Tags:
Node Thumbnail

พาดหัวเวอร์ๆ ไปงั้นล่ะครับ มันดูกำลังภายในดี :P

ผมได้รับคำชวนจากคุณ Derek Brown แห่งไมโครซอฟท์ประเทศไทยให้มาฟัง Bill Hilf ที่มาเมืองไทยพูดนิดหน่อย Bill Hilf ถือเป็นคนสำคัญมากคนนึงของไมโครซอฟท์ ตำแหน่งของเค้าคือ General Manager of Platform Strategy ที่เรดมอนด์ แต่หน้าที่ในภาษาชาวบ้านก็เป็นคนที่ไมโครซอฟท์จ้างมาสอนให้ไมโครซอฟท์รู้จักกับโอเพนซอร์สน่ะเอง

Hilf เป็นคนทำงานด้านโอเพนซอร์สมาตลอด เคยดูแลนโยบายด้านลินุกซ์ที่ IBM ก่อนจะย้ายมาไมโครซอฟท์ เขาเปิด Microsoft Open Source Software Lab ไว้ทดสอบความเข้ากันได้ระหว่างระบบปฏิบัติการ เว็บบล็อกของแล็บนี้ชื่อ Port 25 เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ (เป็นข่าวดังพอสมควรด้วย แต่ผมเห็นว่าไม่ค่อยมีอะไรเลยไม่ได้เขียน)

งาน LinuxWorld Expo ที่บอสตันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน Bill Hilf ยังได้ขึ้นพูด Keynote ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของไมโครซอฟท์บนเวทีลินุกซ์ซะด้วย

Bill มาพูดที่ออฟฟิศของไมโครซอฟท์ที่ตึก All Seasons ผมเพิ่งเคยไปครั้งแรกก็หรูดีตามสไตล์บริษัทข้ามชาติ ได้เจอคุณ Don Sambandaraksa คอลัมนิสต์คนดังของ Bangkok Post ด้วย (เคยได้ยินแต่ชื่อมานาน) เนื่องจากว่าผมไม่ได้จดอะไรเลยแถมนั่งหลับอีกตะหาก รออ่านเวอร์ชันเต็มๆ ของคุณดอน คิดว่าน่าจะลงวันพุธนี้ครับ

แรกสุด Bill Hilf เปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมาโชว์วอลเปเปอร์รูปวิวภูเขาสะท้อนแดดเป็นสีทอง พร้อมกับบอกว่ารูปนี้ชนะการประกวดและจะอยู่ใน Vista แต่คงไม่ใช่ default อันนี้คอยติดตามดูละกัน เบราว์เซอร์ที่เขาใช้คือ Avant ครับ

สไลด์แรกของ Hilf โชว์รูปแล็บโอเพนซอร์สให้ดู ซึ่งก็จะคล้ายๆ กับแล็บแมคคราวที่แล้ว แต่อันนี้จะมีแต่เซิร์ฟเวอร์เกือบทั้งหมด แล็บนี้มีระบบปฏิบัติการรันมากกว่า 60 ตัว ทั้งลินุกซ์แปลกๆ ที่ Hilf บอกว่าเราไม่รู้จักแน่นอน มี RHEL และ SuSE เกือบทุกเวอร์ชัน รวมไปถึง Mac OS X และ Vista เอง โดยเขาบอกว่าทั้งหมดเพื่อใช้ทดสอบ

Bill Hilf

Hilf พูดนโยบายของไมโครซอฟท์กับโอเพนซอร์สว่าสนใจเฉพาะ process ในการพัฒนา ในขณะที่มอง product จากบริษัทอย่าง Red Hat, MySQL หรือ Novell ว่าไม่ต่างอะไรกับคู่แข่งอย่าง Apple หรือ IBM เค้าย้ำบ่อยมากว่า Red Hat หรือ Novell นั้นก็ทำธุรกิจกับซอฟต์แวร์เช่นเดียวกัน ยึดถือลูกค้าเป็นหลักเหมือนกัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับไมโครซอฟท์ สิ่งที่คนเข้าใจผิดมักมาจากสื่อที่ชอบเรื่องความขัดแย้ง (ไมโครซอฟท์ ปะทะ โอเพนซอร์ส)​ ต่างหาก ในโลกความเป็นจริง (เขาใช้คำว่า in reality กับ in theatre) เราก็ทำธุรกิจเหมือนกัน

