นับถอยหลังสู่งาน Samsung Galaxy Unpacked พบกัน 11 ส.ค. นี้ สามทุ่มตรง

MXPhone - 6 August 2021 - 15:18

Samsung Galaxy Unpacked กระแสดี! เพราะเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์หลังการปล่อย Official Trailer ลงบนช่องทาง YouTube ก็มียอดวิวสูงถึง 100 ล้านวิวแล้ว พบกัน 11 ส.ค. นี้ สามทุ่มตรง

The post นับถอยหลังสู่งาน Samsung Galaxy Unpacked พบกัน 11 ส.ค. นี้ สามทุ่มตรง appeared first on mxphone.

Samsung จัดทีมตรวจสอบธุรกิจมือถือ หลังยอดขาย Galaxy S21 Series ส่อแววไม่ถึงเป้า

MXPhone - 6 August 2021 - 14:59

สื่อเกาหลีรายงาน Samsung Electronics จัดคณะทำงานเข้าตรวจสอบการจัดการของแผนธุรกิจมือถือ หลังมีปัญหาถาโถมทั้งยอดขายและซัพพลายเชน

The post Samsung จัดทีมตรวจสอบธุรกิจมือถือ หลังยอดขาย Galaxy S21 Series ส่อแววไม่ถึงเป้า appeared first on mxphone.

ภาพพื้นหลัง (Wallpaper) จาก Pixel 6, Pixel 6 Pro

iPhonemod - 6 August 2021 - 14:45

Google เปิดตัว Pixel 6, Pixel 6 Pro สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ เ […] More

The post ภาพพื้นหลัง (Wallpaper) จาก Pixel 6, Pixel 6 Pro appeared first on iMoD.

สิ้นสุดการรอคอย! Xiaomi คอนเฟิร์ม แท็บเล็ต Mi Pad 5 จะเปิดตัวพร้อม Mi MIX 4 วันที่ 10 ส.ค. นี้

MXPhone - 6 August 2021 - 14:20

Xiaomi ออกมาประกาศแล้วว่าจะเปิดตัวแท็บเล็ต Mi Pad 5 ในวันที่ 10 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จะเปิดตัวมือถือเรือธง Mi MIX 4 ตามที่ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้

The post สิ้นสุดการรอคอย! Xiaomi คอนเฟิร์ม แท็บเล็ต Mi Pad 5 จะเปิดตัวพร้อม Mi MIX 4 วันที่ 10 ส.ค. นี้ appeared first on mxphone.

สหรัฐอเมริกาดันรถยนต์ไฟฟ้า ยอดขาย EV ต้องถึงครึ่งประเทศใน 10 ปี: แล้วแผน EV ไทยเป็นยังไง?

Brand Inside - 6 August 2021 - 12:58
Electric vehicles Electric vehicles Photo: Shutterstock สหรัฐอเมริกาต้องการเป็นผู้นำ EV

เมื่อสหรัฐอเมริกาเดินหน้าจริงจังเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า เพราะเป็นแผนนโยบายที่ผลักดันอย่างน้อย 2 เรื่องพร้อมกัน นั่นคือเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม 

ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งโดยตรงอีกครั้งเพื่อตั้งเป้าหมายให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 40-50% จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 หรืออีกประมาณไม่ถึง 10 ปีนับจากนี้

ก่อนหน้านี้ นโยบายที่ชัดเจนที่สุดคือคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดี (executive order) ให้รถยนต์ทุกคันของรัฐบาลต้องเป็น EV ล้วน และต้องผลิตในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

Joe Biden Holds Official Presidential Campaign Kickoff Rally In PhiladelphiaPHILADELPHIA, PA – MAY 18: Former U.S. Vice President and Democratic presidential candidate Joe Biden speaks during a campaign kickoff rally, May 18, 2019 in Philadelphia, Pennsylvania. Since Biden announced his candidacy in late April, he has taken the top spot in all polls of the sprawling Democratic primary field. Biden’s rally on Saturday was his first large-scale campaign rally after doing smaller events in Iowa and New Hampshire in the past few weeks. (Photo by Drew Angerer/Getty Images)

แน่นอนว่า แผนผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของไบเดนคือเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการทำตามเป้าหมาย zero-emission หรือนโยบายปลอดมลพิษ ตั้งเป้าปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์

แต่ในขณะเดียวกันนโยบายสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องเดียวกับการผลักดันทางเศรษฐกิจได้ อย่างในกรณีนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รอบนี้ได้เรียกค่ายรถยนต์ไปหลายราย เช่น GM, Ford และ Stellantis (บริษัทใหม่ที่ควบรวมจาก Fiat Chrysler กับ Groupe PSA) อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มีดราม่านิดนึงตรงที่ Elon Musk ออกมาบอกว่า “แปลกใจที่ Tesla ไม่ได้รับเชิญ” 

“เราเคยเป็นผู้นำในวงการรถยนต์มาก่อน และเราต้องการเป็นผู้นำอีกครั้ง แต่เราต้องขยับตัวไวกว่านี้ เพราะทั้งโลกเขานำหน้าไปหมดแล้ว คำถามคือสหรัฐอเมริกาอยากเป็นผู้นำหรืออยากเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในศึกแห่งอนาคต” ไบเดน กล่าว 

กระทรวงพลังงาน ร่วม กระทรวงอุตสาหกรรม ประชุม EV ชาติ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้นใช้รถ EVกระทรวงพลังงาน ร่วม กระทรวงอุตสาหกรรม ประชุม EV ชาติ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้นใช้รถ EV แล้วแผน EV ไทยถึงไหนแล้ว

