นิตยสาร Fortune เล่มที่ 500 ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีบริหารบริษัทของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของสตีฟ จ็อบส์ที่มีต่อบริษัทในด้านต่าง ๆ โดย Fortune อ้างว่าเป็นข้อมูลที่พนักงานแอปเปิลแต่ละคนเป็นคนเปิดเผยออกมา
จ็อบส์มักจะบอกกับรองประธานฝ่ายต่าง ๆ ของแอปเปิลที่เข้ามาทำงานใหม่เสมอเกี่ยวกับ "ความแตกต่างระหว่างภารโรงกับรองประธาน" โดยได้บอกกับรองประธานเหล่านี้ว่า สำหรับภารโรง เหตุผลมีความหมาย แต่สำหรับรองประธาน เหตุผลหรือข้อแก้ตัวจะไม่มีความหมายอีกไป หากภารโรงลืมเก็บขยะในห้องไปทิ้งก็อาจจะหาเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ มาอธิบายว่าเขาไม่สามารถเข้าห้องได้เพราะล็อคประตูเปลี่ยนไป ฯลฯ แต่สำหรับรองประธานของแอปเปิลแล้ว เหตุผลไม่มีความหมายอีกต่อไป
แม้กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ในแอปเปิล สตีฟ จ็อบส์เองตอนสุดท้ายก็จะเป็นคนตัดสินใจในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะสำคัญหรือไม่ (แม้กระทั่งเรื่องอาหารในโรงอาหาร) หากพนักงานมีไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ใด ๆ ขึ้นมา ก็จะต้องนำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้กับหัวหน้า จากนั้นหัวหน้าของแผนกก็จะนำเสนอเรื่องนี้ให้กับจ็อบส์
เมื่อตอนที่แอปเปิลเปิดตัว iPhone 3G พร้อมกับบริการ MobileMe แอปเปิลได้พบกับปัญหาที่ระบบไม่สามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพได้ บริการผ่านหน้าเว็บของ MobileMe ล่มหรือบางครั้งก็โหลดไม่ขึ้น โดยสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือผู้ใช้ที่จ่ายค่าบริการรายปีให้กับแอปเปิลเพื่อบริการนี้ต่างสงสัยว่าบริการดังกล่าวพร้อมที่จะเปิดตัวจริงหรือไม่ สตีฟ จ็อบส์จึงได้ตัดสินใจเรียกพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ MobileMe มาใน Town Hall ของตึกแอปเปิล แล้วบอกว่าทุกคนมีส่วนทำลายชื่อเสียงของแอปเปิล และทุกคนก็ควรจะเกลียดซึ่งกันและกันที่ทำให้ผู้ร่วมงานผิดหวัง จากนั้นจ็อบส์ก็ได้ให้ชื่อผู้บริหาร MobileMe คนใหม่เข้ามาทำงานแทนที่ในทันที
"มีใครสามารถบอกได้บ้างว่า MobileMe มันควรเป็นอย่างไร?" .. เมื่อสตีฟได้รับคำตอบที่ตัวเองพอใจ สตีฟก็ได้ตอบว่า "แล้วมันเป็นห่_อะไรทำไมมันถึงไม่เป็นอย่างนั้น?"
