พูดถึงเรื่อง knowledge transfer ไอ้ที่ต้องมาแกะโค้ตหล่ะครับ ถ้ามันยังมีอยู่ก็แสดงว่า Turn Over ยังมีอยู่และยังจะมีอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่สูงเท่าบางอาชีพ
ถามผม คนข้ามสายมาจบป.โท IT แล้วไป Business Analyst แต่ไม่รู้เรื่อง business domain เลย ประชุมเมื่อไรครับ/ค่ะตลอด จดยิกๆๆ ลูกค้าเค้าก็รู้นะครับ แถมไม่ชอบอีกต่างหาก
สรุปได้ว่า โปรแกรมเมอร์เปลี่ยนงานบ่อยสุด เพราะอัตราค่าจ้างและผลตอบแทนที่ไม่เหมาะสมกับเนื้องาน โดยมีประเด็นเรื่อง quality of deliverable VS. Benefit and incentive เป็นประเด็นที่ถกกันอย่างมีรสชาด ในตอนนี้
ประทานโทษครับ แม้แต่งาน art ยังมีสาย commercial art เลย ถ้าใครเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วไม่ perform ทำเปรี้ยว อ้างว่าเป็นติสท์ แล้วอยากออกนอกกรอบ ตูอยากให้มันไปเปิดบริษัท IT แล้วจะรู้ว่านรกน่ะมีจริง
IT ที่ว่ารวมถึง Call Center ด้าน IT ด้วยไหมหากรวมอยู่ด้วยผมคิดว่า Call Center IT มี %Turn over สูงแน่ๆ ครับเพราะทำงานภายในความกดดันสูงจากท่านลูกค้าทั้งหลาย...
ผมคิดว่า Programmer เพราะเปลี่ยนงานแล้วเงินขึ้นง่ายกว่ามาก อัตราส่วนการเพิ่มของคนที่เป็น Programmer ก็ต่ำ(อย่างน้อยในมุมมองผมก็ต่ำมาก) จากที่เคยคุยๆกับเพื่อนๆพี่ๆ Programmer กันมา อยู่ที่เดิมเกิน 1 ปีก็ถือว่านานแล้วครับ
เหตุผลที่ผมบอกตอนสมัครงานใหม่ส่วนใหญ่จะบอกตามตรงครับ
เคยเปน Programmer ก็เปลี่ยนบ่อยนะ ตอนรับผมก็ OK กับ Project ที่ต้องทำ พอ Project จบ ก็โดนถีบไปทำในบางโปรเจคที่แสนห่างไกล เลยขอเปลี่ยนงานดีกว่า
พอเป็น PM ถึงรู้ว่า นอกจากจะเลือกงานให้เหมาะกับคนแล้ว ยังมีเรื่องความสะดวกในการเดินทางของ Programmer ด้วย
และ ก็เรื่องเงิน กับการเติมโตในสายงานก็มีส่วนอย่างมาก
ตำแหน่งที่ Turn over สูงๆ มักจะมีคนที่มีความรู้เหมือนๆกัน ฝ่ายลูกจ้างก็เข้าง่าย ฝ่ายนายจ้างจะปล่อยก็ไม่เสียหาย
ถ้าอยากหลุดพ้นจากวงจรนี้ต้องทำอะไรให้ลึกไปเลยครับ ยิ่ง Unique ได้ยิ่งดี(แต่ต้องมีนายจ้ายต้องการเราด้วยนะ) ซึ่งตำแหน่งพวกนี้ก็จะน้อยตามตัว กลับกันค่าตอบแทนก็จะสูงเพราะคนไม่ได้หาง่ายๆ อย่างตลาดในไทยตอนนี้ งานไอทีที่ใช้ศาสตร์ลึกๆผมมองว่ายังน้อยเข้ายากครับ แต่ถ้าได้เข้าไปแล้วก็ดีใจด้วยเพราะคุณจะเป็นที่ต้องการตัวแน่ๆ
{$user} was not an Imposter
แต่สายอาชีพ Programming นี่ไม่ใช่เลยนะครับ ตอนผมเข้าทำงานที่ปัจจุบันใหม่ๆ ต้องมาแกะโค้ดศึกษาเองทั้งหมดเลยทีเดียว การส่งต่องานต้องมี Document ที่ดีมากๆ(ซึ่งโดยนิสัยทั่วไป Programmer มักจะไม่ชอบทำ Document) ถ้าไม่มีหรือมีแต่ไม่ดีก็แทบจะบ้ากันเลยทีเดียว ส่วนเวลาพนักงานจะออกก็มักจะรั้งตัวไว้ไม่อยู่ (หรือไม่รั้งเลย)ด้วยเหตุผลนานาประการ
ส่วนงาน Unique ของ Programming ผมว่าถ้าได้งานแล้วจะย้ายงานยากมากครับถ้ายังอยากได้งานแนวเดิมย้ายงานทีคิดกันหนักเลยทีเดียว ทำให้บางทีโดนกดเงินเดือนอีกด้วย(ทั้งๆที่งานยาก)
+1 อย่าว่าแต่ Document เลย บ้างที่ต้องทำ คู่มือเป็นเล่มๆ ไหนจะต้องทำ Help system อีก แต่ดันให้เงินเดือนซะต่ำต้อยก็ Turn over กันดีกว่า
+1.1 พ่วงเทรน user ด้วย
คู่มือ Help มี Technical Author เขียนให้ครับ :P
ที่ทำงานผมไม่มีอ่าอรับ T^T
{$user} was not an Imposter
พูดถึงเรื่อง knowledge transfer ไอ้ที่ต้องมาแกะโค้ตหล่ะครับ ถ้ามันยังมีอยู่ก็แสดงว่า Turn Over ยังมีอยู่และยังจะมีอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่สูงเท่าบางอาชีพ
ผมเคยอ่านหนังสืออะไรจำไม่ได้แล้ว เคยเห็นในหนังสือพูดถึึงแรงงาน commodity ครับ สินค้า commodity คืออะไีรที่มันเหมือนๆกันมาก ไม่มีอะไรพิเศษกว่าอะไร เช่น ทอง เหล็ก
ถ้าพูดถึงแรงงานก็คือแรงงานที่ทำออกมาแล้วได้งานเหมือนๆกัน ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่าโปรแกรมเมอร์ค่อนข้างจะเข้าข่ายแรงงานประเภทนี้ จริงอยู่ว่ามี specialist แต่ถ้าเกิดทีมผมขาด c++ programmer ไป ซึ่งถ้าหาใหม่ขอให้เขียน c++ เป็น แกะโค๊ดได้ ทำงานกับคนอื่นรู้เรื่อง ก็ถือว่า qualify แล้วครับ ส่วนมากจะเป็นซะแบบนี้
อาชีพที่ติดต่อกันโดยตรง อย่าง sale ตัวบุคคลมีบทบาทต่ออาชีพมาก ตัวอย่างเช่นลูกค้าบอกต้องการเจรจากับ sale A ถ้าไม่ได้ไม่ซื้ออะไรแบบนี้ รวมถึงงานสาย manager ทั้งหลายผมมองว่าพวกนี้ไม่ใช่แรงงาน commodity ครับ
ในขณะที่โปรแกรมเมอร์ไม่ได้ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงแต่ส่ง product ให้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกค้าบอกว่าถ้า programmer B ไม่ได้เขียนซอฟต์แวร์ตัวนี้จะไม่ซื้อ เห็นไดชัดว่าเราอาจหานาย B1, B2, B3 มาแทน แรงงานเป็นแบบเดียวกัน เรื่อง knowledge transfer ที่พูดไว้ตอนแรก บ. ก็รับภาระไปซึ่งอาจจะคุ้มกว่าเก็บ นาย B ไว้ก็ได้
ส่วนเรื่อง Unique ผมมองกลับกันนะ มันเหมือนคุณหลุดจากคำว่า commodity ไปแล้ว ถ้างานที่มันไม่ค่อยมีคนทำได้แล้วระบบมันต้องรันอยู่คงไม่มี บ. ไหนกล้าปล่อยหรือกล้าให้ unique programmer ซึ่งมีน้อยนิดหลุดมือไปหรอกครับ จะหาคนใหม่มาแทนก็ไม่มี จะหาระบบมาทดแทนก็อาจจะไม่คุ้มสู้รั้ง+เพิ่มเงินเดือนให้ดีกว่า
{$user} was not an Imposter
ผมว่า Unique บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดแรงงานต้องการนะครับ บางทีเขาก็เลือกรับเด็กจบใหม่มาเทรนมากกว่าจะรั้งตัวคุณไว้
แล้วคนที่จะมาเทรนไม่ช่ายพวกที่เป็น Unique หรือครับ
ผมว่าถึงตลาดไม่ได้ต้องการ แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน
เด็กจบใหม่ผมมองว่า เค้ายังขาดประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งถ้างานที่เป็น High Priority ผมว่าเค้าไม่ปล่อยให้เด็กใหม่ทำหรอกครับ
I do my best !