ไม่ใช่แค่ในต่างประเทศ เมื่อรัฐออกมาผลักดัน ภาคธุรกิจก็พร้อมจะลงไปเล่น ในสหรัฐอเมริกาค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่าง GM ประกาศลงทุนใน EV กว่า 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2025 พร้อมทั้งเลิกขายรถยนต์น้ำมันในปี 2035 ส่วน Ford ก็ประกาศแล้วว่าจะลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมลงทุนเกือบ 1 ล้านล้านบาทเช่นกัน

สำหรับประเทศไทย จริงๆ แล้วเรามีแนวโน้มที่จะผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอยู่เช่นกัน

รู้หรือไม่ว่า เรามีสิ่งที่เรียกว่า “คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ” หรือที่คนในวงการเรียกว่า “บอร์ดอีวี” 

ข้อมูลช่วงต้นปี 2021 มีการประชุมและมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคมร่วมกันส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยจะเน้นหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือด้านการผลิต (รวมทั้งรถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ) จะผลิตให้ได้ทั้งประเทศมากกว่า 1 ล้านคันในปี 2025 แบ่งเป็น

  • รถยนต์/รถปิกอัพ 400,000 คัน
  • รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน
  • รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน

ที่สำคัญคือในปี 2030 หรือประมาณไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้ ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 50% ของตลาด

หลังจากนั้นในอีก 5 ปีให้หลัง (2035) ไทยจะเพิ่มการผลิตขึ้นเป็นจำนวนรวมกว่า 18 ล้านคัน แบ่งเป็น

  • รถยนต์/รถปิกอัพ 8,625,000 คัน
  • รถจักรยานยนต์ 9,330,000 คัน
  • รถบัส/รถบรรทุก 458,000 คัน

สำหรับไทยแม้ว่าจะมีนโยบาย มีตัวเลข มีการคาดการณ์ แต่ต้องยอมรับว่าแผนที่ชัดเจนเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างได้ไม่นาน และคงต้องรอดูผลงานกันในอนาคต

แต่ภาพที่ทุกคนควรรู้ เพราะเป็นความจริงในปัจจุบัน ตอนนี้สัดส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปี 2020 รวบรวมโดย International Energy Agency เปิดเผยว่า สัดส่วนยอดขาย EV ในไทยยังคิดเป็นเพียง 1% เท่านั้น ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 4.6% 

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของไทย ทั้งยอดขาย ทั้งเป้าหมายด้านการผลิตระดับล้านคัน และอีกหลายสิบล้านคันในช่วงอีกกว่าทศวรรษข้างหน้า ถือเป็นความท้าทายที่ต้องจับตาดูกันต่อไป

ไม่ใช่แค่ไทย เป้าหมายของสหรัฐก็ท้าทาย

พูดกันให้ถึงที่สุด แผนผลักดัน EV ของสหรัฐอเมริกาภายใต้ไบเดนไม่ใช่เรื่องใหม่

ในยุคสมัยที่โอบามาเป็นประธานาธิบดี ยุคนั้น (2012-2015) ก็เคยตั้งเป้าให้สหรัฐอเมริกามียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันในช่วงปี ปรากฎว่า 1 ปีให้หลัง (2016) สำนักข่าว Reuters ไปเช็คตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกา มีเพียงแค่ 4 แสนคันเท่านั้น พลาดเป้าไปมากกว่าครึ่ง

และอันที่จริง ถ้าเปิดดูตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาปี 2020 มีส่วนแบ่งตลาด (market share) เพียง 2% เท่านั้น ดังนั้นเป้าหมายยอดขาย 40-50% ของไบเดนจึงเป็นความท้าทายอย่างมาก 

อ้างอิง – CNBC, The Guardian, Quartz, Pew Research, กระทรวงพลังงาน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post สหรัฐอเมริกาดันรถยนต์ไฟฟ้า ยอดขาย EV ต้องถึงครึ่งประเทศใน 10 ปี: แล้วแผน EV ไทยเป็นยังไง? first appeared on Brand Inside.

ร้านตัดผม Neversaycutz เปิดสอนตัดผมออนไลน์ พลิกจากถูกสั่งปิดร้าน สู่การสร้างแบรนด์แบบเก๋ ๆ

Brand Inside - 6 August 2021 - 12:11

ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ลองมาศึกษาการปรับตัวของร้านตัดผม Neversaycutz หลังถูกสั่งปิดอีกครั้ง จึงส่ง Cutz from Home บริการสอนตัดผมออนไลน์แบบฟรี ๆ ถือเป็นการสร้างแบรนด์ และใกล้ชิดกับลูกค้าที่น่าสนใจ

neversaycutz

Neversaycutz สอนตัดผมออนไลน์

สำหรับบริการ Cutz from Home ของ Neversaycutz คือการสอนตัดผมออนไลน์ ที่มีช่างของ Neversaycutz เป็นผู้สอน พร้อมให้คำแนะนำทั้งการตัดผมด้วยตัวเอง หรือเป็นการตัดผมให้คนในครอบครัว ซึ่งบริการนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่เบื้องต้นกำหนดไว้แค่วันที่ 7-8 ส.ค. เท่านั้น ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนจองเวลากับทางร้านได้

Neversaycutz เป็นร้านตัดผมที่พลิกโฉมธุรกิจตัดผมชายเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพราะด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับร้านตัดผมชายอื่น ๆ แต่ด้วยการดูแลลูกค้า และการออกแบบทรงผมที่ร้านสมัยนั้นยังไม่มีใครทำ ทำให้ Nerversaycutz เติบโตอย่างยั่งยืน และขยายสาขาไป 25 แห่งทั้ง กทม. และต่างจังหวัด

หากอ้างอิงจากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท เนเวอร์เซย์คัทซ์ จำกัด มีรายได้รวมปี 2021 ที่ 75 ล้านบาท ลดลง 23% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 1.2 ล้านบาท ลดลง 71% จากปีก่อน อาจเพราะการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้บางช่วงเวลาร้านต้องปิดให้บริการ

อ้างอิง // Neversaycutz

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ร้านตัดผม Neversaycutz เปิดสอนตัดผมออนไลน์ พลิกจากถูกสั่งปิดร้าน สู่การสร้างแบรนด์แบบเก๋ ๆ first appeared on Brand Inside.