สำหรับคนที่สงสัย นี่คือแผนผังที่แสดงระบบบริหารภายในบริษัทของแอปเปิล ที่น่าสนใจคือ แอปเปิลมีรองประธานฝ่ายต่าง ๆ มากมายที่เรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน
เมื่อถึงเวลารายงานความคืบหน้าของงานแต่ละงาน แอปเปิลจะมีบุคคลที่มีตำแหน่ง DRI (Directly Responsible Individual) หรือผู้ที่จะต้อง "รับผิดชอบงานนี้โดยตรง" ออกมารายงานความคืบหน้าและแสดงความรับผิดชอบต่องานต่าง ๆ เสมอ เพราะฉะนั้นหากมีอะไรผิดพลาด แอปเปิลจะสามารถเลือกจัดการกับพนักงานได้ถูกคน
อารมณ์รุนแรงของสตีฟ จ็อบส์เองก็เคยลามไปถึง Walt Mossberg แห่ง Wall Street Journal อีกด้วย หลังจากที่ Mossberg เขียนวิจารณ์ MobileMe ในแง่ลบ สตีฟได้บอกว่า "เพื่อนของเรา Mossberg จะไม่เขียนเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับเราอีกต่อไป"
รายงานฉบับนี้ยังบอกอีกว่า เมื่อโปรเจคใกล้เสร็จ แอปเปิลจะยอมจ่ายและยอมทำทุกอย่างเพื่อให้โปรเจคนั้นไร้ที่ติ ยกตัวอย่างเช่น แอปเปิลได้จ้างวงออเคสตร้าชื่อดัง London Symphony Orchestra ให้บันทึกเสียงให้กับ iMovie, การส่งทีมถ่ายภาพไปถ่ายฉากงานแต่งงานที่ฮาวาย หรือแม้กระทั่งการสร้างฉากงานแต่งงานปลอม ๆ ขึ้นมาในซานฟรานซิสโก โดยให้พนักงานแอปเปิลเล่นบทเป็นแขกผู้ร่วมงาน
จ็อบส์เองยังได้จ้างกลุ่มศาสตราจายร์และพนักงานฝ่ายบริหารของ Yale School of Management มาทำงานในส่วนของ Apple University ซึ่งเป็นกลุ่มศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดัง ๆ ต่าง ๆ รวมไปถึง Harvard ที่ได้รับภารกิจในการเขียน Case Study ต่าง ๆ เพื่อที่จะเตรียมบริษัทหากบริษัทต้องทำงานต่อไปโดยไม่มีสตีฟ จ็อบส์ โดย Case Study เหล่านี้จะนำเสนอการตัดสินใจต่าง ๆ ของบริษัท (สตีฟ จ็อบส์) และวัฒนธรรมของแอปเปิล โดยพนักงานที่จะเข้าถึง Case Study เหล่านี้ได้มีเพียงแค่พนักงานระดับสูงที่จะได้รับการโค้ชโดยรองประธานของแอปเปิลอย่าง Tim Cook หรือ Ron Johnson เท่านั้น
ที่มา - 9to5Mac
Comments
บริหารแบบรวมศูนย์ อำนาจตัดสินใจอยู่คนๆเดียว
อำนาจตัดสินใจอยู่ที่หลายคนก็แย่เลยดิครับ
ลองนึกภาพสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ เทพไท เสนาพงษ์ สามารถตัดสินใจแทนอภิสิทธิ์ได้สิครับ
orz
อืม เห็นภาพ ๆ
@TonsTweetings
เหมือนผมเห็นภาพทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะนึกเลยนะครับ :P
ปจจุบันผมว่าเค้าก็ไม่ได้ตัดสินใจเองคนเดียวอยู่แล้วนะครับ
