เอาจริงๆผมอยากเรียกว่า PC 2.0 นะ
คือคนใช้ ไม่ใช่แค่ User แต่เป็น Provider ได้ด้วย
เหมือนกับ PC ที่ลง OS ที่ "เปิด" ที่ทำโปรแกรมอะไรก็ได้ การพัฒนาก็ง่าย อยู่ๆนึกจะเขียนเองก็เขียนได้
กับ PC ที่ "ปิด" ที่ต้องซื้อซอฟท์แวร์จากผู้ผลิตที่จำกัด
มันก็มีความต่างอยู่
ถ้าพูดในอีกมุม
User จะได้ประโยชน์อะไรจากความ "ปิด" บ้าง
จะพูดคำว่า "แค่" ได้หรือไม่?
ของผมที่ได้ประโยชน์คือ
สามารถปรับแต่งตัว Rom ได้เยอะครับ
ถึงแม้จะทำตามฝรั่ง ที่เค้าแงะ Rom มา
แต่ก็ทำให้ยัดอะไรที่ผมชอบเข้าไปได้เยอะ
และสามารถเปลี่ยน Rom ได้มาก ตามความชอบ
degree of freedom มันมีหลายระดับครับ โดยทั่วไปแล้วคนก็มักจะหวังไว้ที่ระดับสูงสุด แต่ในความเป็นจริงโครงการแต่ละโครงการก็มีระดับความเปิดแตกต่างกันไป โลกมันไม่ได้ง่ายๆ แค่มีระบบเปิดกับระบบปิด
แต่ระดับความเปิดบางระดับก็เพียงพอสำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว เขาก็เลือกที่จะใช้งานมันครับ อย่าง Apple "เปิด" API ให้คนนอกพัฒนาแอพพลิเคชั่นได้ก็เพียงพอแล้ว เขาก็เลือกใช้งานมัน, Android เปิดซอร์สโค้ดให้แก้ไขได้ก็เพียงพอสำหรับคนอีกกลุ่ม
ลงได้ตั้งแต่ wallpaper ยัน kernel ใหม่
ถ้าตอบเอาซีเรียสก็คงเป็นเรื่องแอพนั่นแหละ อย่างน้อยกูเกิลแบนแค่พวกแอพอันตราย ไม่เคยแบนแอพที่ขัดผลประโยชน์กับตัวเอง รวมถึงทำแอพได้เกือบทุกอย่างคีย์บอร์ดนั่นก็ประเด็นนึง ผมว่าจุดนี้สำคัญเลยนะ
= ประโยชน์ที่ผู้ใช้ทั่วๆไปจะได้รับจากแอนดรอยด์มากที่สุด คือแค่ลงโปรแกรมอะไรก็ได้ อย่างนั้นเหรอครับ ? (ไม่ถูกอนุมัติเข้ามาร์เก็ต ก็มาปล่อย apk ให้โหลดไปลงกันเอง)
เพราะผมนึกออกแต่เรื่องโปรแกรมนอกมาร์เก็ตนี่แหละ ผมยังนึกเรื่องอื่นไม่ออกเลย
สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ผมว่ามันก็ประมาณนั้นแหละนะ ไม่ได้มีอะไรเกินจากนี้มาก อยู่ที่จะมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน เท่านั้นเอง
ป.ล. market ไม่มีไม่อนุมัตินะครับ อัพปุ๊ปขึ้นเลย แต่ถ้ามีคน report ก็อาจโดนตามเก็บทีหลัง
คุณเรียกว่า "แค่" ได้จริงๆน่ะเหรอ?