ค้าปลีกไทยเข้าขั้นวิกฤต ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ความเสียหาย 2.7 แสนล้าน

Brand Inside - 6 August 2021 - 12:05

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผย ค้าปลีกไทยเข้าขั้นวิกฤต สถานการณ์โควิด-19 ทำดัชนีความเชื่อมั่นต่ำที่สุดในรอบ 16 เดือน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาท

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ค้าปลีกไทยวิกฤตหนัก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกเดือนกรกฎาคม 2564 ต่ำที่สุดในรอบ 16 เดือน ติดลบ 70% คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 2.7 แสนล้านบาท กระทบกับร้านค้า 1 แสนแห่ง เตรียมปิดกิจการ ส่งผลต่อการจ้างงานกว่าล้านคน

โควิด-19 ระลอกนี้ รุนแรงกว่าเมื่อปีที่แล้ว

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในช่วงเดือนกรกฎาคมติดลบถึง 70% ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ารุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรกเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงนอกจากนี้มาตรการล็อคดาวน์และเคอร์ฟิวในเดือนสิงหาคมที่ปัจจุบันได้ขยายจังหวัดคุมเข้มสูงสุด เป็น 29 จังหวัด ส่งผลให้ภาคค้าปลีกต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปี 2566

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก อยู่ในระดับที่ 16.4 คิดเป็นสัดส่วนที่ติดลบกว่า 70% ถือว่าตำ่ที่สุดในรอบ 16 เดือน โดยยอดขายที่ลดลงเกิดจากการใช้จ่ายต่อบิล และความถี่ในการใช้จ่ายลดลงพร้อมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

ในช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2564 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดการณ์ว่าภาคการค้าปลีก และบริการจะ “ทรุดหนัก” การเติบโตโดยรวมในปีนี้มีแนวโน้มติดลบทั้งปี

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ระดับ 27.6 ตำ่กว่าเดือนเมษายน 2563 ที่ระดับ 32.1 สะท้อนถึงความวิตกกังวลในความไม่ชัดเจนต่อแนวทางการกระจายการฉีดวัคซีนที่ภาครัฐ ยังมีความล่าช้า และมาตรการเยียวยาที่ไม่เข้มข้นมากพอ รวมทั้งการกระตุ้นกำลังซื้อที่ภาครัฐประกาศที่จะอัดฉีดเพิ่มเติมไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้

ผู้ประกอบการประเมิน โควิด-19 รอบนี้ไม่จบง่ายๆ

เมื่อดูจากดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกแยกตามภูมิภาค พบว่า ในทุกภูมิภาคดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกลดต่ำลงกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางที่ลดลงอย่างชัดเจนมากกว่าภาคอื่นๆ จากคลัสเตอร์ในกลุ่มผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก

ส่วนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ ผู้ประกอบการประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ รวมถึงผู้บริโภคมีกำลังซื้ออ่อนแอ การฟื้นตัวจึงต้องใช้เวลานาน

ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารได้รับผลกระทบหนักที่สุด

เมื่อแยกประเภทของค้าปลีก จะพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกปรับตัวต่ำลงในทุกประเภท แต่ร้านค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารได้รับผลกระทบโดยตรง และหนักที่สุดจากมาตรการล็อคดาวน์ ยอดขายหายไป 80-90% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน

ส่วนร้านสะดวกซื้อ มียอดขายลดลงราว 20-25% จากมาตรการกำหนดเวลาปิดให้บริการ 21.00-04.00 น. เพราะเวลาช่วงดึกที่เปิดให้บริการไม่ได้เป็น Peak Hour ที่หายไป และจำนวนของร้านสะดวกซื้อ 40% ตั้งอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม จำนวน 29 จังหวัด

ความเห็นผู้ประกอบการค้าปลีก ต่อสถานการณ์โควิด-19 รอบ 4

นอกจากนี้สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยังได้สำรวจมุมมองของผู้ประกอบการ โดยพบว่า

  • ผู้ประกอบการ 90% เห็นว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสัญญาณปรับตัวแย่กว่าเดือนมิถุนายนค่อนข้างมาก
    เพราะมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของแผนการฉีดและกระจายวัคซีนของภาครัฐ
  • ผู้ประกอบการ 63% ประเมินว่า ยอดการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับ
    เดือนมิถุนายน และไม่มีพฤติกรรมในการกักตุน Stock Up เพราะก าลังซื้อของประชาชนที่อ่อนตัวลง
  • ผู้ประกอบการ 61% ยอมรับว่าการจับจ่ายและการใช้บริการ (Traffic) ลดลงมากกว่า 25% เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว
  • ผู้ประกอบการ 41% มีการปรับลดการจ้างงาน หรือปรับลดชั่วโมงการทำงาน เพราะธุรกิจมียอดขายและ
    ค่าธรรมเนียนการขายที่ลดลง
  • ผู้ประกอบการ 53% มีสภาพคล่องทางการเงินไม่ถึง 6 เดือน สะท้อนถึงภาวะธุรกิจที่ฝืดเคืองและการเข้าถึง
    สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำยังคงเป็นปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไข
  • ผู้ประกอบการ 42% คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 ปี 2564 จะหดตัว 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส
    3 ของปี 2563
  • ผู้ประกอบการ 90% ประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเข้าสู่ระดับปกติ ในช่วงกลางปี 2566 หรืออาจจะนาน
    กว่านั้น

ที่มา – ข่าวประชาสัมพันธ์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ค้าปลีกไทยเข้าขั้นวิกฤต ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ความเสียหาย 2.7 แสนล้าน first appeared on Brand Inside.