ผมบอกจากสิ่งที่เห็นมาน่ะครับ ถ้าไม่ใช่ตัวหลักจริงๆ ผมก็ยังคิดว่าเขาจะไม่รั้ง
การเป็น Unique มันก็มีความเสี่ยงว่านายจ้างจะเห็นค่ารึเปล่านั่นแหละครับ
ผมว่า Programmer นะเพราะว่า เป็นอาชีพ ใช้ความสามารถสูง งานหนักเงินน้อย เหมือนสายลูกเมียน้อยในวงการคอมพิวเตอร์ยังไงไม่รู้ ทำงานทั้งวันทั้งคืน เครียดก็สูง เงินออกมาก็พอๆกับสายอื่นๆ ซะงั้น
เห็นด้วยอย่างแรง
คำเตือน: ข้อความต่อไปนี้ทั้งหมดนี้จะใช้ไม่ได้ ถ้าคุณเป็น in-house developer/programmer ครับ
ตอนเคยคิดอย่างนั้นครับ แต่พอโชกโชนขึ้นเลยรู้สัจจะธรรมครับ บริษัท software house นั้นตั้งมาเพื่อเงินครับ
และขอบอกเลยครับ programmer เทพฯ ปิดโครงการเองไม่ได้ครับ ทำให้ลูกค้าจ่ายเงินครบทั้งโครงการก็ไม่ได้ ถ้า cash flow ไม่ลงตัว รับงานเป็นสิบๆล้านได้ บริษัทก็ต้องปิดตัวครับ
ผมเปรียบเทียบอย่างงี้แล้วกัน มันแรงไปหน่อย แต่ก็คือความจริง
ถ้าเทียบกับงานก่อสร้างตึกระฟ้า programmer นั้นเปรียบได้กับ กุลี, ช่างก่อ, ช่างปูน, ช่างกระจก, ช่างกระเบื้องครับ
ผมซึ่งเป็นลูกค้าจะไม่จ่ายเงินเป็นล้านๆ ซื้อคอนโดสูงสี่สิบชั้น ที่ทั้งบริษัทมีแต่ช่างเหล่านั้นมารวมตัวกันครับ
ผมต้องการ ตึกที่ดูดี มีสไตล์ (landscape designer) ตึกได้มาตรฐาน ไม่เอียง ทรุด ร้าวลั่นที่เสาหลัก (วิศวกร) โถงกลางที่โอ่อ่า ทางเดินในตึก โล่งโปร่ง พื้นที่การใช้สอยภายในห้องที่เหมาะสมลงตัว (interior designer)
เปรียบกับการสร้าง คอนโด ก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไร จริงๆผมมองว่าทุกฝ่ายต้องพึ่งพากันนะครับ อาจจะมากน้อยก็ว่ากันไป เพราะ business analyst เทพๆ สิบคนก็ไม่อาจปิดงานได้ ถ้าไม่มีโปรแกรมในการทำงานให้คุณเหมือนกัน :)
ผมนึกถึงทีมฟุตบอลมากกว่านะ เซลนี่เหมือนกองหน้า ถ้าปิดสกอร์ไม่ได้ก็จบ :)
programmer ครับ ที่บริษัทเก่านี่ค่าครึ่งชีวิตอยู่ที่สองปี
ก็มีหลายแบบนะครับ พูดยาก บางคนก็ programmer จริงๆ เรียกว่าไม่มี passion ถ้าเรารักและตั้งใจในสิ่งที่ทำ เพียรฝึกทักษะฝีมือ มีวินัย ทำงานอย่างมืออาชีพ ผมเน้นนะครับ ว่ามืออาชีพ ประเภทอารมณ์ศิลปิน เก็บงานไม่ละเอียด อะไรที่ไม่ชัด ก็คิดเอง ไม่ถามเค้า เข้างาน สิบโมง กลับสามทุ่ม แบบนี้มีปัญหาต้องการคุยกับลูกค้า ใครจะมาอยู่คุยกับคุณ ว่างๆเข้า facebook ปลูกผัก, เปิดแช็ท MSN เป็นอาจิณ สมาธิขาดกระจุย แล้วจะมาบ่นว่า งานหนัก งานลำบาก เงินเดือนน้อย ใครบอกสาย programmer นี่เงินเดือนน้อยนี่เถียงกระจาย นี่สตาร์ทเยอะอยู่ระดับท็อป 5 แล้วมั้งครับ
แต่พวกนี่ focus, passion เยอะ นี่ก็เห็น แต่เดี๋ยวนี้ น้อยลงเยอะครับ
คุณลองคิดในมุมเจ้าของกิจการดูครับ จะหาอะไรใช้เงินเดือนขึ้นเด็กๆครับพี่น้อง เงินโครงการก็เพิ่มขึ้นไม่ได้มาก คนไทย เห็นราคาโครงการระดับล้านนี่แทบจะต่อกระจาย ลูกน้องก็อารมณ์ศิลปิน เรียกร้อง แต่ตอนจะส่งงาน บั๊กกระจายเต็มพื้น เส้นตายมีไว้แหก เก็บเงินไม่ได้ อย่างงี้ก็ล่มจมครับ
ของแบบนี้มันอยู่กับตัวครับ ถ้าเรามีคุณภาพจริง ไปไหนคนก็ให้โอกาส บางคนหนีไป กลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ ทักษะไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนทาง เปลี่ยนเครื่องมือ ก็ไปได้ไม่ไกลครับ ไม่รู้จักพัฒนาให้เป็นมืออาชีพเสียเลย comment โง่ๆ ก็ปล่อยออกไป ประเภทว่า "TODO: ส่วนนี้ไว้ใช้ทำไร" จนลูกค้าเห็นก็มี หรือไม่ขนขวายเรียนรู้พัฒนาัตัวเอง ทำอย่างไรให้เขียนโปรแกรมได้ ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ผิดน้อยลง เช่น ศึกษา software architecture, software project management, design pattern, testing methodology ไม่ใช่เค้าจ้างให้เขียน ก็สักแต่เขียนๆ ไม่พัฒนา
และถ้าเคยมีประสบการณ์เปิดบริษัททำซอฟท์แวร์ของตัวเอง แล้วจะอินในสัจธรรมครับ คุณจะได้เห็นภาพทั้งหมด ว่าเงินเดือนที่คุณเคยโวยวาย cash flow เม็ดเงินมันมาเมื่อไร มันกระจายออกไปถือมือลูกน้อยได้อย่างไร แล้วการ delay สักเดือนหรือสองเดือนมันกระอักแค่ไหน
พูดตรงๆ ถ้าเป็นแค่ programmer เงินเดือนก็น้อยอยู่แล้วครับ แต่ถ้าฝึกทักษะสายเทคนิคดี สามารถขึ้นไปสาย technical ขึ้นเป็น system architecture หรือขึ้นสายควบคุม เป็น team leader, project leader ได้ครับ หรือย้ายไป system analyst ก็พอไ้ด้ แต่อย่างหลัง ต้องการทักษะ business มาก ต้องพูดภาษาลูกค้าเป็น ไม่ใช่เอาแต่ไปจดตามคำบอกของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน
บ้านเราผิดกับต่างประเทศ ผมเห็นบางคน โปรแกรมเมอร์นี่แหล่ะ สามสิบก็มี แต่พวกนี้วินัยสูงมาก ประสบการณ์สูงมาก เรียกว่ามือเซียนจริงๆ ค่าตัวพวกนี้ก็แพงเหมือนกัน แต่บ้านเรานี่ไม่