ผมว่ารวมศูนย์แค่การแอพพรูฟขั้นสุดท้าย การตัดสินใจจริงๆก็มาจากคนหลายคนตามหน้าที่ของเขา
แต่ถ้าไม่มีคนอยู่ตรงกลางคอยดูแล ทุกคนอาจมีแนวโน้มที่จะมีการตัดสินใจที่สร้างความสะดวกสบายให้ตัวเองมากกว่าเพื่อความสำเร็จ
แม้จะบริหารรวมแบบ Centralized แต่ย่อหน้าสุดท้ายก็ยังพออุ่นใจกับนักลงทุนบ้างแหล่ะครับ
บริหารโดยมีอาเฮีย(จ๊อป)เป็นศูนย์กลาง
จ๊อบ ก็สไตล์นี้มาตลอดน่ะ
สมบูรณายาสิทธิืจ็อบส์
จ๊อบ ไม่อยู่ จะวุ่นวายเปล่าเนี่ย
คิดว่าไม่วุ่นแต่ไม่เหมือนเดิมครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
จ๊อบไม่อยู่วุ่นแน่ ๆ ระบอบนี้ถ้าผู้นำมีความเก่งกาจก็จะทำให้องค์กรไปโลดเลย ทิศทางชัดเจน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตรงกันข้ามก็ผลลัพธ์เป็นอย่างตรงกันข้ามนั่นแหละ
ดังนั้นขออนุญาตทำนายว่าถ้าจ๊อบไม่อยู่แล้วยุคของแอ๊ปเปิ้ลก็จะจบลงทันทีนั่นแหละ เหมือนกับยุคของ Microsoft ที่ไร้ซึ่งบิลเกต
ผมว่าลุงบัลเมอร์ก็ทำได้ดีนะ หลังๆผลิตภัณฑ์ทำออกมาได้ดีๆทั้งนั้นเลย
microsft หลังๆ ดีครับแต่ไม่เด่นพอครับ วิชั่นยิ่งไม่ได้เลยมีแต่รอทำตามตลาดทีหลัง ทั้ง browser ,mobile ,social network ??, search engine ?? บลาๆ
+1 ครับ
ไม่รู้ ว่า Tim cook เก่งได้สักครึ่งของ จ๊อบ ป่าว เพราะตอนนี้ชอบ ลุงทิม มากกว่าลุงจ๊อบแล้ว
ดูสุขุม ใจเย็นดี
สุขุมใจเย็นจริงอะครับ? ปากร้ายมากคนๆนี้ แต่ก็เก่งฉกาจอ่านธุรกิจขาดในอีกมุมหนึ่งสำหรับ Apple เลย
ผมดูโหงวเฮ้งเค้า หน้าตาเค้าบ่งบอกแบบนั้นอ่ะ ฮ่า ดูหน้าเชื่อถือไม่ล๊อกแล๊ก
กับอีกคนนึง ที่เป็นคนก่อตั้ง apple รุ่นเดียวกับ จ๊อบ จำชื่อไม่ได้ ที่ตัวอ้วนๆ หน่อย
ผมไม่ค่อยชอบเค้าเลย
คงจะเป็น steve woz สินะครับ ผมชอบเค้านะเก่งดี ตลกด้วย
จากโหงวเฮ้งนี่จ๊อบเป็นคนใจเย็น...? สุขุม...?
อ๊ะ อ่านผิด ขออภัยครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่าถ้าไม่มี Steve Wozniak คงไม่มี Apple Inc ครับเพราะต่อให้ job ออกแบบดีแค่ไหน ดูดี น่าใช้ยังไง แต่ถ้าไม่มีคนอย่าง Wozniak แปลงจากแม่แบบในกระดาษให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ก็คงไม่มีเครื่อง Apple ไปเสนอให้ IBM ไม่มีเครื่อง Apple ไปเสนอในงาน Homebrew Computer Club จนมียอดสั่งซื้อเข้ามามากมายจะมีเงินทุนก่อตั้งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้หรอกครับ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงมีแค่สองคนนี้นะครับมันก็ต้องให้เครดิตกับคนอื่นในทีมตอนก่อตั้งบริษัทด้วยครับ