เช็คเลย! รายชื่อมือถือ Honor-HUAWEI ทั้ง 65 รุ่นที่จะได้อัพ HarmonyOS

MXPhone - 6 August 2021 - 11:59

บัญชีทางการของ HarmonyOS บน Weibo ประกาศรายชื่อสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทั้งของ HUAWEI และ Honor ทั้ง 65 รุ่น ที่ได้รับสิทธิ์อัพเดตระบบปฏิบัติการ HarmonyOS

The post เช็คเลย! รายชื่อมือถือ Honor-HUAWEI ทั้ง 65 รุ่นที่จะได้อัพ HarmonyOS appeared first on mxphone.

Nikkei จัดอันดับไทย ฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้แย่ที่สุดในบรรดา 120 ประเทศทั่วโลก

Brand Inside - 6 August 2021 - 11:42

Nikkei จัดอันดับไทย ฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้แย่ที่สุดในโลก เพราะ โควิด-19 ระลอกล่าสุดยังยืดเยื้อรุนแรงทำให้ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติม ในขณะที่การแจกจ่ายวัคซีนไม่ดีพอ

nikkei thai covid recovery โควิด

ไทยรั้งท้ายฟื้นตัวจาก โควิด-19

Nikkei จัดอันดับให้ไทยอยู่รั้งท้าย (อันดับ 120) ในดัชนีการฟื้นตัวจากโควิด-19 (Nikkei COVID-19 Recovery Index) ร่วงลงมาจากอันดับที่ 118 จากการจัดอันดับในเดือนก่อนหน้า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกเดือนเมษายนในประเทศไทยยังคงยืดเยื้อและรุนแรง

วันนี้ ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 21,379 คน ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 700,000 คน และมีผู้เสียชีวิตในวันเดียวถึง 191 คนสวนทางกับปริมาณการฉีดวัคซีนที่ตอนนี้มีประชากรเพียง 5.72% เท่านั้นที่วัคซีนครบ 2 โดส ส่วน 20.36% ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส

ก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลก็มีการประกาศขยายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติมออกไปอีก 14 วัน และขยายพื้นที่บังคับใช้มาตรการจาก 13 จังหวัด ไปเป็น 29 จังหวัด

ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังพุ่งสูงทำสถิติใหม่ทุกวัน การกระจายวัคซีนที่ล่าช้า และมาตรการควบคุมที่เข้มงวด จึงทำให้ประเทศไทยยังเผชิญอุปสรรคในการฟื้นตัวจากโควิด นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของการจัดอันดับการฟื้นตัวโดย Nikkei

Nikkei COVID-19 Recovery Index คืออะไร

ดัชนีการฟื้นตัวจากโควิด-19 ของ Nikkei เป็นการจัดอันดับ 120 ประเทศ ในทุกๆ เดือนบนปัจจัยพื้นฐาน 3 อย่าง ที่มีผลต่อการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดการการแพร่ระบาด การกระจายวัคซีน และความคล่องตัวในการเดินทาง สรุปออกมาเป็นคะแนนระหว่าง 0-90

โดยใน 3 ปัจจัยพื้นฐาน ก็ยังมีการจำแนกลงไปอีกเป็น 9 ปัจจัยย่อย คือ

  • การจัดการการแพร่ระบาด ประเมินจาก (1) ยอดผู้ป่วยสะสมเทียบกับยอดผู้ป่วยในวันที่มีรายงานการติดเชื้อสูงสุด (2) ยอดผู้ป่วยสะสมต่อประชากร (3) ยอดการตรวจทั้งหมดต่อยอดผู้ป่วยสะสม
  • การกระจายวัคซีน ประเมินจาก (1) จำนวนวัคซีนที่แจกจ่ายทั้งหมดต่อประชากร (2) จำนวนวัคซีนที่แจกจ่ายใหม่ต่อประชากร (3) สัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส
  • ความคล่องตัวในการเดินทาง ประเมินจาก (1) การเคลื่อนย้ายในชุมชน (2) Oxford Stringency Index หรือ ดัชนีความเข้มข้นของมาตรการควบคุมโรค (3) การเดินทางทางอากาศ
ประเทศในอันดับอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สหรัฐอเมริกา (อันดับ 46) ร่วงลงมาจากอันดับ 22 จากการจัดอันดับก่อนหน้านี้ เพราะหลังจากการฟื้นตัวจากโควิดในสหรัฐเริ่มอยู่ในทิศทางบวกได้สักพัก สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดย่ำแย่ลงจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันกลับมาอยู่ที่กว่า 1 แสนคน เพิ่มขึ้น 5 เท่าในช่วงไม่ถึง 1 เดือน และยังเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 6 เดือน

USA New York City COVID-19ภาพจาก Shutterstock

มาเลเซีย (อันดับ 114) อินโดนีเซีย (อันดับ 114) และเวียดนาม (อันดับ 120) อยู่ในกลุ่มรั้งท้ายของการจัดอันดับล่าสุดร่วมกับประเทศไทย เพราะแต่ละประเทศยังมีการจำกัดการเดินทางอย่างเข้มข้น เช่นในเวียดนามประกาศใช้มาตรการควบคุมการเดินทางใน 19 จังหวัด เพิ่มเติมไปอีก 2 สัปดาห์ไม่ต่างจากไทย ส่วนอินโดนีเซียก็มีการทำกึ่งล็อกดาวน์ในเมืองที่ประชากรหนาแน่น 

ที่มา – Nikkei Asia (1)(2), Reuters

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Nikkei จัดอันดับไทย ฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้แย่ที่สุดในบรรดา 120 ประเทศทั่วโลก first appeared on Brand Inside.