+100 ผมเห็นด้วยทุกประการยกเว้นวรรคสุดท้าย จากประสบการณ์จริงบ้านเขาหาได้ผิดกับบ้านเราไม่ ฝรั่งโปรแกรมเมอร์ ทำงานเช้าชามเย็นชามมีเยอะแยะครับแต่เงินเดือนพื้นฐานสูงกว่าเราอีกนะกรรมแท้ สิ่งที่เราต้องทำคือแอคทีพตัวเองให้แตกต่าง อย่าทำตัวปลายแถว วินัยเยี่ยมและมืออาชีพ พวกนี้มันพิสูจน์กันได้ที่ผลงาน ไปใหนก็มีแต่คนเลี้ยงแน่นอน
ตลาดต่างประเทศ IT มันใหญ่มากครับ ใหญ่เป็นมหาสมุทร โดยเฉพาะเรื่องเจอทูลใหม่ๆ เค้าสามารถเอาไปทำซ้ำกับลูกค้าที่มีความต้องการใช้ทูลแบบเดียวกัน หรือกับลักษณะงานคล้ายๆกันได้ แต่บ้านเราตลาด IT มันแคบ ยิ่งเจอทูลแปลกๆ ถ้าใช้งานซ้ำๆไม่บ่อยพอ ประสบการณ์ก็ไม่มากพอ จนตกผลึกทางความคิด หาเคล็ดวิชาได้
เอาง่ายๆ เขียนใช้เครื่องมือใหม่ โครงการแรกน่ะ เป็นศพแน่ๆ แต่พอโครงการสอง โครงการสาม มันเฮ้ย จับทางได้แล้ว เริ่มเอาประสบการณ์มาทำซ้ำได้ แต่บ้านเราตลาดมันไม่กว้างมาก เครื่องมือก็หลากหลาย หรือ business domain ที่ทำก็ไม่ค่อยซ้ำ พอเริ่มเรียนรู้ ก็อ้าวทำอีกเรื่องอีกแล้ว
เหมือนผมเคยเห็นกระทู้ที่ไหนซักแห่งคุยกันเรื่องนี้เมื่อหลายปีมาแล้วนะครับ เนื้อหากระทู้สรุปคราวๆประมาณว่า กลไกเรื่องการให้ความสำคัญกับระดับบริหารทำให้ประชากร Programmer ส่วนใหญ่เป็นคนที่อายุงานไม่มากนัก เพราะเก่งๆแล้วก็ขึ้นไปเป็นผู้บริหารกันหมด
เห็นด้วยอย่างแรง
ไปดูงานพวก Tester แล้วกระอีก เห็นงาน SA ยิ่งสลด เอกสารเป็นเล่ม ห้ามผิด
เงินเดือนมันก็ตามความรับผิดชอบแหละครับ
โปรแกรมเมอร์รับผิดชอบน้อยก็ต้องเงินเดือนน้อยเป็นปกติ
ผมไม่เห็นด้วยกับที่ว่าโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบน้อยนะ เพราะในบริษัทที่ไม่มี 2 ตำแหน่งที่ว่า โปรแกรมเมอร์ก็ต้องรับหมดนะครับ
-1 เรื่องรับผิดชอบน้อย
โปรแกรมเมอร์เทพ สิบคน ไม่ทำให้เก็บเงินได้ครับ ยกเว้น โครงการด้านเทคนิค หรือโครงการที่ไม่ซับซ้อน ประเภทงานสามเดือนเสร็จ
บางคนเทพมากๆ อีโก้แรง ตีกันตาย คุม framework ไม่ได้ หรือไม่เทพมาก ทุกอย่าง Yes ไปหมด ก็ทำได้ทุกอย่างอย่างที่ลูกค้าอยากจะได้ ลูกค้าแx่งเลยไม่ปิดโครงการเสียที ยืดอยู่นั่นแหล่ะ
ตรงข้ามถ้าเป็นโครงการที่ต้องเกี่ยวกับ business requirement มากๆ โปรแกรมเมอร์เทพฯก็ง่อยได้ กรณีโครงการใหญ่ๆ ต้องการ Project Manager และ Business Analyst ที่อยู่ใน domain นั้นมาก่อน คุมเรื่อง change management อยู่ และทักษะในการโยนลิง (monkey on your back) ทำให้รับประกันการจบโครงการง่ายขึ้นครับ
ถ้าคุณเคยไปนั่งอยู่ในประชุม steering committee แล้วจะรู้ครับ ว่าความหมายนั้นคืออะไร
+1 โปรแกรมเมอร์จะมีปัญหา อย่างมากเกี่ยวกับ business requirement จริงๆ
+100 เลย ส่วนน้อย business requirement มักไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาจากลูกค้าบ่อยนัก แต่มาจากผู้บริหารในบริษัทนี่แหละ ที่มาแจมวิเคราะห์ร่วมทำให้งานออกมาไม่ตรงความต้องการลูกค้า แต่ตรงตามความต้องการ Project Lead มั่ง ไม่ก็ Executive มั่ง ถึงแม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็ทำให้งาน delay ออกไปได้ ถ้าไม่ทำก็โดนเขม่นอีก
ผมว่ารับผิดชอบน้อยกว่าตำแหน่งอื่น
ไม่ต้องรับหน้า ไม่ต้อง คอยตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ มีหน้าที่เสนอวิธีและแก้ปัญหา แล้วทำให้เกิดผลลัพธ์
แต่ตำแหน่งอื่น ต่างหากที่ต้องรับผิดชอบเรื่องพวกนั้น
ปล. ผลเป็นโปรแกรมเมอร์ และไม่คิดที่จะเป็น SA หรือ BA และผมทำงานในบริษัททุกขนาด ทีมทุกสภาพ
ผมพบว่า ความกดดันในตำแหน่งผมมันน้อยมาก จริงที่มีคนบ่นมาบ้างแต่เราก็ได้รับเงินเดือนตรงเวลาอยู่ดี
ตำแหน่งพวก บัญชี การจัดการ ยังรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่างมากกว่าโปรแกรมเมอร์เลยนะ
ปัญหาจริงๆ คือบางบริษัทให้โปรแกรมเมอร์เป็นทั้ง Tester ไปด้วย
เผลอๆ ให้เป็นหมดเลย มันก็เลยดูงานเยอะจนอ้วก
คนอื่นคิดประมาณว่าโปรแกรมเมอร์ทำได้ทุกอย่าง ทำได้เหมือนควาย (แรงดีไม่มีตก)
และทำแล้วความผิดพลาดต้องไม่มี (เป็น Final Product พร้อมส่ง)
เลยต้องมาทำตัวเป็น Tester ก่อน ไม่งั้นบั๊กหลุดออกไปก็โดนตำหนิอีก
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
+1 เหมือนด่าผมเลย 55 พูดได้เห็นภาพมาก
ประสบการณ์ตรงในฐานะคลุกคลีกในสาย software development มาแปดปี หลังจากนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในกลุ่ม software