เอาจริงๆผมอยากเรียกว่า PC 2.0 นะ
คือคนใช้ ไม่ใช่แค่ User แต่เป็น Provider ได้ด้วย
เหมือนกับ PC ที่ลง OS ที่ "เปิด" ที่ทำโปรแกรมอะไรก็ได้ การพัฒนาก็ง่าย อยู่ๆนึกจะเขียนเองก็เขียนได้
กับ PC ที่ "ปิด" ที่ต้องซื้อซอฟท์แวร์จากผู้ผลิตที่จำกัด
มันก็มีความต่างอยู่
ถ้าพูดในอีกมุม
User จะได้ประโยชน์อะไรจากความ "ปิด" บ้าง
จะพูดคำว่า "แค่" ได้หรือไม่?
อยากถามเสริมด้วยคนว่ามันเป็นระบบเปิดแล้ว ทำไมถึงยังขายแพงอยู่อีกล่ะ?
คนละเรื่องกันครับ
สงสัยอย่าง... ที่ว่าแพงนี่เทียบกับอะไรครับ?
คำว่าเปิดในที่นี้ ผลอย่างแรกเลย คือเปิดให้ใครที่อยากกระโดดเข้ามาในวงนี้ แล้วเข้ามาหารายได้ ผลประโยชน์
คนเข้ามาเยอะ จะเกิดอะไรขึ้น มี app เยอะ
เกิดการแข่งขัน
เริ่มแรกแพง
ต่อมาก็แข่งกันด้านราคา ราคาก็อาจจะถูกลง
ด้านราคาแข่งกันไปเยอะแล้ว
ต่อมาก็แข่งกันด้านคุณภาพ ราคาเท่าเดิม แต่คุณภาพสูงขึ้น
เปิด ไม่เท่ากับฟรีนะครับ Open Source ไม่ได้ฟรีเสมอไป (ผมพูดรวม ๆ นะ แต่จริง ๆ กรณี Android มันฟรี เหอๆ)
ต้องราคาสัก 2500 บาท เหรอครับที่จะเรียกว่าถูก
เครื่อง android เริ่มต้นที่ 5900 บาท ถูกกว่าหรือเทียบเท่าราคา feature phone ของหลายๆ brand แล้ว
เท่าที่ผมคิดออกส่วนใหญ่จะเป็นประโยชน์ทางอ้อม เช่น จำนวน App ฟรี และการ Update ที่รวดเร็วครับ
"การ Update ที่รวดเร็ว"
นอกจาก Nexus One ที่ Google ทำเอง ก็ไม่เห็นมีเจ้าไหนอัพเดทเร็วเลยนิครับ
ยังไม่นับพวกไม่ได้อัพเดทอีก เพราะงั้นข้อนี้ไม่ค่อยจะจริงนะครับ
บางเจ้าช้ากว่าปกติอีกมั้ง เหอๆ
ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดว่าเร็วกว่า Platform อื่นอยู่ดีนะ
ผู้ใช้จริงๆ คงได้รับผลทางอ้อมมากกว่า
เพราะคงไม่มีใครไปนั่งงัดแงะเท่า geek จริงไหม
นั่นสิ ผมก็เป็นแค่ผู้ใช้ ผู้บริโภค ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น
ผมยังนึกไม่ออก เลยว่าจะเอาไปทำอะไรดี
lewcpe.com, @wasonliw
ของผมที่ได้ประโยชน์คือ
สามารถปรับแต่งตัว Rom ได้เยอะครับ
ถึงแม้จะทำตามฝรั่ง ที่เค้าแงะ Rom มา
แต่ก็ทำให้ยัดอะไรที่ผมชอบเข้าไปได้เยอะ
และสามารถเปลี่ยน Rom ได้มาก ตามความชอบ
ถ้าระดับผู้ใช้ก็คงเป็นเรื่องแอปแค่นั้นแหละแต่สำหรับนักพัฒนามันถือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และนำแอนดรอยด์ไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆได้ครับ