เรื่องถัดมาที่พูดยาวมากคือ Microsoft Virtual Server 2005 ที่ลามไปถึงเทคโนโลยี Virtualization (ใครฟัง Xen มาวันก่อนน่าจะพอนึกออก) และ Hypervisor (ชั้นที่อยู่ใต้ kernel เพื่อช่วยทำ Virtualization) ซึ่งมีสเปกที่ชื่อว่า Virtual Hard Disk หรือ .vhd เจ้าตัวนี้ไมโครซอฟท์แอบไปเจรจากับคู่แข่งใหญ่อื่นๆ อย่าง VMWare หรือ Xen เรียบร้อย นั่นแปลว่าใน Longhorn Server เราจะสามารถทำ virtualization ระหว่างวินโดวส์กับลินุกซ์ได้!!!

Hilf บอกว่า Virtualization จะมาแรงมากในตลาดเซิร์ฟเวอร์ เพราะแทนที่เราจะซื้อฮาร์ดแวร์ปกติหนึ่งชุดมาทำหนึ่งเซิร์ฟเวอร์ เราก็เอาเงินมาซื้อ 64-bit multicore แล้วทำ virtualize แทน ในกรณีที่ราคาเท่ากัน แบบหลังจะชนะในเรื่องพื้นที่ใช้สอยและการระบายความร้อน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากในอนาคต

ประเด็นอื่นที่ผมจำได้มีเรื่องการดีเลย์ของ Vista ซึ่ง Hilf ให้เหตุผลว่า Vista ต้องสนับสนุนฮาร์ดแวร์จำนวนมาก และไมโครซอฟท์จะต้องรับผิดชอบในกรณีที่ฮาร์ดแวร์ทำงานไม่ได้ เค้ายกกรณีมาว่าเคยเจอเคอร์เนลลินุกซ์มีปัญหากับฮาร์ดแวร์ซักตัว และแฮกเกอร์แก้ปัญหานั้นได้ในเวลา 2 วันซึ่งถือว่าเร็วมากๆ แต่ถ้ามองด้วยมุมมองของคนในไมโครซอฟท์ ปัญหานี้จะมองว่าเกิดเพราะแฮกเกอร์ไม่ได้ทดสอบกับอุปกรณ์จริง (เพราะไม่มี) ซึ่งในไมโครซอฟท์ปัญหานี้แทบจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากต้องทดสอบกับอุปกรณ์ที่วางขายอยู่เสมอ

อีกเรื่องคือ Open Standard ที่ตอบเข้าสเต็ปว่าให้ตลาดเป็นตัวตัดสิน (ตอบแบบนี้กันทั้งบริษัท)

ถ้าใครสนใจเพิ่มเติม แนะนำให้อ่าน Interview ที่ Slashdot คำถามจะค่อนข้างครอบคลุม และ Bill Hilf ตอบคล้ายๆ กัน

Get latest news from Blognone

Comments

By: DrRider
WriterAndroid
on 24 April 2006 - 09:54 #5922
DrRider's picture

อืม จะว่าไป ไอ้เรื่อง kernel มีปัญหากับฮาร์ดแวร์เพราะไม่มีอุปกรณ์จะทดสอบมันก็น่าเห็นใจอยู่ แต่มันก็เป็นข้อเสียเปรียบของโมเดลแบบ Opensource แบบช่วยไม่ได้แฮะ


We need to learn to forgive but not forget...