ผมไม่ได้ว่าเค้าไม่เก่ง ครับ เค้าน่ะเก่งอยู่แล้ว คนระดับนี้ ความสามารถอะไรก็แล้วแต่
แต่ที่ไม่ชอบ คือความรุ้สึกส่วนตัวต่อใครคนนึงเท่านั้นครับ
และอย่างที่บอกที่ชอบ tim cook ก็ความรู้สึกส่วนตัวต่อใครคนนึงเช่นกันล่ะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ทราบความสามารถหรือรู้จักอะไรพวกเค้าเลยด้วยซ้ำ
+1 ครับ
ณ ตอนนั้น
Steve Wozniak เป็น Engineer
Steve Jobs เป็นแค่ Designer (เอกด้าน Typography) + Business Planner
ถ้าไม่มี Woz ก็ไม่มี Jobs ถึงปัจจุบันนี้ครับ อารมณเหมือน Winklevoss ที่มีแต่ไอเดีย แต่ไม่เคยได้ทำ fb สักที
กลับกัน ถ้ามี Woz แต่ไม่มี Jobs ของดีจริง แต่ไม่สวย ไม่มี plan ก็ขายไมได้อยู่ดี ก็ไม่มี Apple เช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ คนเรา "รู้หน้า ไม่รู้ใจครับ"
รูปแบบของหลายๆ องค์กรที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีลักษณะโครงสร้างองค์กรแบบนี้ครับ รวมศูนย์ ผู้บริหารสูงสุดตัดสินใจเกือบทุกเรื่อง ข้อดีคือ พอมีเป้าหมายชัดจะไปได้เร็วมาก เพราะหัวหน้าสั่งอะไรต้องทำให้ได้ แต่ข้อเสียคือ หากองค์กรใหญ่ มากเกินไป จะทำให้ต้องรอการตัดสินใจจากระบบบน ซึ่งอาจส่งผลให้องค์กรขยับตัวได้ช้า
Pawoot.com
จริงครับ ถ้าผู้บริหารเก่งและทำงานเร็วไปโลดแน่
ถ้าดูเผินๆจะเป็นแบบอย่างที่ว่านี่แหละครับ
แต่ถ้ามองให้ลึกจะรู้ว่า ทุกองค์กรตอนเด็กๆเป็นรวมศูนย์ทั้งนั้น (อาจจะเป็น 5% ที่ประสบความสำเร็จเป็นรวมศูนย์ แต่ 95% ที่ fail ก็รวมศูนย์เหมือนกันครับ)
เพราะ Apple มี Product ที่ไม่เยอะไงครับ เลยใช้การบริหารแบบนี้ได้
ลองเป็น MS หรือ Nokia สิ จบเห่แน่นอน
เมื่อก่อนก็เยอะครับ แต่พอ Jobs กลับเข้ามาก็ตัดสายผลิตภัณฑ์ที่ไม่สำคัญทิ้งทั้งหมด ผมยังจำ product matrix ตอนที่ Jobs กลับเข้ามาบริหารใหม่ๆ ซึ่งมันเป็นแนวคิดที่ผมชอบมาก
Desktop iMac | PowerMac
Portable iBook | PowerBook
ผมคิดว่าปัจจุบันก็ยังใช้แนวคิดนี้อยู่ ทั้งในกลุ่มของสายผลิตภัณฑ์ MacOS และ iOS แต่มีการแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น 3 ระดับแทน
ผมว่าคนวาดผังองค์กรก็พยายามชี้นำเกินไปนะ หมุนเรียงรูปดีๆมันก็เป็น Tree Organization แบบ Top-Down เหมือนองค์กรอื่นนั่นแหละ
+1
โอ้จรรยาบรรณสื่อ!
ไว้กลับไปวาดผังองค์กรใหม่แบบนี้มั่งดีกว่า มันก็สวยดีนะผมว่า
อีตา อีฟ ทำงานคนเดียว! ไม่มีผู้ช่วย (แต่อาจมีลูกน้อง) รับผิดชอบโดยตรงเลย
(lead designer ของ apple)