ผมไม่ได้จะว่าใครนะครับ แต่รุ่นน้องที่เห็น หรือผ่านตามา หรือกับที่ได้เห็นในที่อื่นๆ วินัยมันหย่อนจริงๆ ไม่มี passion, ไม่มี discipline จ้องอย่างเดียว ทำไงเงินเดือนจะขึ้นเยอะๆ
ถามตัวเองรึยังครับ ก่อนที่เราจะขอ ถามตัวคุณเองว่าได้ให้อะไรกับบริษัทมากพอที่เค้าจะให้เงินเดือนเพิ่มตามที่ขอรึเปล่า ถ้าคุณเอาแต่จั๊มพ์ๆ เพื่อเร่งอัตราเงินเดือน แต่ภายในคุณกลวงโบ๋ จั๊มพ์ได้ไม่นานหรอกครับ ถ้าไม่ perform จริง ก็ไม่รอด
เว้นเสียแต่ว่าจะอัพทักษะแล้วขายทักษะใหม่แทน
ถามผม คนข้ามสายมาจบป.โท IT แล้วไป Business Analyst แต่ไม่รู้เรื่อง business domain เลย ประชุมเมื่อไรครับ/ค่ะตลอด จดยิกๆๆ ลูกค้าเค้าก็รู้นะครับ แถมไม่ชอบอีกต่างหาก
สำหรับเด็กจบใหม่แล้วไปต่อ ป.โท มันก็เป็นภาชนะที่ว่างเปล่าครับ (มากๆ) ไม่ได้อิน หรือไม่มีประสบการณ์พอที่จะต่อยอดสิ่งที่เรียนแบบอัดยิ่งยวดมาใน ป.โท เลย
ถ้ารู้ว่ากลวง เพิ่มเติมความรู้ครับ ไม่ต้องรอเจ้านายสั่ง ไปหาซื้อหนังสือสายธุรกิจนั้นๆมาอ่าน เช่น ถ้าดันไปจับ module บัญชี ไปหามาอ่านซะ บัญชีพืนฐาน งบดุลเป็นไง งบกำไรขาดทุนคืออะไร การลงบัญชี การ roll-up อย่าปฎิเสธว่าไม่ใช่บอกว่านั่นหน้าที่ SA ตรูโปรแกรมเมอร์ทำตามคำบอก พอรู้มากกว่า SA ที่ไม่เป็นโปรแกรมมิ่งเลย เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่เหนือใคร
+1 inspire!
lewcpe.com, @wasonliw
+1 สุดยอดจริงๆ ชอบครับๆ
ผมว่าที่เขียนมามันเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคลมากกว่า อย่าพยายามเหมารวมเป็นกลุ่มๆเลยครับ
มันเป็นแนวคิดเชิงลบมากไป อย่างเช่น "คนข้ามสายมาจบป.โท IT" เป็นตัน
คนข้ามสายมาจบป.โทนี่ อย่างน้อยความทุ่มเท มุมานะ อดทน หรือแรงจูงใจ น่าจะมีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว (ถ้าไม่มีคงไม่ทำหรอก) และถ้าไปศึกษาในระดับงานวิจัยแล้วละก็ ลักษณะที่คุณต้องการทั้งหมดมีแน่ๆขอรับรอง (คนเคยดำเนินการวิจัยคงรู้ดี)
ก็แค่แชร์ครับ ว่าเคยเจอคนที่จบมาสายหนึ่งแล้วต่อป.โท สาย IT ทันที แล้วจบมาปุ๊บ ก็อยากจะเป็น business analyst เลย เพราะไม่อยากเขียน program แล้วไปฝังตัวอยู่กับลูกค้าเก็บ requirement เพื่อทำ core banking
พอไปหน้างาน business banking ก็ไม่แข็ง programming logic ไม่ก็แข็ง แต่ไปลักษณะนั้นก็เน่าสนิท คุณเป็นลูกค้าที่อยู่ในงานมานาน ต้องมานั่งอธิบาย/สอนงานเรื่องพื้นๆ กับคนกลุ่มนี้
แล้วแค่การเรียน แม้แต่เรียน Research Operation มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ business knowledge เลยครับ
เรื่อง โปรแอคทีพ เป็นอะไรที่น่ากระทำอย่างมากสำหรับทุกคนๆในทุกสายงาน แต่ปัญหาคือ โอกาศ กับความเหมาะสมมากกว่า ผมเคยเจอ น้องคนหนึ่ง ทำงานเป็น project coordinator มีทักษะรอบด้าน แต่ไม่ถึง ระดับผู้เขียวขาญ ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า เนื่องจากเห็นภาพรวมมั่ง เค้าเลยออกความคิดและแนะนำบางอย่างที่ไม่ควรในสายตาของบางคน กลายเป็นว่าทำเกินหน้าเกินตา โดนโยนงาน พร้อมสัญญาลมๆแล้งๆ สุดท้าย แป็กครับ เจอพวก petdo(ศัพย์คำนี้ใช้ได้ไหมครับ) อยู่ไม่ได้ครับ การหางานที่ให้เงินเดือนเหมาะสมกับความรับผิดขอบเป็นเรื่องที่ทุกคนคิดนั่นแหละ เรื่องประสบการ์ณ ความสามารถเรื่อง business concept and Industry knowledge เป็นเรื่องที่ศีกษาได้ แต่ไม่ใช้ทุกคนที่จะทำได้สวยงาม น่าประทับใจครับ การจัดสรรบุคคลากร ในหน่วยงานให้เหมาะสมกับลักษณะงานและเนื้องานเป็นเรื่องสำคัญ ต่อ Turn over และ loyalty ครับ
+1 ครับ ตรงใจมาก เจอแบบนี้มาเหมือนกันครับ ได้แต่ถอนหายใจ เฮ้อ
อ่านคอมเม้นนี้ผมนึถึงการเล่นเกมส์ RPG ครับ
เหมือนเดิน Sphear Grid เลย
+10 เลยครับ
โปรแกรมเมอร์บ้านเราที่ผมเจอมา เป็นหุ่นยนต์ซะครึ่งครับ
เขียน code แบบขอไปที ยัดๆมันไปเรื่อยๆ ขนาดมี framework มาครอบไว้ ก็ยังจะยัดให้มันทำงานจนได้
ที่สำคัญ comment นี่ไม่เคยเขียนครับ อย่าหวังว่าจะได้เห็น // TODO: , // XXX: , // FIXME: อะไรเทือกนั้นเลยครับ ยิ่ง document ยิ่งไม่ต้องหวัง
ส่วนใหญ่จะเป็นซะแบบนี้ครับ เค้าจ้างมาให้เขียนก็สักแต่ว่าเขียนจริงๆ ยัดๆให้มันรันได้ design pattern อะไรไม่รู้จัก
การวางโครงสร้างของโปรแกรมก็ไม่มี
ผมเคยเจอ PHP โปรแกรมเมอร์ ใช้ CodeIgniter ซึ่งจำเป็นจะต้องเขียน custom loader เพื่อรองรับ backward compatibilities แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พวกก็เลยเขียน code เปิด socket เรียกเข้าหาตัวเอง แต่ไปเรียก path ตัวใหม่ แล้ว echo output ออกมา จริงอยู่ว่ามันทำงานได้ ได้ output เหมือนกัน แต่ performance แย่มาก server ล่มกันไปเลย
สุดยอดมั๊ย?????
