีบทำตามที่สัญญาไว้เฉยๆ
จุดพลุอีกเรื่อง
SW ให้เด็ก ป. 1 ใช้ คงไม่ใช่แค่แปลงหนังสือเป็น PDF แล้วเอามาให้เด็กอ่าน ศักยภาพของ OS แบบ touch และ HW แบบจอสัมผัส มันมีมากกว่าแค่เอามาอ่านหนังสือ
คิดว่าน่าจะพัฒนาให้เป็น app หรืออะไรที่มัน interactive ได้ เด็กดูไปจิ้มไป มีเสียงออกมา ลากนิ้ววาดเส้น เกิดภาพตามมา ทำนองนี้ มันก็จะเสริมสร้างจินตนาการ ความคิด การเรียนรู้ อะไรได้หลายๆ อย่าง ที่เด็กวัยนี้ควรได้รับ และยิ่งถ้าสามารถทำให้มันทำงานได้ร่วมกันในชั้นเรียน หรือแม้แต่ข้ามชั้นเรียน เช่นเด็กใต้วาดรูปพร้อมกับเด็กเหนือ เห็นหน้าเห็นตากันไป พูดคุยกันไป ท่าทางเด็กจะสนุกนะ
ที่จริง post นี้น่าจะไปตอบในหัวข้อที่ถามเรื่อง จะทำอะไรกับ tablet ดี
เดี๋ยวจะมีข่าว SIPA จัดประกวดเขียนโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเด็ก ป..1 บน Tablet รึเปล่า หวังว่านะ เหอๆ
จากแผ่นหิน สู่ ใบไม้ ไปเรื่อยๆ จนถึง กระดาษและกระดาน ตอนนี้ เด็กไทยเรากำลังใช้ แผ่นหินดิจิตอลแล้ว!!!
โลกกำลังหมุนไปๆแล้วสินะ
สิ่งที่ควรทำไปด้วยกัน
Hardware , software , people and network
มีtablet ประมูลราคาเรียบร้อย ไม่มี sw ก็ไร้ค่า
มี hw,sw พร้อม แต่ครูใช้ไม่เป็น ก็สอนเด็กมั่วๆผิดทาง
มี3 อย่างแรกพร้อม แต่จะโหลด content ต้องให้ครูโหลดผ่าน edge แล้วค่อยไปส่งทาง bluetooth ให้นักเรียนหรือ
เอ๊ะไฟฟ้าถึงรึยัง เอ๊ะถนนถึงมั้ย
อะไรสำคัญที่สุดไม่รู้แหละ
เอ๊ะแล้ว รธน หละ