คาดยอดขายรถยนต์ 64 ไม่ดีขึ้น จากปัญหาโควิด-กำลังซื้อหดตัว เก๋งกระทบมากกว่ากระบะ

Brand Inside - 6 August 2021 - 11:36

ttb analytics ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 7.35 แสนคันในปี 2564 ลดลง 7.1% จากปีก่อน ได้รับผลกระทบจากโควิดและกำลังซื้อที่หดตัว แม้การส่งออกจะฟื้นตัว ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นแต่ก็ช่วยไม่มากนัก ส่วนปี 2565 ต้องลุ้นให้ยอดขายกลับมาปกติ 8.6 แสนคัน

ttb

สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศ แม้ว่าครึ่งแรกของปี 2564 จะสามารถทำยอดขายได้ 373,191 คัน หรือ ขยายตัว 13.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 แต่เป็นการเพิ่มขึ้นที่มาจากฐานที่ต่ำในปี 2563 ที่หดตัว 37.3% ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่หายไปจากการล็อกดาวน์ติดต่อกัน 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563)

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 ยอดขายจะเริ่มทยอยฟื้น โดยได้รับอานิสงส์จากการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมกว่า 70% ของประชากรรวมในประเทศ หากเป็นไปตามแผนของภาครัฐ ผนวกกับได้แรงพยุงจากการส่งออกที่ฟื้นตัว และรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้นจากราคาและผลผลิตที่ดีขึ้น

ttb

รถนั่งกระทบหนักกว่ารถพาณิชย์

ปี 2564 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะได้รับผลกระทบหนักกว่ารถยนต์เชิงพาณิชย์ โดยคาดว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะหดตัว 11.1% ในขณะที่รถยนต์เชิงพาณิชย์จะหดตัว 4.1% เนื่องจากการแพร่ระบาดจะบั่นทอนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นให้ลดลง โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งความต้องการรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสูงกว่ารถยนต์เชิงพาณิชย์

จากสถิติกรมขนส่งทางบกพบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ป้ายแดง ขยายตัว 4.2% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่หดตัว 24.1% โดยพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลยังหดตัวต่อเนื่องที่ 1.9% ขณะที่พื้นที่เศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคธุรกิจการส่งออกและภาคเกษตร ได้แก่ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ เริ่มกลับมาขยายตัวได้ 12.2%  12.1% และ 11.8% ตามลำดับ

หากการแพร่ระบาดบรรเทาลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ พื้นที่เศรษฐกิจที่พึ่งพิงภาคธุรกิจการส่งออกและภาคเกษตรคาดว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวผู้บริโภคส่วนใหญ่มีความต้องการรถยนต์เชิงพาณิชย์มากกว่าทำให้ยอดขายจะกลับมาฟื้นได้ก่อนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

ttb

ปัจจัยเสี่ยงกระทบยอดขายรถยนต์
  1. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งหากไม่คลี่คลายภายในไตรมาส 3 จะส่งผลต่อให้ยอดขายลดลงได้อีก
  2. กำลังซื้อที่เปราะบางและความเชื่อมั่นด้านสถานะการเงินของผู้บริโภค
  3. ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน
  4. หนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 93% ต่อจีดีพี
  5. ปัญหาชิปขาดแคลน ส่งผลต่อการผลิตรถยนต์ ซึ่งคาดกว่าจะเริ่มผ่อนคลายลงในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ตามอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกที่ครอบคลุมประชากรมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปทั่วโลกกลับมาผลิตได้ปกติอีกครั้ง ประกอบกับความต้องการชิปสำหรับอุปกรณ์การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทั้งคอมพิวเตอร์ ระบบคลาวด์ลดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์มีชิปสำหรับผลิตรถยนต์ได้เพียงพอ
ปัจจัยบวกเบาๆ หนุนยอดขายรถยนต์ท่ามกลางโควิด
  1. การส่งออกฟื้นตัว
  2. รายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น
  3. การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายจากดีลเลอร์
  4. ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ
  5. อายุรถยนต์เฉลี่ยบนท้องถนนที่มากขึ้น (รถยนต์นั่งส่วนบุคคลอายุเฉลี่ย 9.7 ปี รถยนต์เชิงพาณิชย์อายุเฉลี่ย 12.3 ปี) ทำให้เกิดความต้องการเปลี่ยนรถใหม่
  6. เทคโนโลยีใหม่ของรถยนต์ที่จูงใจผู้ซื้อ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยประคองให้ยอดขายรถยนต์ฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 เป็นต้นไป

ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐและภาคเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ควรเตรียมพร้อมด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้แรงงาน และร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาดด้วยการรทำ Bubble and Seal อย่างเป็นระบบ เพื่อรักษาซัพพลายเชนการผลิตไม่ให้หยุดชะงัก ซึ่งหากสามารถจัดการได้ ผนวกกับปัจจัยบวกพื้นฐานของกำลังซื้อรถยนต์ในประเทศ คาดว่ามีโอกาสที่ยอดขายรถยนต์จะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติ 8.6 แสนคันได้ในปี 2565

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post คาดยอดขายรถยนต์ 64 ไม่ดีขึ้น จากปัญหาโควิด-กำลังซื้อหดตัว เก๋งกระทบมากกว่ากระบะ first appeared on Brand Inside.

