Plastc สตาร์ทอัพที่นำเสนอไอเดียในการรวมบัตรเครดิตราว 20 ใบลงไปในบัตรพลาสติกใบเดียว พร้อมเชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟน เพื่อให้ผู้ใช้เลือกบัตรในการใช้งาน ประกาศล้มละลายและไม่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ที่สั่งพรีออเดอร์ได้เลย แม้จะได้เงินทุนจากพรีออเดอร์ถึง 9 ล้านเหรียญก็ตาม
Plastc ให้เหตุผลในอีเมลที่ส่งหาผู้สั่งพรีออเดอร์ว่า ไม่สามารถปิดดีลในการระดมทุนราว 3.5 ล้านเหรียญในรอบ Series A ได้ทั้งๆ ที่มีการ์ดตัวจริงมาโชว์นักลงทุนแล้ว โดยเงินก้อนนี้จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตสำหรับผู้พรีออเดอร์ด้วย ก่อนจะโดนนักลงทุนอีกกลุ่มปฏิเสธในขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง ทำให้เงินอีกราว 6.75 ล้านเหรียญที่คาดว่าจะได้หายไปเช่นกัน
ที่มา - Gizmodo
Comments
อ่าว อุส่ารอ
ผมจ่ายไป $115 อุตสาห์เชียร์แทบตาย ... ละลายแม่น้ำไปเรียบร้อยฮะ ?
บล็อกของผม: http://sikachu.com
มีผมเป็นเพื่อน
มีแนวโน้มจะเหมือนทัวร์โชกุนไหมครับ
เห็นต่างชาติเค้าวิเคราะห์กันว่าน่าจะล่มตั้งแต่เริ่มแล้วเพราะคงไม่มีใครอยากให้ข้อมูลบัตรของตัวเองกับเจ้าอื่น
เห็นด้วยตามนี้ครับ ผมว่าโปรเจคมาเพื่อเป็นไอเดียมากกว่า ทางที่ทำได้คือไปจด Patent รอไว้จากโปรดักส์ตัวที่ออกมาแล้ว ให้มันกว้างๆเข้าไว้
เพราะสุดท้ายแล้วผมมองว่า Visa/Mastercard เอง (หรือนับแค่รายใหญ่ของโลกมีแค่ China UnionPay, RuPay, Visa, MasterCard, American Express, Discover, Diner's Club, and JCB. แค่นี้เอง) เท่านั้นที่จะออกโปรดักส์พวกนี้ได้ .. เพื่อคงกรอบการใช้งานบัตรให้อยู่ในเครือตัวเอง (พูดถึงบัตร Co-branding ทั้งหลาย)
มันไม่เหมือน payment method แบบอื่นๆ (SS Pay, ApplyPay, Google Payment) ที่ใช้บัตรใบไหนก็มีแนวโน้มจะเป็นใบนั้นไปเรื่อยๆ อันนี้มันให้อิสระในการย้ายค่ายสูงเกินไป
ผมมองว่ามันเหมือน Apple Pay เลยนะครับ เอาบัตรไปผูกกับ token ในอุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ตัวบัตรเอง ในที่นี่คือบัตรอีกใบแทนที่จะเป็นไอโฟน
แต่พลังการเจรจาน่าจะต่างกันมาก
lewcpe.com, @wasonliw
ผมเข้าใจว่า Plastc คือเก็บข้อมูลของการ์ด (และชิพ) บนบัตรตัวเองนะครับ (หรือมันเขียนเปลี่ยนข้อความไปแล้วหลังจากที่เข้าไปดูช่วงแรก) ไหนจะมีเครื่องอ่านการ์ดอีก ซึ่งหลักๆมันเป็นเรื่องความปลอดภัยมากกว่า ดังนั้นตอนเอาไปรูด ถอนเงิน ... หากมีปัญหา หากเอาไปใช้ก๊อปการ์ดอื่นแบบผิดทาง อะไรแบบนี้ บน transaction ที่เกิดมันน่าจะ เทียบเท่าใช้บัตรจริง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น คนแบกรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นน่าจะเป็นธนาคาร
ต่างกับ Apple Pay ที่ถ้ามีปัญหา apple pay รับก่อน
บริษัทออกบัตรเครดิตนี่จริงๆไม่รับความเสี่ยงอะไรเลย กินค่าธรรมเนียมนิ่งๆก็เพลินมากแล้วล่ะรับ
นอกจากจะไม่มีใครอยากผูก ส่วนแบ่งของค่าใช้จ่ายที่ได้จาก การรูดบัตร นี่ไม่มีใครอยากแบ่งแน่นอนครับ มันจึงเป็นไม่ได้เลยในทางธุรกิจ
มันเป็น project ที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วอะครับ
เป็นไปได้ยาก
เพราะโลกเรากำลังเปลี่ยนมาใช้ EMV กันแล้ว ทำให้ copy private key ใน card ออกไปไม่ได้ง่ายแบบแถบแม่เหล็ก