+1 ครับ
เคยเจอประสบการณ์ไปแก้งานของคนก่อนเหมือนกัน ใช้ CodeIgniter เนี่ยแหละ ไม่มีคำว่า MVC ใดๆ ทั้งสิ้น
ทุกอย่างจบลงที่ view หมด ไม่รู้จะใช้ CodeIgniter ทำไม ถึงกับอึ้ง จริงๆ ครับตอนนั้น
+100 อยากให้โปรแกรมเมอร์คิดได้แบบนี้
ถามแถวนี้ก็จะได้ตำแหน่งงานทาง Dev
ถาม thaihosttalk จะได้ตำแหน่ง NOC staff
+1
Agility = ไหลไปเรื่อย
Agi + Luk พริ้ว และ เฮง
เขาเรียก แถ เก่ง
555+
ยอมรับเถอะครับ Programmer เมืองสยามเรามาตรฐานยังไม่สู้ กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วหรอก บ้างก็เขียนแบบพอทำงานได้ เขียนฝังมุข ลูกโล่ ไว้เพียบ !!! หากเอาความคิดผมเองซึ่งก็เป็นโปรแกรมเมอร์เหมือนกัน มองว่าเราทำงานหนักก็จริง เงินเดือนเทียบเท่าสายงานอื่นแทบไม่ต่างกันแล้ว แต่สิ่งที่ควรจะได้ก็คือ OT ที่ล่วงเวลาออกไปผมไม่เห็น software house ที่ไหนจ่ายโปรแกรมเมอร์บ้างเลย ยกเว้นบริษัทที่เป็นลักษณะ end-user ต้องมี programmer ไว้ดูแลระบบบ้าง บางที่ก็จ่ายให้สมเหตุสมผล กฏหมายมีระบุไว้นะครับ แต่ทำไมถึงไม่จ่ายกัน ถ้าได้ OT+ เงินเดือน ผมว่าเงินจะดีกว่าเดิมมากเลยนะครับ
ถ้าผมเป็นผู้จ้าง ถ้าผมต้องจ่าย OT ผมก็ต้องให้มั่นใจว่าจ่ายคุ้มค่า พนักงานทุ่มเทในเวลาแล้วเต็มที่ สมเป็นมืออาชีพ
ปล. ผมถามจริงๆเถอะ OT ไปเนี่ย ทำงานได้เนื้อๆจริงหรือเปล่า ไม่ได้กวนนะ แต่ที่เคยเห็น ไม่ไหวจะเคลียร์ พอหลังพระอาทิตย์ตกดิน ทำตัวอย่างกับอยู่บ้าน ทำงานเป็นงานอดิเรก เปิดเว็บเช็คข่าว เริ่มเข้าโหมดหย่อนๆผ่อนคลาย หรือไม่ก็ออกไปหาอะไรกินอีกชั่วโมงหนึ่ง กว่าจะเรียกสติกลับมาทำงานต่อได้ก็หายไปเกือบชั่วโมงครึ่ง (ครึ่งชั่วโมงเพื่อเริ่มคืนความคิดให้ต่อเนื่อง) แล้วเริ่มแพ็คของกลับบ้านราว 3 ทุ่ม เรียกว่าได้งานไม่ถึง 2 ชั่วโมง แถมสมาธิขาดสะบั้นไปแล้วช่วงออกไปกินเข้า
ทำงานให้เต็มที่ หมดเวลาก็พักพ่อนนอนหลับ ให้สติอยู่ครบ หรือไปฝึกทักษะอื่นที่จำเป็น ที่ทำใ้ห้เราไปถึงฝั่งฝันได้ แต่ถ้าจำเป็นต้อง OT ผมว่า มาใช้เช้าจะดีกว่าลากดึก ตอนเช้าคุณยังรอเพื่อถามลูกค้าได้ ตอนดึก คุณจะไปถามใคร แล้วตื่นมาพรุ่งนี้ลืมแล้วอีกต่างหาก
นั่นมัน Ideal Employee เลย
ผมเปรียบกับอาชีพสายอื่นน่ะที่เค้าได้ OT แล้วทำไมสาย programmer ถึงไม่ได้ผมเน้นที่ประเด็นตรงนี้ครับไม่ใช่เน้นว่า OT แล้วได้หรือไม่ได้งานสะท้อนว่าหากเทียบกับสายอาชีพอื่น สาย programmer โดนเอาเปรียบหรือไม่ ส่วนเรื่องที่คุณกล่าวมาผมว่าอยู่ที่นโยบายของแต่ละแห่งมากกว่านะครับ ไม่ได้เกิดจาก programmer ตรงๆหรอก คุณต้องมองถึงช่วงเวลาพักด้วยไม่ใช่ปิดกั้น ทุกอย่าง แต่ทำอย่างไรไม่ให้พักงานบ่อยหรือพักงานในเวลาทำงาน อันนี่้มันก็มีวิธีคุมได้ไม่ยากเหมือนกับทุกๆ สายอาชีพนั่นแหละ ทุกอย่างมันเป็นศิลปะการบริหารคนล้วนๆเลยครับ
+1
ทุกที่มีปัญหาเรื่องคนไม่เหมือนกันครับ นั่นก็เพราะวัฒนธรรมองค์กรและระบบการทำงานไม่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ในมุมมองของผม
พนักงานแบบนี้หาได้ ถ้าคุณจ่ายไหวครับ พูดตรงๆ ว่านายจ้างคนไทย ชอบของดีราคาถูก จะเอานั่น เอานี่ เอาทุกอย่าง แต่จ่ายได้ไม่คุ้มกับความสามารถของพนักงาน
ผมเจอเพื่อนผมบางคน มีระเบียบวินัยแบบที่คุณลิสต์มาเลย ทำงานมา่สี่ปีเงินเดือนประมาณ 35k เอง
ผมว่าให้เป็น Commission น่าจะดีกว่าครับ เป็นเงินพิเศษจากผลงานที่ทำออกมาแล้วขายได้
ส่วนเรื่อง OT ผมพอเข้าใจนะ แต่งาน Programmer ผลงานมันไม่ได้ดูที่ทำงานนานแต่ดูที่ผลลัพท์ เพราะงั้นพวกบริษัทฝรั่งบางที่เลยให้เป็น Commission แทนครับ พอมีส่วนได้ส่วนเสียกับทางบริษัทมันก็จะไม่มีความคิดที่ว่า "จะทำดีแค่ไหนก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม" หรือ "ทำงานเร็วแล้วได้งานเพิ่มขึ้น" แล้ว คุณทำคุณก็ได้ คุณไม่ทำ/ทำช้า/โดนปรับ คุณก็อด