LINE MAN เปิดตลาด ช่วยร้านของสด-ของแห้ง ไม่มีค่า GP ส่งฟรีทุกออเดอร์ถึง 30 ก.ย. 64

Brand Inside - 6 August 2021 - 10:27

line man

โครงการ LINE MAN เปิดแผงตลาดสด เริ่มต้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้มีช่องทางการขายออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน LINE MAN ร้านค้าสามารถลงทะเบียนเปิดร้านได้ทันที ไม่คิดค่า GP พร้อมสนับสนุนร้านเพิ่มยอดขาย ส่งฟรีทุกออเดอร์ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 64

ประเภทร้านของสด–ของแห้งที่สามารถร่วมขายบน LINE MAN ได้ในตอนนี้ มี เนื้อสด, อาหารทะเลสด, อาหารแช่แข็ง, อาหารแห้งและอาหารแปรรูป, อาหารและสินค้าเพื่อสุขภาพ, ผลิตภัณฑ์จากนม, ร้านขายผลไม้, ร้านขายผัก, เครื่องปรุงและวัตถุดิบอาหาร และเมล็ดกาแฟ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post LINE MAN เปิดตลาด ช่วยร้านของสด-ของแห้ง ไม่มีค่า GP ส่งฟรีทุกออเดอร์ถึง 30 ก.ย. 64 first appeared on Brand Inside.

ซีทัช ผู้นำนวัตกรรมฆ่าเชื้อ เปิดตัวเทคโนโลยีฆ่าเชื้อโควิดช่วยคนไทย

Brand Inside - 6 August 2021 - 09:00

ซีทัช (Z Touch) ผู้นำนวัตกรรมการฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย แบรนด์คนไทยจับมือกับบริษัทชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ พัฒนาสินค้าฆ่าเชื้อโควิด-19 ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดทั้งการสัมผัสและทางอากาศ เล็งเป้าในการสร้างเซฟโซนเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโควิท-19 ในคนไทยให้ได้มากที่สุด 

z touch

ซีทัชแบรนด์วิศวกรคนไทยที่มีประสบการณ์คิดค้นเทคโนโลยีฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียมากกว่า 10 ปี ได้จับมือกับบริษัทในเกาหลีใต้ พัฒนาผลิตภัณฑ์ซีทัช (Z-TOUCH) ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมฆ่าเชื้อโควิด-19 เพื่อลดการส่งต่อของเชื้อ และตั้งเป้าช่วยคนไทยพ้นภัยจากโควิด-19

สินค้าของแบรนด์ซีทัช Z-TOUCH ได้ผ่านการทดสอบและได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำของโลก รวมถึงได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) จากประเทศสหรัฐอเมริกา, CE-Mark ประเทศยุโรป, SIAA ประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีผลทดสอบการประสิทธิภาพฆ่าเชื้อ Human Coronavirus (SARS-CoV-2) ว่าสามารถฆ่าเชื้อได้มากกว่า 99.9% (ฆ่าเชื้อเร็วกว่าแผ่นทองเดง 240 เท่า) จากสถาบัน ALG Analytic Lab Group ประเทศสหรัฐอเมริกา,  สถาบัน ฟอนเดเรฟาร์ (FONDEREPHA) ประเทศฝรั่งเศส ในประเทศไทยได้มีผลการทดสอบเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยภาควิชาฟิสิกส์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อีกทั้งผลิตภัณฑ์ยังมีผลการทดสอบจากสถาบัน SGS, INTERTEK ว่าปลอดภัยต่อ คน สัตว์ สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

z touch

ในส่วนของรูปแบบผลิตภัณฑ์นั้นครอบคลุมการฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นแผ่นฆ่าเชื้อติดสวิตซ์ไฟ แผ่นฆ่าเชื้อติดตั้งตามด้ามที่จับประตูแบบต่างๆ เช่น ลูกบิด, ประตูแบบดึง, ประตูแบบผลัก, ประตูแบบกดอัตโนมัติ แผ่นฆ่าเชื้อแบบใสติดตั้งที่ลิฟท์และหน้าจอทัชสกรีน รวมไปถึงการฆ่าเชื้อในอากาศอย่างนวัตกรรมแผ่นฟิลเตอร์ที่ใช้งานง่ายเพียงแค่แปะที่ชั้นกรองของเครื่องปรับอากาศไม่ว่าจะเป็น แอร์บ้าน แอร์สำนักงานและแอร์รถยนต์ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโควิด-19 โดยฆ่าได้มากถึง 99.9% และยังลดความเสี่ยงการแพร่โควิด-19 ที่ทำให้คนไทยได้หายใจเอาอากาศที่ได้รับการฟอกฆ่าเชื้อโควิดได้อย่างเต็มปอดมั่นใจเวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงตัวผลิตภัณฑ์ยังพัฒนาล้ำหน้าไปถึง การฆ่าเชื้อที่หน้าจอแบบฟิล์มหรือฆ่าเชื้อที่หน้าจอมือถือที่จะทำให้คนไทยได้ใช้ฟิล์มหน้าจอทัชสกรีนบนมือถือได้แบบปลอดภัยจากเชื้อโควิดมากยิ่งขึ้น 

z touch

  • Z-Touch แผ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 ตามจุดสัมผัสร่วม
  • Z-Touch Air แผ่นฟิลเตอร์แอร์ฆ่าเชื้อโควิด-19 สำหรับแอร์ เครื่องฟอกอากาศ และแอร์รถยนต์
  • Z-Touch Acliv แผ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 แบบใสสำหรับติดลิฟต์เ เคลือบ ห่อหุ้ม และจอทัชสกรีน
  • Z-Touch Acliv Mobile ฟิล์มติดมือถือแบบ Double Protection ฆ่าเชื้อโควิด-19 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมือถือยาวนาน 1 ปีเต็ม พร้อมคุณสมบัติไม่มีรอยนิ้วมือ ลดแสงสะท้อน กันหน้าจอแตกจากการกระแทก และสัมผัสลื่นทัชง่ายเหมือนกระดาษ เจ้าแรกเจ้าเดียวของไทย

