Gill Pratt ที่ปรึกษาฝ่ายบริหารด้านเทคนิคของโตโยต้า ขึ้นกล่าวในงานแถลงข่าวจัดตั้งศูนย์วิจัย Toyota Research Institute Inc. ในย่านซิลิคอนวัลเลย์ พูดถึงประเด็นเรื่องรถไร้คนขับในปัจจุบันว่าไม่ได้ฉลาดอย่างที่เราคิดกัน
Pratt อธิบายว่า เนื่องจากระบบของรถไร้คนขับ ต้องคอยพึ่งพา GPS, แผนที่ความละเอียดสูงและเซ็นเซอร์รอบคัน ซึ่งตัวรถสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ในสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่อยู่ในเงื่อนไข หรือถูกกำหนดขึ้น แต่จะไม่สามารถทำงานได้ หากไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือสภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนด เช่นออกนอกพื้นที่ที่ไม่ได้ทำแผนที่ความละเอียดสูงไว้
ดังนั้นรถไร้คนขับที่ฉลาดอย่างแท้จริง (truly intelligent) คือรถที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถคิดและรับรู้ได้ทันทีว่าตัวรถอยู่ที่ไหน โดยไม่ต้องพึ่งแผนที่หรือ GPS และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ด้วยตัวเอง
Pratt เน้นย้ำด้วยว่าสิ่งที่เขาพูด ไม่ได้เป็นการให้ร้ายเทคโนโลยีที่เจ้าอื่นกำลังพัฒนา แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไร้คนขับเพิ่งอยู่ในขั้นหัดเดินเท่านั้น และต้องใช้เวลาในการคิดค้นและพัฒนาอีกนับทศวรรษจนกว่าที่ตัวรถจะมีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้
ที่มา - Computer World
Comments
แต่การที่ AI จะคิดได้ว่าอยู่ตรงไหน และเลือกเปลี่ยนเส้นทางได้
มันก็เชื่อมเข้ากับ GPS และ Map อยู่ดี
เท่าที่ผมอ่าน เค้าพยายามจะบอกว่า GPS กับเซ็นเซอร์รอบคัน มีต้นทุนสูงไปครับ ถ้าทำ ai ดีๆ น่าจะลดค่าไช้จ่ายตรงนี้ใด้
และถึงโตโยต้าจะยังไม่ร่วมด้วย แต่จะสามารถตามทันใด้ ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
คนมีแผนที่ในสมองครับ ส่วน gps นั้นไม่มีอาศัยการจดจำสถานที่สิ่งแวดล้อมครับนั้นคือสิ่งที่ระบบในปัจจุบันยังทำได้ไม่ดีพอ
ใช่ครับ สมองคนใช้วิธีคล้ายๆ กับว่า
นำภาพถ่ายมุมมองรอบตัวไปหาพิกัดเทียบด้วยรูปจาก Street View ที่ load มาเก็บ offline อยู่กับตัวแล้ว
และเพิ่มความแม่นยำด้วยการคาดคะเนการเคลื่อนที่ปัจจุบันของตัวรถด้วย
ซึ่งถ้า AI จะทำแบบนี้บ้างต้องกินทรัพยากรมากพอสมควร
อยากให้เป็นรถที่เรียนรู้จากคนขับมากกว่าให้มันขับเองตั้งแต่แรก มันก็เหมือนคนนั้นแหละ แรกๆ ก็ไม่รู้ทาง ก็ไม่ชินทาง หรือรู้จักสถานที่ที่จะไปหรอก ก็ต้องให้คนขับไปก่อนแล้วให้ AI มันเรียนรู้และจดจำ แล้วค่อยถามว่าขับไปให้หน่อยได้มั้ย
สำหรับแบบที่ไร้คนขับ 100% นั้นมันต้องเป็นแบบที่รถทุกคันในโลกเป็นรถไร้คนขับ100%เหมือนในหนัง นั้นแหละถึงจะสมบูรณ์แบบได้ เพราะถ้ายังมีระบบแมนนวลอยู่ ยังไงมันก็เกิดเหตุการที่เหนือกว่าระบบจะเข้าใจได้อยู่ดี
The Dream hacker..