ลองหาตัวอย่างสักรุ่นสิครับ อย่างผมดู milestone หา review ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อเสียรุ่นนี้ที่ผมดูคือ hardkeyboard พิมพ์ไทยไม่ได้ แล้วไงต่อ ถ้าระบบปิดต้องรอผู้ผลิตใช่เปล่า
แต่มีคนทำ app แก้มาให้โหลดทันที โหลดมาลงได้เลย เจ๋งตรงนี้
ระดับของเครื่องที่หลากหลายราคา ทำให้เอาไปประยุกต์กับงานได้เยอะ ยิ่งถ้าทำ app ได้ง่ายๆแบบนี้ สวรรค์ชัดๆ เอาไปพัฒนาในงานได้มากมาย ระดับเดียวกับ windows เลย
เห็นด้วยครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบครับ
พอจะสรุปขึ้นมาได้ว่า ผู้ใช้มีทางเลือกเรื่องอุปกรณ์มากขึ้น ทั้งคุณภาพ ราคา บลาๆๆๆ
ส่วนการที่ผู้ใช้จะสามารถทำอะไรก็ได้กับซอฟต์แวร์ จะลงอะไรก็ได้ "บางอย่าง" ก็ยังคงต้องรูตเครื่องก่อนอยู่ดี (ภาษาแอปเปิลคือเจลเบรค ภาษาวินโมคืออันล็อค ภาษาซิมเบียนคือแฮกค์)
ดังนั้น ผมเข้าใจถูกหรืิอเปล่าครับ ว่าการ รูต เจลเบรค อันล็อค แฮกค์ คือการทำให้เครื่องนั้น "เปิด" จริงๆ (เพียงแต่ OS อื่น คงไม่สามารถจะคอมไพล์เคอร์เนลแล้วยัดเข้าไปแทนของเดิมได้ - ซิมเบียนอาจจะได้มั๊ง)
บางทีผมอาจจะเข้าใจคำว่าเปิดต่างไปจากคนอื่นมากเลยทีเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ขออภัยมา ณ ตรงนี้นะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบ อีกครั้งครับ :)
เรื่อง "เปิด" หรือ "ปิด" นั้น ถ้าหมายความตรงๆ น่าจะเป็นเรื่องของซอร์สโค้ทมากกว่า
เรื่องการใช้งาน สำหรับ Android แล้ว ต้องรูท เพื่อลงอะไร "บางอย่าง" จริง (โดยมากจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับระบบ) แต่โปรแกรมทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ใน Market ไม่ต้องรูทก็ลงได้ และโปรแกรมใน Market นั้นก็ไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ รออนุมัติ อะไรพวกนั้น
แต่สำหรับ iOS ต้องเจลเบรค เพื่อลงทุกอย่าง ที่นอกเหนือการควบคุมของ Apple คือลงโปรแกรมโดยไม่่ผ่าน Appstore ไม่ได้ แถมโปรแกรมใน Appstore นั้นก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่า Android มาก กว่าจะผ่านเข้าไปได้
ไว้เป็นของเล่น geek ไม่ใช่ล่ะ มีเครื่องใหม่เร็วขึ้นให้เราเปลื้องเงินมากขึ้น ไม่ต้องรอ 1 ปีมาครั้ง ไม่ต้องเข้าแถว เอ้ย! ตอบดีๆ หน่อยสิ งั้นก็ตาม @LewCPE แล้วกันคร้าบ..