แผ่นฆ่าเชื้อซีทัช Z-TOUCH เป็นนวัตกรรมที่ได้ใช้เทคโนโลยี Micro-Porous Layer (ไมโครพอรัสเลเยอร์) ทำให้เชื้อไวรัสไม่คาบนพื้นผิวและเชื้อจะถูกดูดลงไปสู่ชั้นล่างทันที จากนั้นระบบ Smart Nano ION (สมาร์ทนาโนไอออน) จะทำการฆ่าเชื้อ Human Coronavirus ได้ถึง 99.9%  ภายในเวลา 5 นาที นอกจากเชื้อโควิด-19 แผ่นฆ่าเชื้อซีทัชยังมีผลการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ (H1N1) เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ทำให้พื้นผิวของแผ่นเชื้อโรค  Z-TOUCH สะอาดตลอดเวลา 

z touch

ที่ผ่านมา แผ่นฆ่าเชื้อซีทัช Z-TOUCH ได้รับความไว้วางใจให้ติดตั้งในสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, โรงพยาบาลพระมงกุฎ, โรงพยาบาลศิริราช, King Power รวมถึงองค์กรชั้นนำมากมาย ทั้งนี้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าใช้บริการ ลดความเสี่ยงจากจุดสัมผัสร่วมทั้งในที่สาธารณะ อาคารสำนักงาน โรงงาน ที่มีจุดสัมผัสร่วมค่อนข้างมาก 

z touch

ต้องยกให้เป็นนวัตกรรมโดยคนไทย เพื่อคนไทย ที่เปิดตัวมาได้ถูกจังหวะ อย่างน้อยก็ช่วยให้คนไทยคลายความกังวลใจเมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านโดยที่ยังมั่นใจได้ว่าจุดสัมผัสร่วมเหล่านั้นปลอดภัย เพราะเราคงเลี่ยงการสัมผัสร่วมตามจุดต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะไม่ได้ แต่ลดความเสี่ยงในการส่งต่อเชื้อโควิด-19 ได้ด้วยแผ่นฆ่าเชื้อซีทัช Z-TOUCH และผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกจุดสัมผัส

สำหรับหน่วยงาน องค์กร บริษัทที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายหรือสั่งซื้อ สามารถติดต่อได้ที่ โทร 065-717-5816 หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้าที่เว็บไซต์ www.ztouchbrand.com และ เฟสบุ๊ก Ztouchofficial

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ซีทัช ผู้นำนวัตกรรมฆ่าเชื้อ เปิดตัวเทคโนโลยีฆ่าเชื้อโควิดช่วยคนไทย first appeared on Brand Inside.

ปากกา Xiaomi Smart Pen ผ่านการรับรอง FCC คาดใช้งานร่วมกับแท็บเล็ต Mi Pad 5 Series

MXPhone - 6 August 2021 - 08:18

FCC ผุดข้อมูลการรับรองปากกา Xiaomi Smart Pen หมายเลขรุ่น M2107K81PC ซึ่งคาดว่าสามารถใช้งานร่วมกับแท็บเล็ต Mi Pad 5 Series ได้

The post ปากกา Xiaomi Smart Pen ผ่านการรับรอง FCC คาดใช้งานร่วมกับแท็บเล็ต Mi Pad 5 Series appeared first on mxphone.

GULF ทุ่ม 4.8 หมื่นล้าน ปิดดีลซื้อ INTOUCH นั่งแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ 42.25%

MXPhone - 5 August 2021 - 20:35

GULF ทำหนังสือรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ INTOUCH ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้เข้าถือหุ้น 42.25% นั่งแท่นกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เรียบร้อยแล้ว

The post GULF ทุ่ม 4.8 หมื่นล้าน ปิดดีลซื้อ INTOUCH นั่งแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ 42.25% appeared first on mxphone.

GULF แจ้งตลาดหลักทรัพย์ซื้อหุ้น INTOUCH 42.25% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

Brand Inside - 5 August 2021 - 20:12

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)​ หรือ GULF ได้ทำหนังสือรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)​ หรือ INTOUCH ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้เข้าถือหุ้น 42.25% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เรียบร้อยแล้ว

gulf intouch

ก่อนหน้านี้ GULF ได้ถือหุ้นอยู่ก 18.93% และได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขอีก 81.07% กำหนดเวลา 29 มิ.ย. ถึง 4 ส.ค. 64 และมีผู้แสดงเจตนาขายทั้งสิ้น 23.32% ทำให้สรุปแล้ว Gulf เข้าถือหุ้น 42.25%

Source

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post GULF แจ้งตลาดหลักทรัพย์ซื้อหุ้น INTOUCH 42.25% กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ first appeared on Brand Inside.