ผมคิดว่าการที่เราจะคาดหวังว่าทุกคนจะได้ดั่งใจเรามันเป็นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าเรามีระบบที่ดีสามารถดึงประสิทธิภาพคนออกมาได้มากพอ งานมันก็จะได้ดั่งใจเราครับ
จริงๆ ผมชอบเรื่อง incentive หลังปิดโปรเจคนะ แต่ดูเหมือนเมืองไทยจะยาก
lewcpe.com, @wasonliw
+1 เรื่อง Commission ต้องทำให้ โปรแกรมเมอร์รู้สึกว่าเป็นเจ้าของโปรแกรมนั้น จริงๆ ไม่ใช่เขียนส่งไปวันๆ
+1
มาอ่านอีกทีตกใจ มีผู้ร่วมแสดงความเห็นกัน ล้นหลามเลย แต่ประเด็นมันเหมือนจะเปลี่ยนเป็น ทำไมโปรแกรมเมอร์ถึงเปลี่ยนงานบ่อย บวกกับ ปัญหาในการทำงาน และ คุณภาพของDeveloper ในหน่วยงานด้านไอที ไปแล้วครับ
สรุปได้ว่า โปรแกรมเมอร์เปลี่ยนงานบ่อยสุด เพราะอัตราค่าจ้างและผลตอบแทนที่ไม่เหมาะสมกับเนื้องาน โดยมีประเด็นเรื่อง quality of deliverable VS. Benefit and incentive เป็นประเด็นที่ถกกันอย่างมีรสชาด ในตอนนี้
เดี้ยวตั้งประเด็นใหม่ดีกว่า โครงสร้างบุคคลากรและฟังค์ชันงานของ บริษัทด้าน developer ในฝันควรเป็นอย่างไร น่าจะดี
+1 อยากอ่านมุมมองของคนอื่นในเรื่องบริษัท Developer ในฝันครับ :)
การเมืองภายในองค์กรด้วยครับ "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก"
ที่คุยๆกันนี่ผมว่าคงไม่ใช่แค่โปรแกรมเมอร์มั่งครับ ที่มี Turnover สูงสุด อย่างพวก ติสๆทั้งหลายนั้นก็ตัวดีนะผมว่า หุหุ (พวกที่ขอมาทำตอน 10 โมง บอกเช้าๆคิดไม่ออก ไม่มีไอเดีย พวกลาออกซะเชิบ ก็ยังมี เจอมาแล้ว)
^ ^
+1
โปรแกรมเมอร์ส่วนมากติส เมื่อรวมกับวัฒนธรรมการทำงานของไทยที่เป็นเอกลักษณ์ มันจึงทำให้มุมมองของหลายๆ คนที่มีต่ออุตสาหกรรมนี้ผิดไปจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะค่าตอบแทน ความรับผิดชอบ และอื่นๆ กว่าจะรู้ตัวว่าที่บกพร่องเกิดจากตัวเอง ก็วันที่ได้เป็นผู้จ้างนั่นแหละ ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว เพราะเด็กใหม่มันก็เดินตามทางเก่าเหมือนกัน
พวกติสตัวพ่อมีอยู่ทุกสายงานครับ ไม่ใช่เฉพาะด้านนี้
ขึ้นอยู่กับว่านายจ้างดวงซวยแค่ไหน เพราะตอนจ้างใหม่ยังไม่รู้
มารู้เอาตอนมันอยู่นานเกินไปแล้วเริ่มหางโผล่
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ลูกค้าจ่ายเงินสำหรับโครงการให้บริษัทนายจ้างคุณทีเป็นล้านๆ บริษัทนายจ้างเค้าก็รับคุณมาทำงานกินเงินเดือน เค้าจ่ายเงินสำหรับทุกๆชั่วโมงเพื่อให้คุณมาทำงาน เพื่อเอางานที่สร้างขึ้นไปขึ้นเงินกับลูกค้า เพื่อเอารายได้ให้กลับมาเลี้ยงทุกๆคนในบริษัทได้
เป็นมืออาชีพหน่อย อย่าได้ทำเหมือนเจ้านายคุณอ้อนวอนให้คุณทำงานให้
ผมละเกลียดมากกับคำพูดว่า 'โปรแกรมเมอร์มันต้องการอารมณ์ศิลปิน' นั่นแหล่ะ ความต่างของ programmer, software engineer
ประทานโทษครับ แม้แต่งาน art ยังมีสาย commercial art เลย ถ้าใครเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วไม่ perform ทำเปรี้ยว อ้างว่าเป็นติสท์ แล้วอยากออกนอกกรอบ ตูอยากให้มันไปเปิดบริษัท IT แล้วจะรู้ว่านรกน่ะมีจริง
ถ้าคุณจะเขียนโปรแกรมต้องบิ้วอารมณ์ก่อน โน่นครับ ออกไปเลย อย่ากินเงินเดือน รับงานเป็น outsource ที่มี deadline และนับเป็นรายชิ้นสิ
+10 โดนใจๆ
Programmer != Software Engineer
แต่ผมเห็นประกาศรับสมัครงานส่วนใหญ่ จะลงประกาศว่ารับ Programmer นะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ที่ผมเคยเจอ HR ไม่ค่อยรู้ศัพท์ทาง IT ครับ บางที่ชื่อตำแหน่งไม่เหมือนกัน แต่หน้าที่และความรับผิดดันเหมือนกัน !!!