ที่จริงก่อน android ออกมา แต่ละคนวาดฝันไว้เยอะ
ว่ามันจะเปิด มันจะพัฒนาได้หลากหลาย สุดท้ายออกมามันก็ปิดอยู่ดี
หลายๆคนพูดไม่ออกผิดหวังกันไป หลายๆคนก็รับไม่ได้พยายามหาช่อง หาเหตุผม ให้ตัวเองมองว่า android เนี่ยเปิดสุดๆอยู่เหมือนเดิม
ช่วยอธิบายความปิดของแอนดรอยด์ให้ฟังหน่อยสิครับ
degree of freedom มันมีหลายระดับครับ โดยทั่วไปแล้วคนก็มักจะหวังไว้ที่ระดับสูงสุด แต่ในความเป็นจริงโครงการแต่ละโครงการก็มีระดับความเปิดแตกต่างกันไป โลกมันไม่ได้ง่ายๆ แค่มีระบบเปิดกับระบบปิด
แต่ระดับความเปิดบางระดับก็เพียงพอสำหรับคนจำนวนหนึ่งแล้ว เขาก็เลือกที่จะใช้งานมันครับ อย่าง Apple "เปิด" API ให้คนนอกพัฒนาแอพพลิเคชั่นได้ก็เพียงพอแล้ว เขาก็เลือกใช้งานมัน, Android เปิดซอร์สโค้ดให้แก้ไขได้ก็เพียงพอสำหรับคนอีกกลุ่ม
ส่วนตัวผมเอง ผมยังไม่เคยเห็นโครงการที่หนุนหลังเป็นหลักโดยบริษัทเพียงบริษัทเดียวสร้างสังคมเปิดได้มากนัก แม้บางโครงการจะเข้าถึง trunk ของซอร์สโค้ดได้ แต่กระบวนการตัดสินใจ, agenda ของฟีเจอร์ต่างๆ, ฯลฯ มักมีส่วนที่มีเหตุผลไม่ชัดเจน และมักนำไปสู่ผลประโยชน์ของบริษัทผู้หนุนหลังทั้งสิ้น
ส่วนที่คุณว่าว่าหลายคนผิดหวัง แล้วต้องหาเหตุผลให้ตัวเอง ผมว่าคุณคิดไปเองครับ
lewcpe.com, @wasonliw
+1
ชอบคำว่า "โลกมันไม่ได้ง่ายๆ แค่มีระบบเปิดกับระบบปิด" ครับ
ขึ้นอยู่กับผู้ใช้มากกว่า
ผู้ใช้ธรรมดาคือใคร Geek ถือว่าเป้นผู้ใช้ธรรมดามั้ย
ผู้ใช้ธรรมดาๆ บางคนมือถือไอโฟน แอนดรอย ก็คงไม่ได้ใช้ฟีเจอร์สุดหรู รับสายและโทรออก ถ่ายรูป แค่นั้น
ทั้ง iphone และ android นอกจากคนที่สนใจเทคโนโลยีแล้ว บางคนก็ไม่ได้สนใจว่ามันจำทำอะไรได้บ้าง ถือเครื่องไป mbk จ่ายตังเค้าก็ลงแอปให้แล้ว
ผมว่าคนกลุ่ม user ธรรมดามีเยอะกว่า คนที่เข้าใจว่า smart phone ระบบอะไรเป็นยังไง มาก ๆ
เพื่อนผมและญาติพี่น้องก็ใช้ smartphone กันเยอะนะ (ส่วนใหญ่ไปทางด้านไอโฟน)
ถามเขาถึงระบบเปิดระบบปิดเขาแทบจะไม่รู้จักกันเลย (ถือว่าผู้ใช้ทั่วไปจริงๆ นะเนี่ย) เขาสนแค่แอพ เกม อะไรเทือกนั้นเท่านั้นเอง
บางคนทำอะไรไม่เป็นก็ไปขอซื้อแอพตามร้านใน mbk ด้วยซ้ำ 55+
งั้นต่อไปก็คงเห็นจีน copy มือถือดังๆแล้วใส่ android ลงไป เหมือนเปี้ยบ อาจจะยกเว้นบางอย่างที่เค้า customize ไปตามแต่ละยี่ห้อ
แล้วที่สำคัญมีแปลไทยก่อนยี่ห้อจริงซะอีก ฟันสีฟ้า อะไรงี้
กระทู้นี้ มีการแสดงออกของ Super Geek, Geek, Normal User และ Technology Impaired อย่างชัดเจน (ฮา)
Shut up and ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ raise your dongers ヽ༼ຈل͜ຈ༽ノ
กระทู้แนวนี้ดีครับผมชอบ