รู้จักโปรเจค Bakong ระบบธุรกรรมดิจิทัลของกัมพูชา ที่เกิดมาเพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์

Brand Inside - 5 August 2021 - 19:30

ระบบ Bakong ของกัมพูชาเป็น 1 ใน 2 แพลตฟอร์มดิจิทัลเคอเรนซี่ที่สนับสนุนโดยธนาคารแห่งชาติในโลก เน้นโปรโมทสกุลท้องถิ่นเรียล ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ

เกี่ยวกับโปรเจค Bakong

กัมพูชาเป็นหนึ่งในสองประเทศที่มีโปรเจค Central Bank Digital Currency (CBDC) ที่ใช้งานเต็มที่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งอีกหนึ่งโปรเจคคือ “Sand Dollar” ของบาฮามาส โดย Bakong เปิดตัวเร็วกว่าดิจิทัลหยวนของจีน และ ดิจิทัลยูโร ของสหภาพยุโรป

โปรเจคบากองเปิดตัวไปในปี 2020 พัฒนาโดยธนาคารแห่งชาติของกัมพูชา (NBC) และบริษัทบล็อกเชน Soramitsu จากญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น “เรียลกัมพูชา” และลดการพึ่งพาการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

Chea Serey ผู้อำนวยการของ NBC อธิบายว่า “บากองเริ่มจากความต้องการที่จะรวบรวมระบบจ่ายเงินต่างๆ ในกัมพูชามาไว้ในที่เดียว”

ผู้ใช้งานปัจจุบันของแอป Bakong อยู่ที่ 2 แสนคน ซึ่งเติบโตกว่า 3 เท่าภายใน 3 เดือน ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมกับคนกว่า 5.9 ล้านคนในประเทศได้ เมื่อรวมสมาชิกของธนาคารพันธมิตรในประเทศเข้ามาด้วย

ในช่วงต้นปี 2021 มีธุรกรรมเกิดขึ้นผ่านระบบ Bakong ประมาณ 1.4 ล้านรายการ มูลค่าร่วม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.66 หมื่นล้านบาท)

Chea ชี้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใช้งานระบบจ่ายเงินออนไลน์กันมากขึ้น และระบบ Bakong ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดย Bakong ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาใช้จ่ายหรือโอนเงินได้ผ่านตัวแอป โดยไม่ต้องใช้เงินสด และรองรับการใช้เงินสกุลเรียลและดอลลาร์สหรัฐ ขอเพียงแค่มีเบอร์โทรศัพท์และบัญชีธนาคารเท่านั้น

ตามนิยามแล้ว Bakong ถือว่าเป็นระบบธุรกรรมการเงินระหว่างธนาคารและลูกค้า ซึ่งธุรกรรมทั้งหมดเป็นการโอนเงินดิจิทัล ดิจิทัลเรียล และ ดอลลาร์สหรัฐ ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเป็นผู้รับรองเงินในระบบทั้งหมด จึงถือเป็น CBDC รูปแบบหนึ่ง

โปรโมทการใช้งานสกุลเงินเรียลมากขึ้น

ทาง NBC ต้องการโปรโมทการใช้งานสกุลเงินเรียลให้มากขึ้น และมีเป้าหมายระยะยาวว่าจะใช้แค่สกุลเงินเรียลอย่างเดียวในอนาคต ซึ่ง Bakong ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จเร็วขึ้น

กัมพูชาใช้ระบบสองสกุลเงิน โดยเริ่มนำสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาใช้ในประเทศช่วงปี 1980-1990 หลังจากยุคสงครามกลางเมืองจบลง ทำให้มีดอลลาร์สหรัฐอยู่ในการหมุนเวียนมากกว่า 80% ในปี 2014 ซึ่งทาง NBC ก็พยายามลดสัดส่วนนี้ลงมาโดยตลอด ตั้งแต่การเรียกคืนธนบัตรที่มีค่าน้อยกว่า 5 ดอลลาร์ จนถึงโปรเจค Bakong ในปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าสกุลเรียลจะถูกใช้มากขึ้นในช่องทางดิจิทัล แต่การลดการใช้งานดอลลาร์สหรัฐต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น นโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่มั่นคง อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอีกด้วย

การโอนเงินข้ามพรมแดน

NBC กำลังพัฒนาระบบโอนเงินข้ามประเทศผ่าน Bakong อยู่ โดยทำงานร่วมกับธนาคาร Maybank จาก Malaysia และธนาคารแห่งประเทศไทยเช่นเดียวกัน

Chea อธิบายว่า ผู้หญิงกัมพูชาจำนวนมากเดินทางไปทำงานที่มาเลเซียและจำเป็นที่จะมี “วิธีการส่งเงินไปให้ครอบครัวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” ซึ่ง Bakong จะช่วยให้ผู้หญิงรู้สึกมีอำนาจในการจัดการการเงินของตัวเองได้มากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

กระแสต่อต้านคริปโต

ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนา CBDC กัน ความปั่นป่วนของคริปโตเคอเรนซี่อย่าง Bitcoin ก็ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเข้ามากำกับวงการนี้มากขึ้น

ทาง Chea ก็ย้ำเสมอว่า Bakong ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัล แต่เป็นเพียงระบบที่ทำให้ธุรกรรมการเงินผ่านดิจิทัลเคอเรนซี่เป็นไปได้เท่านั้น

ที่มา – Asia Nikkei

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post รู้จักโปรเจค Bakong ระบบธุรกรรมดิจิทัลของกัมพูชา ที่เกิดมาเพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ first appeared on Brand Inside.

ลือ!! vivo เตรียมออกบัตรเครดิตของตัวเองในชื่อ “VivoCard”

MXPhone - 5 August 2021 - 18:40

DroidMaze รายงาน vivo เตรียมเข้าสู่ตลาดธุรกิจการเงินโดยทำบัตรเครดิตของตนเองในชื่อ vivoCard ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Apple Card

The post ลือ!! vivo เตรียมออกบัตรเครดิตของตัวเองในชื่อ “VivoCard” appeared first on mxphone.

Pages