เชื่อแล้วว่าของๆเขาทำอย่างมีคุณภาพจริงๆ = ="
วาด Tree สวยดี
จ๊อปไป Apple ล่มแน่ เห็นผังนี้แล้วต้องรีบกระจายงาน
โดนด่าแรงๆ นี่เค้ามีำกำลังใจทำงานกันต่อได้ไงเนาะ
ชาบู ชาบู :)
No จ๊อบส์ = เจ๊ง
คราวก่อนศาสดาไม่อยู่ บ.ก็ลุ่มๆดอนๆ จะโตก็ไม่โตทรงๆพออยู่ได้
ต้องยอมรับว่าจ๊อบส์แกนักคิด+ทำไวจริงๆ คิดและทำก่อนคนอื่นหลาย step เลยทีเดียว
ออฟฟิตของแอปเปิ้ลคงไม่มีวอลเล่ย์บอลชายหาดให้เล่นสินะ
จะว่าไปอยากเข้าถึง case ที่ว่าจังแฮะ เผื่อจะได้เอามาพัฒนาแนวคิดที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้บ้าง O-o
กระจายอำนาจเข้าสู่ศุนย์กลาง :] เหตุผลจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะยังไง ตาจ๊อบถูกเสมอ 55
ไม่น่าจะเรียกว่าสูตรสำเร็จเพราะการจัดองค์การแบบนี้น่าจะมีแค่ Apple ที่ประสบความสำเร็จ
บริหารตรงข้ามกับ Toyota เลยนะ แต่ก็ไปได้ทั้งคู่
มันต่างกะ บ.อื่นๆ ยังไงหว่า-*- เหมือนจะโดนรูปหลอกกัน
May the Force Close be with you. || @nuttyi
การบริหารแบบรวมศูนย์ ถ้าผู้บริหารเก่งก็ไปโลด แต่มักจะเจอปัญหาตอนรุ่นถัดไป ซึ่งก็อาจล้มเหลวจนถึงขั้นปิดตัว (ปัญหาเดียวกับบ.ที่บริหารแบบเถ้าแก่ในครัวเรือน)
บ.อื่นๆ CEO แม้จะใหญ่สุดก็จริง แต่จะไม่เข้าไปล้วงลูกทุกๆเรื่อง จะแบ่งงานให้ VP แต่ละด้านคอยดูแลเป็นหลัก แล้วตัวเองดูงานระดับนโยบาย ยกเว้นว่าเจอปัญหาหนักๆ ถึงอาจต้องลงไปสั่งการเป็นด้านๆไป
การบริหารแบบ steve jobs ถ้าสมมติเทียบกับของไทย คือ พี่มาร์ค ลงไปเลือกยี่ห้อนมโรงเรียนเพื่อที่จะใช้ในโครงการแจกเด็กนักเรียน แทนที่่จะวางกรอบกติกาการจัดซื้อ แล้วปล่อยให้ผู้บริหารระดับท้ิองถิ่นเลือกเองตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้นั่นแหละ
สมมุติไม่เหมือนครับ ต้องเป็นตั้งคณะกรรมการเลือกยี่ห้อ นม ครับ คณะกรรมการนี้จะมาจากหลายส่วน สุดท้ายประชาวิจารณ์ครับ = ด่า
นึกถึง "ขงเบ้ง" ซิครับ
แต่ถ้าบริหารไม่ดี ขาดทุนเหลวแหลก พอครบไตรมาส หรือครบปี เจอประชุมผู้ถือหุ้น บรรดาผู้ถือหุ้นก็บีบให้ลาออกเองแหล่ะ
ซึ่งไม่เหมือนกับบริหารแบบเถ้าแก่ ต่อให้ลูกหลานแย่ มันก็ยังได้บริหารต่อ เพราะเจ้าของคือกงสี ไม่มีผู้ถือหุ้นมานั่งบีบให้ออก
ผมดูๆ แล้วจ็อบส์นั้นเหมาะมากในตำแหน่ง "ว้ากเกอร์" ในระบบ "SOTUS"
จ๊ากกกกกก ! 555+
เฮออๆๆๆๆ
ผมชอบตรงภารโรงกับรองประธานนะ เห็นด้วยว่าเหตุผลไม่จำเป็น