พึ่งตั้งศูนย์วิจัยยังไม่ถึงปีก็ออกมาบลั๊ฟฟ์ละ รอดูว่าแนวคิดใครถูก
ผมว่า ถ้าทั้งโลกตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นรถไร้คนขับจริงๆ
เราน่าจะตกลง ร่วมมือกันสร้างถนนอัจฉริยะขึ้นมา ด้วยมารตรฐานเดียวกันทั่วโลก
ถนนที่สามารถสื่อสารข้อมูลระหว่างกันได้และสื่อสารข้อมูลกับรถได้
ตัวถนนสามารถอ่านข้อมูลจากรถและรู้ความเร็ว+ปริมาณรถบนถนน เพื่อสื่อสารไปยังถนนอื่นๆที่เชื่อมต่อมาว่าตรงนี้รถคับคั่ง รถติดนะ มีอุบัติเหตุนะ
ตัวรถก็อ่านข้อมูลจากถนนได้ทุกอย่างเลย ทั้งสามารถรู้ได้ว่าเราอยู่ที่ไหนโดยอ่านข้อมูลจากถนน และรู้ได้ว่าเส้นทางข้างหน้าที่เราจะไปเป็นอย่างไร รถเยอะมั้ย ติดไหม
อาจจะลงทุนสูงมาก แต่ทำแค่ครั้งเดียวรองรับปริมาณรถยนต์ได้หลายล้านคันและหลายปี
แทนที่จะเอาเงินไปพัฒนาอุปกรณ์ GPS และ Sensor ติดกับรถทุกๆคันเป็นล้านๆคัน
อันนี้ผมว่ายาก เพราะผู้ลงทุนคือรัฐ ผู้ได้ประโยชน์คือเอกชน คงต้อง Defend เรื่องผลได้ผลเสียกันอีกเยอะว่าทำแบบนี้รัฐได้อะไร ที่ไม่ใช่การเก็บค่าใช้ทางซึ่งผมว่าไม่เพียงพอต่อการซ่อมบำรุงแน่ๆ
ส่วนประเด็น AI ของ Toyota ผมว่าเป็นไปได้นะ โดยส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะ Work กว่าฝั่งบริษัท IT ทำด้วย ถ้าทำได้จริง เพราะฝั่ง IT ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเยอะ ทำให้สภาพแวดล้อมมีผลต่อการสั่งการ แต่ถ้าเป็น AI แบบ Stand Alone ฝั่งอยู่ใน ECU ในรถมันก็จะทำให้อัตราการรบกวนจากปัจจัยภายนอกลดลง
ที่จริงงบต่อเส้นทางก็ไม่เยอะนะ ปัญหาคือมันต้องทำทังหมด
... เคยเห็นรถเด็กเล่นที่วิ่งตามเส้นหรือปล่าวครับ ลากเส้นตรงกลางถนน (อาจเปลี่ยนสี ไม่เอาขาวกับเหลือง) กลางหรือปลายทางก็อาจมี barcode / qr code บนเส้นบอกว่ารถอยู่ตรงใหน (หรือ qr ตัวใหนอ่านไม่ใด้แล้ว) แล้วให้รถวิ่งโดยเกาะเส้นไป เซ็นเชอร์หดเหลือ 2-3 ชิ้น กล้องที่ท้องรถกับ range finder หรือ radar ที่หน้ารถวัดระยะระหว่างรถเรากับรถคันข้างหน้า
ปัญหาคือรถที่คนขับซึ่งเป็นส่วนใหญ่บนถนน ไม่พร้อมที่จะ upgrade ตาม
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
การที่คนเราจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ต้องอาศัยแผนที่ซึ่งอยู่ในหัวอยู่แล้ว