เป็นกระทู้ที่ได้สาระจริงๆ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ Outsource ด้วย ทำงานมา 3ปีกว่า เป็น Outsource มาตั้งแต่เริ่ม
ย้ายซุ้มมา 5ซุ้ม แต่อยู่ไซต์งานมา 4ที่ ที่ย้ายซุ้ม ก็มีเหตุผลทั้ง ส่วนตัว, โดนเอาเปรียบ,
งานหนักเกินตัว และเดินทางไม่สะดวก
เรื่องมาตรฐานการเขียน code หาเทพๆยากครับ ลอจิกแต่ละคนก็ต่างกัน ยิ่งผมอยู่ 2ไซต์ล่าสุด
เจอลอจิกแบบมึนๆ ไซต์ปัจจุบันก็มึนๆอยู่ เรื่องง่ายๆ ทำไมทำกันซับซ้อนจัง
อยากจะแชร์นะครับ ซอฟท์แวร์นั้น ว่ากันว่า ส่วนใหญ่จะอยู่ในโหมด maintain มากกว่าจาก develop
คุณเคยรึเปล่า ลูกค้าจ่ายเงินให้ enhance ระบบ แต่เมื่อเอาโค้ดที่ตัวเองเคยเขียนไว้เองเมื่อปีที่แล้วกลับมาดู แต่ปรากฎว่าต้องใช้เวลาเกือบวันเพื่อไล่ logic เพื่อจะหาจุดแทรกโค้ดใหม่ เพื่อให้ระบบเดิมไม่ล้ม แล้วต้องใช้เวลาเกือบสัปดาห์เพื่อไล่บั๊กที่เกิดจากความผิดพลาดในการใส่โค้ดชุดใหม่
ในทางตรงข้ามโค้ดชุดที่มี convention หรือมีการใช้ application framework จะช่วยลดเวลาในการที่คนจะมาทำความเข้าใจ และศึกษาจุดขยายโปรแกรมไปได้มาก
การที่มี development framework นั้นเพื่อเป็น architecture มาตรฐานในการออกแบบซอฟท์แวร์ เพื่อให้โค้ดมีมาตรฐาน เป็นโมดูล ง่ายในการต่อเติม เรียกว่่าเอาพนักงานคนอื่นๆ อ่านพิมพ์เขียวก็ลุยแก้ได้
แต่ทางตรงข้าม ถ้ามันง่ายแบบลวกๆ ไม่มี unit test โปรแกรมแยกส่วนทดสอบไม่ได้ ต้องทดสอบ end-to-end สถานเดียว แบบนี้แล้วใครจะมาแก้/พัฒนาโปรแกรมต่อ ก็เจอะรายการฝ่าเขาวงกต
ดีไม่ดี ไม่ใช่อื่นไกล คนที่น่าสงสารนั้น ก็อาจจะเป็นตัวคุณเองในอีกสองปีข้างหน้าก็เป็นได้
ถามว่าถ้าโปรแกรมมันเล็กมากๆ อาจจะไม่ยาก แต่ในการพัฒนาโปรแกรมระดับใช้งานในเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่มันยากและซับซ้อนมาก domain object เป็นสิบๆตัว เพจเป็นหลายๆสิบหน้า พวกนี้ คนธรรมดาอ่านทีีเดียวไม่เห็นภาพชัดกับ artifact ทั้งหมดอยู่แล้วครับ ดังนั้นการเขียนโดยใช้ convention จะช่วยทำให้มนุษย์ไม่สับสน ลดความซับซ้อนได้หลายเท่า
+100 "ดังนั้นการเขียนโดยใช้ convention จะช่วยทำให้มนุษย์ไม่สับสน ลดความซับซ้อนได้หลายเท่า"
เอาง่ายสุด ปีที่แล้วเขียนแบบปกติ
ปีถัดมาเขียนแบบ strict (เก็บทุก error ที่เป็นไปได้)
เล่นเอาแทบอ๊วกไปเลย ถ้าไม่ได้เขียนบน framework
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
IT ที่ว่ารวมถึง Call Center ด้าน IT ด้วยไหมหากรวมอยู่ด้วยผมคิดว่า Call Center IT มี %Turn over สูงแน่ๆ ครับเพราะทำงานภายในความกดดันสูงจากท่านลูกค้าทั้งหลาย...
ถ้า Call Center ผมว่า Turn over สูงทุกด้านไม่เฉพาะ ด้าน IT
call center ลาออกเพราะ แต่งงาน คลอด
เข้ามาเก็บประสบการณ์จากรุ่นเก๋าๆ ครับ
จบไปจะมีงานทำไหมเนี่ย = ='
เมื่อเทียบกับวิชาอื่นๆแล้ว เช่นวิศวกรรมก่อสร้าง ศาสตร์ด้าน Software Engineer เป็นอะไรที่มีอายุน้อยมาก พูดง่ายๆครับ ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วก็มีการสร้างตึกระฟ้ากันแล้ว โบสท์ใหญ่ๆของฝรั่งหลายๆแห่งทั่วโลกก็อยู่มาหลายร้อยปีแล้ว เรียกว่ามันมี know-how กันมาเยอะแล้ว แต่โปรแกรมตัวแรกพึ่งมีกันไม่ถึงห้าสิบปี แล้วมาแมสจริงๆในช่วงยี่สิบสามสิบปีนี้เอง แถมการพัฒนาด้านฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมก็ก้าวกระโดดไปเร็วมาก มากกว่าวัสดุศาสตร์ไปหลายปีแสง ดังนั้นไม่แปลกที่ศาสตร์ด้านนี้จะโดนท้าทายมาย และมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเร็วมาก และยิ่งวิศวกรรมซอฟท์แวร์ส่งสิ่งที่เป็นนามธรรม ต้นทุนในการเพิ่ม ปรับปรุง ขยายความสามารถของชิ้นงาน ด้านเทคนิคจึงมีน้อยกว่าวิศวกรรมในสิ่งที่จับต้องได้อื่นๆมากมาย เช่น มีลูกค้าที่ไหนมันยอมใช้ซอฟท์แวร์ห้าปีโดยไม่มีเมเจอร์เชนจ์บ้าง ถ้าไม่ติดเรื่องราคาค่าปรับปรุงกับไม่อยากทดสอบระบบใหม่ แต่ในทางตรงข้าม บ้านคนอยู่ไม่ถึงห้าปี มีใครจะต่อเติมจากสองชั้น เป็นสี่ชั้นบวกชั้นใต้ดินมั่่ง
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม software engineer มันโหดร้าย แล้วเท่าที่ดูในหลักสูตรบ้านเราเมื่อสิบปีก่อน ก็ไม่ได้เน้นเรื่อง software engineer ในลักษณะ software project management และหรือ change management มากนัก ทำให้คนที่เรียนจบมาใหม่ๆ แทบเป็นแต่ tool/technique แค่แนวคิดที่สำคัญในการทำให้โครงการจบไปได้ มันแทบจะไม่มี แล้วอาจารย์ก็เน้นแต่ tool (ซึ่งจะไปตำหนิอาจารย์ผู้ร่างหลักสูตรก็ไม่ได้ ก็ไม่มีใครไป feedback แก) ทำให้เด็กมี mindset ที่ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงในโลก software development เท่าไร