ในคำว่า รวมศูนย์มันมีหลาย level ในตัวมันเอง Apple ไม่ได้รวมศูนย์ hardcore ขนาดนั้น และมันก็ไม่ได้ unique อะไรมากมายแบบที่ไม่มีใครเหมือน บริษัทอื่นแนวนี้ก็มีเหมือนกัน แต่คนที่เป็น head ไม่ได้ทำตัวเป็น icon ออกสื่อแบบ Jobs
ถ้ายกวิชาการมาเลย ต้องบอกว่า Apple เป็น Eiffel Tower Culture คือ Centralisation สูง และ formalisation ก็สูงด้วย
p.s. ต้องมีบางคนไม่เข้าใจแน่ๆ แต่อยากเขียนไว้บริหารความรู้ตัวเองที่ไม่ค่อยได้ใช้บ้าง จะได้ไม่ลืม
ในแง่ Network ..... มันเป็น Single Point of Failure ไม่มี HSRP ไม่มี VRRP ไม่มี Redundancy เป็น design ที่เสี่ยงมาก
ความแตกต่างระหว่างภารโรงกับรองประธาน
หมายความว่ายังไง
หรือหมายความว่ารองประธานทำงานไม่สำเร็จไม่จำเป็นต้องแก้ตัว เตรียมหางานใหม่ได้เลย
ไม่ต้องหาคำแก้ตัว เพราะผู้บริหารไม่มีทางที่จะฟังคำแก้ตัวไงครับ
ผมนึกถึงผู้หญิงเก่งของเมืองไทย สุรางค์ เปรมปรีดิ์ บริหารงานได้เก่งจริงๆ ขนาดอีกช่องมีผู้บริหารเยอะสารพัดกลยุทธ์+กลโกงยังเอาชนะเจ๊แกไม่ได้เลย ล่าสุดนี่ฝนฟ้าอากาศกับข่าวเกษตรนำหน้าไปหลายขั้น
ช่วงหลัง ๆ นี่เป็นกลุ่มกรุงศรีฯ บริหารแล้วครับ คุณแดงดูแค่ละครเท่านั้นเอง อำนาจการตัดสินใจ การจัดผัง อยู่ที่คณะกรรมการพิจารณาผังรายการและการเช่าเวลา ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงช่วงหลัง ๆ นี่กลุ่มกรุงศรีฯ ทั้งนั้นเลย
ขอบคุณครับ
ขอนอกเรื่อง ตอนนี้ผมไม่ได้ดูช่อง 7 แล้วละครับ ดูเฉพาะบางรายการ(ละครยิ่งไม่ได้ดูใหญ่)
ผมก็เหมือนกันครับ ยิ่งช่อง 3 ผมไม่ดูใหญ่เลย มีแต่ละคร (แย่งผัวแย่่งเมีย) ละครเน้นตลาดสาวโรงงานมาก
ส่วนมากดู เคเบิ้ล มากกว่า
แผนผังองค์กรของเรา
คนที่ปลื้มเฮียแกสุดๆก็เราๆท่านๆนี่แหละ แต่ลูกน้องแกคงไม่ปลื้มเท่าไร :)
แม้ลุงจ็อบส์จะนับถือเซน และนิยมความเรียบง่าย
แต่ผู้ที่รู้จักความเรียบง่ายคือผู้ที่รู้จักความเพอร์เฟ็ค เหมือนผู้ที่รู้จักสีดำจึงรู้จักสีขาว รู้จักความืดจึงเข้าใจถึงความสว่าง
ผลิตภัณฑ์ของแกจึงเรียกได้ว่า (เกือบ)ไร้ที่ติ
ชอบคำพูดคุณอ่ะ
คิดเหมือนกันเลย ผมว่าการที่จะทำอะไรให้เรียบง่ายอย่างที่สุด แต่ให้ดูมีอะไรมากที่สุดที่ยากนะ
เหมือนทุกผลิตภัณฑ์ ที่ apple ที่พยามทำ
ชอบคำพูดคุณอ่ะ
คิดเหมือนกันเลย ผมว่าการที่จะทำอะไรให้เรียบง่ายอย่างที่สุด แต่ให้ดูมีอะไรมากที่สุดที่ยากนะ
เหมือนทุกผลิตภัณฑ์ ที่ apple ที่พยามทำ
ถ้าผมทำงานกับแกนี่ คงกลัวจนตัวสั่นเลยนะเนี่ย = ="
ผมว่าเขาวาด Tree อย่างก่ะแผงวงจร CPU Intel ยังไงไม่รุ 555+
วงการสื่อก็แบบนี้แหละครับ ต้องการให้มันดูเกินจริงหน่อยเพิ่มอรรถรสความเป็นศาสดา อิอ