การที่ไม่อาศัย GPS ก็ทำได้โดยการจำสภาพแวดล้อมหรืออ่านป้ายต่างๆ และประมาณการตำแหน่งได้จากระยะและทิศทางการเดินทางจากจุดเริ่มต้น
ถ้าไม่มีแผนที่ในหัว ไม่มีเซนเซอร์ระยะห่างจากสภาพแวดล้อม ไม่สามารถอ่านป้ายคนก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่การเดินทางจะไม่ใช้แผนที่ ไม่ใช้เซนเซอร์
คนมีอีกอย่างที่คอมไม่มีครับ นั่นคือปาก ไม่มีป้ายก็ถามคนแถวนั้นได้
การถามคนอื่นก็ไม่ต่างจากการเปิดแผนที่หรอกครับแบบนั้น
แผนที่มันไม่มีข้อมูลทุกที่ไงครับ บางที่ก็อัพเดตช้าแม้จะเป็นแผนที่ออนไลน์ก็ตาม โดยเฉพาะนอกเมือง
พูดให้ชัดก็คงเรียกว่า connect ไปที่ local data source ของแต่ละ region
ซึ่งความยากคือแต่ละ region ก็มี protocal กับ data structure และ value unit ไม่เหมือนกัน
ผมว่าที่โตโยต้ากำลังมองคือคือรถฉลาดพอจะอ่านป้ายแล้วขับตามได้ ทำให้ไปได้ในพื้นที่ที่หลากหลายกว่าแบบที่พึ่ง GPS/แผนที่ความละเอียดสูงอย่างเดียว
onedd.net
+1
The Last Wizard Of Century.
ต้องเอามาฝึกกับป้ายในประเทศไทย
ตัวอย่างเช่นป้ายไปสนามบินสุวรรณภูมิสินะครับ -..-
ว่าไปมันก็น่าสนใจว่า ถ้าเราขับตามป้ายไป "ไปสนามบิน" แล้วเราจะไปจบที่สนามบินทุกครั้งหรือเปล่า
ตราบใดที่บนท้องถนนยังมีรถที่มีมนุษย์เป็นคนขับอยู่ รถไร้คนขับก็ไม่มีทางได้เกิดหรอก
เพราะมนุษย์เนี่ยแหละ ตัวก่อErrorสำคัญ บนท้องถนน
New AI in car.
"รักใหม่ในคันเก๋ง"
AI think so.
เทคโลโลยีตอนนี้เจอฝนกับหมอกเข้าไประบบก็ง่อยรับประทานแล้วครับ ถ้าไม่มีระบบนำร่องบนถนนก็จบเห่เลย ขับคร่อมเลนกันสนุกเลยแหละ
แถมเลนเปลี่ยนได้ตามใจคุณตำรวจด้วย อยู่ดี ๆ พี่ท่านนึกจะโบกก็โบก
บางวันคนโบกไม่อยู่แล้ว คนก็ยังขับตาม ..
ปล. สะพานที่กลับรถแถวบ้านผมจะมีป้ายเขียนว่า "กลับรถได้สองเลน" ทั้ง ๆ ที่ที่กลับรถมันมีแค่เลนเดียว ... มันก็มีคนที่ทำตามป้าย และคนที่ทำตามเส้น ผลคือเบียดกันเละเลยครับ จะทำอะไรไปคุยกับกทม.ก่อนไหม ?
ผมเกลียดมากเลยพวกสัญลักษณ์สองจุดสื่อกันคนละแบบเนี่ย
ใช่ที่กลับรถหน้า ร.พ.บางมดรึเปล่าครับ
เส้นพระราม2 ใช่ไหมครับ
ผมชอบงานวิจัยนี่นะ เปลี่ยนโลกได้เหมือนกันนะครับ
อยากให้ทำให้สำเร็จไวๆ
ภาพการให้บริการการเดินทางสาธารณะจะเปลี่ยนไปเลยครับผม