William H. Grover จากภาควิชา Bioengineering มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร์ เสนอ CandyCode แนวทางการแจกหมายเลขประจำตัวให้กับยาทุกเม็ดด้วยการเคลือบน้ำตาลสีระหว่างการผลิต ทำให้ผู้ใช้สามารถสืบย้อนกลับไปได้ว่าเป็นยาที่ออกมาจากโรงงานจริงหรือไม่
แนวทางการใช้หมายเลขประจำสินค้าเพื่อสืบย้อนกลับไปถึงผู้ผลิตมีมานาน และหลายครั้งผู้ผลิตก็เปิดให้ตรวจสอบสินค้าว่าเป็นของจริงหรือไม่บนตัวกล่อง แต่แนวทางนี้ก็มีข้อจำกัดเพราะบางครั้งผู้ผลิตสินค้าปลอมใช้กล่องจริงที่ใช้แล้ว หรือในกรณียาบางครั้งผู้ซื้อได้รับยาจากร้านยาโดยไม่ได้รับกล่องจากผู้ผลิตโดยตรง ขณะที่ก่อนหน้านี้มีการเสนอให้พิมพ์ QR ลงบนยาทุกเม็ดมาก่อนแล้ว แต่ QR ที่พิมพ์ลงไปมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการอ่าน
Grover เสนอแนวทางด้วยการเคลืบน้ำตาลสีที่เราเห็นกันในของหวาน โดยน้ำตาลสีเป็นลูกบอลกลมขนาด 1 มิลลิเมตร มี 8 สี ที่สำคัญคือราคาถูกมาก ต้นทุนค่าน้ำตาลในการเคลือบคิดเป็น 1 ดอลลาร์ ต่อเม็ดยา 29,000 เม็ด
ในการทดลอง Grover ซื้อช็อกโกแล็ตที่เคลือบน้ำตาลสีอยู่แล้วมาทดสอบ โดยช็อกโกแล็ต 1 เม็ดมีน้ำตาลสีอยู่ในช่วง 72-108 เม็ด เขาแปลงภาพเม็ดน้ำตาลที่อยู่ติดกันในสีต่างๆ ให้กลายเป็นสตริง โดยแทนที่จะพยายามใช้สตริงเดียวแทนที่เม็ดยาทั้งเม็ด เขาตรวจจับกลุ่มน้ำตาลสีกลุ่มเล็กๆ แล้วแปลงเป็นสตริงสั้นๆ เม็ดยาหนึ่งเม็ดจะได้สตริงประมาณ 52.8 ชุด กระบวนการค้นหาข้อมูลยาจากฐานข้อมูล ใช้การค้นสตริงเหล่านี้แล้วหาเม็ดยาที่บันทึกไว้และมีสตริงตรงกันจำนวนมากพอ
ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของน้ำตาลสีในท้องตลาดคือมันมีเพียง 8 สี และปริมาณน้ำตาลแต่ละสีก็ไม่เท่ากัน โดยสีขาวมีเกือบครึ่งหนึ่ง หากเป็นน้ำตาลสีที่ผลิตมาเฉพาะก็จะทำให้จำนวนสตริงที่ต้องเทียบเพื่อค้นหาข้อมูลหมายเลขเม็ดยาโดยไม่ชนกับเม็ดอื่นๆ มีจำนวนน้อยลง เช่น น้ำตาล 15 สี ที่โปรยลงบนเม็ดยารวมแสนล้านล้านเม็ด จะมีสตริงซ้ำกันไม่เกิน 10 ชุด แต่หากเป็นน้ำตาลสีตามตลาดจะมีโอกาสซ้ำกันถึง 21 ชุด
ที่มา - Nature
Comments
แคลิฟอร์เนีย, ด้วยการเคลือบน้ำตาลสี, จะมีสตริงซ้ำกันไม่เกิน 10 ชุด
ไอเดียดีนะ แต่เคลือบมิดแบบนี้ คนจะงงไหมเวลาต้องกินยาหลายๆตัว ว่ากินตัวไหนไปแล้ว ตัวไหนยังไม่กิน เพราะปกติจะดูรูปรางและสีเม็ดยารวมถึงสัญลักษณ์ แต่โดนเคลือบมิดแบบนี้ ก็อาจจะไม่รู้แล้วว่าที่เทมาเป็นตัวไหนบ้าง
ไม่น่าจะงงนะ ตอนเทออกมาก็เทียบจากในซองยาได้อยู่ว่าเป็นตัวไหน
ในลิงก์ต้นทางเขาให้ใช้กล้องถ่ายแล้วแปลงภาพไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลออนไลน์อีกที แต่ถ้าต้องถ่ายทุกเม็ดก่อนกินก็นะ...
ถ้ามันใช้ทุกสีที่มีขนาดนี้ผมว่าเทียบยากนะ ยิ่งถ้าสตริงมันคล้ายๆกันแล้ว...
พวกนี้เป็น PoC ถ้าทำจริงผมว่าอาจจะเคลือบครึ่งเดียวพอครับ ใน paper เขาพูดถึงการใช้งานกับ package อื่นๆ ก็โรยไว้แค่บางส่วน
lewcpe.com, @wasonliw
ตอนอ่านหัวกระทู้: เคลือบเป็นขีดสีรอบๆเหมือนตัวต้านทานล่ะมั้ง
ตอนเห็นรูป: มาเป็นเม็ดเลย!!!
ฮาา ผมก็นึกคล้ายๆกัน
คิดเหมือนกันเลยครับ
วิธีที่เค้าคิดนี่มันคล้ายๆ ทำ PCR เทียบสตริงของ DNA เลยนะ 555
iPAtS
มันจะไม่หลุดใช่ไหมครับ?
ผมกลัวคีโตหลุดมากกว่า 😂
จริงๆ เขาคิดถึงตอนมันหลุดแล้วครับว่าหลุดบ้างก็ยังเทียบได้อยู่
lewcpe.com, @wasonliw
“จะมีสริงซ้ำกันไม่เกิน”
สริง -> สตริง
พวก package ถ้ามี QR ก็ให้ scan ผ่านคตรั้งเดียวจะได้มั้ยนะ
ถ้าครั้งที่สองก็ให้แสดงว่าครั้งแรกถูก scan เมื่อไหร่ etc.
แล้วเป็น package แบบ แกะกินก็ไม่น่าจะ reuse ได้อยู่แล้ว
หรือต้นทุนเคลือบน้ำตาลจะต่ำกว่า
อ่อ... ถ้าไม่ scan ก็ปลอมได้ครั้งนึงนี่นา 555