ตอนเรียน: ใช้เครื่องมือที่ดูเจ๋งเข้าไว้ ใช้เวลาไม่อั้น ของให้เทพ งานเขียนครั้งเดียว ส่งแล้วทิ้ง ไม่เคยสานงานคนอื่น อินพุตมาจากกรณีที่กำหนดไว้เท่านั้น ข้อมูลพลาดๆ/เลอะๆไปหน่อยไม่เป็นไร เอาแนวคิด
ชีวิตจริง: ทำอย่างไรก็ได้ให้เก็บเงินได้ตรงเวลา เครื่องมือพัฒนายุคพระเจ้าเหาก็ช่าง โปรแกรมโดนรังแกสารพัด ผู้ใช้ใส่ข้อมูลพลาด เจอะอะไรที่ไม่เคยสอน ผู้ใช้ไม่ยอมใช้งานต่อ ข้อมูลต้องเป๊ะ 100% กรณีผิดพลาดทุกชนิดต้องมีคำอธิบายได้ ระบบทีพัฒนาขึ้นแกนหลักต้องอยู่ปรับปรุงกับงานอีกห้าปี
ที่บริษัทรับเด็กฝึกงานทุกปี และช่วงหลังนี้เขียนความเห็นกลับไปให้ทางมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งอย่างยาวๆ แต่ก็ยังไม่เห็นว่ามหาวิทยาลัยไหนจะนึกเอะใจและขอประชุมหารือกับผู้ประกอบการบ้างว่า จะปรับปรุงหลักสูตรอย่างไรเพื่อให้สามารถผลิตบุคลากรที่จบไปแล้วทำงานได้จริง เพราะการที่ผู้ประกอบการรับเด็กใหม่ๆ มานี้แทบจะต้องมาเทรนกันใหม่ทั้งหมด มันเป็นต้นทุนที่สูงมาก
เข้ามาอ่านลูกจ้างกับนายจ้าง บลัฟกันแล้วสนุกดีครับ
เฮ้ เรื่องจริงมันไม่สนุกนะครับ ร้องไห้น้ำตารินลาออกกันก็หลายคนแล้วนะครับ (ไม่ได้โม้)
ตรงนี้ผมเลยอยากแชร์ชีวิตจริงในอีกด้านหนึ่งของคนสาย IT เข้มข้นแท้ๆ ว่าชีวิตจริงหลังจบการศึกษาไปแล้ว ถ้าต้องการใช้วิชา Computer Science, Software Engineer อะไรจะรอน้องๆอยู่บ้าง หรือคนที่จะเลือกมาเรียนสายนี้ จะได้ทราบเอาไว้ว่าชีวิตฮาร์ดคอร์เป็นอย่างไร
(ตอนนี้ไอ้คนที่เขียนอยู่เนี่ย ก็เตรียมทำ demo product อยู่)
แน่นอน วิชาชีพนี้มีงานทำแน่นอน แถมเรทเงินเดือนเริ่มต้นอาจจะอยู่ในกลุ่มบนๆ ถ้ารักการพัฒนาตัวเอง และไม่เลือกเงินเดือนอ่ะนะ แต่งานแบบมืออาชีพ ทุกอย่างไม่ง่ายดายหรอกครับ
บางคนเลือกผิด กว่าจะรู้ว่าได้เลือกเรียนสิ่งที่ไม่ชอบ เสียดายเวลาตัวน้อง เสียดายโอกาสที่จะไปเจอสิ่งอื่นๆครับ
ถึงไม่ชอบก็ได้ความรู้นะว่า เขาทำกันยังไง มันประยุกต์ได้ กับงานด้านอื่น ๆ (เป็นคนหนึ่งที่เลือกเรียนผิด)
ติดตามมาหลายวันแล้วครับ
เข้ามาดู...
ตอบมาแล้ว 72 reply ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง เช่น programmer เป็นอาชีพได้เงินเยอะอยู่แล้ว ทำงานคุ้มค่าตัวอยู่แล้ว คงไม่มีคนตอบถึง 72 reply เป็นแน่
การให้เหตุผลดูไม่สมเหตุสมผลเลยครับ
lewcpe.com, @wasonliw
นั่นน่ะสิผมว่าส่วนใหญ่ เขาก็บอก เงินเดือน ok แล้วไม่พอใจให้ไปเปิด บ เองกันทั้งนั้นนิ
ที่ตอบกันยาวๆ เขาบ่นเรื่องความคิดนี้ของ Programmer กันไม่ใช่เหรอ บางคนไม่ได้ post ตรงๆ ก็ +10 +100 กันแทนนิ
Ton-Or
มีงานก็ดีแล้วครับ อย่าเลือกงานสิครับ เดี๋ยวจะได้หาเหตุผลปลอบใจตัวเองเวลาออกจากงานนะครับ
เงินเดือนเยอะ ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดสำหรับโปรแกรมเมอร์ครับ
ผมทำงานมา 3ปีกว่าๆ กับ 4บริษัท (พอดีเป็น Outsource)ได้ความรู้สึกหลายๆอย่าง
- ไซต์แรก ชิวๆ สะบายๆ ว่างๆ เลยเบื่อ ย้าย
- ไซต์สอง ดี โอเค แต่เดินทางหลายต่อ แต่ไม่ลำบากเท่าไหร่ อาหารการกินอยู่ในเกนสูงและมีปัญหาบริษัทแม่เอาเปรียบนิดหน่อย
- ไซต์สาม งานการกุศล ถึก โหด เปลืองตัว เงินเดือนไม่ได้มากไปกว่าไซต์สองเท่าไหร่หรอก โปรเจคล้มเหลวบ่อย(ล้มมาจากคนคุมโปรเจคไม่) หมดกำลังใจ ใช้โปรแกรมเมอร์เปลือง เดินทางลำบาก อยู่ได้ไม่นาน รู้สึกเวลาของตัวเองหายไป เลยย้าย
- ไซต์สี่ ทำอยู่ตอนนี้ งานโอเคดี ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ รู้สึกได้เวลาของตัวเองกลับมา อาหารการกินไม่แพงเท่าไหร่ เดินทางสะดวก
มีพี่คนนึงที่ออฟฟิศผมเขาเคยบอกไว้ ตัวแปรที่จะทำให้คนทำงานแฮปปี้กับงานมี 3 อย่างคือ งานดี เงินดี สังคมดี ถ้ามีตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปจะอยู่ได้นาน ซึ่งผมว่ามันก็จริงนะ
บทความและคความคิดเห็นในบทความนี้เป็นประโยชน์ที่ล้ำค่าอย่างยิ่งครับ
อ่านแล้วก็รู้สึกเหมือนกันว่ามุมมองของหลายๆ คนทั้งด้านผู้ว่าจ้างและพนักงาน ต่างก็มีประเด็นที่น่าสนใจครับ แต่ชอบมุมมองคุณ tekkasit ครับ หลายๆ อย่างใกล้เคียงกับความรู้สักผมเหมือนกัน
อีกอย่าง ผมอยากให้น้องๆได้อยู่กับโครงการตั้งแต่ต้น (ทำ demo) จนถึงปิดโครงการพัฒนาซอฟท์แวร์ (เก็บเงินงวดสุดท้าย ปิดโครงการ + maintain หลัง Go Production อีกสักสามสี่เดีอน) สักโครงการหนึ่งในชีวิต หรือได้เป็น team leader/project leader จะได้เห็นอะไรครบ เห็นอะไรดีๆเยอะครับ
ถึงแม้ชีวิตอาจจะหนักหนาไปบ้าง แต่จะเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
โอ้วว ยาวมากเรยพี่ :D :D
อ่านแล้วรู้สึกว่า เรื่องที่ได้อ่านมันไม่ได้มีแค่ ตำแหน่งไหน Turn over สูง รู้สึกเหมือนได้เรื่องอื่นๆ ++ มาด้วย